วันเวลาปัจจุบัน 15 ธ.ค. 2025, 02:33  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: เมื่อวานนี้, 09:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5432


 ข้อมูลส่วนตัว


คนเรานะ อะไรที่ดีๆ มักไม่มอง
เพราะจิตใจมันต่ำ จิตใจเป็นขยะ มองแต่ของเน่าเหม็น สนใจแต่ของเน่าเหม็น จึงมองเห็นแต่สิ่งที่ไม่ดีของคนอื่น ถ้าคนจิตใจสูง จิตใจเป็นเทวดา ก็จะมองแต่สิ่งที่ดีๆ เห็นแต่สิ่งที่ดีๆ เพราะมีจิตใจสูง จึงเลือกมองแต่สิ่งที่ดีๆ ของคนอื่น....

#หลวงพ่อเยื้อน ขนฺติพโล
เจ้าคณะจังหวัดสุรินทร์ (ธรรมยุต)
แสดงธรรมโปรดญาติโยม ณ ห้องพระ รพ.รามคำแหง
เมื่อวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๔๐ น.







"..ตัวของเรานี้แล อันได้กำเนิดเกิดมาเป็นมนุษย์
ซึ่งเป็นชาติสูงสุด เป็นผู้เลิศตั้งอยู่ในฐานะอัน
เลิศด้วยดี คือมีกายสมบัติ วจีสมบัติ แลมโน
สมบัติบริบูรณ์ จะสร้างสมเอาสมบัติภายนอก
คือ ทรัพย์สินเงินทองอย่างไรก็ได้ จะสร้างสม
เอาสมบัติภายในคือมรรคผลนิพพานธรรมวิเศษ
ก็ได้ พระพุทธองค์ทรงบัญญัติพระธรรมวินัย
ก็ทรงบัญญัติแก่มนุษย์เรานี้เอง มิได้ทรงบัญญัติ
แก่ ช้าง ม้า โค กระบือที่ไหนเลย

มนุษย์นี้เองจะเป็นผู้ปฏิบัติถึงซึ่งความบริสุทธิ์ได้
ฉะนั้นจึงไม่ควรน้อยเนื้อต่ำใจว่า ตนมีบุญวาสนา
น้อย เพราะมนุษย์ทำได้ เมื่อไม่มี ทำให้มีได้ เมื่อมีแล้วทำให้ยิ่งได้สมด้วยเทศนานัยอันมาในเวสสันดรชาดกว่า ทานํ เทติ สีลํ รกฺขติ ภาวนํ ภาเวตฺวา เอกจฺโจ สคฺคํ คจฺฉติ เอกจฺโจ โมกฺขํ คจฺฉติ นิสฺสํสยํ
เมื่อได้ทำกองการกุศล คือ ให้ทานรักษาศีลเจริญภาวนา ตามคำสอนของพระบรมศาสดาจารย์เจ้า
แล้ว บางพวกทำน้อยก็ต้องไปสู่สวรรค์
บางพวกทำมากและขยันจริงพร้อมทั้งวาสนาบารมี
แต่หนหลังประกอบกัน ก็สามารถเข้าสู่พระนิพพานโดยไม่ต้องสงสัยเลย พวกสัตว์ดิรัจฉานท่านมิได้กล่าวว่าเลิศ เพราะจะมาทำเหมือนพวกมนุษย์ไม่ได้
จึงสมกับคำว่ามนุษย์นี้ตั้งอยู่ในฐานะอันเลิศด้วยดี
สามารถนำตนเข้าสู่มรรคผล เข้าสู่พระนิพพานอันบริสุทธิ์ได้แล.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร (พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)






"... อาตมาบอกไว้เท่านั้นว่า ให้มีสติคุมดวงจิต
สัตว์นรกก็แม่นจิต สัตว์อเวจีก็แม่นจิต พระอินทร์พระพรหมก็แม่นจิต ที่เข้าพระนิพพานก็แม่นจิต ไม่ใช่ใคร
จิตไม่มีตนมีตัว จิตเหมือนวอกนี่แหละ แล้วแต่
มันจะไป บังคับบัญชามันไม่ได้ แล้วแต่มันจะปรุงจะแต่ง บอกไม่ได้ ไหว้ไม่ฟัง

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าให้วางมันเสีย อย่าไปยึดถือมันก็จิตนั่นแหละมันถือว่าตัวกู อยู่เดี๋ยวนี้ก็ดี เราถือว่าเราเป็นผู้ชาย เราเป็นผู้หญิง
ก็แม่นจิตนั่นแหละเป็นผู้ว่า มันไม่มีตนมีตัวดอก แล้วพระพุทธเจ้าว่าให้วางเสีย ให้ดับวิญญาณเสีย ครั้นดับวิญญาณแล้ว ไม่ไปก่อภพก่อชาติอีก ก็นั่นแหละพระนิพพานแหละ

พระพุทธเจ้าบอกอย่างนั้น มันไม่อยู่ที่อื่น นรกมันก็อยู่นี่ พระนิพพานก็อยู่นี่ อย่าไปค้นที่อื่น อย่าไปพิจารณาที่อื่น ให้ค้นที่สกนธ์กายของตน ให้มันเห็นเป็นอสุภะอสุภัง ให้เห็นเป็นของปฏิกูล ให้เกิดนิพพิทาความเบื่อหน่ายมันนั่นแหละ แต่กี้มันเห็นว่าเป็นของสวยของงามของดี

ดวงจิตนั่นเมื่อมีสติควบคุม มีสัมปชัญญะ ค้นหาเหตุผล ใคร่ครวญอยู่ มันเลยรู้เห็นว่า อัตตภาพร่างกายนี้เป็นของปฏิกูล ของเน่าเปื่อยผุพัง แล้วมันจะเกิดนิพพิทาความเบื่อหน่าย จิตนั่นแหละเบื่อหน่าย

จิตเบื่อหน่าย จิตไม่ยึดมั่นแล้ว เรียกว่าจิตหลุดพ้น ถึงวิมุตติ วิมุตติ คือความหลุดพ้นจากความยึดถือ หลุดพ้นจากอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น พ้นจากภพจากชาติ ตั้งใจทำเอา ..."
-----------------------------------
#หลวงปู่ขาว_อนาลโย
วัดถ้ำกลองเพล อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู
(พ.ศ.๒๔๓๑-๒๕๒๖)






“ถ้ายังไม่รู้แจ้งเห็นจริง อย่าพึ่งละทิ้ง
ซึ่งความเพียรของตน เพ่งพิจารณา
จนกำลังปัญญานั้นแก่กล้าก็จะได้รู้ว่า
ธรรมทั้งหลายเหล่านั้น จะเป็นภายในก็ตาม
ภายนอกก็ตาม ธรรมในธรรมก็ตาม ก็จะ
มีแต่ความเกิดขึ้นและเสื่อมไป ความดับไป
หาเป็นสาระแก่นสารมิได้ เพราะธรรม
ทั้งหลายเหล่านั้นเป็นสังขตธรรมทั้งสิ้น” ...
...
ท่านพ่อลี ธมฺมธโร





"..ตัวของเรานี้แล อันได้กำเนิดเกิดมาเป็นมนุษย์
ซึ่งเป็นชาติสูงสุด เป็นผู้เลิศตั้งอยู่ในฐานะอัน
เลิศด้วยดี คือมีกายสมบัติ วจีสมบัติ แลมโน
สมบัติบริบูรณ์ จะสร้างสมเอาสมบัติภายนอก
คือ ทรัพย์สินเงินทองอย่างไรก็ได้ จะสร้างสม
เอาสมบัติภายในคือมรรคผลนิพพานธรรมวิเศษ
ก็ได้ พระพุทธองค์ทรงบัญญัติพระธรรมวินัย
ก็ทรงบัญญัติแก่มนุษย์เรานี้เอง มิได้ทรงบัญญัติ
แก่ ช้าง ม้า โค กระบือที่ไหนเลย

มนุษย์นี้เองจะเป็นผู้ปฏิบัติถึงซึ่งความบริสุทธิ์ได้
ฉะนั้นจึงไม่ควรน้อยเนื้อต่ำใจว่า ตนมีบุญวาสนา
น้อย เพราะมนุษย์ทำได้ เมื่อไม่มี ทำให้มีได้ เมื่อมีแล้วทำให้ยิ่งได้สมด้วยเทศนานัยอันมาในเวสสันดรชาดกว่า ทานํ เทติ สีลํ รกฺขติ ภาวนํ ภาเวตฺวา เอกจฺโจ สคฺคํ คจฺฉติ เอกจฺโจ โมกฺขํ คจฺฉติ นิสฺสํสยํ
เมื่อได้ทำกองการกุศล คือ ให้ทานรักษาศีลเจริญภาวนา ตามคำสอนของพระบรมศาสดาจารย์เจ้า
แล้ว บางพวกทำน้อยก็ต้องไปสู่สวรรค์
บางพวกทำมากและขยันจริงพร้อมทั้งวาสนาบารมี
แต่หนหลังประกอบกัน ก็สามารถเข้าสู่พระนิพพานโดยไม่ต้องสงสัยเลย พวกสัตว์ดิรัจฉานท่านมิได้กล่าวว่าเลิศ เพราะจะมาทำเหมือนพวกมนุษย์ไม่ได้
จึงสมกับคำว่ามนุษย์นี้ตั้งอยู่ในฐานะอันเลิศด้วยดี
สามารถนำตนเข้าสู่มรรคผล เข้าสู่พระนิพพานอันบริสุทธิ์ได้แล.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร (พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)








การภาวนานั้น คือ … การเจริญจิต
ให้มี “สติ” สมบูรณ์ สามารถรู้เท่าทัน
เหตุแห่งทุกข์ จะได้ละเหตุนั้นก่อน
จึงจะไม่ต้องรับทุกข์นั้น

หากจิตใจที่ไม่เคยฝึกอบรมภาวนาแล้ว
ย่อมไม่มีคุณเครื่องป้องกันทุกข์
ที่จะเกิดขึ้นได้เลย ...

จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย (เหตุให้เกิดทุกข์)
ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก เป็นทุกข์ (ผล คือ ทุกข์)
จิตเห็นจิต เป็นมรรค (เหตุ คือ ทางดับทุกข์)
ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิต เป็นนิโรธ (ผล คือ การดับทุกข์)

หลวงปู่ดูลย์ ท่านชี้ให้เห็นว่า
เป็นเพราะจิตส่ายแส่
ออกนอกกายและจิตไปในความคิดนี้เอง
ทำให้เราไปยึดติดอยู่กับความคิด
เป็นต้นเหตุให้เกิดทุกข์ หรือ
สมุทัย นำไปสู่ผลคือทุกข์

แต่เมื่อจิตเห็นจิตอย่าง แจ่มแจ้ง นั่น
คือ มีสติ เห็นจิตว่ากำลังคิดอะไร อยู่
หรือกำลังสั่งกายให้พูดหรือทำอะไร
อยู่ตลอดเวลา นั่นคือ มรรค
หรือทางดับทุกข์
เป็นเหตุให้นำไปสู่ผล คือการดับทุกข์ หรือ นิโรธ

เมื่อเข้าใจเช่นนี้จะทำให้ง่าย
ในการเข้าใจหลักธรรมและอริยสัจ 4
และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
ได้สะดวก

โดยการเฝ้าดูจิต ดูความคิด
กล่าวคือ เป็นการฝึกสติ และความรู้สึกตัว
ให้คอยสอดส่องดูจิตอยู่ตลอดเวลานั่นเอง
ไม่ให้จิตไหลไปตามความคิด

หลวงปู่กล่าวสอนอยู่เสมอว่า
“อย่าส่งจิตออกนอก”

“จงหยุดคิดให้ได้”

“คิดเท่าไร ก็ไม่รู้
ต้องหยุดคิดให้ได้จึงรู้
แต่ต้องอาศัยความคิด นั่นแหละจึงรู้”

พระราชวุฒาจารย์
(หลวงปู่ดุลย์ อตุโล)
วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์
4 ตุลาคม พ.ศ. 2431 - 30 ตุลาคม พ.ศ. 2526.
เวลา: 04.13 น..
อายุ: 96 ปี 26 วัน (พรรษา 74).







"..ชีวิตหลังความตายไม่มีการต่อรองได้.."
"..หากบุญมากก็ไปสวรรค์ ในชั้นที่เหมาะกับแรงกุศลของตนเท่านั้น
จะขอความเป็นทิพย์แห่งสวรรค์ที่มากหรือน้อยกว่านั้นไม่ได้

และหากแรงบาปมาก ก็ต้องไปนรกขุมต่างๆ ตามแรงกรรมของตน
ซึ่งเต็มไปด้วยทุกข์กับร้อนเท่านั้น จะขอต่อรองพักยกความทุกข์ร้อนทรมาน
เพียงช้างกระพือหู งูแลบลิ้น ไม่ได้เลย ต้องก้มหน้ารับกรรมไป

ต่อรองได้แต่ในชีวิตจริงในโลกมนุษย์ขณะนี้ เดี๋ยวนี้เท่านั้น
ที่ทุกคนมีสิทธิ์จะเลือกทำดี หรือชั่ว บุญ หรือบาป

ฉะนั้น ขอทุกคนจะเร่งทาน เร่งศีล เร่งภาวนาของตนแต่บัดนี้เสีย
จะได้ออกไปจากการซัดเหวี่ยงของสังสารวัฏนี้ได้.."

อาจาโรวาท
หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
วัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร
(พ.ศ.๒๔๔๒-๒๕๒๐)







"พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย
ควรจะพิจารณาความเป็นอยู่ของตนว่า
เราจะเดินทางไปสู่จุดหมายปลายทาง
คือ ความตาย ทุกวัน เวลา นาที
จะหลบหนีไปไม่พ้น
จึงสมควรสร้างกุศล
๓ ประการ คือ
ทาน ศีล ภาวนา
ให้เกิดมีขึ้นในตน"

ท่านพ่อลี ธมฺมธโร







“ความสำคัญของครูบาอาจารย์”

การมีครูบาอาจารย์จึงสำคัญมาก จำเป็นมาก ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์แล้ว เราก็จะเถลไถลกัน ออกนอกลู่นอกทางกัน ถึงแม้ว่าจะรู้ทาง แต่เดี๋ยวก็ลืม หรือถูกอำนาจใฝ่ต่ำที่มีอยู่ในใจ มันจะชอบดึงเราให้ออกนอกลู่นอกทางกัน แต่พออยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ เดี๋ยวท่านก็เรียกมาว่ากล่าวตักเตือน มาสั่งมาสอน หรือถ้าท่านเห็นเรากำลังไปนอกลู่นอกทาง ท่านก็จะเตือนจะบอก อย่างนี้ก็จะทำให้เราไม่หลงทาง ไม่เสียเวลา อันนี้แหละคือเรื่องของการที่เราจะสามารถปฏิบัติพัฒนาจิตใจของเราให้ขึ้นสูงได้ จะต้องมีครูบาอาจารย์ มีสิ่งแวดล้อมที่ดีที่จะหล่อหลอมจิตใจของเรา ให้ไปในทิศทางที่ดีได้ สิ่งแวดล้อมที่ดีก็คือนี่ สิ่งที่ไม่มีเครื่องยั่วยวนกวนกิเลสต่างๆ รูปเสียงกลิ่นรสต่างๆ ถ้าอยู่กับธรรมชาตินี้ มันไม่มีอะไรมาคอยกระตุ้นกิเลสตัณหาให้ออกมา ถ้าอยู่กับบ้านกับเมืองนี้ เดี๋ยวมันมีอะไรมาคอยกระตุ้นอยู่เรื่อยๆ เดี๋ยวเห็นกระเป๋าเห็นรองเท้า เห็นเสื้อผ้าเห็นของใช้ไม้สอย เห็นมือถือรุ่นใหม่ ใจมันก็ร้อนวาบขึ้นมาด้วยความอยาก แล้วพออยากมันก็ต้องดิ้นไปหาซื้อมา ไม่มีเงินก็ต้องไปหาเงินมา แทนที่จะไปฝึกนั่งสมาธิทำใจให้สงบ ก็มัวแต่คอยหาเงิน ก็เลยไม่ได้ยุติการเวียนว่ายตายเกิดกัน มีแต่กระตุ้นการเกิดแก่เจ็บตายให้มีมากขึ้นไป เพราะความอยากนี่แหละ มันจะพาให้เราไปเกิดกันอยู่เรื่อยๆ พอตายไปก็อยากจะไปเกิดใหม่ เพื่อจะได้ไปทำอะไรแบบที่เรากำลังทำกันอยู่ตอนนี้ต่อนั่นเอง

นี่คือเรื่องของจิตใจของพวกเรา จะขึ้นสูงหรือจะลงต่ำ จะหลุดออกจากกองทุกข์แห่งการเกิดแก่เจ็บตาย หรือจะอยู่ต่อไปในกองทุกข์นี้ ก็อยู่ที่เราได้ไปพบกับบุคคลที่จะสามารถดึงเราให้ออกจากกองทุกข์นี้ได้หรือไม่ บุคคลที่จะดึงเราออกได้ก็มีพระพุทธเจ้า กับพระอรหันตสาวกเท่านั้น พระอริยสงฆ์สาวกเท่านั้น ถ้าเราไม่มี รับรองได้ว่าเรายังต้องกลับมาเกิดแก่เจ็บตายอีกต่อไป ถ้ามี เราก็มีโอกาส มีแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าจะหยุดการเกิดแก่เจ็บตายได้อย่างอัตโนมัติ เพราะเมื่อมีแล้วก็ยังต้องทำตามที่ท่านสอน ซึ่งเป็นของที่มันขัดกับนิสัยของเรา นิสัยของพวกเราชอบอยู่กันแบบสุขสบายทางร่างกาย เราไม่อยากจะอยู่กันแบบอดอยากขาดแคลน แต่การที่จะหลุดออกจากการเกิดแก่เจ็บตายได้นี่ เราต้องอยู่แบบเดนตาย อยู่แบบอดอยากขาดแคลน อยู่แบบนอนกับดินกินกับทราย อดมื้อกินมื้อ อะไรอย่างนี้ ถึงจะสามารถที่จะพัฒนาจิตใจของเราให้หลุดออกจากการเกิดแก่เจ็บตายได้

ดังนั้น เราก็ต้องไปอยู่กับครูบาอาจารย์ที่ท่านเดนตาย ท่านอยู่แบบใด เราก็อยู่แบบท่าน ท่านเป็นผู้นำผู้สอนเรา ถ้าเราไม่มีคนนำเราก็จะไม่มีกำลังใจที่จะทำเอง นอกจากเราเป็นพวกที่มีบุญเก่าอยู่ ที่เห็นคุณค่าของการอยู่แบบเดนตาย เห็นคุณค่าของการอยู่แบบนอนกับดินกินกับทราย ก็จะกล้าทำด้วยตนเอง แต่เป็นพวกที่ไม่เห็นคุณค่า ไม่รู้คุณค่า ก็จะต้องรอให้คนที่มี ผู้รู้คนมีคุณค่ามาเป็นผู้นำทางไป ดังนั้น ถ้าเราอยากจะหลุดออกจากกองทุกข์แห่งการเกิดแก่เจ็บตาย ถ้าเราทำเองไม่ได้ เราก็ต้องไปหาผู้สอน ไปหาพระอริยบุคคล พระอริยบุคคลส่วนใหญ่ก็จะอยู่ในที่กันดารกัน ก็หาได้ไม่ยาก ถามกัน ความรู้เหล่านี้มีอยู่ เหมือนของที่เราหาในตลาดอินเตอร์เน็ตนี้ อยากจะซื้ออะไรนี้ เราหาในมือถือได้ทุกชนิด ไม่ใช่หรือ ลองถามอินเตอร์เน็ตดูว่า พระอริยบุคคลอยู่ที่ไหนบ้าง ดูว่าจะมีคำตอบไหม อาจจะมีก็ได้ อาจจะมีใครใส่ข้อมูลไว้ในนั้นก็ได้ อาจจะบอกรายชื่อวัดของพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบต่างๆ ก็ได้ เราต้องหาผู้นำหาอาจารย์ หาครูมาสั่งสอน และถ้าเป็นไปได้ก็ต้องไปอยู่กับท่านเลย แล้วก็จะไปได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว

นี่คือเรื่องของจิตใจของพวกเรา ไม่ว่าจะเป็นตัวเรา หรือของลูกเรา จำเป็นจะต้องมีผู้นำ ผู้สั่งผู้สอน ถึงจะไปในทางที่ดีได้ จะปล่อยให้ไปเองนี้ ยาก มีบ้างน้อยคน เช่น พระพุทธเจ้านี้ไปเองได้ เพราะท่านได้สะสมพลังของความดีไว้มาก ที่สามารถที่จะผลักดันให้ท่านไปแต่ในทางที่ดีได้อย่างเดียว ไม่ไปในทางที่ชั่วเลย นอกนั้นแล้วต้องมีผู้นำผู้สอน

สนทนาธรรมบนเขา
วันที่ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๑

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี






เราทั้งหลายต้องทิ้งความคิด
ความสงสัยให้หมด
ให้เอาจิตกับกายวาจาล้วนๆ
เข้าปฏิบัติ ดูอาการของจิต
อย่าแบกคัมภีร์เข้าไปด้วย ...
...
พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 42 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร