วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 05:02  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2022, 09:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


#ถ้าไม่เข้าทางถอยเลย
.
เขาจะว่าดีเท่าไหร่ก็แล้วแต่ ถ้าออกจากธรรมคำสอนมันไม่ใช่หรอก ใครจะโปรโมทดีแค่ไหนก็แล้วแต่ อย่าไปเชื่อนะ อย่าไปเชื่อง่าย ไปดูเสียก่อน มันเข้าทางมั้ย ถ้าไม่เข้าทางถอยเลย ถ้าเข้าทางค่อยเข้าไป ค่อยยกเป็นแบบอย่างเยี่ยงอย่างให้แก่เรา ความดีจึงค่อยเกิดขึ้นแก่เรา อานิสงส์เกิดขึ้นแก่เรา

ให้พากันคิด อย่าสะเปะสะปะไปทั่ว วัดวาอาราม บางที่รกรุงรัง กุฏิวิหารมะเละเกะกะไม่รู้อะไรไม่รู้จักเก็บจักจัด นี่เรียกว่าใช้ไม่ได้ เรียกว่าไม่มีธรรมไม่มีวินัย ปล่อยเลอะเทอะไปหมด แต่เวลาเทศน์นี้ โอ๊ย เทศน์ถึงพระนิพพาน นั่นแหละ ให้เรารู้จักอันไหนธรรม ถ้าไม่รู้จักก็ให้ศึกษากับครูบาอาจารย์เสียก่อน

#พระเทพวัชรญาณเวที
หลวงพ่อสมบูรณ์ กนฺตสีโล







#เราจะบวชหรือไม่บวชก็ไม่เป็นปัญหา

เพราะครั้งพุทธกาล ฆราวาสมีพระโสดาบันก็ดีที่เป็นเพศหญิงและชายที่อยู่ในฆราวาส พระสกทาคามีก็ดี พระอนาคามีก็ดีมีมากจนนับไม่ไหวเสียแล้ว ไม่สำคัญกับเพศเลย และไม่สำคัญกับชั้นวรรณะอีกด้วย

แม้ฆราวาสเป็นพระอรหันต์ก็มีอยู่ถมไป เช่น
พระสุทโธทนะ หรือ พระพาหิยะ เป็นต้น การดูแลเลี้ยงบิดามารดากับดูแลเลี้ยงพระอรหันต์ก็มีอานิสงส์เท่ากันพระบรมศาสดายืนยันไว้แล้ว ในพระวินัยของพระภิกษุสงฆ์

เราจะทิ้งวิชาที่เราเรียนอยู่เดี๋ยวนี้ หลวงปู่ไม่เห็นดีด้วย เพราะวิชาเหล่านี้ ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เป็นสุวิชาแล้ว คือเป็นวิชาดีไม่ใช่ทุวิชาคือวิชาชั่ว

เราจะปฏิบัติควบกับศีลธรรมของเราได้ทั้งนั้น และขอให้เข้าใจว่าพระโสดาบันก็ดี พระสกทาคามาก็ดี พระอนาคามีก็ดี ครองฆราวาสได้ทั้งนั้น เว้นพระอรหันต์เสีย

เมื่อเป็นอรหันต์ในฆราวาสแล้วจะอยู่ได้เพียง 7 วันเท่านั้น เพราะไม่สมฐานะพระอรหันต์จะไปอยู่นาน เพราะเพศเป็นฆราวาส ถ้าหากว่าเป็นเพศภิกษุสามเณรแล้วอยู่ไปได้จนสิ้นอายุขัย ข้อนี้ตอบตามปริยัติ

ส่วนฝ่ายปฏิบัติบางองค์ท่านยืนยันว่าเมื่อสำเร็จพระอรหันต์เป็นฆราวาสแล้วอยู่ไปจนสิ้นอายุขัยก็ได้ แต่ก็ขอให้พิจารณาเอาเองเถิดในข้อนี้

หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
วัดภูจ้อก้อ อ.หนองสูง จ.มุกดาหาร







...” ต้องดูใจเป็นหลัก “..ใจนี่แหละ
เป็นสนามรบของธรรมของกิเลส
ใจเป็นที่ตั้งของความสุขและความทุกข์

.ถ้าธรรมมีกำลังมากกว่ากิเลส
ความสงบ ความสุขก็จะเกิดขึ้น
ถ้ากิเลสมีอำนาจมากกว่าธรรม
ความรุ่มร้อน ฟุ้งซ่าน
กระวนกระวายใจ ก็จะเกิดขึ้น .
……………………………………………
.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
กำลังใจ ๔๘ กัณฑ์ที่ ๔๐๘
๓๑ มกราคม ๒๕๕๓






หลวงปู่...สมเฮาแจกเหรียญไปนี่ มันสิทั่วประเทศไทยแล้วได๋ ท่วมหัวประเทศไทยแล้ว มีแต่อยากได้หลายๆ บ่มีไผว่าพอจักเถื่อ
ลูกศิษย์....เพิ่นว่าของดีกะอยากได้หลายๆครับผม
หลวงปู่....เอาไปแขวนให้มันหนักคอ ให้มันได้หยังหือ
ลูกศิษย์....เอาไปแขวนคอ กะเอาไว้ระลึกถึงครูบาอาจารย์ ระลึกถึงธรรมะที่ท่านสอน นำมาปฏิบัติอบรมเจ้าของ บ่แขวนให้มันหนักคอสื่อๆดอกครับผม
หลวงปู่....ให้มันสมกับเป็นจารย์น้อ
ลูกศิษย์....ให้สมกับเป็นจารย์ สมกับเป็นศิษย์หลวงปู่ครับ มันจังสิบ่ขายหน้าพ่อแม่ครูบาอาจารย์
หลวงปู่....เฮาบ่มีหน้าหยังดอก ให้ยกถวายพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พุ่น ให้พากันมีแก้ว​ ๓​ ประการในจิตในใจ คือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง จะมีแต่ความเบาอกเบาใจ มีบาปเป็นที่พึ่งจะมีแต่ความหนักอกหนักใจนะ

หลวงปู่แสง​ ญาณ​วโร







อวิชชาตัณหาอุปาทาน ความไม่รู้ในความอยากและความยึด เมื่อรู้เท่าทันตัณหาอุปาทาน ปราศจากความรู้สึกที่เคยมีเคยเป็น ไม่ยินดียินร้ายต่อโลกธรรมอีกต่อไป ไม่มีความรู้สึก นึกคิดในความมีความเป็น นี้แลชื่อว่า
"อนุปาทาปรินิพพาน"

เมื่อนึกถึงอดีตกาลก่อนที่ผ่านมา..อันความรู้ที่เคยตกอยู่ใต้ตัณหา เราเรียกสิ่งที่ผ่านมานั้นว่า "อุปทาน"

#หลวงพ่อมานพ #พุทธครุโต






#หลวงพ่อเกษม #เขมโก

การเห็นเป็นเหตุแห่งการคิด
การคิดเป็นเหตุแห่งการเห็น
ถ้าคิดดี ก็เป็นทางเย็น
หากคิดไม่เป็นก็เย็นสบาย

พระราชปฏิภาณโกศล" (จินฺตามโย) แห่งวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ได้กรุณาวินิจฉัยคติธรรมขององค์หลวงพ่อเกษม เขมโกไว้ดังนี้..

#การเห็นเป็นเหตุแห่งการคิด

หมายถึง..เมื่อเห็นเป็นเหตุให้เกิดการปรุงแต่ง พึงสำรวมตา

#การคิดเป็นเหตุแห่งการเห็น

หมายถึง..การพิจารณาด้วยความละเอียดถี่ถ้วนรอบคอบ ทำให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง

#ถ้าคิดดีก็เป็นทางเย็น

หมายถึง.. เมื่อคิดดีย่อมเป็นบุญ พึงทำให้มาก

#หากคิดไม่เป็นก็เย็นสบาย

หมายถึง..ถ้าไม่คิดปรุงแต่ง ก็เย็นเป็นนิพพาน

หลวงพ่อเกษม เขมโก








#หลวงปู่ดุลย์ #อตุโล

เมตตาเล่าว่า ครั้งหนึ่ง มีพวกสาธุชนปัญญาชนกลุ่มหนึ่งมาสนทนาธรรมด้วย และถามท่านว่า"วัตถุมงคลมีความศักดิ์สิทธิ์จริงหรือ หลวงปู่จึงได้สร้าง หรืออนุญาตให้สร้างเหรียญขึ้น?

หลวงปู่จึงวิสัชชนาว่า

"พวกท่านทั้งหลายแสดงความสนใจในการบำเพ็ญภาวนา ก็พากันบำเพ็ญภาวนาไป ไม่ต้องไปห่วงไปสนใจกับวัตถุมงคลอันเป็นของภายนอกนี้

แต่สำหรับผู้มีจิตใจเพลิดเพลินอยู่ ยังยินดีในการเกิดตายในวัฏฏสงสาร ยังไม่สามารถหันมาสู่การปฏิบัติธรรมได้ ก็ให้อาศัยวัตถุภายนอกเช่นวัตถุมงคลเช่นนี้เป็นที่พึ่งไปก่อน อย่าไปตำหนิติเตียนอะไรเลย

ครั้นเขาเหล่านั้นประสบเหตุเภทภัยมีอันตรายแก่ตน และเกิดแคล้วคลาดด้วยคุณแห่งพระรัตนตรัยก็ดี โดยบังเอิญก็ดี ก็จะเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาได้ในภายหลัง ซึ่งก็จะเป็นเหตุให้เจริญงอกงามในทางที่ถูกต้องได้เอง

สำหรับผู้ที่มีศรัทธามากแล้ว ชอบการบำเพ็ญภาวนาจิตใจในธรรมปฏิบัติอันยิ่งๆ ขึ้นไป ในเรื่องวัตถุมงคลนี้ หลวงปู่จะบอกตามสัจจธรรมว่า ไม่มีอะไร เป็นเพียงช่วยด้านกำลังใจเท่านั้น”

หลวงปู่มักกล่าวว่า "เอาไปทำไม ของที่เป็นภาระต้องเอาใจใส่ดูแล ของที่ต้องทิ้งเสียในภายหลัง“

แล้วท่านก็สอนเป็นปริศนาธรรมว่า "จงเอาสิ่งที่เอาได้ จงอย่าเอาสิ่งที่เอาไม่ได้“

ถ้ามองในแง่ของปุถุชนสามัญธรรมดาแล้ว ความศักดิ์สิทธิ์แห่งคุณพระรัตนตรัยย่อมมีปรากฏเป็นอัศจรรย์ได้ ดังเช่นพระพุทธานุภาพแห่งพระบรมศาสดา ที่ได้ทรงแสดงแก่เหล่าเดียรถีย์นอกศาสนา

ดังนั้น ความอัศจรรย์ของอานุภาพแห่งคุณพระรัตนตรัยจะบังเกิดคุณประโยชน์อย่างไร ขอท่านทั้งหลายพิจารณาถือเอาตามสมควรแก่ตนเทอญ

หลวงปู่ดุลย์ อตุโล


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 29 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร