วันเวลาปัจจุบัน 22 มิ.ย. 2025, 19:03  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 141 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 6, 7, 8, 9, 10  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2013, 12:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ต.ค. 2010, 10:42
โพสต์: 249

แนวปฏิบัติ: ไม่เอา ไม่เป็น ไม่ยึด
สิ่งที่ชื่นชอบ: ทุกเล่มของท่านพุทธทาส
อายุ: 32
ที่อยู่: สงขลา

 ข้อมูลส่วนตัว


"ผู้ไม่เข้าไปหา ย่อมหลุดพ้น"

ขอให้ประสบความสำเร็จครับ

:b8:

.....................................................
วงว่างยงอยู่ยั้ง อนันตกาล
ในถิ่นที่ทุกสถาน แหล่งหล้า
ยึดมั่นไป่พบพาน ประจักษ์
ยามปล่อยหยุดไขว่คว้า ถึงได้โดยพลัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 เม.ย. 2013, 11:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


rolleyes

เทียนหยด เขียน:
เฮ้อ..ไม่รู้เป็นไง ไม่ค่อยอยากจะพูดอะไร...ถึงพูดหรือไม่พูด ธรรมมันก็เกิดอยู่เสมอ

นั่นแหละ เกิดดับ เกิดดับ อยู่อย่างนั้น อริยสัจจ์และไตรลักษณ์เกิดได้ทุกเวลา ทุกนาที

ทุกขณะจิต เมื่อธรรมมันเป็นธรรมของมันอยู่อย่างนั้น อยู่แล้ว เหตุใดต้องพูดออกมา

เพราะธรรมได้แสดงตัวตนของมันได้ชัดเจน โดยที่เราไม่จำเป็นต้องพูดอะไร


:b6:
...จากคำว่า เฮ้อ คุณเทียนหยดเขียนในลักษณะของอารมณ์ที่เป็นอกุศลธรรมอยู่นะคะ...
:b16:
เทียนหยด เขียน:
การพูดก็เป็นการอธิบายสภาวะธรรม ของธรรมที่แสดงอยู่ตลอดเวลา จะไปอธิบายซ้ำ

กับธรรมที่ได้แสดงออกมาแล้วทำไม..แค่ดู แค่รู้ แค่เข้าใจ แค่แจ้งแก่ใจ แล้วก็ปล่อยมันไป

ก็เพียงพอ...รู้แล้ว..อะไร ไม่รู้แล้ว..อะไร ทุกอย่างเป็นสิ่งสมมุติทั้งนั้น รู้แล้วต้องวางออกจากใจ

รู้เดี๋ยวนี้ ก็วางออกเดี๋ยวนี้ เมื่อวางออก แล้วจะเอาอะไรมาพูดมาเล่ามาบอก


:b12:
...การพูดหรือการเขียนก็คือคิดค่ะ อยู่ที่ว่าเข้าใจแล้ววางจิตใจให้เป็นเฉยๆ ไม่สุข ไม่ทุกข์ได้หรือไม่...
:b55:

เทียนหยด เขียน:
การคิดพิจารณาของคนนะ เป็นไปตามที่เค้าได้สะสมมา ว่าสะสมมาแบบไหน ก็คิดและพิจารณา

แบบนั้น หลักธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า :b8: ท่านได้เขียนบรรยายไว้หมดแล้ว ก็แค่ทำตาม

ไม่จำเป็นต้องนำมาอธิบายซ้ำอีก เพราะพระท่านนั้นบัญญัติได้ชัดเจนอยู่แล้ว แนวทางก็มี ว่าเดิน

แบบไหน ยังไง ก็แค่ทำตาม...แต่ลายระเอียดจะเป็นอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่ที่ว่า นักปฎิับัติสะสมมา

แบบไหน อย่างไร เมื่อสมถะ ไม่เพียงพอ การพิจารณาก็ได้นิดหน่อย ได้ไม่เต็ม สมถะ เกื้อหนุน

วิปัสสนาอยู่แล้ว...ศีลเกื้อหนุนสมถะ สมถะทำซ้ำ ก็ได้สติ ฝึกสติต่อเนื่องเรื่อยๆ จนสติมีต่อเนื่อง

ไม่มีที่สิ้นสุด ที่ศัทพ์ธรรมเรียกว่า สันตติ เมื่อเกิดขึ้น เราก็สามารถพิจารณาธรรมได้เสมอ


:b16:
...พระอริยบุคคล 8 จำพวก จำแนกได้เป็น 2 แบบคือ 1)พระเสขะบุคคล 2)พระอเสขะบุคคล...
...พระเสขะบุคคล(แปลว่า ผู้ที่ยังต้องศึกษาอยู่) คือ พระอริยบุคคล 7 จำพวก ได้แก่...
...1)พระโสดาปฏิมรรค 2)พระโสดาปฏิผล(พระโสดาบัน)...
...3)พระสกทาคามิมรรค 4)พระสกิทาคามิผล(พระสกิทาคามี)...
...5)พระอนาคามิมรรค 6)พระอนาคามิผล(พระอนาคามิ)...
...7)พระอรหัตตมรรค
...ส่วน 8)พระอเสขะบุคคลก็คือพระอรหัตตผล...
...แปลว่าผู้ที่ไม่ต้องศึกษาและเรียนและรู้ธรรมตามเป็นจริงจนหมดสิ้นคือพระอรหันต์...
...แม้ท่านประจักษ์แจ้งความจริงทั้งโลกในและโลกนอกแล้ว คือรู้โลกทั้ง3คือกามโลก รูปโลกอรูปโลก...
...และรู้แจ้งพระนิพพานแล้วก็ตาม ทุกขณะที่ยังมีลมหายใจก็ยังคงประกอบความเพียรไม่ลดละจนสิ้นชีพ...
...แม้ขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ก็ทำประโยชน์แก่โลก ทั้งอบรมสั่งสอนธรรมและสงเคราะห์ปัจจัยสี่ให้โลก...
...หากยังมีผู้ที่ปฏิบัติตามธรรมและวินัยอย่างถูกต้อง พระอรหันต์ก็ยังคงมีอยู่...

:b20:

เทียนหยด:เขียน
การพิจารณาด้วยกำลังของสมถะ ก็คือวิปัสสนาไม่ใช่หรือ..จะเรียกแบบไหนก็เหมือนกัน

พิจารณาหรือวิปัสสนา ผลออกมาก็คือ ปัญญา ปัญญาที่รู้แจ้งตามความเป็นจริง ตามสภาวะ

ที่นักปฎิบัติ เพียรทำเพียรถึง...ก็แค่ทำไป ดูไป พิจารณาไปเรื่อยๆ...ธรรมของใคร ก็พิจารณา

ไปตามนั้น เพราะเราสะสมมาแบบนั้น จะไปเหมือนคนอื่นได้ยังไง คู่แฝดที่เหมือนกันมากๆ

ยังคิดยังอ่านไม่เหมือนกันเลย...ในทางธรรมนั้นเส้นทางมันเป็นปัจจัตตังนะ..เป็นเส้นทาง

เฉพาะตนอยู่แล้ว...เราไม่เหมือนเขา เขาก็ไม่เหมือนเราในรายละเอียด แต่ผลมันได้ตรง

กันเท่านั้นเอง ก็แค่นั้น....

:b12:
...สมถะกับวิปัสสนาแตกต่างกันค่ะแต่ต้องใช้ควบคู่กัน...สมถกรรมฐาน...สงบนิ่งไม่คิดปรุง...
...ส่วนวิปัสสนากรรมฐาน...คิดพิจารณาไตร่ตรองจนบางครั้งอาจทำให้จิตไม่ได้พักผ่อน...
...จึงต้องมีการใช้ทั้งสมถะและวิปัสสนาเพื่อไม่ให้เกิดเบื่อหน่ายในการทำความเพียร...


:b1:
เทียนหยด:เขียน
มันจึงไม่มีคำพูดออกมา...คำพูดที่พุดออกมาจากใจนี้ก็เหนื่อยเหมือนกันนะ

แค่ต้องพูด ต้องคิดพิจารณาคำที่ต้องพิมพ์ต้องโพสนี่ก็เหนื่อย...เพราะจริงๆแล้ว

มันไม่จำเป็นต้องพูดอะไรออกมา..เพราะธรรมยังไงก็เป็นธรรมอยู่แล้ว...มันก็แค่

นั้นเอง...เราเป็นแค่นักปฎิบัติ แค่เพียรเดินไป ก็แค่นั้น จิตที่คิดคำนึงของเรา มีแค่

แค่เดินต่อไปข้างหน้าเท่านั้น...เราไม่มีหน้าที่ ที่จะพูดอะไร หรือแนะนำใครได้

เพราะนั่นไม่ใช่หน้าที่ของเรา หน้าที่ตรงนั้นมีท่านอื่นๆทำกันแล้ว ไม่เห็นที่เราจำเป็น

ต้องพูดอะไรออกไป..ทุกคนมีหน้าที่ของตนนะ แต่จะรู้กันหรือป่าว ว่าเรามีหน้าที่อะไร


สำหรับเรา เรารู้ว่า เรามีหน้าที่อย่างเดียวคือ เดินหน้าต่อไป จนกว่าจะหมดลมหายใจ

มันก็แค่นั้นเอง...อะไรก็ไม่มีความหมายหรอก...มันแค่สมมุตินะ...อย่ายึด ปล่อยออก

ปล่อยไปเรื่อยๆ ในกว่าจะหมดลมหายใจ...มันก็แค่นั้น...มันก็น่าจะพอแล้วนะ

:b4:
...เหนื่อยก็เป็นธรรมะค่ะ...เป็นอกุศลด้วยค่ะ...ถ้าไม่ตามดูให้รู้เท่าดับให้ทันก็เกิดภพชาติแล้วค่ะ...
:b31: :b31:
:b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 เม.ย. 2013, 20:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 เม.ย. 2013, 21:54
โพสต์: 63

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b32: ดิฉันจำได้ ว่าดิฉันขออนุญาติปิดกระทู้แล้ว :b12: :b12:

:b8: ขอบคุณท่านผู้รู้ทุกๆท่านที่มาให้ความรู้และมาสะกิดข้อที่ติดขัดให้คะ :b12:

ดิฉันถือว่า เป็นธรรมดา ที่เราจะต้องมีจิตที่เป็นกุศลกรรมบ้าง อกุศลกรรมบ้าง เพราะยัง

เป็นนักเดินทางอยู่ กำลังเดินอยู่ จึงไม่แปลกที่จะผิด จะถูก เมื่อผิดก็แก้ให้ถูก ไปเรื่อยๆก็

เท่านั้นเอง


และดิฉันถือว่า เป็นธรรมดาอีกนะแหละ ไม่รุ้จะต้องด่าตัวเองไปทำไม :b32: ว่าตัวเองนั้น

มันยังโง่ ยังมีอวิชชาอยู่ในใจ เพราะจริงๆ แล้ว มันก็มีกันอยู่ทั่วทุกคนกัน :b12: เพราะเรา

ยังไม่ถึงซึ่งพระนิพพาน :b8: ...ก็แค่รู้ก็เดินไปต่อ ในนึงวันขอให้ทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ก็เพียงพอ

และทำชั่วให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ก็เพียงพอ...แค่นี้ก็พอใจแล้วคะ :b12: :b12:

เรายังเป็นแค่นักฝึกหัดในทางธรรม ทำได้เท่าที่ทำได้ ทำตามกำลัง สภาวะทุกสภาวะที่เกิดขึ้น

ก็ไม่พ้นไตรลักษณ์อยู่ดี :b12: ...ทุกอารมณ์ ไม่ว่าดีหรือไม่ดี หรือเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล

มันมีเกิดแล้วก็มีดับ...ก็แค่ปล่อยมันผ่านไป ไม่ยึด :b12: ...ยึดทำไมให้ใจเราหมอง

ยึดกับอดีตที่เป็นอกุุศล ให้ใจมันหมองตลอดเวลาทำไม...ดิฉันคิดอย่างนี้นะ


วันนี้ดิฉันมาคุยเล่นเฉยๆ :b12: หวังว่าคงจะไม่ว่ากันนะคะ :b15: ธรรมในตัวดิฉันนั้นไม่มี

มีแต่เพียรเรียนรู้ไปเท่านั้นเอง...ขอบคุณที่เป็นห่วงเป็นใย สะกิดธรรมให้ตลอดเวลา :b8: :b12:

...ก็ทำอยู่...ก็เดินอยู่..และกำลังเดินอยู่ :b13:


ส่วนมรรคผลนั้น ดิฉันมองในมุมที่ว่า ก็เดินตามเหตุไปเถิด... เพราะเข้าใจแล้วว่า..เมื่อมันถึง..

ถึงไม่อยากจะได้มันก็ถึง ไม่อยากจะได้มันก็ต้องได้...และเมื่อมันไม่ถึง...อยากจะได้หรือทะยาน

อยากแค่ไหนมันก็ไม่ถึง :b12: หลงมาหลายรอบไง เลยเข้าใจในคำนี้ ตามคำที่ได้เขียนออกมา

ก็บอกตัวเองได้ว่า แค่เดินไปก็เพียงพอดูแต่เหตุ ผลมันก็จะมาเอง...อีกอย่าง ได้อ่านคำสอนหลวงปู่

ที่ท่านได้สอนไว้ว่า...การไม่เป็นอะไรดีที่สุด... :b8: ...จริงๆคำๆนี้ ดิฉันนั่งคิดพิจารณาอยู่นานนะ

ถึงเข้าใจ และใจมันยอมรับว่า การไม่เป็นอะไรนั้นดีที่สุดจริงๆ เป็นอิสระ ไม่มีอะไรมาเป็นขอบเขตกั้น

ไว้..ไม่มีอะไรมาค้ำคอไว้ :b32:


การเป็นตัวเอง เป็นตัวตนของตน นั้นดีที่สุดแล้ว ไม่ต้องสนใจว่าเราจะเป็นอะไร แค่เดินตาม ทำตาม

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านได้สอนไว้ ก็เพียงพอ...ทำไปเรื่อยๆ จนถึงวันที่เราหมดลมหายใจ

เราก็ค่อยมาว่ากัน มาวัดกันว่า สิ่งที่เราได้ทำมานั้น ผลมันออกมาเป็นยังไง...ถ้าสอบตก ก็เกิดอีกครั้ง

มาสอบใหม่ :b32: ...ถ้าสอบผ่านก็จะไม่ได้เกิดขึ้นมาอีก ก็แค่นั้น :b12:


ดิฉันทำมาและพยายามทำทั้งหมด ก็เพื่อวันสุดท้ายที่มีลมหายใจเท่านั้นเอง...ระหว่างมีชีวิตอยู่ก็

แค่ทำไป...


จริงๆ อยากขอบพระคุณทุกท่าน :b8: ...ที่มาเป็นครูให้ ในเรื่องการกระทบอายตนะ มันทำให้ดิฉัน

เข้าใจในคำที่ว่า เมื่อเรายังมีลมหายใจ เราย่อมโดนกระทบเป็นธรรมดา เพราะเราไม่ใช่ตอไม้ :b32:

และเราก็อยู่ในสังคม ไม่ได้อยู่ในถ้ำ หรืออยู่คนเดียว จนไม่มีเหตุอะไรที่จะสามารถมากระทบได้ :b12:

และมาสอนให้รู้ว่า เมื่อจิตหวั่นไหว เราทำอย่างไร ในการใช้วิกฤติของอารมณ์ที่เกิดขึ้น

มาผันเป็นธรรม เพื่อมาสอนตน ในคำว่า ธรรมดา...เข้าใจในคำว่าธรรมดา ที่ทุกอารมณ์ต้องเกิด

เมื่อเรายังมีขันธ์ห้า...แต่เมื่อดิฉันพูดแบบนี้ อย่ามาสอบดิฉันบ่อยนะ :b32: ดิฉันเหนื่อยในการต้อง

มาผันอารมณ์ให้มันเป็นข้อคิดในด้านทางธรรม :b15: ...ดิฉันอยากอยู่แบบสงบๆเงียบๆบ้าง

ไม่อยากมีตัวมีตนให้ใครมาสนใจ และมาเป็นครูคอยสอบดิฉันบ่อยๆ :b32:

:b8: ลาทุกๆท่านนะคะ :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 เม.ย. 2013, 01:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอให้โชคดีนะครับ มีครูสอบอารมณ์นั้นดีแล้วครับ

ส่วนตัวผมไม่เคยมีการสอบอารมณ์จากใคร เพราะผมไม่เคยไปปฏิบัติธรรมที่วัด หรือ สำนักวิปัสสนา ถือว่าเป็นความด้อยวาสนาของผมอีกอย่างหนึ่ง ที่ไม่รู้จักหาครูบาอาจารย์

ในชีวิตปัจจุบัน หากวัดเป็นอารมณ์ ก็มีลุ่มๆดอนๆ ทั้งๆที่คิดว่าเราเองมีจิตตั้งมั่น แต่พอเจอปัญหา(ทางกิเลส)ก็กลับกลายเป็นคนละคน มีความรนราน สลับ ซึมเศร้า อารมณ์ที่เป็นอกุศลเกิดขึ้น ก็เกิดมาได้ประมาณ3อาทิตย์ ส่วนตัวนั้นได้ใช้ธรรมที่ฝึกมา พยายามข่มจิต มีสติ ข่มใจ เอาทุกทางที่เราคิดว่า เราจะไม่บริโภคกาม เราจะบริโภคความจริง ความจริงคือ ความจริง ความเกิดดับของธรรมทั้งหลายคือความจริง ไม่ว่าจะใช้อายตนะส่วนใด ก็ขอน้อมเข้าหาความจริง คือ เหมือนจะยอมแพ้ต่อกิเลส แต่อีกใจหนึ่งก็ฮึดสู้ ไม่ยอม กามกับความจริงจึงบริโภคสลับกัน นั่งขับรถไปเรื่อยๆ ความหดหู่เข้าครอบงำ เปิดเพลง แดนส์ ฟังเพื่อให้สะใจกันไปข้างหนึ่ง จู่ๆอีกใจหนึ่งก็หวนคิด เอ โสตผัสสะที่เกิดขึ้นนั้นเป็นลักษณะจังหวะ ตุบ ๆ ๆ ทำไมเราไม่พิจารณาการเกิดดับของธรรมนี้ ก็พิจารณาเอาเสียงตุบๆๆ ของโสตพิจารณาการเกิดดับของธรรม ก็เกิดความจางคลายของกิเลส วกเข้ากำหนดลมหายใจเข้าออก เกิดความผ่อนคลาย กิเลสนี่เป็นทุกข์จริงๆ เป็นทุกข์ที่มีผลคือความเดือนร้อนใจ ความจริงก็เป็นทุกข์ แต่ความจริงนั้นเราปล่อยวางได้ รู้แต่ปล่อยวาง กิเลส ยิ่งครอบงำ ยิ่งยึดมั่นถือมั่น

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 เม.ย. 2013, 10:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
ขอให้โชคดีนะครับ มีครูสอบอารมณ์นั้นดีแล้วครับ

ส่วนตัวผมไม่เคยมีการสอบอารมณ์จากใคร เพราะผมไม่เคยไปปฏิบัติธรรมที่วัด หรือ สำนักวิปัสสนา ถือว่าเป็นความด้อยวาสนาของผมอีกอย่างหนึ่ง ที่ไม่รู้จักหาครูบาอาจารย์



แปลกมาก... :b10: ...ที่ยังไม่เจอครูบาอาจารย์..ก็เห็นว่าไฝ่หาความดีอยู่

แต่...คงยังไม่ถึงวาระ..มั้งคับ

แต่เจ้าวาระนี้...ก็ไม่ใช่อะไรอื่นไกล....มันเป็นผลจากการกระทำของเราในอดีตเอง...ผลจากที่เราตั้งจิตผูกกะอะไรใว้สักอย่าง...การตั้งจิตอธิฐานเก่า ๆ ของเรานี้แหละ

แต่ก็ใช่ว่าเราจะต้องเป็นไปตามกรรมเก่าของเราแต่ถ่ายเดียว...ทำกรรมใหม่..เส้นทางก็เปลี่ยนไปได้

พระพุทธเจ้าตรัสทำนองว่า....จะทำนายว่ามหาสมุทรทั้ง 4 แห้งเมื่อไร..ทำได้...แต่จะทำนายว่าสัตว์ที่มีอวิชชาอยู่จะพ้นจากวัฏฏะสงสารเมื่อไร...ทำนายไม่ได้เลย

หมายความว่าอะไร?...ก็หมายความว่า...จะทำนายว่าสัตว์จะทำกรรมใหม่เพื่อความหลุดพ้นเมื่อไรนั้น...ทำไม่ได้...ทำนายกรรมใหม่ไม่ได้...นี้เป็นความเข้าใจของผมนะ

ดังนั้น...เราจะเป็นอะไรก็ได้ทั้งหมด...ถ้าเราตั้งใจ
อยากเป็นพระพุทธเจ้า..ก็ตั้งใจเอา
อยากเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า..ก็ตั้งใจเอา
อยากเป็นพระอรหันต์เสียแต่ชาตินี้...ก็ตั้งใจเอา

ตั้งใจเอาใหม่... :b17: :b17:

แม้อดีตเราอาจจะเคยตั้งจิตผูกใว้กะครูบาอาจารย์ท่านใดท่านหนึ่ง....แต่อาจารย์ท่านนั้นยังไม่พ้นทุกข์เพื่อมาสอนเราได้...ก็จะเกิดอาการอย่างนี้ได้เช่นกัน..คือ..ไม่มีอารมณ์ไปศึกษาจากใคร

ถ้ารอได้...ก็รอ :b16:
ถ้าเห็นภัย..รอไม่ได้...ก็ตั้งจิตตั้งใจใหม่

ถ้าตั้งจิตว่าจะเอาชาตินี้...เดียวสักพัก...ได้เรื่อง :b32:

ของผมกว่าจะคิดได้..เล่นเอาซะบุญเกือบหมดหน้าตัก...ต้องว่ากันใหม่ตั้งแต่พื้นฐานคือ..ทาน..ศีล...กันเลย..เล่นเอาเหนื่อย :b5: :b5:

อย่าปล่อยให้บุญเหลือน้อย...นะเพื่อน ๆ...จากพื้นขึ้นไปบนฟ้าก็ว่าก็ลำบากแล้ว...แล้วยังต้องตระเกียกตระกายขึ้นจากเหวเพื่อมายืนบนพื้นให้ได้ก่อน...นี้..มัน 2 in 1....มันเหนื่อยเด้อ.. s002 s002


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 เม.ย. 2013, 13:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ส.ค. 2011, 13:22
โพสต์: 79


 ข้อมูลส่วนตัว


รู้ทุกข์แต่ไม่ทุกข์ แสดงว่ารู่ทุกข์ด้วยปัญญา คือมีสติตลอดเวลาว่านี้ทุกข์แล้วดับมันซะ อารมณ์เลยเข้าอุเบกขา และรู้กฏไตรลักษณ์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป สาธุ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 141 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 6, 7, 8, 9, 10

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร