ใช่สัญญาเป็นต้นเหตุแห่งปัญญา
ถ้าสัญญาสะสมอกุศล ปัญญาที่ได้เรียกว่าปัญญาอะไรครับ
ถ้าสัญญาสะสมกุศล ปัญญาที่ได้เรียกว่าปัญญาอะไรครับ
ถ้าสัญญาสะสมความรู้ เรียกว่าปัญญาอะไร
การคิดหาเหตุหาผล การวิเคราะห์ คือ ปัญญา (ปัญญาทางโลก และวิชาการเท่านั้น) หรือ จินตมยปัญญา
ดับเหตุแห่งทุกข์ไม่ได้

แล้วปัญญาที่ใช้ดับเหตุแห่งทุกข์มาจากไหน.............................................................ก็มาจากการรู้เห็นสภาพธรรมชาติตามความเป็นจริง ไม่เที่ยง เกิด ดับ นี่แหละเรียกว่ามีปัญญาเห็นธรรม สามารถดับเหตุแห่งทุกทั้งปวงได้ หรือ "ภาวนามยปัญญา"

สัญญา ที่จำได้มากเหมือนพระโปฐิละ ก็ยังเรียก "สุตมยปัญญา" นั่นเอง

สัญญา ไม่มีหน้าที่ สะสมบุญสะสมบาป หรือ สะสมกุศลอกุศล
ผู้ทำหน้าที่นี้คือ "จิต"

จินตามยปัญญา กับ ภาวนามยปัญญา นั่นคุณเข้าใจถูกต้องแล้ว

ใช่ครับสัญญาไม่ใช่ทำหน้าที่สะสมบุญ บาป แต่ทำหน้าที่บันทึกความรู้ และ ความไม่รู้
จิตเป็นตัวทำให้เกิด ความพอใจ ไม่พอใจ บุญ บาป อกุศล และกุศล
จิต คือ (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ประกอบกัน
ความรู้ และ ความไม่รู้ มันจะอยู่ในสัญญาใช่หรือไม่
แล้วเราจะทำให้สัญญาของเราบันทึกความรู้ความเป็นจริงของธรรมชาติ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป มาทดแทนความไม่รู้ หรืออวิชชาในสัญญาได้อย่างไร คุณทราบวิธีหรือไม่ ถ้าทราบช่วยแนะวิธีการปฏิบัติด้วย

ตา + รูป > รับรู้ > จำ > ปรุงแต่ง > รู้สึก คุณคิดว่าจะใส่คความรู้ไว้ตรงตำแหน่งไหน

ผมว่าคุณตั้งกระทู้ใหม่ดีกว่านะครับ เกรงใจเจ้าของกระทู้แย่แล้วอ่ะ
เผื่อท่านอื่นจะได้ร่วมแสดงความคิดเห็น จะได้มีความคิดเห็นอันหลากหลาย

ด้วยความยินดีค่ะ เชิญตามอัธยาศัย..ขอบพระคุณมากค่ะ

พุดโธ่! คุณเจ้าของกระทู้ คุณนี่ล่ะก็ใสซื่อจริงๆครับ
ผมว่าปานนี้คุณ วิริยะ คงทำปากหมุมมิบๆ ใส่คุณแล้วล่ะครับ

จะอธิบายความให้ฟังครับ จะได้รู้ทันคนมากกว่านี้ครับ
คำพูดของคุณวิริยะ ที่ต้องบอกไปอย่างนั้น เพราะแกไปไม่ถูกแล้ว
เลยต้องแสร้งแบบไปไหนมาสามวาสองศอก
ที่ภาษาบอร์ดการเมืองเขาเรียกว่า ดริ๊ฟนั้นไงครับ

อีโมตัวนี้ให้คุณภูเขาทะเลครับ เพราะ น่ารักใสซื่อครับ

ส่วนตัวนี่ให้คุณวิริยะครับ

ตัวนี้ให้คุณไม่เทียง

จิตใต้สำนึก....คืออวิชชาทั้งหมด
เหนือสำนึก...จึงเป็น..วิชชา

บางคนเกิดปฏิภาคนิมิต...ก็นำปฏิภาคนิมิต(เกิดขึ้น..ตั้งอยู่..ดับไป)นั้นแหละมาอบรมตน

บางคนไม่เกิดปฏิภาคนิมิต..ก็ต้องกำหนดรู้(การเกิดขึ้น..ตั้งอยู่..ดับไป)ขึ้นมาอบรมตน

จะเป็นแบบไหน...ก็ขึ้นอยู่กับ...ทางบุญของแต่ละคน

บางอย่าง...ก็เกิดขึ้นมาเองตามบุญ...(คงเคยทำมา)

หากยังไม่เคยทำมา...ก็ให้ทำซะตอนนี้...คือ..กำหนดรู้...(ใช้สัญญาเพื่อให้เกิดปัญญา.)

เพียงแต่อย่าหลงว่า...กำหนดรู้..(สัญญา)...เป็นปัญญาเสียเอง..เท่านั้น

เห็นมันเป็นขันธ์..ก็อย่าไปตั้งแง่รังเกียจ..มันเลย

ตลกแต่มันฝืดนะจ๊ะ กบเชิญยิ้ม กะลาชวนชื่น แหะๆ
หนึ่งบวกหนึ่งเป็นเท่าไรจ๊ะกะลา กะลาตอบว่า....
สะ สะ สะ.......สี่ เอาฮา!

กะลาบ้านของเธออยู่ที่ไหนจ๊ะ กะลาตอบว่าอยู่บนโลกคร้าบ เอาเฮ!

จิตใต้สำนึก ในทางธรรมหรือปรมัตถ์เขาเรียกว่า อนุสัย

หรือจะพูดให้เข้าใจขึ้นไปอีกก็คือ สิ่งที่จิตไปรับรู้มา
และเก็บไว้เป็นสัญญาโดยหลงลืมไปว่า มีสภาวะส่วนนี้อยู่

และไอ้จิตเหนือสำนึกมันไม่มีหรอก มันเป็นเพราะอยากเอาเท่เอามันส์
เลยหยิบเอาบัญญัติมาเล่น แบบนี้ทำให้พระของพระพุทธเจ้าเสียหาย
คล้ายกับเอาปัญญาของพุทธองค์มาเล่น อย่างนี้ชาวบ้านเรียกว่า..
ไอ้คนไม่มีสามัญสำนึกครับ
การตีความพระธรรมเป็นการเผยแผร่พระธรรมครับ
แต่ประเภท เอาพระธรรมของพระพุทธมาเล่นคำ ตีสำบัดสำนวนปรัชญาโวหาร
ยิ่งเป็นคำกลอนแล้วล่ะก็ยิ่งหนักไปใหญ่ เหล่านี้ล้วนเป็นการเอาปัญญาของ
พระพุทธองค์มาเล่น มันเป็นปมเขื่องที่คุณ"น้ำเน่า"แกโพสนั้นแหล่ะครับ

กำลังค้นหาตัวตนที่แท้จริงอยู่แต่ดูเหมือนยิ่งค้นหาเท่าไหร่ก็ยิ่งสับสนกับตัวเอง

ก็จะไม่สับสนได้ยังไงล่ะ พอมีคนแนะนำก็ไปเถียงเขาตะพึดตะพือ พอมีคนแสดงความเห็นอะไรถ้าเป็นความเห็นที่ไม่ถูกจริต ไม่โดนใจคุณ ก็ไปแขวะเขาตะพึดตะพืออีก เมื่อไม่ยอมฟัง ไม่ยอมรับคนอื่น แล้วจะรู้จักตนเองได้ยังไง แล้วจะหายงงได้ไง ถ้าไม่รู้จักฟัง ไม่รู้จักพิจารณา จิงป่ะ คิกๆๆ

ฮาเบ่อเร่อ หุยยยยย ฮาาาาาา นะจ๊ะตะเองงงง

มันเป็นปมเขื่องที่คุณ"น้ำเน่า"แกโพสนั้นแหล่ะครับ

หมายความว่าอย่างไรคุณโฮฮับ..ใคร?"น้ำเน่า"
http://dungtrin.com/index.php?option=co ... link&id=69