วันเวลาปัจจุบัน 14 ส.ค. 2025, 14:23  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 207 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 10, 11, 12, 13, 14  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ย. 2011, 00:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


และต่อไปนี้เป็นความรู้เพิ่มเติมค่ะ

อ้างคำพูด:
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒
ทีฆนิกาย มหาวรรค
๒. มหานิทานสูตร (๑๕)

[๖๐] ดูกรอานนท์ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา
โดยส่วนสอง ด้วยประการดังนี้แล ฯ
ก็คำนี้ว่า เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา เรากล่าวอธิบายดังต่อ
ไปนี้
ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าว
ไว้ว่า เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา ดูกรอานนท์ ก็ถ้าผัสสะมิได้มีแก่ใครๆ
ในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน คือจักษุสัมผัส โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหา-
*สัมผัส กายสัมผัส มโนสัมผัส เมื่อไม่มีผัสสะโดยประการทั้งปวง เพราะ
ดับผัสสะเสียได้เวทนาจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ
ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งเวทนา
ก็คือผัสสะนั่นเอง ฯ
ก็คำนี้ว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะ เรากล่าวอธิบายดังต่อ
ไปนี้-
ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าว
ไว้ว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะ ดูกรอานนท์ การบัญญัตินามกาย
ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต อุเทศ เมื่ออาการ เพศ นิมิต และอุเทศ
นั้นๆ ไม่มี การสัมผัสเพียงแต่ชื่อในรูปกายจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ
ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
ดูกรอานนท์ การบัญญัติรูปกาย ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต อุเทศ
เมื่ออาการ เพศ นิมิต อุเทศนั้นๆ ไม่มี การสัมผัสโดยการกระทบ จะพึง
ปรากฏในนามกายได้บ้างไหม ฯ
ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
ดูกรอานนท์ การบัญญัตินามก็ดี รูปกายก็ดี ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ
นิมิต อุเทศ เมื่ออาการ เพศ นิมิต อุเทศนั้นๆ ไม่มี การสัมผัสเพียงแต่ชื่อ
ก็ดี การสัมผัสโดยการกระทบก็ดี จะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ
ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
ดูกรอานนท์ การบัญญัตินามรูปต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต อุเทศ
เมื่ออาการ เพศ นิมิต อุเทศนั้นๆ ไม่มี ผัสสะจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ
ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งผัสสะ
ก็คือนามรูปนั่นเอง ฯ
ก็คำนี้ว่า เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิดนามรูป เรากล่าวอธิบายดังต่อ
ไปนี้-
ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าว
ไว้ว่า เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิดนามรูป ดูกรอานนท์ ก็วิญญาณจักไม่หยั่งลง
ในท้องแห่งมารดา นามรูปจักขาดในท้องแห่งมารดาได้บ้างไหม ฯ
ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
ดูกรอานนท์ ก็ถ้าวิญญาณหยั่งลงในท้องแห่งมารดาแล้วจักล่วงเลยไป
นามรูปจักบังเกิดเพื่อความเป็นอย่างนี้ได้บ้างไหม ฯ
ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
ดูกรอานนท์ ก็ถ้าวิญญาณ ของกุมารก็ดี ของกุมาริกาก็ดี ผู้ยังเยาว์วัยอยู่
จักขาดความสืบต่อ นามรูปจักถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ ได้บ้างไหม ฯ
ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งนามรูป
ก็คือวิญญาณนั่นเอง ฯ
ก็คำนี้ว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดวิญญาณ เรากล่าวอธิบายดังต่อ
ไปนี้-
ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าว
ไว้ว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดวิญญาณ ดูกรอานนท์ ก็ถ้าวิญญาณจักไม่ได้
อาศัยในนามรูปแล้ว ความเกิดขึ้นแห่งชาติชรามรณะและกองทุกข์ พึงปรากฏ
ต่อไปได้บ้างไหม ฯ
ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งวิญญาณ
ก็คือนามรูปนั่นเอง ด้วยเหตุผลเพียงเท่านี้แหละ อานนท์ วิญญาณและนามรูป
จึงยังเกิด แก่ ตาย จุติ หรืออุปบัติ ทางแห่งชื่อ ทางแห่งนิรุติ ทางแห่งบัญญัติ
ทางที่กำหนดรู้ด้วยปัญญาและวัฏฏสังสาร ย่อมเป็นไปด้วยเหตุเพียงเท่านี้ๆ ความ
เป็นอย่างนี้ ย่อมมีเพื่อบัญญัติ คือนามรูปกับวิญญาณ ฯ
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v ... agebreak=0


อ้างคำพูด:
[185] สังขาร 4 (คำว่าสังขารที่ใช้ในความหมายต่าง - applications of the word 'formation')
1. สังขตสังขาร (สังขารคือ สังขตธรรม ได้แก่สิ่งทั้งปวงที่เกิดจากปัจจัยปรุงแต่ง รูปธรรมก็ตาม นามธรรมก็ตาม ได้ในคำว่า อนิจฺจา วต สงฺขารา เป็นต้น - formation consisting of the formed)
2. อภิสังขตสังขาร (สังขารคือสิ่งที่กรรมแต่งขึ้น ได้แก่รูปธรรมก็ตาม นามธรรมก็ตาม ในภูมิสาม ที่เกิดแต่กรรม - formation consisting of the karma-formed)
3. อภิสังขรณกสังขาร (สังขารคือกรรมที่เป็นตัวการปรุงแต่ง ได้แก่ กุศลเจตนาและอกุศลเจตนาทั้งปวงในภูมิสาม ได้ในคำว่า 'สังขาร' ตามหลักปฏิจจสมุปบาท คือ [120] สังขาร 3 หรือ [129] อภิสังขาร 3 - formation consisting in the act of karma-forming)
4. ปโยคาภิสังขาร (สังขารคือการประกอบความเพียร ได้แก่กำลังความเพียรทางกายก็ตาม ทางใจก็ตาม - formation consisting in exertion or impetus)


อ้างคำพูด:
[129] อภิสังขาร 3 (สภาพที่ปรุงแต่ง, ธรรมมีเจตนาเป็นประธานอันปรุงแต่งผลแห่งการกระทำ, เจตนาที่เป็นตัวการในการทำกรรม — volitional formation; formation; activity)
1. ปุญญาภิสังขาร (อภิสังขารที่เป็นบุญ, สภาพที่ปรุงแต่งกรรมฝ่ายดี ได้แก่ กุศลเจตนาที่เป็นกามาวจรและรูปาวจร — formation of merit; meritorious formation)
2. อปุญญาภิสังขาร (อภิสังขารที่เป็นปฏิปักษ์ต่อบุญคือเป็นบาป, สภาพที่ปรุงแต่กรรมฝ่ายชั่ว ได้แก่ อกุศลเจตนาทั้งหลาย — formation of demerit; demeritorious formation)
3. อาเนญชาภิสังขาร (อภิสังขารที่เป็นอเนญชา, สภาพที่ปรุงแต่งภพอันมั่นคง ไม่หวั่นไหว ได้แก่ กุศลเจตนาที่เป็นอรูปาวจร 4 หมายเอาภาวะจิตที่มั่นคงแน่วแน่ ด้วยสมาธิแห่งจตุตถฌาน — formation of the imperturbable; imperturbability-producing volition)

อภิสังขาร 3 นี้ เป็นความหมายของสังขารในหลักปฏิจจสมุปบาท ท่านแสดงไว้อีกนัยหนึ่งเพิ่มจากนัยว่าสังขาร 3 ดู [120] สังขาร 3๒


http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_see ... 7%A2%D2%C3

ขอพระพุทธองค์ทรงเมตตา ... ค่ะ ^^


แก้ไขล่าสุดโดย FANTASIA เมื่อ 22 ก.ย. 2011, 00:52, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ย. 2011, 00:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อไปนี้นำมาเปรียบเทียบให้ดูระหว่างกายสังขารในปฏิจสมุปบาทและกายสังขารในเรื่องที่เกี่ยวกับสัญญาเวทยิตนิโรธค่ะ ^^

อ้างคำพูด:
[120] สังขาร 3๒ (สภาพที่ปรุงแต่ง, ธรรมมีเจตนาเป็นประธานอันปรุงแต่งการกระทำ, สัญเจตนา หรือเจตนาที่แต่งกรรม — formation; determination; volition)
1. กายสังขาร (สภาพที่ปรุงแต่งการกระทำทางกาย ได้แก่ กายสัญเจตนา คือ ความจงใจทางกาย — bodily formation; bodily volition)
2. วจีสังขาร (สภาพที่ปรุงแต่งการกระทำทางวาจา ได้แก่ วจีสัญเจตนา คือ ความจงใจทางวาจา — verbal formation; verbal volition)
3. จิตตสังขาร หรือ มโนสังขาร (สภาพที่ปรุงแต่งกระทำทางใจ ได้แก่ มโนสัญเจตนา คือ ความจงใจทางใจ — mental formation; mental volition)

สังขาร 3 ในหมวดนี้ ได้ในความหมายของคำว่าสังขารในปฏิจจสมุปบาท.


อ้างคำพูด:
[119] สังขาร 3๑ (สภาพที่ปรุงแต่ง — formation; determination; function)
1. กายสังขาร (สภาพที่ปรุงแต่งกาย ได้แก่ อัสสาสะ ปัสสาสะ คือ ลมหายใจเข้าออก — bodily formation; bodily function)
2. วจีสังขาร (สภาพที่ปรุงแต่งวาจา ได้แก่ วิตกและวิจาร — verbal formation; verbal function)
3. จิตตสังขาร (สภาพที่ปรุงแต่งใจ ได้แก่ สัญญา และเวทนา — mental formation; mental function)

สังขาร 3 ในหมวดนี้ มักมาในเรื่องที่เกี่ยวกับสัญญาเวทยิตนิโรธ ว่าผู้เข้านิโรธสมาบัติ วจีสังขาร กายสังขาร และจิตตสังขาร ดับไปตามลำดับ.


http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_see ... 7%A2%D2%C3


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ย. 2011, 01:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


จางบางลางเลือน เขียน:
คุณ จางบางวางหนังสือมานานนมถมถืดแล้ว แต่เพราะยังคาใจว่าทำไมต้องให้หาหลักฐาน
มายืนกรานถึงจะยอมยอมให้คุณจางบางกันบ้าง แต่ถึงแม้คุณจางบางจะเอาพระสูตรมายืนยัน
คุณจางบางก็รู้คำตอบอยู่ดีแหละว่า ผู้รู้ดีกว่าพระไตรปิฎกก็คงไม่ยอมหยุดเชื่อ หรือเงี่ยหูฟัง
อยู่ดี แต่เพราะอุปนิสัยลึกๆที่ไม่ค่อยยอมศิโรราบคาบแก้วโดยง่าย คุณจางบางก็ขอยกพระสูตร
มาฝากคุณ แฟนตาเซียด้วยนะคะ

จาก สูตรที่๒ พุทธวรรค นิทานสังยุตต์เล่ม ๑๖/๒/๔ ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายที่เชตวัน

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็นามรูปเป็นอย่างไรเล่า

เวทนาสัญญาเจตนาผัสสะมนสิการ นี้เรียกว่านาม มหาภูตทั้งสี่ด้วย รูปที่อาศัยมหาภูตทั้งสี่ด้วย
นี้เรียกว่ารูป นามนี้ด้วย รูปนี้ด้วยย่อมมีอยู่ดังนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่านามรูป

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็วิญญาณเป็นอย่างไรเล่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หมู่แห่งวิญญาณทั้งหลาย
๖หมู่เหล่านี้คือ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ
มโนวิญญาณ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายนี้เรียกว่าวิญญาณ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สังขารทั้งหลายเป็นอย่างไรเล่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สังขารทั้ง๓อย่างเหล่านี้คือ กายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหล่านี้เรียกว่าสังขารทั้งหลาย

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อวิชชา เป็นอย่างไรเล่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ความไม่รู้อันใดแล เป็นความไม่รู้ในทุกข์ เป็นความไม่รู้ในเหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์
เป็นความไม่รู้ในความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นความไม่รู้ในข้อปฏิบัติเครื่องทำสัตว์
ให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียก อวิชชา


คุณจางบางตัดตอนมาเป็นบางส่วนเพราะขี้เกียจพิมพ์ หากคุณแฟนตาเซียจะอนุเคราะห์
ก็ลองช่วยหา ความหมายของปฏิจจสมุปบาท ที่คุณนำมาอธิบายขยายความ ว่าพระ
พุทธองค์ทรงตรัสไว้ที่ไหน ช่วยหาเอาให้ชื่นชมแก้โง่เขลาแก่คุณจางบางด้วยเถิดเจ้าคะ

ขอพระพุทธองค์ทรงเมตตา :b8: :b8: :b8:


จางบางลางเลือน เขียน:
ขอบคุณที่ยังเมตตากรุณามุทิตาอุเบกขา แก่คุณจางบาง อุตสาหะไปหาคำอธิบาย
ของหลวงปู่มั่นมายื่นประทานให้ สำหรับคุณจางบางจะรับจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่เวรแต่กรรม
และสติปัญญาของคุณจางบางเอง..........สาธุ สาธุ

พอได้อ่าน คำอธิบายของหลวงปู่มั่น ซึ่งคุณจางบางเองปกติ ไม่เคยอ่านมาเลย
เพราะอ่านแต่ของพระพุทธองค์เป็นหลัก เนื่องจากเข้าใจเอาเองว่าเลือกเชื่อคุณพ่อ
ไว้ก่อนปลอดภัยที่สุด จึงไม่ได้ใส่ใจใครที่ยิ่งไปกว่าพระพุทธองค์เลย

คุณจางบางพบข้อสังเกตุ ที่เพิ่งสังเกตุเห็นวันนี้ว่า บุคคล3ยุค ต่างตีความหมาย
ของคำว่า สังขาร วิญญาณ นามรูปต่างกัน อย่างน่าประหลาด
ทั้งที่ต่างก็ได้รับการยอมรับมากมายจากใครต่อใครว่าคือพระอรหันต์

การอธิบายความหมายของอาการแต่ละอาการ ของปฏิจจสมุปบาท ควรต้องถือเอาตาม
ความหมายเดิมที่พระพุทธองค์แสดงไว้ ซึ่งมีมากมายในพระไตรปิฎก คือ
อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป ตามแบบที่คุณจางบางยกมาให้อ่านนั่นหละ

ส่วนการตีความหมายของอาการปฏิจจสมุปบาทต่างไปจากนี้ ก็มีแต่การขยายความของพระพุทธโฆษาจารย์ผู้แต่งหนังสือวิสุทธิมรรค ที่ไปเปลี่ยนความหมายการอธิบายของพระพุทธองค์
ว่า สังขาร คือ ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชภิสังขาร
วิญญาณ คือวิญญาณปฏิสนธิ ไม่ใช่วิญญาณทางอายตน6ตามที่พระพุทธองค์อธิบาย
และความหมายตามที่พระพุทธโฆษาจารย์อธิบายมานี้ ตลอดทั่วพระไตรปิฎก พระพุทธองค์
ไม่เคยตรัสเลย ไม่มีเลยที่พระองค์จะให้ความหมายอย่างนี้ แต่ทั่วไปก็ถือการอธิบาย
และความหมายอย่างที่พระพุทธโฆษาจารย์อธิบายอย่างแพร่หลาย เอามาใช้เป็นต้นแบบการ
พิจารณาเพื่อเข้าถึงความเห็นตามที่พระพุทธโฆษาจารย์อธิบาย

และพอมาถึงยุคนี้คุณจางบางก็มาพบว่า หลวงปู่มั่นท่านได้ให้ความหมายใหม่แก่ปฏิจจสมุปบาท
ต่างออกไปอีกจากพระพุทธเจ้า และอรรถกถาจารย์ คือ ใช้คำว่า สังขารกรรม
วิญญาณกรรม ซึ่งคุณจางบางก็ไม่เคยได้ทราบว่าพระพุทธองค์เคยกล่าวอย่างนี้เลย

ขอพระพุทธองค์ทรงเมตตา คุณแฟนตาเซีย ทุกเช้าค่ำ และทุกยามที่หลับ

onion


:b1: ขอประทานโทษอีกทีนึงนะคะ

การวางหนังสือวางตำราด้วยความไม่ยึดมั่นถือมั่นนั้นคุณต้องวางลงด้วยความเข้าใจอย่างถึงที่สุดแล้วนะคะ
ไม่ใช่วางเพราะว่าอ่านไม่รู้เรื่อง อ่านเท่าไหร่ก็ยังไม่เข้าใจก็วางไว้ซะงั้นแหละ

ส่วนการยกพระสูตรมายืนยันนั้นหากยกมาด้วยความเข้าใจในธรรมแล้วแม้แต่พระอรหันต์ท่านก็จะยอมศิโรราบคาบแก้วแต่โดยง่าย

แต่พระสูตรที่คุณยกมาแต่ละเรื่องนั้นแสดงถึงความยึดมั่นในความรู้อันตื้นเขินของตนโดยไม่มีความเข้าใจในธรรมนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว

ในเรื่องปฏิจสมุปบาทนั้นทั้งสามท่าน ทั้งพระพุทธเจ้า พระพุทธโฆษาจารย์ ทั้งหลวงปู่มั่น ก็พูดเรื่องสังขารกรรมด้วยความเข้าใจในธรรมเดียวตรงกันหมด อีกทั้งพระธรรมปิฎกก็ได้มาอธิบายความหมายของสังขารเอาไว้อย่างสมบูรณ์แล้ว มีแต่คุณจางบางฯ เท่านั้นที่ไปเอาสังขารในเรื่องหนึ่งมาเหมาว่าเป็นสังขารในอีกเรื่องหนึ่ง

ทีนี้จะยอมศิโรราบคาบแก้วได้หรือยังละคะ

:b1: ปล.คำว่า สังขารกรรม หากไม่เคยได้ยินก็หัดให้ได้ยินเสียตั้งแต่วันนี้นะคะ

ขอพระพุทธองค์ทรงเมตตา ... ค่ะ ^^


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ย. 2011, 03:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


FANTASIA เขียน:
:b1: พระพุทธองค์ทรงค้นพบและนำมาสั่งสอนแล้วว่า...........
ทั้งวิชชา อวิชชา และ ไตรลักษณ์มีมาแต่เดิมแล้วเพียงแต่ใครจะมีปัญญาเห็นตามได้ตอนไหนเท่านั้นเองค่ะ
ในเมื่อตอนนี้คุณยังมีแต่อวิชชาเต็มเพียบจึงไม่อาจเห็นไตรลักษณ์ได้
ทำให้ไม่สามารถนำความเข้าใจในตรลักษณ์มาใช้ทำลายอวิชชาได้จึงไม่เห็นว่าวิชชานั้นก็มีมาแต่เดิมแล้วเช่นกัน

ดูมันต้องดูในลักษณะเปรียบเทียบ แล้วการเปรียบเทียบต้องเปรียบธรรมที่มีลักษณะ
ไปในทางเดียวกัน อย่างในที่นี้ ปัญหามันอยู่ที่มีกับไม่มี มันจึงต้องเป็นว่า
มีอวิชากับไม่มีอวิชา มีวิชชากับไม่มีวิชชา
ถ้าดูลักษณะของการเปรียบเทียบ มันแตกต่างกันสิ่งที่ มีอยู่กับไม่มีอยู่

ความสำคัญมันอยู่ที่ คุณบอกว่า"ใครจะมีปัญญาเห็นตาม"
นั้นแสดงว่า บางคนมีบางคนไม่มี และสิ่งที่สำคัญคนที่จะมีปัญญา
ต้องศึกษาและปฏิบัติให้ได้มา ดังนั้นความหมายของมันก็คือการเอาปัญญาเข้ามา

แม้พระพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้เอง พระองค์ก็ทรงศึกษาด้วยการมองธรรมชาติรอบกาย
มองการเกิดแก่เจ็บตาย และนำไปปฏิบัติในขั้นญาณ

คนที่มีปัญญาหรือวิชชาก็คือ คนที่ศึกษาและปฏิบัตื
คนที่ไม่มีปัญญาหรืออวิชาก็คือ คนที่ไม่ได้ศึกษาปฏิบัติ
ฉะนั้นการเปรียบเทียบนี้ แสดงให้เห็นว่าคนที่ศึกษาและปฏิบัติคือการเอาเข้ามา

และในความเป็นจริงในวงปฏิจฯแต่ละสภาวะก็มีนัยยะแห่งการเป็น
อวิชาทุกตัว อาจจะเรียกได้ว่า วงปฏิจฯก็คือวงแห่งอวิชา
และในวงปฏิจฯ จะมีช่วงรอยต่อระหว่างชรามรณะกับสังขารโดยมีคำว่าอวิชา
ในความหมายหนึ่งก็คือ ถ้าเราจะตัดการเวียนว่ายตายเกิดเราต้องเอาปัญญาหรือวิชชา
มาตัดวงจรปฏิจฯตรงรอยต่อนั้น ก็คือตัดขาดของอวิชาทั้งวง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ย. 2011, 04:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


FANTASIA เขียน:
โฮฮับ เขียน:
FANTASIA เขียน:
ดังพุทธภาษิตว่า..............
ความจริงทุกข์เท่านั้นย่อมเกิด ทุกข์ย่อมตั้งอยู่ และเสื่อมสิ้นไป
นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรดับ ฯ
:b3: ปล.ตับท่านอาจารย์ว๊านหวานค่ะ ^^

สุภาษิตใครหรา ปลื้มล่ะสิ!!!!!!!!!!


:b1: คุณไม่รู้หรือคะ ความปลาบปลื้มในพุทธภาษิตน่ะเป็นวิชชาค่ะ ^^
ส่วนการมากระแนะกระแหนะพระพุทธองค์ที่ทรงเอ่ยภาษิตเช่นนี้แสดงว่าอวิชชาส่งคุณโฮฮับมาแน่ๆ

หากพุทธภาษิตง่ายๆ แค่นี้คุณยังไม่รู้จักก็คงยากที่จะเข้าใจในปฏิจสมุปบาท
เพราะพระพุทธองค์ยังทรงยอมรับว่าปฏิจสมุปบาทเป็นสิ่งที่คนทั่วไปเห็นได้ยากเข้าใจได้ยากยิ่ง

ไอ้สุภาษิตที่คุณเอามากล่าว ผมรู้จักดีแต่ที่ผมตอบคุณไปอย่างนั้น
เพราะคุณตอบผมมาอย่างนี้ครับ.............
FANTASIA เขียน:
[ความจริงทุกข์เท่านั้นย่อมเกิด ทุกข์ย่อมตั้งอยู่ และเสื่อมสิ้นไป
นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรดับ ฯ
:b3: ปล.ตับท่านอาจารย์ว๊านหวานค่ะ ^


ฉะนั้นคุณควรไปนั่งคิด นอนคิด เอาเท้าก่ายหน้าผากคิด แล้วดูสิว่าไอ้ประโยคที่ว่า..
FANTASIA เขียน:
[ ส่วนการมากระแนะกระแหนะพระพุทธองค์ที่ทรงเอ่ยภาษิตเช่นนี้แสดงว่าอวิชชาส่งคุณโฮฮับมาแน่ๆ

มันเหมาะที่จะใช้กับคุณหรือผมกันแน่ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ย. 2011, 04:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


FANTASIA เขียน:
:b1: ขอประทานโทษนะคะ

คุณบอกเองว่าในวงปฏิจฯของปุถุชน ทั้งวงถูกควบคุมด้วยความยึดมั่นถือมั่น

และดิฉันได้อธิบายไปแล้วว่าความยึดมั่นถือมั่นคืออุปาทานแต่คุณบอกว่ามันไม่ใช่

หากความยึดมั่นไม่ใช่ทั้งอุปาทานและอวิชชาแล้วคุณจะจัดให้มันอยู่ในส่วนไหนของวงจรปฏิจสมุปบาทละคะทีนี้

หรือคุณเข้าใจไปว่ายังมีความยึดมั่นถือมั่นที่อยู่นอกเหนือจากวงจรปฏิจสมุปบาทอีกทีหนึ่งซึ่งเป็นสิ่งที่แม้แต่พระพุทธองค์ก็ยังทรงรู้ไม่ถึง

เอาละสิคะทีนี้คุณเริ่มจะเห็นความสับสนของตนชัดเจนขึ้นแล้วหรือยังคะ ^^

ที่มันเป็นปัญหาก็คือ คุณเอาลักษณะการใช้คำพูดของผม มาเป็นสาระ
แทนที่คุณจะมองว่าผมยียวน คุณควรจะมองว่า คำพูดของผมเป็นการสะกิด
ความกระตือรือล้นที่จะมองธรรมของผมด้วยความตั้งใจ แต่เปล่าคุณไปมองคำพูดผม
80%แล้วมองธรรมผมแค20% ผลมันก็ออกมาว่า ฟังไม่ได้ศัพย์จับไปกระเดียด

ที่ผมบอกว่าวงปฏิจฯถูกควบคุมด้วยความยึดมันถือมั่น มันก็คือ
สภาวะทุกสภาวะในวงปฏิจฯมีความยึดมั่นถือมั่นเป็นองค์ประกอบ
ตัวอย่างการยึดมั่นของอดีตชาติทำให้เกิดสังขารในชาติใหม่
การยึดมั่นสังขารของชาติใหม่ทำใหม่เกิดวิญญาณ
ไล่เลี่ยงกันไปจนครบรอบแล้วก็วนใหม่ครับ

ผมถึงได้เอาธรรมที่ว่า ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นในธรรมทั้งปวงมากล่าวในตอนแรก

และก็ผมไม่ได้บอกว่าความยึดมั่นไม่ใช่ตัวอวิชานะครับ
โดยนัยยะแล้ว ความยึดมั่นกับอวิชาก็เป็นตัวเดียวกัน
และอวิชายังเป็นสภาวะทุกสภาวะของวงปฏิจฯอีกด้วย

ผมถึงได้บอกว่าในวงปฏิจฯ ที่มีบัญญัติกำกับไว้แท้จริง
อวิชาไม่ใช่เป็นลักษณะเฉพาะหรือเป็นเอกเทศ แท้จริงมันเป็น
รอยต่อระหว่างภพชาติ
กับคำว่ารู้แจ้งแทงตลอดของคุณ มันก็คือการตัดภพชาติ
ไม่ให้เชื่อมต่อกัน ดังนั้นกล่าวได้ว่าประโยคทั้งหมดนี้เหมือนกันคือ
การรู้แจ้งแทงตลอด คือการตัดวงจรปฏิจฯ วงจรปฏิจฯก็คือวงจรแห่งการยึดมั่นถือมั่น
และการยึดมันถือมั่นก็คืออวิชาครับ

ปล.ดูความยึดมั่นหรือดูอวิชาต้องดูทั้งวง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ย. 2011, 05:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


FANTASIA เขียน:
:b1: แสดงว่าคุณจนปัญญาที่จะอธิบายในสิ่งที่ตนเข้าใจให้กระจ่างแจ้งได้แล้วใช่ไหมคะ
สภาวะที่ไม่มีวิชชาในปุถุชนนั้นไม่จริงเลยค่ะ
แม้ปุถุชนก็มีวิชชาอยู่อย่างบริบูรณ์เพียงแต่ถูกความหลงซึ่งมีมากกว่าปิดบังไว้
ทำให้ไม่สามารถเห็นวิชชาที่มีมาแต่เดิมแล้วได้ค่ะ

พระพุทธองค์ทรงสอนว่า ทุกอย่างล้วนมาแต่เหตุ
วิชชา หรือปัญญา เกิดมามีแล้วหรือ มันต้องรู้ความก่อน แล้วจึงมาศึกษาให้ดูแล้วนำไปปฏิบัติ
ในปุถุชนเริ่มแรกก็ทำทาน ศีลและภาวนาและต่อด้วยอริยสัจ4 และที่สำคัญในเรื่องมรรค
ดูให้ดีมันมีเหตุที่มาไม่ใช่อยู่ดีๆมันก็เกิดมาพร้อมตัวตนของทารก
FANTASIA เขียน:
: :b1: หากคุณเข้าใจไปว่าวิชชาไม่มีในปุถุชนแล้วลองอธิบายมาให้กระจ่างได้ไหมว่า.......
พระโพธิสัตว์ในสมัยที่ยังเป็นปุถุชนสามารถใช้ปัญญาในระดับของตนสร้างวิชชาที่ไม่มีในตนขึ้นมาได้อย่างไร
ส่วนปุถุชนที่ได้รับการถ่ายทอดคำสอนหรือวิชชาจากพระพุทธเจ้าแล้วจะสามารถเข้าใจในวิชชาที่ไม่มีในตนนั้นได้อย่างไร

ก่อนที่พระพุทธองค์จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ในช่วงเป็นพระโพธิสัตว์
ท่านก็บำเพ็ญเพียร ทาน ศีล ภาวนาครับนี่ก็การปฏิบัติให้ได้มาของปัญญาในเบื้องต้น
การปฏิบัติของท่านก็เหมือนกับการปฏิบัติของปุถุชนนั้นแหล่ะครับ เพียงแต่พระองค์ทำมา
นานกว่า ลองผิดลองถูกมากกว่า
ส่วนปุถุชนไม่ต้องค้นหาแบบพระโพธิสัตว์ เพียงปฏิบัติตาม

สิ่งที่พระโพธิสัตว์ใช้หาปัญญาที่ไม่มีในตนได้นั้น พระองค์ก็ต้องใช้
สิ่งที่มีในตนเป็นเหตุครับ นั้นก็คือกายที่เรียกว่าสมองในตอนแรกเพื่อทำให้เกิดสติครับ
ตัวสติธรรมดาๆนี้แหล่ะครับมันมีมาแต่เดิมของมนุษย์

FANTASIA เขียน:
: :b1: และวิชชาที่ไม่เคยมีมาก่อนนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร
เมื่อวิชชาเพิ่งมีการเกิดขึ้นแล้วย่อมแสดงว่าวิชชานั้นอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ใช่หรือไม่
ถ้าวิชชานั้นอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอนใช่หรือไม่
ถ้าวิชชานั้นไม่เที่ยงแท้แน่นอนเมื่อเกิดขึ้นแล้วย่อมเสื่อมและดับไปในที่สุดใช่หรือไม่
ถ้าวิชชานั้นอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ย่อมไม่มีใครสามารถรักษาวิชชานั้นเอาไว้ตลอดไปได้ใช่หรือไม่
ถ้าวิชชานั้นดับไปแล้วผู้ที่บรรลุอรหันต์ก็ไม่อาจรักษาวิชชานั้นเอาไว้ได้ย่อมต้องกลับมาเป็นปุถุชนตามเดิมใช่หรือไม่^^

ผมจะสรุปสั้นให้ฟังครับ เรื่องนิพพานนี่นะ เรื่องอรหันต์ เรื่องนิพพานมันเป็นเรื่อง
ของทิฐิของแต่ละบุคคล ถ้าทิฐิของคนที่เอามาเปรียบกันถ้าแตกต่างกันในเรื่องนิพพาน
ทุกสิ่งที่คุณถามมามันก็แตกต่างกันหมด
เอางี้ครับ ก็ตามที่ผมเคยบอกคุณแฟนหรือกับคุณฮานะไปนั้นแหล่ะครับว่า
ตัวรู้หรือพุทโธของผมมันเกิดดับ แล้วคุณก็เอาไปเปรียบเทียบกับอรหันต์ดูครับ

แนะนำครับที่บอกรักษาได้หรือไม่ได้ คุณจะไปรักษาทำไมครับ
ไหนเมื่อมันเกิดดับ ถ้ายังมีรูปนามอยู่มันไปแล้วก็มา มันมาแล้วก็ไปครับ

FANTASIA เขียน:
:
:b1: ถ้าอุปาทานคือความหลงแล้วอวิชชาก็ไม่มีอะไรตามที่คุณเข้าใจ
ลองอธิบายมาให้กระจ่างได้ไหมว่าความยึดมั่นถือมั่นใน คห.ของคุณนั้นจัดอยู่ในส่วนไหนของวงจรปฏิจสมุปบาท


:b1: และถ้าคุณเข้าใจว่าความยึดมั่นถือมั่นที่ควบคุมวงจรปฏิจสมุปบาทอยู่นอกเหนือจากวงจรนั้นออกไปอีก
คุณจะอธิบายให้กระจ่างได้หรือไม่ว่าการดับวงจรปฏิจสมุปบาทจะสามารถดับความยึดมั่นถือมั่นที่อยู่นอกเหนือจากวงจรนั้นจริงๆได้อย่างไร^^

ในส่วนที่คุณอ้างอิงนี้อธิบายหมดแล้วครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ย. 2011, 06:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


FANTASIA เขียน:
โฮฮับ เขียน:
FANTASIA เขียน:
โฮฮับ เขียน:
FANTASIA เขียน:
:b1: ดิฉันจะบอกให้ว่าอวิชชาความหลง กับ ความลุ่มหลงนั้นต่างกันลิบลับค่ะ
ความลุ่มหลงหรือจะเรียกอีอย่างว่าความยึดมั่นถือมั่นก็ได้นั่นก็คืออุปาทานนั่นเอง
ความลุ่มหลงนี้มันมีขึ้นเพราะมีตัณหาความอยากเป็นปัจจัยจึงเกิดเป็นความลุ่มหลงตามตัณหานั้นขึ้นมาดังนี้ค่ะ

คห.ของคุณแสดงว่ายังอ่อนหัดมาก หากเข้าใจได้แค่ความยึดมั่นถือมั่นและยังติดตังอยู่เพียงเท่านี้
อีกไกลกว่าจะไล่ความเข้าใจไปถึง ตัณหา เวทนา ผัสสะ สฬายตนะ นามรูป วิญญาณ สังขาร และ อวิชชา จนสุดกระบวนการฝ่ายดับแห่งวงจรปฏิจสมุปบาทได้นะคะ

ถ้าไปได้เรื่อยเปื่อยแบบนี้ มันก็เอวังนะซิครับ
ตอบแบบนี้อาจารย์แม่สุนี อาจารย์ป้ากาญจนณา อายเลยครับ


:b1: หากทั้งสองท่านยังมียางเหนียวเช่นนั้นอยู่มันก็มีเหตุปัจจัยให้ออกมาได้ค่ะ
ตามกฎอิทัปปัจยตา คุณลืมไปแล้วหรืออย่างไรคะ ^^

ความหมายของมันคือ
ถ้าเป็นดราม่า คุณพูดจาเฉไฉครับ
แนวแอคชั่น แถจริงๆนะแก
แนวคอมมานดี แม่ ปลาไหล


:b1: หมายความว่าเวลานี้คุณหลงตามอารมณ์ไปจนไม่สามารถน้อมนำธรรมะมาอธิบายได้แล้วใช่ไหมละคะ ^^

เห็นได้หรือยังคะว่าอารมณ์ของคุณเกิดขึ้นแล้วเพราะความหลงทำให้คุณไหลไปยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์เหล่านั้นจนไม่สามารถนำวิชชามาใช้ทำลายมันได้ ในที่สุดคุณก็ต้องทุกข์เพราความหลงของคุณนั่นเอง

ประเด็นมันอยู่ตรง ที่ผมบอกว่า "หลง" แต่คุณบอกว่า"ไม่ใช่ค่ะ มันเป็นความลุ่มหลง"
ผมเลยมาสรุปให้ฟังว่า...คุณพูดจาเฉไฉหรือคุณเป็นแม่ปลาไหล สรุปอีกครั้งก็คือ
"ไม่ต้องมาแถ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ย. 2011, 06:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


FANTASIA เขียน:
โฮฮับ เขียน:
FANTASIA เขียน:
[ :b1: ขอประทานโทษนะคะ
คุณเข้าใจว่าอย่างนั้นแต่ที่ท่านพระอาจารย์มั่นอธิบายไว้ว่าอย่างนี้ค่ะ :

คุณจะบอกว่า หลวงปู่กล่าวอะไรมันเรื่องของคุณครับ
ผมไม่กล้าแสดงความเห็นที่เป็นธรรมของหลวงปู่ครับ

แต่ถ้าเป็นธรรมของ ท่านขำว่ะ ก็พอไหว แต่ฉากหนังเอ็กไม่เอาน่ะ


:b1: หากคุณมั่นใจว่าความเข้าใจในธรรมของคุณถึงที่สุดแล้วก็ขอให้แสดงมาเถอะค่ะ
บอกแล้วว่าองค์ท่านก็เคารพในพระธรรม พระพุทธองค์ก็ทรงเคารพในพระธรรมเช่นกัน
ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัวเลยค่ะ นอกจากว่าคุณยังไม่แน่ใจในความเข้าใจของตนเองว่าเป็นของแท้ใช่หรือไม่

นั้นมันเรื่องของคุณเพียงคนเดียวครับ ยังมีลูกศิษย์ลูกหาอีกมากมายครับ
และที่สำคัญ ผมไม่ได้กำลังสนทนากับท่านครับ ผมกำลังสนทนากับคุณอยู่
ปัญหาก็คือถ้าคุณเอาธรรมของหลวงปู่มาตีความผิดๆ ใครจะรับผิดชอบหลวงปู่
และเหล่าบรรดาลูกศิษย์ครับ ที่สำคัญใครจะรับผิดชอบตัวผมครับ
FANTASIA เขียน:
[ :b1: ส่วนฉากหนังเอ็กนั้น หากคุณมีความเข้าใจในธรรมแล้วย่อมมองเห็นเป็นธรรมได้โดยไม่สะดุ้งสะเทือน
ดังเช่นพระพุทธองค์เมื่อถูกยั่วยวนโดยนางราคะ ตัณหา อรดี นั่นเอง
:b16: แต่เห็นได้ชัดว่าแค่กระทบกับตัวหนังสือเล่าเรื่องเสียวเท่านั้นคุณก็ทนไม่ไหวซะแล้ว

มันคนล่ะเรื่องครับ เหมือนกับที่เคยบอกไว้ว่า ไม่รู้จักกาละเทศะครับ
เอาแต่ได้ครับถึงได้โพสธรรมนอกเรื่องแล้วบอกเป็นการกระชากอัตตา

มันก็เหมือนผมบอกว่า มียายผู้หญิงสูงอายูสองคนนุ่งขาวห่มขาวกำลังไปทำบุญ
ทำสังฆทานที่วัด ผมถามไปว่า ในสังฆทานมีอะไรบ้าง
คุณเล่นเขามา บอกว่ายายสองคนกำลังเสพเมถุนกัน แบบนี้หรือการกระชากอัตตา
แบบนี้มันกิริยาของคนบ้า ซิฟิลิสหรืออิสทีเรียขึ้นสมองครับ

เอ่อถ้าว่าผมแต่งขาวนุ่งขาวเดินจงกรมอยู่ แล้วมาพูดลามก
แบบที่คุณพูค่อยว่าไปอย่าง กาละเทศะมันเป็ธรรมที่สำคัญนะครับ
ถ้าไม่รู้จักสิ่งที่แสดงออกมามันก็เป็นกิเลสฝ่ายอกุศลครับ

และจะบอกให้อาการที่โดนกระชากอัตตาที่เห็น คือ การถกกันอยู่ในกระทู้ แต่มีคนหนึ่งทนไม่ได้
ไปตั้งกระทู้ฟ้องแอดมินอีกห้อง นั้นแหล่ะครับอัตตาโดนกระชากอย่างแรง จนมันหลุดลอย
ไปหาหลักยึดใหม่ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ย. 2011, 06:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


FANTASIA เขียน:
[ :b1: ดิฉันถือว่าคุณยอมรับแล้วนะคะ ^^

ยอมรับอะไรของคุณ ไอ้นี้มันลักษณะ3คนยลตามช่อง
คุยเรื่องของคุณจางบางแต่ดันมาสรุปที่ผม ผมว่าคุณสับสน
ประสาทส่วนปลายแล้วล่ะ[/quote]

:b1: ขอประทานโทษนะคะ

ดิฉันสนทนาธรรมเรื่องปฏิจสมุปบาทกันอยู่ค่ะ
ไม่ได้มาคุยเรื่องของคุณจางบางฯ ตามที่คุณเข้าใจผิดคิดไปเองหรอกนะคะ

หากว่าคุณต้องการคุยเรื่องของคุณจางบางก็ไปเปิดห้องสนทนากันที่อื่นเถิดนะคะ
ขอให้ยอมรับเสียทีเถิดว่าห้องนี้เป็นที่สำหรับสนทนาธรรมค่ะ ไม่ได้เอาไว้แสวงหาความพึงพอใจในเรื่องส่วนตัวกันนะคะ ^^[/quote]
เอาอีกแล้วฟังไม่ได้ศัพยืจับไปกระเดียด ที่ผมว่าไปมันก็ในกระทู้นี้แหล่ะ
แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวด้วย

เรื่องสามคนยลตามช่องก็คือ การอธิบายความเรื่องอวิชา
เราสามคนกำลังอธิบายความเรื่องอวิชาอยู่ ซึ่งความเห็นของแต่ละคน
ย่อมแตกต่างกัน

ผมเตือนในประเด็นที่ว่า ต้องแยกกันระหว่างความเห็นของใครของมัน
ไม่งั้นมันจะมั่ว แล้วมันก็มั่วจริงๆกับการที่คุณเอาเรื่องรู้แจ้งแทงตลอดมาใช้กับผม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ย. 2011, 07:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


FANTASIA เขียน:
:b1: ในเมื่อพระพุทธเจ้าทรงรู้แจ้งแทงตลอดแล้วว่าอวิชชาเป็นความหลงมีอยู่ในวงจรปฏิจสมุปบาท
และทรงนำธรรมนั้นมาเผยแพร่สั่งสอนแล้วแต่คุณก็ยังไม่เชื่อพระองค์ว่าอวิชชาคือความหลงนั้นมีอยู่

แสดงว่าตอนนี้คุณก็ยังไม่ยอมรับในพระปัญญาของพระพุทธองค์ แถมคุณยังไม่ยอมรับในความเข้าใจของพระอรหันต์อย่างหลวงปู่มั่นด้วย

เพราะว่าจนบัดนี้คุณก็ยังหลงยึดมั่นในความเข้าใจของตนอยู่ทั้งที่ไม่อาจลงกันได้กับคำสอนของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์เลยแม้แต่ข้อเดียว

แค่นี้คุณยังสับสนเลยครับ ที่ว่าไม่เชื่อนั้นน่ะ ใช่ครับไม่เชื่อ
แต่ไม่ใช่พระพุทธเจ้า ผมไม่เชื่อคุณต่างหาก คำพูดของคุณที่พูดกับผม
มันเป็นคุณพูดในลักษณะการอ้าง ผมไม่ได้พูดกับพระพุทธเจ้าโดยตรงครับ

ถ้าผมจะเอาสิ่งที่คุณทำที่เกี่ยวกับการกระชากอัตตา
ผมก็บอกได้เลยว่า อัตตาคุณโดนผมกระชากแค่เบาๆ
มันก็ลอยกะเซอะกะเซิง จนคิดว่าตัวเองเป็นพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ไปซะแล้ว

นี่ผมออกตัวไม่แสดงความเห็นเกี่ยวกับหลวงปู่ คุณยังใส่ความใส่ไฟตั้งแต่
ยังไม่มีมูล ถ้าผมเผลอไปแสดงความเห็นจะไม่ถูกคุณ เล่นดราม่าไปนั่งร้องไห้
บีบน้ำตาออดอ้อนแอดมินอีกหรือ

มันอะไรกันว้า นิสัยไม่เปลี่ยน ความคิดตัวเอง ความเห็นก็ตัวเอง
พอคนไม่เห็นด้วย ดันอ้างอรหันต์อ้างพระพุทธเจ้า มันไม่ทารกไปหน่อยหรือ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ย. 2011, 07:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


FANTASIA เขียน:
[ :b1: หากว่าคุณยังมั่นใจอยู่ว่าความเข้าใจขอคุณนั้นเป็นธรรมแท้แน่จริงแล้วก็ขอให้แสดงมาเถิดว่า.........

สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงและหลวงปู่มั่นท่านได้อธิบายไว้นั้นยังขาดตกบกพร่องอย่างไร

^^

ขอเน้นตัวใหญ่หน่อยเถอะเห็นว่า กำลังหลงอุปาทานอย่างแรง

มันเป็นคุณที่ขาดตกบกพร่อง ไม่ใช่หลวงปู่หรือพระพุทธเจ้า
แล้วอะไรที่ขาดตกบกพร่อง ก็คือขาดตกบกพร่องในด้านการพิจารณาธรรม
นี้เป็นการตกบกพร่องในด้านปัญญา

และที่ขาดตกบกพร่องในด้านจิตก็คือ การเอาหลวงปู่และพระพุทธเจ้ามาอ้าง
ให้เกิดความเสียหาย
ผมขอให้ฉายาคุณแฟนตาเซียครับว่าเป็น "มารเสี้ยม"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 207 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 10, 11, 12, 13, 14

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร