วันเวลาปัจจุบัน 04 ธ.ค. 2024, 22:04  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ต.ค. 2024, 11:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5191


 ข้อมูลส่วนตัว


#คนตื่นธรรมกับหมอดู

คัดลอกบางส่วนจาก.. พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอังคารที่ ๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗

ในเรื่องปัจจุบันนี้เกี่ยวกับ "หมอดู" และ "คนตื่นธรรม" จะว่าไปแล้วเป็นเรื่องของการเอากิเลสไปชนกัน..! ในส่วนของหมอดู กระผม/อาตมภาพตำหนิเขาน้อย ตำหนิเขาน้อยตรงที่ว่าเขาแค่ปากไว แล้วก็ไปพูดกระทบกระเทือนในลักษณะปรามาสพระพุทธเจ้าว่า พระพุทธเจ้าก็ไม่แน่ว่าจะรู้จริงทั้งหมด ซึ่งตรงนี้ไปสวนกับความเชื่อของพุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่ เลยเจอ "ทัวร์ลง" เยอะหน่อย..!
.
ในเรื่องของหมอดูนั้น ถ้าหากว่ามีจรรยาบรรณและมีความคล่องตัวจริง ๆ สามารถอาศัยได้ในระดับหนึ่ง ที่กระผม/อาตมภาพบอกไปวันก่อนก็คือได้ ๖๐ เปอร์เซ็นต์ แต่ไม่ใช่ไปฝากชีวิตไว้กับหมอดู อย่าลืมว่า ๔๐ เปอร์เซ็นต์ที่นอกเหตุเหนือผล นั่นก็คือคนที่ไม่ยอมจำนนต่อชะตากรรม ดิ้นรนฝ่าฟันจนกระทั่งผ่านพ้นไปได้

นั่นคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าเชื่อว่าพวกเรามีศักยภาพเพียงพอ พระองค์ท่านถึงได้เสียเวลามาสอนพวกเราอยู่ถึง ๔๕ ปี ไม่อย่างนั้นถ้าหากว่าเชื่อหมอดูอย่างเดียว ก็ไม่ต้องทำมาหากินอะไรแล้ว เขาบอกว่าไม่ดีก็ไม่ดีไปตลอดชีวิต เขาบอกว่าดีแล้วจะดีไปตลอดชีวิตได้อย่างไร ? เพราะว่าเราเองก็ทำดีไม่ทั่ว ทำชั่วไม่หมด ก็ต้องมีขึ้น ๆ ลง ๆ ดีบ้าง ชั่วบ้าง

แต่ว่าในส่วนของบุคคลที่อ้างว่าเป็นผู้ตื่นธรรมหรือผู้รู้ธรรมนั้น การสอนธรรมของท่านปราศจากสาราณียธรรม ตรงนี้อันตราย ท่านที่เรียนนักธรรมชั้นตรีมาก็รู้อยู่แล้ว สาราณียธรรม ธรรมอันเป็นเครื่องยังให้ทุกคนระลึกถึงกัน เมื่อจะคิดก็คิดถึงผู้อื่นด้วยเมตตา เมื่อจะพูดก็พูดถึงผู้อื่นด้วยเมตตา เมื่อจะกระทำก็กระทำต่อผู้อื่นด้วยเมตตา ไม่ใช่อยู่ในลักษณะของด่าสาดเสียเทเสีย ไป "บูลลี่" หรือว่า "ด้อยค่า" ความรู้ของคนอื่น

ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายไปนึกถึงปิรามิดพระพุทธศาสนาที่กระผม/อาตมภาพเคยเปรียบเทียบไปแล้ว ส่วนของพิธีกรรมพิธีการก็คือฐานใหญ่ที่สุด นี่คือพุทธศาสนิกชน ๘๐ - ๙๐ เปอร์เซ็นต์เลยนะ..! ขึ้นมาถึงระดับกลาง ก็คือ ศีล สมาธิเบื้องต้น พวกที่จะใช้ปัญญาได้จริง ๆ ก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญาครบถ้วน ไปอยู่ที่ยอดปิรามิดนิดเดียว

ถ้าหากว่าเราไป "ด้อยค่า" คนอื่น หรือไป "บูลลี่" คนอื่น ถือว่าคนอื่นตื่นไม่เท่ากูก็แปลว่าชั่วหมด..! อย่างนั้นใช้ไม่ได้ เราจะไปอ้างว่าเรื่องของธรรมะไม่ต้องเอาใจใคร..ก็ถูก แต่ลักษณะของการสอนธรรม เราสอนด้วยกิเลส หรือว่าเราสอนเพราะเจตนาให้ผู้อื่นรู้ตาม ?ถ้าท่านทั้งหลายลองไปฟังดูแล้วก็จะรู้

ถ้าหากว่าท่านตั้งใจสอนให้ผู้อื่นรู้ตาม ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องหาคอนเท็นต์หรือว่าแนวทางที่โลดโผน เพื่อที่จะเป็นติ๊กต็อกเกอร์ หรือเป็นยูทูบเบอร์ เพราะลักษณะอย่างนั้นก็คือการดึงคนเข้ามา ดึงคนเข้ามาเพื่ออะไร ? ก็ต้องหวังยอดวิว หวังยอดไลค์..!
.
ดังนั้น..เรื่องพวกนี้เราอย่าไปกล่าววาจาอันเป็นเหตุให้เถียงกัน พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดแล้วว่า วาจาอันเป็นเหตุให้เถียงกันทำให้ต้องพูดมาก บุคคลที่พูดมาก จิตใจย่อมฟุ้งซ่าน บุคคลที่ฟุ้งซ่านย่อมห่างจากสมาธิ..!

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านทั้งหลายก็ต้องเข้าใจว่าคนเราสร้างบุญสร้างกรรมมาไม่เท่ากัน เหมือนอย่างกับวิทยานิพนธ์วิเคราะห์ภพภูมิที่ ดร.ซ้วงท่านทำมา ในเมื่อสร้างบุญสร้างกรรมมาไม่เท่ากัน บุคคลที่สร้างบุญมาดีก็ได้ครูบาอาจารย์ดี สิ่งใดผิดพลาดก็แก้ไขให้ บอกกล่าวแต่ในสิ่งที่ถูกต้อง แต่ถ้าหากว่าเราสร้างบุญสร้างกรรมมาไม่เท่ากัน แล้วเราดันไปสร้างด้านที่ไม่ดี ถ้าไม่โดนพวกบรรดา "คอลเซ็นเตอร์" หลอกจนหมดเนื้อหมดตัว ก็โดนหมอดูหลอกให้ไปสะเดาะเคราะห์บ้าง ไปเปลี่ยนชื่อบ้าง สารพัด แล้วแต่ละวิธีก็ล้วนแล้วแต่เสียเงินทั้งนั้น..!

ทั้ง ๆ ที่ถ้าเราตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา โดยไม่ต้องเสียสตางค์ และเป็นการแก้ดวงที่ดีที่สุด แต่พวกเรากลับขี้เกียจ มักง่าย อะไรยากไม่ทำ สิ่งไม่ดีเกิดขึ้นแทนที่จะรีบแก้ไขด้วยการพัฒนา กาย วาจา ใจ ของตนเองให้ดีขึ้น เรากลับไปเปลี่ยนชื่อ ฟังดูแล้วว่ามันใช่หรือไม่ ? เปลี่ยนชื่อให้ตาย ถ้าความประพฤติไม่เปลี่ยน แล้วสิ่งดี ๆ จะเข้ามาได้อย่างไร ?

จึงเป็นเรื่องพวกเราทั้งหลาย โดยเฉพาะพระภิกษุสามเณรต้องตระหนักให้มากไว้ว่า เรื่องของพระพุทธศาสนา ต่อให้ปฏิบัติไปไม่ถึงพระอริยเจ้า ก็ต้องรักษาพระไตรปิฎกเอาไว้ พูดง่าย ๆ ก็คืออย่านอกคอก เพราะว่าถ้าความนอกคอกของเรา แล้วมีคนเดินตาม..พังแน่ ๆ..! คือถ้านอกคอกเมื่อไร โอกาสที่จะไปได้ดีนั้นก็ยากแล้ว เพราะว่าไม่ว่าโลกไหน ๆ ก็ไม่มีใครที่จะมีความสามารถเสมอกับพระพุทธเจ้า พระองค์ท่านวางแนวทางเอาไว้แล้ว ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ สรุปลงมาเหลือหนทาง ๘ ประการ ย่อลงมาก็คือแนวปฏิบัติ ๓ อย่าง คือ ศีล สมาธิ ปัญญา

ดังนั้น..ถ้าหากว่าใครคิดว่าจะหาทางใหม่ที่จะเก่งกว่าพระพุทธเจ้าได้ เราก็ปล่อยท่านไปเถอะ เอาที่ท่านสบายใจก็แล้วกัน เดี๋ยวตอนตายก็รู้เองว่าจะไปพบกันข้างบนหรือข้างล่าง..!







“ทำกรรมดีไว้ก่อน
พรนั้นจึงตามมาทีหลัง”

หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก








...จงอย่าประมาทในชีวิต คิดไว้เสมอว่า ชีวิตของเราต้องตาย อาการตายของคนเรานี้ไม่แน่นอน จะคิดว่าตายตอนแก่ นี่ไม่แน่นัก ให้สังเกตดูไว้เสมอว่า คนที่เกิดหลังเรา ตายก่อนเราก็ถมไป

...ฉะนั้น จงจำคำขององค์สมเด็จพระจอมไตรไว้ว่า จงอย่าคิดว่าความตายจะมาถึงเราในวันพรุ่งนี้ จงคิดว่าความตายอาจจะถึงเราในวันนี้ไว้เสมอ ตัดสินใจความไม่ประมาทให้เกิดขึ้น

...นั่นคือ คิดว่า ก่อนที่เราจะตาย ถ้าเราอยู่เป็นคน ก็เป็นคนดี ถ้าตายเป็นผี ก็เป็นผีดี ผีดีคือผีเทวดา ผีพรหม ผีนิพพาน...

โอวาทธรรม หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
จากหนังสือ คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง ๖๗ หน้า ๖๙







"...พระนิพพานนี่พระพุทธเจ้าท่านว่าไม่ใช่ตายก่อน
ถึงจะนิพพาน ไม่ใช่ นิพพานนี่มันต้องได้ทั้งยังเป็นๆ
อยู่นี่ ถ้าใจเยือกใจเย็นใจสบายเมื่อไหร่ ก็เมื่อนั้น
แหละใกล้นิพพานแล้ว เพราะนิพพานมันอยู่ที่เย็นๆ
ที่เขาพูดว่าตายก่อนถึงจะได้นิพพานนี่ไม่ใช่ คนพูด
อย่างนี้นี่พูดผิด

อย่างพระพุทธเจ้าท่านก็นิพพานคือบรรลุธรรมที่
ใต้ต้นโพธิ์ตั้งแต่วันเพ็ญเดือนหกแรกนั่นแหละ
ต่อมาท่านจึงปรินิพพานละธาตุขันธ์ใต้ต้นรังคู่ที
หลัง นี่พระพุทธเจ้าท่านบรรลุธรรมก่อนแล้วจึงมา
นิพพานทีหลัง หรือพระอริยเจ้าในครั้งพุทธกาล
ก็เหมือนกัน ท่านก็บรรลุธรรมกันก่อนตายทั้งนั้น
ไม่ใช่ตายแล้วจึงมาบรรลุธรรม มันต้องได้ทั้งเป็นๆ
นี่แหละ ปฏิบัติจนไล่กิเลสตัณหาได้หมดเมื่อไหร่
เอาไฟสามกองออกจากหัวใจเมื่อไหร่ ก็เมื่อนั้นแหละ
ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ถ้าไฟสามกองยังสุมหัวใจ
อยู่นี่ก็ต้องต่อสู้กันไปจนกว่าชีวิตเราจะหาไม่..."

#ที่มา ธรรมเทศนา เรื่อง พระไตรปิฎกในตัวเรา
วันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๔๔ พระครูปราโมทย์ธรรมธาดา
(หลวงปู่หลอด ปโมทิโต) วัดสิริกมลาวาส กรุงเทพฯ








"...จิตเราหลงอยู่เดี๋ยวนี้ เราหลงอะไร เราข้องอยู่ที่ไหน เราคาอยู่อะไร นำอันนี้เข้าพิจารณาและวินิจฉัย สิ่งนั้นน่ะ มันให้พ้นจากทุกข์หรือยัง มันให้พ้นเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไหลล่ะ สิ่งเหล่านั้น มันก็ไม่ยากหรอกการศึกษาเล่าเรียนและการพิจารณา *ยถาภูตัง ญาณทัสสนัง

ความเป็นอยู่อย่างไร ก็ดูสิ่งที่เป็นอยู่ จิตใจของเรามันก็ได้รับความสงบหรือไม่สงบ แน่ะ พิจารณาเท่านั้นซิ มันไม่สงบเพราะอะไร! เราก็สาวหาสาเหตุ หาผล เบื้องต้น เบื้องปลาย ให้มันรู้จัก แน่ะ! มันไม่สงบให้รู้จัก ต้องการความสงบนี่ล่ะ พากันประกอบความพาก ความเพียรนี้

ให้พิจารณาดูว่าจิตของเราก้าวหน้าหรือถอยหลัง เราก็เพ่งดูซี ด้วยอุบายปัญญา ความรู้อะไร แน่ะ! มันหลงอะไรอยู่ นี้ ข้อนี้ให้พิจารณาให้มากๆ สิ่งใดติดไขให้แก้ชำระซะ เป็นอย่างนี้..."

หลวงปู่ฝั้น อาจาโร








เคยได้ยินว่า ก่อนตายให้ระลึกถึงความดีที่เคยทำไว้ แล้วจิตใจเราจะได้เป็นสุข หากขณะจะตายนั้น เราจำความดีที่เคยทำไม่ได้ ฉะนั้นแล้วเราควรหัดระลึกถึงความดีเช่นไร เพื่อก่อนตายจะจำได้?

ทุกอย่างนี้ก่อนตายวาระสุดท้าย มันจะอยู่ที่เราเคยคิดอะไรบ้างในอดีต เพราะฉะนั้นการจะระลึกอยู่ในคุณงามความดีที่เคยทำไว้นั้น ก็อยู่ที่ว่าเราเคยทำบ่อยๆ ตั้งแต่ยังไม่ป่วย ตั้งแต่ยังไม่แก่ และตั้งแต่ยังไม่ถึงเวลาจะจากโลกนี้ไป ก็ควรจะพิจารณาอย่างนี้ ระลึกอย่างนี้ทุกวันๆๆ จนกลายเป็นนิสัย

ก็ดูความแตกต่างระหว่างคนปฏิบัติธรรม ไม่ปฏิบัติธรรม อายุมากขึ้นความแตกต่างก็จะชัดขึ้นมาก แล้วผู้ที่ปฏิบัติธรรมได้นาน ได้ทำคุณงามความดี ความทรงจำความคิดต่างๆ นี้มันจะงาม เพราะฝึกให้งาม ฝึกปล่อยวางสิ่งที่เป็นอกุศลเป็นประจำหลายปี หลายสิบปี มันกลายเป็นเรื่องง่าย เป็นเรื่องธรรมดา

แต่ผู้ที่ไม่เคยฝึกพออายุมากมีความเจ็บปวด มีความทรมานอย่างนั้น ทรมานอย่างนี้ มีนั่นมีนี่ จิตใจก็หงุดหงิดรำคาญ ฟุ้งซ่านวุ่นวาย แล้วก็ถึงเวลาอายุแค่นี้จะฝึกจิต จะปล่อยวางนี้มันไม่ค่อยมีแรง แล้วก็ทำไม่เป็น

การปฏิบัติจึงควรจะรีบ ควรจะทำตั้งแต่ตอนนี้เลย เพื่อสร้างฐานว่าความตายจะมาเมื่อไรเราก็มีความรู้สึกว่าพร้อม

โอวาทธรรม พระอาจารย์ชยสาโร







เคยได้ยินว่า ก่อนตายให้ระลึกถึงความดีที่เคยทำไว้ แล้วจิตใจเราจะได้เป็นสุข หากขณะจะตายนั้น เราจำความดีที่เคยทำไม่ได้ ฉะนั้นแล้วเราควรหัดระลึกถึงความดีเช่นไร เพื่อก่อนตายจะจำได้?

ทุกอย่างนี้ก่อนตายวาระสุดท้าย มันจะอยู่ที่เราเคยคิดอะไรบ้างในอดีต เพราะฉะนั้นการจะระลึกอยู่ในคุณงามความดีที่เคยทำไว้นั้น ก็อยู่ที่ว่าเราเคยทำบ่อยๆ ตั้งแต่ยังไม่ป่วย ตั้งแต่ยังไม่แก่ และตั้งแต่ยังไม่ถึงเวลาจะจากโลกนี้ไป ก็ควรจะพิจารณาอย่างนี้ ระลึกอย่างนี้ทุกวันๆๆ จนกลายเป็นนิสัย

ก็ดูความแตกต่างระหว่างคนปฏิบัติธรรม ไม่ปฏิบัติธรรม อายุมากขึ้นความแตกต่างก็จะชัดขึ้นมาก แล้วผู้ที่ปฏิบัติธรรมได้นาน ได้ทำคุณงามความดี ความทรงจำความคิดต่างๆ นี้มันจะงาม เพราะฝึกให้งาม ฝึกปล่อยวางสิ่งที่เป็นอกุศลเป็นประจำหลายปี หลายสิบปี มันกลายเป็นเรื่องง่าย เป็นเรื่องธรรมดา

แต่ผู้ที่ไม่เคยฝึกพออายุมากมีความเจ็บปวด มีความทรมานอย่างนั้น ทรมานอย่างนี้ มีนั่นมีนี่ จิตใจก็หงุดหงิดรำคาญ ฟุ้งซ่านวุ่นวาย แล้วก็ถึงเวลาอายุแค่นี้จะฝึกจิต จะปล่อยวางนี้มันไม่ค่อยมีแรง แล้วก็ทำไม่เป็น

การปฏิบัติจึงควรจะรีบ ควรจะทำตั้งแต่ตอนนี้เลย เพื่อสร้างฐานว่าความตายจะมาเมื่อไรเราก็มีความรู้สึกว่าพร้อม

โอวาทธรรม พระอาจารย์ชยสาโร








“ .. เรามีกรรมจึงต้องมาเกิด
เกิดมาแล้วก็ต้อง แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา
#ความเจ็บ #ความตาย #ป้องกันไม่ได้
#แต่ที่ช่วยได้ก็คือการระลึกถึง
#คุณพระพุทธ #พระธรรม #พระสงฆ์
#เอาเป็นที่พึ่งอย่างแน่วแน่

ทำให้จิตพ้นเสียจาก
ความเจ็บ ความตาย ด้วยการไม่ยึด
จิตมันไม่คิดถึงความเจ็บ ความตาย
เจ็บก็เจ็บไป ตายก็ตายไป
อันนั้นเป็นการระลึกถึง
#พระรัตนตรัยและระงับภัยอันตรายได้อย่างหนึ่ง

การระลึกถึง คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
#ป้องกันภัยได้จริง .. ”

ธรรมเทศนา
พระคุณหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี





"...ผู้ปรารถนาความสุข ต้องหมั่นฝึก
อบรมตัวเอง ทำเองรู้เอง ได้เอง ใครทำ
ใครได้

ผู้ทำความดี มีศีล ศีลที่บริบูรณ์แล้ว
ย่อมเป็นที่มาแห่งโภคทรัพย์

จิตดี ไม่อิจฉาริษยา ไม่พยาบาท เบียด
เบียน เป็นจิตที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง ทำให้คน
บริสุทธิ์ ทำให้คนมีศีล มีโภคทรัพย์..."

หลวงปู่ขาว อนาลโย
วัดถ้ำกลองเพล จ.หนองบัวลำภู


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 14 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร