วันเวลาปัจจุบัน 04 ธ.ค. 2024, 21:29  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ต.ค. 2024, 05:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5191


 ข้อมูลส่วนตัว


ปฏิบัติให้เป็นวงกลม

ที่เราเรียกว่าเราเลิกจากสมาธิ...มันไม่เลิก เป็นคำพูดโดยปริยาย ความเป็นจริง...ความรู้สึกนึกคิดของเรานั้นน่ะ ความรู้สึกของเราในการกระทำเพียรนั้นมันยังติดต่อกันอยู่ เมื่อติดต่อกันอยู่เมื่อไร “สติ” ก็ยังมีอยู่ เมื่อสติมันมีอยู่ “สมาธิ” มันก็ยังมีอยู่ ประสบกับทุกข์เราก็รู้จัก ประสบสุขเราก็รู้จัก พอประสบอารมณ์ทุกข์ก็นำอารมณ์นั้นกลับมาบ้าน พอจิตของเรากระทบอารมณ์ รู้สึกมีอารมณ์แล้วนะ มันก็กลับมาสู่ที่ของมัน อยู่กับที่นั่นแหละ เมื่อมีอารมณ์มากระทบอีกก็รู้อีก เมื่อรู้แล้วมันก็จัด “สมาธิ” ของมัน อยู่ในความสงบอย่างนี้ตลอดวัน ตลอดกลางวันกลางคืน มันจะเป็นอยู่อย่างนี้ ทำไมมันจะไม่เกิดปัญญาล่ะ...มันก็เกิดสิ

อาตมาเชื่อแน่ว่าคนเราปฏิบัติ ๑ พรรษา ๒ พรรษานี้ การปฏิบัติอย่างแท้จริงอาจจะไม่ถึง ๑๕ วันเลย อยู่ไป ๒ พรรษา ๓ พรรษา…อยู่ไปอย่างนั้นแหละ แต่การปฏิบัติจริง ๆ อาจไม่ถึง ๑๕ วันเลยมั้ง มันขาด...มันจะไม่ติดต่อ อาการของจิตที่มันติดต่อกันอย่างนี้ ปีหนึ่งจะมีกี่วันล่ะ ถ้าเราไม่รู้จักอันนี้ โดยมากออกจากสมาธิแล้วนึกว่าออก...ก็ออกเลย จิตมันก็ไม่ติดต่อกัน มันไม่เกิดเป็นวงกลม

...พระอาจารย์มั่นท่านพูดให้ฟังว่า “ขณะปฏิบัตินั้นจะต้องให้เป็นวงกลมนะท่านนะ” ...การภาวนาที่ท่านว่าให้เป็นวงกลมนั้นน่ะ คือให้มี “สติ” ติดต่อกันไม่มีเสร็จสักทีเลย คนเราหากว่าขาดสติแล้วก็เป็นบ้าเลย ขาดสติ ๕ นาที ก็เป็นบ้า ๕ นาที เอ้า!…ลองดูซิ ผู้มีสติคืนมานั้นจะหายบ้า เมื่อใครไม่มีสติควบคุมอยู่จะเป็นบ้าเลย ขาดไป ๑ ชั่วโมงหรือ ๒ วัน ๓ วัน...ก็เป็นบ้า๑ ชั่วโมงหรือ ๒ วัน ๓ วันทั้งนั้นแหละ “สติ” นี้เป็นของสำคัญมากกว่าเขามากที่สุดล่ะ

ดังนั้นอาตมาพิจารณาว่า การภาวนาเป็นวงกลมนี้ลึกซึ้งที่สุดที่พระอาจารย์มั่นท่านสอน แต่คนเราก็ไม่ฉลาด ไม่มีปัญญาถึงขนาดนั้น เมื่อเราเข้าใจในธรรมะของท่านข้อเดียว “มันเป็นวงกลม” วงกลมมันจะจบตรงไหนล่ะ มันติดต่อกันทั้งนั้นแหละ…

...มีความรู้สึกว่ามันเป็นวงกลม ไม่หลงอารมณ์...ถ้าไม่หลงอารมณ์มันก็ต้องรู้อารมณ์ ถ้าเราไม่รู้อารมณ์...เราก็หลงอารมณ์ ถ้าเราเป็นวงกลมอยู่แล้วน่ะ...มันก็รู้อารมณ์ เมื่อรู้อารมณ์มันก็ไม่หลงอารมณ์ในเวลานั้นเราอยู่ด้วย “สติสัมปชัญญะ” ตลอดกาล ตลอดเวลา

พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท)
รวมธรรมอุปมา






#ธรรมะ_๘๔๐๐๐_รวมแล้วได้แก่..!!

#พระสูตร ... คือลมหายใจเข้า #พระวินัย ... คือลมหายใจออก #พระปรมัตถ์ ... ผู้รู้ที่อยู่ข้างใน
------------------------------
#หลวงปู่ฝั้น_อาจาโร
วัดป่าอุดมสมพร จังหวัดสกลนคร







ต้องรู้จักฟังเทศน์ แล้วนำไปปฏิบัติ

การฟังเทศน์ก็ต้องรู้จักฟัง ท่านพูดอะไร ว่าอะไร แก้อย่างไร ไขอย่างไร รู้เรื่องหรือไม่ ให้เข้าใจเรื่องของมัน ถ้ารู้เรื่องแล้วเอาไปปฏิบัติจึงจะถูกเรื่องของมัน เหมือนกันกับเราสมาทานศีล นี่แหละนึกว่าตัวจะได้เอา ข้อปฏิบัติไม่มี พูดไปก็ว่าแต่ตัวเองได้ศีล ความคิดอย่างนี้มันผิด ข้อละไม่มี ข้อปฏิบัติไม่มี มันเกิดศีลไม่ได้ เราจะเข้าใจว่าคำพูดคำท่องนั้นเป็นศีล ความเห็นแบบนี้ก็ให้ไปพิจารณา ฉะนั้นถ้าเป็นอยู่อย่างนั้นจะไม่ได้พบศีลพบธรรมสักครั้ง การละการเว้นเป็นตัวศีลอยู่ในใจของเรา

การฟังเทศน์ฟังธรรมเหมือนกัน ก็ต้องเข้าใจในข้ออรรถข้อธรรม ฉะนั้นคำสอนของพระพุทธเจ้าที่บัญญัติไว้ไม่ใช่ว่าเอาไว้สอนวัวสอนควาย สอนหมูสอนหมา สอนเป็ดสอนไก่ เปล่า...ไม่ใช่ เพราะพวกนั้นตรัสรู้ธรรมไม่ได้ บัญญัติเอาไว้สอนเรานี่แหละ เราผู้โลภ...ผู้โกรธ...ผู้หลง...นี่เอง เราผู้ไม่รู้จัก สอนคนที่ไม่รู้จักนี่แหละ อย่าเข้าใจว่าเรายากเราหนาเราทำไม่ได้...อย่าเข้าใจ ท่านเอาไว้สอนคนอย่างนี้แหละ เหมือนกันกับโยมเอาควายมาทำนา เอาควายมาหัดไถนา ก็ต้องหัดตัวที่ยังไถไม่เป็น ตัวเป็นแล้วไปหัดมันทำไม ตัวเป็นแล้วก็ไม่ต้องหัด ถ้าคนไม่โลภ ถ้าคนไม่โกรธ ถ้าคนไม่หลง แล้วจะไปสอนทำไม ก็ไม่มีเรื่องต้องสอน

พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท)
ภาวนาคือพิจารณาให้รู้ตามเป็นจริง








"หัวใจเป็นมงคลที่สำคัญที่สุด
ถ้าหัวใจไม่เป็นมงคลเสียแล้ว
มีวัตถุมงคลมากมายเพียงใด
ก็ไม่มีความหมาย"

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน







"ให้ตั้งมั่นอยู่ในธรรม เชื่อคำสอน
ของพระพุทธเจ้าว่าทำดีย่อมได้ดี มีความสุข

เมื่อทำดีลงไปแล้ว ถึงคนอื่นจะไม่ชม
หรือให้ของตอบแทน แต่ตัวเองก็เห็น
และชมความดีของตน มีความสุขอยู่คนเดียว

ทำชั่ว ได้รับผลชั่วเป็นทุกข์ เมื่อทำชั่วลงไปแล้ว
ถึงคนอื่นจะไม่เห็น และลงโทษก็ตาม ตนเองย่อมรู้
ความชั่วนั้นและเดือดร้อนด้วยตนเองอยู่เสมอ"

หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี







"อัตตาหิ อัตตโนนาโถ ตนเป็นที่พึ่งของตน
ตนทำบาป ตนก็ได้รับทุกข์เอง
ตนทำบุญ บุญก็ให้ความสุขแก่บุคคลผู้นั้น
บุญ-บาป เป็นของเที่ยงแท้แน่นอน
ใครทำบาป บาปย่อมให้ผล
ใครทำบุญกุศล บุญกุศลย่อมตามให้ผล
แต่ว่าบางอย่าง บางประการนั้น
ไม่ทันกับใจกิเลสมนุษย์ ก็เลยเข้าใจว่า
ทำบุญก็ไม่เห็นผล แต่ว่าบาปนั้น ไม่ทำก็เห็นผล"

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 27 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร