วันเวลาปัจจุบัน 22 มิ.ย. 2025, 00:04  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 925 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13 ... 62  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ย. 2013, 07:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
:b12: :b12: :b12:
"หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน" นะครับ คุณวลัยพร

อีกไม่นานก็จะรู้ชัดว่าใครถ่มน้ำลายรดฟ้า

"ทองแท้ย่อมทนต่อการพิสูจน์ ธรรมแท้ ย่อมเป็นสัจจะ อมตะชั่วนิรันดร์ ทนต่อการพิสูจน์"

"ทองเทียม ถูกขัดถูไปไม่นานก็ลอก ปอกเอากิเลส ตัณหา อัตตา มานะทิฏฐิ วิจิกิจฉา โทสะ ปฏิฆะของตนออกมาประจานให้โลกรู้ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ"



โสกะจะพูดทำไม เหมือนประจานตัวเอง เอาสำนวนสุภาษิตมาประชดประชันชาวบ้าน
พุทโธ่เอ้ย! มันเข้าตัวเองทั้งนั้น

พูดมาได้.."ทองแท้ย่อมทนต่อการพิสูจน์ สัจจะอมตะชั่วนิรันด์" ผมฟังแล้วรู้สึกคลื่นไส้
คุณโสกะครับ ก้มดูตัวเองก่อนเถอะว่า....คุณเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนล็อกอินมากี่ล็อกอินแล้ว

ถ้าไม่กลัวการพิสูจน์จะเปลื่ยนชื่อแซ่ทำไม นั้นเป็นเพราะอายคำพูดที่ตัวเองเคยแสดงไว้
คุณโสกะคุณก็ไม่แตกต่างจาก...บิกทู่จอมหื่นเท่าไรหรอก

บิกทู่เข้ามาในเว็บธรรมะ ก็เพื่อจะสร้างภาพเอาไว้หลอกเด็กสาวๆ เสแสร้งว่าตัวเองธรรมะธัมโม :b32:

ส่วนตัวคุณจุดประสงค์ก็เพื่อ โปรโมตสำนักตนเอง

ที่ผมกล่าวไปทุกคำพูด ไม่ได้หมิ่นประมาท แต่ผมพูดตามเหตุปัจจัย
และเหตุปัจจัยก็เอามาจากคำพูดคุณที่ว่า...."เพราะทั้งหมดเป็นหลักฐานประจานตัวคุณเอง
ที่บันทึกอยู่ในลานธรรมจักรแห่งนี้"


นั้นแสดงว่าผมมีหลักฐาน การกระทำของคุณ เพราะมันมีหลักฐานที่ประจานตัวคุณ ในลานธรรมจักร

:b12: :b12:
คุณโฮฮับนี่เข้าทำนองคนที่ว่า....."ฟังไม่ได้ศัพท์ จับเอามากระเดียด"

คุณยังไม่รู้เหตุผลและยังไม่เคยถามเหตุผลเลยว่า ทำไมอโศกะต้องเปลี่่ยนชื่อล๊อกอินหลายครั้ง แล้วก็มาสรุปตีความเอาเองว่าอโศกะหลอกลวง.......

หัดมองโลกและผู้อื่นในแง่ดีแง่บวก เสียบ้างนะครับ จะได้อยู่สบาย จิตใจจะได้เป็นสุข ไม่ต้องมานั่งพิมพ์ข้อความวิพากษ์วิจารณ์ ยาวยืดเป็นน้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง ยกตนข่มท่าน สบประมาทผู้อื่นไปทั้งลานธรรมอยู่อย่างทุกวันนี้


อโศกะ คอยจะลืมพาสเวิร์ดทุกที เมื่อไปล๊อกอินเข้า แทบเลทบ้าง สมาร์ทโฟนบ้าง กลับมาพีซีบ้าง เพราะช่วงสมัครเข้าลานธรรมจักรใหม่ๆ มีการเดินทางบ่อย พอเข้าไม่ได้ แต่เสียดายเวบบอร์ดดีๆและประเสริฐอย่างลานธรรมจักรนี้เลยต้องเปลี่ยนชื่อล๊อกอินสมัครใหม่อยู่ 2 - 3 ครั้ง เดี๋ยวนี้ จดไว้อย่างดีแล้ว ต่อไปคงไม่เปลี่ยนชื่ออีก เลยขออนุญาตแจ้งบอกกล่าวกัลยาณมิตรทุกท่านให้ทราบเสียเลยว่า

อโศกะ ......asoka.....อนัตตาธรรม ในลานธรรมจักร ในลานธรรมเสวนา เป็นคนเดียวกัน

ส่วนในลานธรรมอื่นนั้น เช่น ธรรมไทย ใช้ชื่อว่า "เนินฆ้อ".....

พิมพ์ให้กูเกิ้ลเขาค้นหาดู ก็จะพบและรู้จักกันมากขึ้นครับ



หลักฐานที่ประจานตัวคุณโฮฮับนั้นมีมากมายเหลือเกิน แค่ไปทำกระทู้ผู้อื่นถูกล็อก ก็หลายสิบกระทู้ลองไปค้นดู

แล้วที่ไปแสดงธรรมผิดธรรม ค้านตัวเองก็มีตั้งเยอะแยะ

ที่ไปแสดง สับปลับผลาวาจา ปิสุณาวาจา หรือแม้กระทั่งผรุสวาจาก็มีมากมาาย ในกระทู้นี้ก็เยอะ ลองย้อนกลับไปสังเกตวิเคราะห์กันดูนะครับ

s005 s005
แล้วที่ไปพยายามโจมตี รุมกัดรุมทึ้ง มองแต่ลบของคุณ Amazing ทั้งๆที่เขามีเรื่องดีๆที่น่าชื่นชมมากมายกลับไม่มองไม่วิพากษ์วิจารณ์ นี่ก็ส่อแสดงนิสัยอันฝังลึกในขันธสันดาน ยากจะขุดถอน ที่คงจะเป็นคุณลักษณะประจำของโฮฮับตลอดไปทั้งในลานนี้และที่อื่น คือ มองลบไว้ก่อน
:b34:
เปลี่ยนจิตเปลี่ยนใจมาฝึกสร้างนิสัยใหม่คือมองโลกในแง่บวกให้มาก มองหาค้นหาคุณงามความดีเสริมสร้างคุณงามความดีของเพื่อนมนุษย์เสียเถิด แล้วจิตใจคุณจะไม่ได้เศร้าหมอง ขุ่นมัว พบแต่สิ่งที่คับแค้น ขัดเคือง

ลองพิจารณาย้อนหลังกลับไปบ้างซิ ว่ากับอโศกะ คุณAmazing คุณกรัชกาย กับอีกหลายท่่านหลายคน มีใครบ้างที่คุณไม่เคยคัดง้างกับเขา จนบางคนบางท่านเอือมระอาหรือมองหน้ากันไม่ติดไม่อยากเสวนาด้วย

มาส่งเสริมธรรมด้วยการมองโลก มองเพื่อนมนุษย์ในทางบวกกันเถิดนะครับ ลานนี้และโลกนี้จะได้สงบร่มเย็น เป็นสุข

tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ย. 2013, 07:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
amazing เขียน:
โฮฮับ เขียน:
amazing เขียน:
[โฮฮับเข้าใจธรรมชาติอะไรผิดหรือเปล่า สมัยที่ผมรักษาศิลแปดผมก้อรักษาพรหมจรรย์ และเมื่อถอยมาที่ สิลห้ามันผิดตรงไหนที่จะรักทำมชาติและเ ซ็กมันผิดตรงไหนอ่ะ ไม่เสแสร้งเปิดเผยไม่เลิกกับเมียไปหาญิงอื่นเหมือนโฮฮับนี่ :b12:


แบบนี้เขาเรียก.....ไอ้ผู้ร้ายปากแข็ง :b32:
ถ้าเป็นสมัยโบราณ บิกหื่นต้องโดนหวายแช่ฉี่ลงหลัง โทษฐานไม่ยอมสำนึก
และฉี่นั้นต้องเป็นฉี่หญิงที่มีสามีแล้ว จะได้ให้พี่บิกหื่นสำเหนียกว่า มีเมียอยู่แล้ว
อีกทั้งเมียมีบุญคุณหาเลี้ยงตัวเอง ยังกล้าที่จะนอกใจหาเศษหาเลยกับเด็กสาวๆ

พี่บิกทู่(หื่น)หมั่นท่องไว้ครับว่า........

ภรรยา สะระนัง คัจฉามิ เมียที่หาเลี้ยงตนเอง ย่อมเป็นที่พึ่งที่ระลึก :b32:
เมียซื้อรถใหม่ให้ขี่อีกไม่แพงหรอกล้านกว่าๆ

อะเมซิ่งยังบุญเก่าน้อยกว่าน้าคุณน้องนะ น้าคุณน้องมีมินิคูปเปอร์ สองล้านกว่า มี bmw เกือบห้าล้าน มีบ้านหลังละ25 ล้าน(ราคาขึ้นแล้วอิอิ) ซื้อให้เป้นชื่อน้าคนเดียว แถมให้ตังไว้กินไว้ใช้ เดือนละ สองแสน มีคนโดแสนสริริให้คนเช่า1หลัง มีคอนโดแถวท่าพระอีก2หลัง (ให้คนเช่า)แถมมีร้านเสริมสวยเป็นของตนเอง แถมมี่ที่นาเกือบ50ไร่ ที่อุบลราชธานี 5555+

:b20:
เจ๋ง

ได้เวลา ได้ช่อง ได้เหตุ และโอกาสแสดงความจริงบางอย่างที่น่าทึ่งและน่าชื่นชม ถึงว่าถึงได้มีเวลามาท่องลานธรรมได้ไม่อั้น

โฮฮับ รู้ความลับของเศรฐินีนี่แล้ว สนไหมฺ? อยากย้ายบ้านไปอยู่กับคู่หูหรือเปล่า?

:b12: :b12: :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ย. 2013, 08:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:



อีกไม่นานก็จะรู้ชัดว่าใครถ่มน้ำลายรดฟ้า

"ทองแท้ย่อมทนต่อการพิสูจน์ ธรรมแท้ ย่อมเป็นสัจจะ อมตะชั่วนิรันดร์ ทนต่อการพิสูจน์"

"ทองเทียม ถูกขัดถูไปไม่นานก็ลอก ปอกเอากิเลส ตัณหา อัตตา มานะทิฏฐิ วิจิกิจฉา โทสะ ปฏิฆะของตนออกมาประจานให้โลกรู้ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ"



ติดเป็นนิสัย โพสอะไรลงมา ชอบกระทำยกตนข่มท่าน

นี่แหละ สิ่งที่อโสกะ เป็นอยู่ ชอบเปรียบเทียบ ชอบยกตนข่มท่าน :b6:



asoka เขียน:
สังขารุเปกขาญาณ เป็นอุปกิเลส เพิ่งเคยได้ยินจากคุณวลัยพรเป็นครั้งแรกในชีวิตครับ






walaiporn เขียน:
asoka เขียน:



ลมหายใจ หัวใจเต้น ชีพจร กระแสสั่นสะเทือนในร่างกาย (Vibration)...หรือที่สุด การที่จิตไปหยุดการทำงานของความคิดนึกปรุงแต่ง ที่เรียกว่า "สังขารุเปกขาญาณ"




สภาวะนี้ เรียกว่า อุปกิเลส เหตุจาก ความยึดมั่นถือมั่น ในสภาวะที่เกิดขึ้น

เหตุจาก ความทะยานอยาก อยากมี อยากได้ อยากเป็นอะไรๆ ในสมมุติ



ต้องแปลไทยเป็นไทย ผู้ที่มีลักษณะอาการแบบคุณอโสกะ ชอบเปรียบเทียบ ชอบยกตนข่มท่าน
เหตุจาก ความยึดมั่นถือมั่น ในสภาวะต่างๆที่เกิดขึ้น

แล้วนำสิ่งที่คิดว่ารู้(ยึดมั่นถือมั่น) นำมาสร้างเหตุกับผู้อื่น ให้เกิดขึ้นเนืองๆ
มากกว่า กระทำเพื่่อดับเหตุของการเกิด



สภาวะทุกสภาวะที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องปกติธรรมดาของสภาวะ ไม่ใช่เรื่องวิเศษอันใด

เพราะ ยังไม่สามารถนำมากระทำเพื่อดับเหตุของการเกิดได้



การไม่รู้ชัดในสภาวะที่เกิดขึ้นว่า เป็นความปกติของสภาวะ ที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย ของสภาวะนั้นๆ

เหตุของความไม่รู้ที่มีอยู่ จึงเกิดความยึดมั่นถือมั่นต่อสภาวะที่เกิดขึ้น ทั้งๆที่เป็นเรื่องปกติ ธรรมดาๆ ของสภาวะที่เกิดขึ้น

เมื่อเกิดความยึดมั่นถือมั่นในสภาวะที่เกิดขึ้น สภาวะนั้นๆ จากสภาวะปกติ กลับกลายเป็น อุปกิเลสไปทันที ทำให้ปิดกั้น ไม่สามารถเห็นตามความเป็นจริงของตัวสภาวะที่เกิดขึ้นได้ว่า มันเป็นเรื่องปกติ

พอเกิดการยึดติด จากเรื่อง ปกติของสภาวะ กลายเป็นของวิเศษ ไปทันที

แถมยังเสกให้ผู้ยึด นำมากระทำ เพื่อดับเหตุของการเกิด(หยุดสร้างเหตุนอกตัว) ยังไม่ได้

นี่น่ะรึ ของวิเศษ มีแต่ก่อภพ ก่อชาติใหม่ ของการเกิด ในเกิดขึ้นเนืองๆ




ภิกษุ ท. ! ทารกนั้น ครั้นเจริญวัยขึ้นแล้ว มีอินทรีย์อันเจริญเต็มที่แล้ว
เป็นผู้เอิบอิ่มเพียบพร้อมด้วยกามคุณห้า ให้เขาบำเรออยู่ :

ทางตาด้วยรูป, ทางหูด้วยเสียง, ทางจมูกด้วยกลิ่น, ทางลิ้นด้วยรส, และทางกายด้วยโผฏฐัพพะ,

ซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งที่น่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ ที่ยวนตา ยวนใจให้รัก
เป็นที่เข้าไปตั้งอาศัยอยู่แห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดย้อมใจ และเป็นที่ตั้งแห่งความรัก.

ทารกนั้น ครั้นเห็นรูปด้วยจักษุ เป็นต้นแล้ว
ย่อมกำหนัดยินดี ในรูป เป็นต้น ที่ยั่วยวนให้เกิดความรัก,
ย่อมขัดใจในรูป เป็นต้น อันไม่เป็นที่ตั้งแห่งความรัก ;

ไม่เป็นผู้ตั้งไว้ซึ่งสติอันเป็นไปในกาย มีใจเป็นอกุศล
ไม่รู้ตามที่เป็นจริง ซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ
อันเป็นที่ดับไม่เหลือแห่งธรรมอันเป็นบาปอกุศลทั้งหลาย.

กุมารน้อยนั้น เมื่อประกอบด้วย ความยินดีและความยินร้ายอยู่เช่นนี้แล้ว,
เสวยเฉพาะซึ่งเวทนาใด ๆ เป็นสุขก็ตาม ทุกข์ก็ตาม ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุขก็ตาม,
เขาย่อมเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่ ซึ่งเวทนานั้น ๆ.

เมื่อเป็นอยู่เช่นนั้น, ความเพลิน(นันทิ) ย่อมบังเกิดขึ้น.
ความเพลินใด ในเวทนาทั้งหลาย มีอยู่,

ความเพลินอันนั้น เป็นอุปาทาน.

เพราะอุปาทานของเขานั้นเป็นปัจจัย จึงเกิดมีภพ ;

เพราะภพเป็นปัจจัย จึงเกิดมีชาติ ;

เพราะชาติเป็นปัจจัย, ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ
ทุกขะ โทมนัส และอุปายาส จึงเกิดมีพร้อม.

ความก่อขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้ แล.
- มู. ม. ๑๒/๔๘๗-๔๘๘/๔๕๒-๔๕๓



ภิกษุ ท. ! ธาตุที่สามารถสลัดซึ่งสิ่งที่ควรสลัด (นิสฺสารณิยธาตุ) ๕
อย่างเหล่านี้ มีอยู่. ห้าอย่างอย่างไรเล่า ?

ห้าอย่างคือ :-

ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้คือ เมื่อภิกษุ กระทำในใจอยู่ซึ่งกามทั้งหลาย,
จิตก็ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไป ในกามทั้งหลาย ;

แต่เมื่อภิกษุนั้น กระทำในใจอยู่ซึ่งเนกขัมมะ,
จิตก็แล่นไป ก็เลื่อมใส ก็ตั้งอยู่ ก็น้อมไป ในเนกขัมมะ.

จิตของเธอนั้น ชื่อว่าถึงดี อบรมดี ออกดี หลุดพ้นดีปราศจาก กามทั้งหลายด้วยดี ;
และเธอนั้นหลุดพ้นแล้ว จากอาสวะทั้งหลายอันทำ ความคับแค้นและเร่าร้อน
ที่เกิดเพราะกามเป็นปัจจัย ; เธอก็ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น.

อาการอย่างนี้ นี้ เรากล่าวว่า ธาตุเป็นเครื่องสลัดเสียซึ่งกามทั้งหลาย.
ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก,
คือ เมื่อภิกษุ กระทำในใจอยู่ซึ่งพ๎ยาบาท,
จิตก็ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไป ในพ๎ยาบาท;

แต่เมื่อภิกษุนั้น กระทำในใจอยู่ซึ่งอัพ๎ยาบาท,
จิตก็แล่นไป ก็เลื่อมใส ก็ตั้งอยู่ ก็น้อมไป ในอัพ๎ยาบาท.

จิตของเธอนั้น ชื่อว่าถึงดี อบรมดี ออกดี หลุดพ้นดี ปราศจากพ๎ยาบาทด้วยดี;
และเธอนั้นหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย อันทำความคับแค้น และเร่าร้อน
ที่เกิดเพราะพ๎ยาบาทเป็นปัจจัย; เธอก็ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น.

อาการอย่างนี้ นี้ เรากล่าวว่า ธาตุเป็นเครื่องสลัดเสียซึ่งพ๎ยาบาท.

ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก,
คือ เมื่อภิกษุ กระทำในใจอยู่ซึ่งวิหิงสา,
จิตก็ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไป ในวิหิงสา ;

แต่เมื่อภิกษุนั้น กระทำในใจอยู่ซึ่งอวิหิงสา,
จิตก็แล่นไป ก็เลื่อมใส ก็ตั้งอยู่ ก็น้อมไป ในอวิหิงสา,

จิตของเธอนั้น ชื่อว่าถึงดี อบรมดี ออกดี หลุดพ้นดี ปราศจาก วิหิงสาด้วยดี;
และเธอนั้นหลุดพ้นแล้ว จากอาสวะทั้งหลาย อันทำความคับแค้น และเร่าร้อน
ที่เกิดเพราะวิหิงสาเป็นปัจจัย; เธอก็ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น.

อาการอย่างนี้ นี้เรากล่าวว่า ธาตุเป็นเครื่องสลัดเสียซึ่งวิหิงสา.
ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก,
คือ เมื่อภิกษุ กระทำในใจอยู่ซึ่งรูปทั้งหลาย,
จิตก็ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไป ในรูปทั้งหลาย ;

แต่เมื่อ ภิกษุนั้น กระทำในใจอยู่ซึ่งอรูป,
จิตก็แล่นไป ก็เลื่อมใส ก็ตั้งอยู่ ก็น้อมไป ในอรูป.

จิตของเธอนั้น ชื่อว่าถึงดี อบรมดี ออกดี หลุดพ้นดี ปราศจากรูปทั้งหลายด้วยดี;
และเธอนั้นหลุดพ้นแล้ว จากอาสวะทั้งหลาย อันทำความคับแค้นและเร่าร้อน
ที่เกิดเพราะรูปทั้งหลายเป็นปัจจัย; เธอก็ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น.

อาการอย่างนี้ นี้เรากล่าวว่า ธาตุเป็นเครื่องสลัดเสียซึ่งรูปทั้งหลาย.

ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก, คือ
เมื่อภิกษุ กระทำในใจอยู่ซึ่งสักกายะ (ความยึดถือว่าตัวตน),
จิตก็ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไปในสักกายะ;

แต่เมื่อภิกษุนั้น กระทำในใจอยู่ซึ่งความดับแห่งสักกายะ,
จิตก็แล่นไป ก็เลื่อมใส ก็ตั้งอยู่ ก็น้อมไป ในความดับแห่งสักกายะ,

จิตของเธอนั้น ชื่อว่าถึงดี อบรมดี ออกดี หลุดพ้นดี ปราศจากสักกายะด้วยดี;
และเธอนั้นหลุดพ้นแล้ว จากอาสวะทั้งหลาย อันทำความคับแค้นและเร่าร้อน
ที่เกิดเพราะสักกายะ เป็นปัจจัย ; เธอก็ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น.

อาการอย่างนี้ นี้เรากล่าวว่า ธาตุเป็นเครื่องสลัดเสียซึ่ง สักกายะ.

นันทิ (ความเพลิน) ในกาม ก็ไม่นอนตาม (ในจิต) ของเธอ;
นันทิในพ๎ยาบาท ก็ไม่นอนตาม (ในจิต) ของเธอ;
นันทิในวิหิงสา ก็ไม่นอนตาม (ในจิต)ของเธอ ;
นันทิในรูป ก็ไม่นอนตาม (ในจิต) ของเธอ ;
นันทิในสักกายะ ก็ไม่นอนตาม (ในจิต) ของเธอ.

เธอนั้น เมื่อกามนันทิก็ไม่นอนตาม พ๎ยาปาท นันทิก็ไม่นอนตาม วิหิงสานันทิก็ไม่นอนตาม
รูปนันทิก็ไม่นอนตาม สักกายนันทิก็ไม่นอนตาม ดังนี้แล้ว ;

ภิกษุ ท. ! เรากล่าวภิกษุนี้ว่า ปราศจากอาลัยตัดตัณหาขาดแล้ว รื้อถอนสังโยชน์ได้แล้ว
กระทำที่สุด แห่งกองทุกข์ได้แล้ว เพราะรู้เฉพาะซึ่งมานะโดยชอบ.

ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แล ธาตุที่สามารถสลัดซึ่งสิ่งที่ควรสลัด ๕ อย่าง.
- ปญฺจก. อํ. ๒๒/๒๗๒/๒๐๐.



ภิกษุ ท. ! ธรรมนี้ เป็นธรรมที่สมควรแก่ภิกษุ ผู้ปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม.

ธรรมนั้นคือข้อที่ภิกษุ เป็นผู้มากอยู่ด้วย ความรู้สึกเบื่อหน่ายในรูป,
เป็นผู้มากอยู่ด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายในเวทนา,
เป็นผู้มากอยู่ด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายในสัญญา,
เป็นผู้มากอยู่ด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายในสังขาร,
เป็นผู้มากอยู่ด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายในวิญญาณ;

ภิกษุนั้น เมื่อเป็นผู้มากอยู่ด้วย ความรู้สึกเบื่อหน่ายในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ,
ย่อมรู้รอบ ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ ;

เมื่อเขารู้รอบอยู่ซึ่งรูป เวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ แล้ว,
ย่อมหลุดพ้นจากรูปจากเวทนา จากสัญญา จากสังขาร จากวิญญาณ,

ย่อมพ้นได้จาก ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กายทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ ;

เราตถาคตกล่าวว่า เขาย่อมหลุดพ้นจากทุกข์ ดังนี้.
- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๕๐/๘๓.
ภิกษุ ท. ! ธรรมนี้เป็นธรรมที่สมควรแก่ภิกษุ ผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
คือข้อที่ภิกษุเป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยงในรูปอยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยงในเวทนาอยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยงในสัญญาอยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยงในสังขารอยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยงในวิญญาณอยู่เป็นประจำ ;

ภิกษุนั้นเมื่อตามเห็นความไม่เที่ยงในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ อยู่เป็นประจำ,
ย่อมรู้รอบซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ.
เมื่อเขารู้รอบอยู่ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ,
ย่อมหลุดพ้นจากรูป จากเวทนา จากสัญญา จากสังขาร จากวิญญาณ,
ย่อมพ้นได้จากความเกิดความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความโศก
ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ;

เราตถาคตกล่าวว่า เขาย่อมหลุดพ้นจากทุกข์ ดังนี้.
- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๕๑/๘๔.
ภิกษุ ท. ! ธรรมนี้ เป็นธรรมที่สมควรแก่ภิกษุ ผู้ปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม คือ
ข้อที่ภิกษุเป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในรูป อยู่เป็นประจำ เป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในเวทนา อยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในสัญญา อยู่เป็นประจำ, เป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในสังขารอยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในวิญญาณ อยู่เป็นประจำ ;

ภิกษุนั้น เมื่อตามเห็นความเป็นทุกข์ ในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ อยู่เป็นประจำ,
ย่อมรู้รอบ ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ.

เมื่อเขารู้รอบอยู่ ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ,
ย่อมหลุดพ้นจากรูป จากเวทนา จากสัญญา จากสังขาร จากวิญญาณ,

ย่อมพ้นได้จากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ;

เราตถาคตกล่าวว่า เขาย่อมหลุดพ้นได้จากทุกข์ ดังนี้.
- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๕๑/๘๕.
ภิกษุ ท. ! ธรรมนี้ เป็นธรรมที่สมควรแก่ภิกษุ ผู้ปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม คือ
ข้อที่ภิกษุเป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในรูป อยู่เป็นประจำ เป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในเวทนา อยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในสัญญา อยู่เป็นประจำ, เป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในสังขารอยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็นความเป็นทุกข์ ในวิญญาณ อยู่เป็นประจำ ;
ภิกษุนั้น เมื่อตามเห็นความเป็นทุกข์
ในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ อยู่เป็นประจำ,
ย่อมรู้รอบ ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ.

เมื่อเขารู้รอบอยู่ ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ,
ย่อมหลุดพ้นจากรูป จากเวทนา จากสัญญา จากสังขาร จากวิญญาณ,

ย่อมพ้นได้จากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ;

เราตถาคตกล่าวว่า เขาย่อมหลุดพ้นได้จากทุกข์ ดังนี้.
- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๕๑/๘๕.
ภิกษุ ท. ! ธรรมนี้ เป็นธรรมที่สมควรแก่ภิกษุ ผู้ปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม คือ
ข้อที่ภิกษุ เป็นผู้ตามเห็น ความเป็นอนัตตา ในรูป อยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็น ความเป็นอนัตตา ในเวทนา อยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็น ความเป็นอนัตตา ในสัญญา อยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็น ความเป็นอนัตตาในสังขาร อยู่เป็นประจำ,
เป็นผู้ตามเห็น ความเป็นอนัตตา ในวิญญาณ อยู่เป็นประจำ ;

ภิกษุนั้น เมื่อตามเห็นความเป็นอนัตตา ในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ อยู่เป็นประจำ,
ย่อมรู้รอบ ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ,
เมื่อเขารู้รอบอยู่ ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ,

ย่อมหลุดพ้นจากรูป จากเวทนาจากสัญญา จากสังขาร จากวิญญาณ,
ย่อมพ้นได้จากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความโศก
ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ ;

เราตถาคต กล่าวว่า เขาย่อมหลุดพ้นได้จากทุกข์ ดังนี้.
- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๕๒/๘๖.





สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอน มีแต่เรื่อง การกระทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ย. 2013, 10:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ธ.ค. 2009, 00:22
โพสต์: 223

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลักษณะของจิตที่เป็นสมาธิ

โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตโต)

ดังได้กล่าวแล้วข้างต้นว่า อธิจิตตสิกขาคือการฝึกปรือเพื่อเสริมสร้างคุณภาพและสมรรถภาพของจิต ดังนั้น สมาธิ ซึ่งเป็นเป้าหมายของอธิจิตตสิกขานั้นจึงหมายถึง ภาวะจิตที่มีคุณภาพและมีสมรรถภาพที่ดีที่สุด จิตที่เป็นสมาธิ หรือมีคุณภาพดีสมรรถภาพสูงนั้น มีลักษณะที่สำคัญดังนี้

1. แข็งแรง มีพลังมาก ท่านเปรียบไว้ว่าเหมือนกระแสน้ำที่ถูกควบคุมให้ไหลพุ่งไปในทิศทางเดียว ย่อมมีกำลังแรงกว่าน้ำที่ถูกปล่อยให้ไหลพร่ากระจายออกไป
2. ราบเรียบ สงบซึ้ง เหมือนสระหรือบึงน้ำใหญ่ ที่มีน้ำนิ่ง ไม่มีลมพัดต้อง ไม่มีสิ่งรบกวนให้กระเพื่อมไหว
3. ใส กระจ่าง มองเห็นอะไรๆ ได้ชัด เหมือนน้ำสงบนิ่ง ไม่เป็นริ้วคลื่น และฝุ่นละอองที่มีก็ตกตะกอนกันหมด
4. นุ่มนวล ควรแก่งาน หรือเหมาะแก่การใช้งาน เพราะไม่เครียด ไม่กระด้าง ไม่วุ่น ไม่ขุ่นมัว ไม่สับสน ไม่เร่าร้อน ไม่กระวนกระวาย

ไวพจน์ที่แสดงความของสมาธิคำหนึ่งคือ เอกัคคตา แปลกัน ว่า ภาวะที่จิตมีอารมณ์หนึ่งเดียว แต่ถ้าว่าตามรูปศัพท์จะเห็นลักษณะของจิตที่คล้ายกับในข้อแรกคือ เอกัคคตา = เอก + อัคค + ตา (ภาวะ) คำว่า อัคคะในที่นี้ท่านให้แปลว่าอารมณ์ แต่ความหมายเดิมแท้คือ จุดยอด หรือจุดปลาย โดยนัยจิตเป็นสมาธิก็คือ จิตที่มียอดหรือมีจุดปลายจุดเดียว ซึ่งย่อมมีลักษณะแหลมพุ่ง แทงทะลุสิ่งต่างๆ ไปได้ง่าย

จิตที่เป็นสมาธิขั้นสมบูรณ์ เฉพาะอย่างยิ่งสมาธิถึงขั้นฌาน พระอรรถกจารย์เรียกว่า “ จิตประกอบด้วยองค์ 8 ” องค์ 8 นั้นท่านนับจากคำบรรยายที่เป็นพุทธพจน์นั่นเอง กล่าวคือ
1 ตั้งมั่น 2 บริสุทธิ์ 3 ผ่องใส 4 โปร่งโล่งเกลี้ยงเกลา 5 ปราศจากสิ่งมัวหมอง 6 นุ่มนวล 7 ควรแก่งาน 8 อยู่ตัวไม่วอกแวกหวั่นไหว

ท่านว่าจิตที่มีองค์ประกอบเช่นนี้ เหมาะแก่การนำเอาไปใช้ได้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเอาไปใช้งานทางปัญญาพิจารณาให้เกิดความรู้เข้าใจถูกต้องแจ้งชัด หรือใช้ในทางสร้างพลังจิตให้เกิดอภิญญาสมาบัติอย่างใดๆ ก็ได้

ตามที่กล่าวมานี้มีข้อควรย้ำว่า ลักษณะเด่นที่สุดของจิตที่เป็นสมาธิซึ่งสัมพันธ์กับความมุ่งหมายของสมาธิ ด้วยก็คือความควรแก่งาน หรือความเหมาะแก่การใช้งาน และงานที่ถูกต้องตามหลักพุทธศาสนาก็คือ ทางปัญญา อันได้แก่ การใช้จิตที่พร้อมเช่นนั้นเป็นสนามปฏิบัติการของปัญญา ในการพิจารณาสภาวธรรมให้เกิดความรู้แจ้งตามความเป็นจริงและโดยนัยนี้จึงควร ย้ำเพิ่มไว้อีกว่า สมาธิที่ถูกต้อง ไม่ใช่อาการที่จิตหมดความรู้สึก ปล่อยตัวตนเข้ารวมหายไปในอะไรๆ แต่เป็นภาวะที่ใจสว่าง โล่งโปร่ง หลุดออกจากสิ่งบดบังบีบคั้นกั้นขวาง เป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเอง ตื่นอยู่ เบิกบาน พร้อมที่จะใช้ปัญญา พึงพิจารณาพุทธพจน์ต่อไปนี้

“ ภิกษุทั้งหลาย ธรรม 5 ประการต่อไปนี้ เป็นเครื่องปิดกั้น เป็นนิวรณ์ เป็นสิ่งที่กดทับจิต ทำให้ปัญญาอ่อนกำลัง ห้าประการกล่าวคือ กามฉันท์ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา ภิกษุไม่ละธรรม 5 ประการที่เป็นเครื่องปิดกั้น เป็นนิวรณ์ เป็นสิ่งที่กดทับจิต ทำให้ปัญญาอ่อนกำลัง แล้วจักรู้จักประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่น ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย หรือจักประจักษ์แจ้งซึ่งญาณทัศนะอันวิเศษ ที่สามารถทำให้เป็นอริยะ ซึ่งยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์สามัญ ”

“ ด้วยปัญญาที่ทุรพลไร้กำลัง ข้อนี้ย่อมมิใช่ฐานะที่จะเป็นไปได้ เปรียบเสมือนแม่น้ำที่เกิดบนภูเขา ไหลลงเป็นสายยาวไกล มีกระแสเชี่ยวพัดพาสิ่งที่พอจะพัดเอาไปได้ บุรุษเปิดปากเหมืองออกทั้งสองข้างของแม่น้ำนั้น เมื่อเป็นเช่นนั้น กระแสน้ำท่ามกลางแม่น้ำนั้นก็กระจาย ส่ายพร่า เขวคว้าง ไม่แล่นไหลไปไกล ไม่มีกระแสเชี่ยว และพัดพาสิ่งที่พอจะพัดเอาไปไม่ได้... ”

สังคารวพราหมณ์กราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า ท่านพระโคตมะผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัยให้ในบางคราว มนต์ทั้งหลาย แม้ที่ได้สาธยายมาแล้วตลอดเวลายาวนาน ก็ไม่แจ่มแจ้ง ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่มิได้สาธยายตลอดเวลายาวนาน ก็แจ่มแจ้ง ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่ได้สาธยาย

พระพุทธเจ้าตอบตรัสว่า : ดูกรพราหมณ์ ในเวลาใดบุคคลมีใจกลุ้มรุมด้วยราคะ ถูกกามราคะครอบงำอยู่และไม่รู้ชัดตามเป็นจริงซึ่งทางออกแห่งกามราคะที่เกิด ขึ้นแล้ว ในเวลานั้นเขาย่อมไม่รู้ชัด มองไม่เห็นตามเป็นจริง แม้ซึ่งประโยชน์ตน แม้ซึ่งประโยชน์ผู้อื่น แม้ซึ่งประโยชน์ทั้งสองฝ่าย มนต์ทั้งหลาย แม้ที่ได้สาธยายมาตลอดเวลายาวนานก็ย่อมไม่แจ่มแจ้ง ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่มิได้สาธยาย

(บุคคลมีใจกลุ้มรุมด้วยพยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ และวิจิกิจฉาก็เช่นเดียวกัน ทรงเปรียบจิตที่ถูกนิวรณ์ข้อต่างๆ ครอบงำดังต่อไปนี้)
1. (จิตที่ถูกกามราคะครอบงำ) เปรียบเหมือนภาชนะใส่น้ำซึ่งเอาสีครั่งบ้าง สีขมิ้นบ้าง สีเขียวบ้าน สีแดงอ่อนบ้าง ผสมปนกันไว้ คนตาดีมองดูเงาหน้าของตนในภาชนะน้ำนั้น ก็ไม่รู้ไม่เห็นตามเป็นจริง
2. (จิตที่ถูกพยาบาทครอบงำ) เปรียบเหมือนภาชนะใส่น้ำ ที่เอาไฟเผาลน เดือดพล่าน มีไอพุ่ง คนตาดีมองเงาหน้าของตนในภาชนะน้ำนั้น ก็ไม่รู้ไม่เห็นตามเป็นจริง
3. (จิตที่ถูกถีนมิทธะครอบงำ) เปรียบเหมือนภาชนะใส่น้ำที่ถูกสาหร่ายและจอกแหนปกคลุม คนตาดีมองดูเงาหน้าของตนในภาชนะน้ำนั้น ก็ไม่รู้ไม่เห็นตามเป็นจริง
4. (จิตที่ถูกอุทธัจจกุกกุจจะครอบงำ) เปรียบเหมือนภาชนะใส่น้ำที่ถูกลมพัดไหล กระเพื่อมเป็นคลื่น คนตาดีมองดูเงาหน้าของตนในภาชนะน้ำนั้น ก็ไม่รู้ไม่เห็นตามเป็นจริง
5. (จิตที่ถูกวิจิกิจฉาครอบงำ) เปรียบเหมือนภาชนะใส่น้ำที่ขุ่นมัว เป็นตม ซึ่งวางไว้ในที่มืด คนตาดีมองดูเงาหน้าของตนในภาชนะน้ำนั้น ก็ไม่รู้ไม่เห็นตามเป็นจริง

ส่วนบุคคลที่ใจไม่มีนิวรณ์ 5 ครอบงำ และรู้ทางออกของนิวรณ์ 5 ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมรู้เห็นตามเป็นจริง ทั้งประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่น และประโยชน์ทั้งสองฝ่าย มนต์แม้ที่มิได้สาธยายตลอดเวลายาวนานก็แจ่มแจ้งได้ ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่ได้สาธยาย และมีอุปมาต่างๆ ตรงข้ามกับที่กล่าวมาแล้ว
“ ภิกษุทั้งหลาย อุปกิเลสแห่งทอง 5 อย่างต่อไปนี้ ทองเปื้อนปนเข้าด้วยกันแล้ว ย่อมเป็นเหตุให้ไม่อ่อน ไม่ควรแก่งาน ไม่สุกปลั่ง เปราะ ไม่เหมาะที่จะนำไปทำอะไรๆ ; ห้าอย่างเป็นไฉน ได้แก่ เหล็ก โลหะอื่น ดีบุก ตะกั่ว และเงิน...เมื่อใดทองพันจากอุปกิเลส 5 ประการเหล่านี้แล้ว ก็จะเป็นสภาพอ่อน ควรแก่งาน สุกปลั่ง ไม่เปราะ เหมาะที่จะนำไปทำอะไรๆ ได้ดี ”

“ กล่าวคือ ช่างทองต้องการทำเครื่องประดับชนิดใดๆ จะเป็นแหวน ต่างหู สร้อยคอ หรือสุวรรณมาลาก็ตาม ย่อมสำเร็จผลที่ต้องการ ฉันใด อุปกิเลสแห่งจิต 5 อย่างต่อไปนี้ จิตพัวพันเศร้าหมองเข้าแล้ว ย่อมไม่นุ่มนวล ไม่ควรแก่งาน ไม่ผ่องใส เปราะเสาะ และไม่ตั้งมั่นด้วยดี (ไม่เป็นสัมมาสมาธิ) เพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ฉันนั้น ห้าอย่างเป็นไฉน ได้แก่ กามฉันท์ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ และวิจิกิจฉา... ”

“ เมื่อจิตพ้นจากอุปกิเลส 5 ประการเหล่านี้แล้ว ก็จะเป็นสภาพอ่อนโยน ควรแก่งาน ผ่องใส ไม่เปราะเสาะ และย่อมตั้งมั่นด้วยดี (เป็นสัมมาสมาธิ) เพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย อนึ่ง เธอจะน้อมจิตไปเพื่อรู้จำเพาะประจักษ์แจ้งซึ่งอภิญญาสัจฉิกรณีธรรม (สิ่งที่พึงทำให้ประจักษ์แจ้งด้วยการรู้เจาะตรง) อย่างใดๆ ก็ย่อมถึงภาวะที่สามารถเป็นพยานในธรรมนั้นๆ ได้ ในเมื่อเหตุมีอยู่... ”

มีพุทธพจน์บางแห่งตรัสว่า “ ถ้าภิกษุปราศจากนิวรณ์ทั้งห้า และได้เริ่มทำความเพียรไม่ย่อหย่อน มีสติกำกับอยู่ไม่เลือนหลง กายผ่อนคลายสงบ ไม่เครียดกระสับกระส่าย จิตตั้งมั่น มีอารมณ์หนึ่งเดียว ไม่ว่าเธอจะเที่ยวไปอยู่ก็ตาม ยืนอยู่ก็ตาม นั่งอยู่ก็ตาม นอนตื่นอยู่ก็ตาม ก็เรียกได้ว่าเป็นผู้มีความเพียร มีโอตตัปปะ ได้เริ่มระดมความเพียรอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ และเป็นผู้อุทิศตัวเด็ดเดี่ยวแล้ว ”

ข้ออุปมาของพระอรรถกถาจารย์เกี่ยวกับสมาธินี้ก็น่าฟัง ท่านว่า สมาธิทำให้จิตตั้งอยู่ในอารมณ์สม่ำเสมอ ทำให้องค์ธรรมทั้งหลายที่เกิดร่วมกับมันผนึกประสานกันอยู่ ไม่พร่า ไม่ฟุ้งกระจายเหมือนน้ำผนึกประสานแป้งเข้าเป็นก้อนเดียว และทำให้จิตสืบต่ออย่างนิ่งแน่วแน่มั่นคง

เหมือนเปลวเทียนในที่สงัดงม ติดไฟสงบนิ่ง ลุกไหม้ไปเรื่อยๆ ส่องแสงสว่างสม่ำเสมอเป็นอย่างดี


อนุโมทนาครับ :b46: :b47: :b8: :b8: :b8: :b47: :b46:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ย. 2013, 11:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:
nongkong เขียน:
amazing เขียน:
nongkong เขียน:
asoka เขียน:
แต่การที่อยู่เฉยๆแล้วสามารถที่จะสัมผัสรู้ ลมหายใจ หัวใจเต้น ชีพจร กระแสสั่นสะเทือนในร่างกาย ได้อย่างชัดเจนนั้น เป็นเรื่องพิเศษขึ้นมาจากคนธรรมดาทั่วๆไป

การสัมผัสรู้ ลมหายใจ หัวใจเต้น คุนน้องนั่งอยู่เฉยๆก็สัมผัสรู้กระแสนั้นได้ แล้วมันเหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไปตรงไหน คุณน้องยังเห็นว่าอโสกะยังเป็นคนปกติธรรมดาไม่ต่างไรกะชาวบ้าน อโสกะก็ยังต้องกินข้าว ยังต้องถ่ายอุจจาระ ยังต้องเจ็บยังต้องป่วยด้วยโรคชราและสักวันก็ต้องตาย ไม่เห็นจะวิเศษเหนือคนธรรมดาตรงไหน 555+ แล้วอโสกะวิเศษกว่าคนอื่นตรงไหน แค่สัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนในร่างกาย คุณน้องก็ยังเห็นว่าอะโสกะก็ยังมีกิเลศหนา พอถูกคุณน้องเข้ามาค้านความเห็นก็กล่าวหาว่าคุณน้อง ไม่รู้ธรรมมะ ไม่เข้าใจรูป-นาม ตามความเป็นจริง แถมว่าคุณน้องอิจฉาริษยา ถามจริงอโสกะมีอะไรให้คุณน้องต้องอิจฉา พุดเหมือนปุถุชนคนธรรมดาทั่วไปเลย อโสกะแก่จนจะลงโลงแล้วต้องไปอิจฉาอะไรกะแค่คนแก่ตาดำๆ :b32: วิปัสนาเค้าก็ปฏิบัติอยู่ทุกๆขณะจิต มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมตลอดเวลา ไม่งั้นถ้าเราไม่มีสติรู้ตัว เวลาเราโกรธเราจะไม่สามารถรู้ชัดอาการเต้นตอดของหัวใจ เมื่อเรารู้เข้าไปรู้สภาะวนั้น เราจะไม่ปรุงแต่งสร้างเหตุออกไปแต่ก็ขึ้นอยู่กับกำลังอินทรีย์ของตน ถ้าเรามีสติกำกับอยู่ที่กาย เห็นความไม่เที่ยงของสภาวะที่มีเหตุปัจจัยมากระทบ และเกิดดับไปตามเหตุปัจจัยก็เท่านี้ แต่ถ้าอินทรีย์เรายังอ่อนเมื่อมีเหตุปัจจัยมากระทบ เราอาจจะเกิดอุปทานข์ขึ้น และมันไม่ใช่ว่าเราจะต้องมานั่งอยู่เฉยๆเพื่อสัมผัส ลมหายใจ หรือสัมผัสหัวใจเต้น แล้วเกิดความรู้สึกยินดีว่าสิ่งนั้นมันพิเศษกว่าผู้อื่นเพราะเราสัมผัสได้ ปุถุชนคนธรรมดา สัมผัสไม่ได้
พูดง่ายๆอโสกะคิดว่าตนเองพิเศษขึ้นมาจากคนธรรมดาทั่วไป อโสกะกะอะเมซิ่งก็ปฏิบัติทำนองเดียวกัน เห็นอะเมซิ่งก็สัมผัสสภาะรู้แรงสั่นสะเทือนของร่างกายเหมือนกันเห็นบอกว่าบรรลุเป็นอริยะขั้นสองด้วยเมื่อก่อน แต่ในเฟสก็ก็ยังโพสความเห็นสดๆร้อน บอกให้ผู้อื่นรู้ว่าแก รักธรรมชาติและเซ็ก5555+แสดงว่า การปฏิบัติที่รับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนในร่างกายนี้ บรรลุธรรมแล้วหรอ เด่วเอาคำพูดของอะเมซิ่งมายืนยัน
อ้างคำพูด:
ท่านอโศกะ จะไปเถียงกับโฮอับทำไมครับเสียเวลาเปล่าๆ เขาไมรู้จักหรอกครับการที่สามารถรับรู้ถึงความรู้สึกทั่วร่างกายนั้นเป็นก้าวแรกของการวิปัสนาที่เป้นภาวนามยปัญญาที่แท้จริง เขารุ้แต่ภาวนาแบบทิ้งเมียอิอิยิ้ม

ปล.ok ปฏิบัติให้รับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนในร่างกาย แต่ว่าสามารถรักธรรมชาติและเซ็กได้ ไม่ผิดนั่นเอง ธรรมมะภาวนามยปัญญาที่รู้แรงสั่นสะเทือนของร่างกายจนเข้าถึง รูปนามตามความเป็นจริงว่า ผมรักธรรมชาติและเซ็ก5555+อยากกอปคำพุดของอะเมซิ่งไปให้ พระที่เป็นพระปฏิบัติได้อ่านจริงๆ ปฏิบัติแบบนี้บรรลุธรรมระดับไหน :b32:
น้องคองต้องสึกสาทำมะเยอะๆนะว่าเพศฆราวาสกับบรรพชิตนั้นสะสมมาต่างกันผุ้ที่ยังบริโภคกามนั้นกับการบรรลุมียุ่มาก ดังพระสุตรนอนจมบ่วงแต่ไม่ติดบ่วงส่วนบรรพชิตนั้นไม่เสพกาม สึกสาเยอะๆแล้วจะรุ้ สิลห้ามีแค่ไหนก้อแค่นั้นอย่าเพิ่ม ดั่งที่ว่ารุ้ถึงรสอร่อย เห็นโทษของมัน รุ้วิธีออกจากมัน และจะค่อยๆพัฒนาไปเอง อย่าบ้าเหมือนโฮบ้าดีจนทิ้งเมีย อิอิ

แต่ถ้าปฏิบัติถูกท่านต้องรู้ว่าท่านต้องสำรวมกาย วา จา ใจโดยเฉพาะ คำพูดการกระทำของท่านที่เป็นเหตุแห่งทุกข์ ท่านรู้ว่าท่านมีวิบากกรรมใดตามติดข้ามภพข้ามชาติ ท่านย่อมจะสำรวมแม้ใจจะห้ามไม่ได้ แต่การกระทำห้ามได้ แต่อะเมซิ่งไม่เลย อะเมซิ่งยังยินดีพอใจในสิ่งนั้น ไม่อย่างงั้น อะเมซิ่งคงไม่กล้าโพสว่า ผมรักธรรมชาติและเซ็ก อะเมซิ่งแน่ใจหรอว่านอนจมบ่วงแต่ไม่ติดบ่วง อะเมซิ่งบอกว่าจะบวชอีกไม่เกิน 3 ปี แต่ถ้าอะเมซิ่งตระบัดสัตย์ อะเมซิ่งเจอวิบากกรรมติดตัวข้ามภพข้ามชาติแน่ เพราะเอามายามาหลอกลวงผู้อื่นในเว็ปธรรมมะที่เป็นเวปพุทธศาสนา และอะเมซิ่งเจอะเจอแต่วิบากกามตามติดตัวไม่จบไม่สิ้น เพราะอะเมซิ่งมีมายาโมหะ ที่อยู่ในจิต มายา คือเจ้าเล่ห์หลอกลวง ไม่จริงใจ พยายามแสดงบทบาทตัวเองเกินความจริง หรือจริงๆ แล้วเรามีน้อยแต่พยายามแสดงออกให้คนอื่นเข้าใจว่ามั่งมี ตะเองเป็นบอกว่าบรรลุธรรมเอง แต่จริงๆไม่ได้เป็นอย่างที่อวดอ้าง บอกว่าเป็นอริยะขั้นสองเอย อะเมซิ่งเคยบอกว่าจะถือศีลพรหมจรรย์ตลอดชีวิต เพราะตอนนั้นเกิดโมหะมายาในจิต (คุณน้องไปอ่านเจอ)หรือบอกว่าจะเดินอยู่บนเส้นทางธรรมผ่านหญิงมาเป็นร้อยพันเบื่อหน่ายงู้นงี้( แต่เอาเข้าจริง ผมรักธรรมชาติและเซ็ก555+ )อยากบวชเพราะเพศฆราวาสแปดเปื้นเป็นหนทางมธุลี555+ที่อาการหนักเข้าอีกคือ ผมรักธรรมชาติและเซ็ก :b32: :b32:
น้องคองยังต้องอย่างนั้นอย่างนี้อยุ่ก้อทำไปแมสซิ่ง ไม่จดไม่จ้องไม่ต้องไม่ตั้งแล้วตามเหตุปัจจัยถึงเวลาปฎิบัติก้อปฎิบัติ ปล่อยตามเหตุปัจจัย สบายใจดี

ก็คนอย่างคุนน้องมีสัจจะวาจา ถ้าคุณน้องตั้งใจจะทำสิ่งนี้ที่เป็นกุศลคุนน้องก็ต้องทำและไม่กลับคำพูด แต่ถ้าคุณน้องไม่อยากทำคุณน้องก็พูดตรงๆไม่ทำ แต่ถ้าบอกว่าอยากบวชคุณน้องก็ไม่ตระบัตสัตย์อยู่แล้ว เพราะว่าการตั้งใจในสิ่งนั้นมันเป็นของสูงไม่มาพูดเล่นๆ เพื่อโอ้อวดหรอก ถึงอะเมซิ้งจะมีลาภ ยศ เงิน ทอง แต่อะเมซิ่งก็แพ้คุณน้องในเรื่องคำพูดอันศักสิทธิ์ หรืออะเมซิ่งกล้าเถียงว่าคุณน้องพูดไม่จริง คำพูดของอะเมซิ่งที่กล่าวในลานธรรมว่าปฏิบัติดีได้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นคำพูดไม่จริง แต่คำพูดของคุณน้องเป็นคำจริงแม้แต่เรื่องอะเมซิ่งก็เป็นคำจริง รู้มั้ยว่าการบำเพ็ญสัจจะบารมีเป็นเหตุให้คำพูดของตนนั้นศักสิทธิ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ย. 2013, 11:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ธ.ค. 2009, 00:22
โพสต์: 223

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

“พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต)

เรื่อง "สมาธิมีประโยชน์มากมาย ต้องใช้ให้คุ้มและให้ครบ"

ทำไมพระพุทธเจ้าจึงเสด็จหลีกไปจากสำนักของท่านอาฬารดาบสและอุททกดาบส ทั้งที่ได้สมาธิถึงสมาบัติสูงสุด ก็เพราะไม่ใช่วิธีปฏิบัติที่สมบูรณ์

รูปภาพ

แต่พระองค์ก็มิได้ทรงละทิ้งสมาธิ พระองค์ทรงใช้สมาธิเป็นบาทคือ เป็นเครื่องช่วยหนุนธรรมที่เป็นข้อปฏิบัติสูงขึ้นไปให้ทำงานได้ผลดีเพราะ สภาพจิตที่เป็นสมาธินั้นมีลักษณะที่เป็นคุณสมบัติสำคัญหลายอย่าง โดยเฉพาะ
๑. ทำให้จิตมีกำลัง
๒. ทำให้จิตใส
๓. ทำให้จิตสงบ
ข้อที่ ๓ นี้ทำให้คนติดมากคือ ทำให้จิตสงบแล้วก็สุข แล้วก็เลยติดเพลิน เลยกลายเป็นกล่อมไป

คุณสมบัติของจิตที่เป็นสมาธินี้ ขอขยายความหน่อยว่า

๑. ทำให้จิตมีพลัง

ในเรื่องนี้ พระพุทธเจ้าตรัสอุปมาว่า เหมือนสายธารที่ไหลลงจากภูเขา ซึ่งปิดช่องทางที่น้ำจะแยกกระจายออกไปหมดแล้ว ไหลลงไปทางเดียว ย่อมมีกำลังแรงมาก (องฺ.ปญฺจก.๒๒/๕๑)

ถ้าจะทำในขณะนี้ ก็เหมือนกับคนขึ้นไปบนยอดเขา เอาน้ำขึ้นไปด้วยถังใหญ่ถังหนึ่ง พอถึงยอดเนินเขาแล้วก็สาดน้ำโครมลงไปอย่างไม่มีทิศทาง น้ำกระจายทั้งถังหายเงียบหมด ไม่เกิดอะไรขึ้น

ที่นี้เอาใหม่ แบกน้ำถังเท่ากันขึ้นไป แต่คราวนี้เทน้ำถังเท่ากันนั้นลงในร่องในรางหรือในท่อ น้ำไหลไปทางเดียว ก็มีกำลังมากสามารถพัดพาสิ่งที่ขวางหน้า เช่นกิ่งไม้ไปได้ เหมือนกับจิตที่เป็นสมาธิซึ่งแน่วแน่ พุ่งไปทางเดียว ก็มีกำลังมาก

นี้เป็นคุณสมบัติของจิตที่เป็นสมาธิประการที่หนึ่ง ซึ่งเป็นที่นิยมกันมาก อย่างพวกนักบวชนอกพุทธศาสนาตั้งแต่ก่อนพุทธกาล ชอบเอาจิตที่เป็นสมาธิไปใช้พัฒนาอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ที่เป็นด้านพลังจิต

๒. ทำให้จิตใส

ถ้าเราเอาภาชนะตักน้ำจากบ่อจากสระหรือหลุมน้ำข้างทางที่ขุ่น มีฝุ่นละอองมีดินละลายปนอยู่ข้นคลั่ก มองไม่เห็นอะไรเลย เอาไปตั้งไว้ในที่นิ่งสนิทไม่มีลมพัดไหว และที่นั้นก็มั่นคงไม่หวั่นไหวตั้งอยู่ไม่นาน ตะกอนก็ตกก้นหมด น้ำก็ใสแจ๋ว มีอะไรในน้ำก็มองเห็นชัดเจน

เปรียบเหมือนกับจิตของเรา ที่ฟุ้งซ่านพล่านอยู่ด้วยอารมณ์ต่างๆ มากมาย เรื่องราวอารมณ์ต่างๆ เหล่านั้นวุ่นวาย บังกันไปบังกันมา มองอะไรไม่ชัดเจน แต่พอเราทำจิตให้เป็นสมาธิ เหลืออารมณ์เดียวที่ต้องการ อารมณ์อื่นตกตะกอนนอนนิ่งหมด จิตก็ใสไม่มีอะไรบัง เราก็มองเห็นสิ่งนั้นชัดเจน

ฉะนั้น จิตที่เป็นสมาธิจึงเอื้อต่อปัญญา ทำให้มองเห็นตามเป็นจริง ดังพุทธพจน์ที่ว่า สมาหิโต ยถาภูตํ ปชานาติ แปลว่า ผู้มีจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิจะรู้เข้าใจตามเป็นจริง (สํ.ข.๑๗/๒๗; สํ.สฬ.๑๘/๑๔๗; สํ.ม.๑๙/๑๖๕๔; องฺ.เอกาทสก.๒๔/๒๐๙)

แต่ไม่ใช่ว่าเกิดสมาธิแล้วจะเกิดปัญญาเองนะ หลายคนเข้าใจผิด ถ้าอย่างนั้น อาฬารดาบสและอุททกดาบส ก็รู้แจ้งสัจจธรรมหมดสิเพราะท่านได้สมาธิสูงลึกซึ้งถึงอรูปฌาน ถ้าเข้าใจว่าได้สมาธิแล้วจะเกิดปัญญาเอง ก็ไม่ถูก

จิตที่เป็นสมาธิ เปรียบเหมือนน้ำที่ใส ปัญญาเหมือนนัยน์ตาเมื่อน้ำใส นัยน์ตาก็มองเห็นสิ่งทั้งหลายในน้ำได้ชัด แต่ถึงแม้ว่าน้ำใสแต่ตาไม่มีหรือไม่มอง ก็ไม่เห็นอยู่นั่นเอง

รูปภาพ

พระพุทธเจ้าตรัสอุปมาไว้ ขอยกพุทธพจน์มาให้ดูเอง ดังนี้
“ภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนห้วงน้ำ ที่ใสแจ๋ว ไม่ขุ่นมัวเลย คนตาดียืนอยู่บนฝั่ง ก็จะเห็นได้ แม้ซึ่งหอยโข่ง หอยกาบ แม้ซึ่งก้อนหิน ก้อนกรวด แม้ซึ่งฝูงปลา ที่กำลังแหวกว่ายอยู่ก็ตาม กำลังหยุดอยู่ก็ตาม ในห้วงน้ำนั้น นั่นเพราะเหตุไร? ก็เพราะน้ำไม่ขุ่น แม้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้น ด้วยจิตที่ไม่ขุ่นมัว ก็จักรู้ได้ซึ่งประโยชน์ตน จักรู้ได้ซึ่งประโยชน์ผู้อื่นจักรู้ได้ซึ่งประโยชน์ทั้งสองฝ่าย จักประจักษ์แจ้งได้ซึ่งคุณวิเศษล้ำมนุษย์สามัญ กล่าวคือญาณทัสสนะ ที่สามารถทำให้เป็นอริยชน...”
(องฺ.เอก. ๒๗/๔๐)

อนึ่ง จิตที่เป็นสมาธิเอื้อต่อการเกิดปัญญา ไม่ใช่ควาหมายความว่าทำให้เกิดปัญญาขึ้นมาเอง ปัญญาเกิดจากสมาธิได้นั้น เพราะเรามีเรื่องที่คิดพิจารณาหรือมองอยู่แล้ว เราพยายามมองเพ่งพินิจมัน แต่อารมณ์ต่างๆ มันมาบังกัน อารมณ์นั้นบังอารมณ์นี้ ก็เลยไม่เห็นชัดสักที แต่พอจิตเป็นสมาธิ อารมณ์อื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องว่างหายไป เหลือแต่สิ่งที่ต้องการมอง นี่คือจิตใส เรามองอยู่ก็จึงเห็นสิ่งนั้นชัดเจน

รูปภาพ

จะเห็นว่า บางครั้งเราคิดปัญหาบางอย่างอยู่นาน ยังไม่ได้คำตอบ จนเปลี่ยนไปทำอะไรอื่นๆ ต่อมาขณะที่กำลังว่างๆ นั่งสงบในที่บรรยากาศดี บางทีคำตอบในเรื่องนี้ก็ผุดโพลงขึ้นมา นี่เพราะจิตที่คิดอยู่สงบแน่วแน่ลง ก็ใสกระจ่างแจ่มแจ้งขึ้นมานั่นเอง

๓. ทำให้จิตสงบ

ข้อนี้ชัดอยู่แล้ว จิตที่เป็นสมาธินั้นตั้งมั่นแน่วแน่อยู่กับสิ่งหนึ่งสิ่งเดียวที่ต้องการ เป็นจิตที่อยู่ตัว ลงตัว เข้าที่ สมดุลไม่ฟุ้งซ่าน ไม่ว้าวุ่น ไม่พล่าน ไม่ขุ่นมัว ไม่เดือดร้อน ไม่มีอะไรกวน ก็ย่อมสงบ และมีความสุข ตอนนี้ถ้าจะพักผ่อน ก็พักผ่อนได้เต็มที่ และถ้าจะติดเพลินก็อยู่ตอนนี้ จึงว่าต้องระวังจะเป็นตัวกล่อม

ประโยชน์ที่ต้องการของสมาธิอยู่ที่ไหน พระพุทธเจ้าตรัสว่าเมื่อจิตเป็นสมาธิแล้ว จิตนั้นก็เป็น “กัมมนีย์” คือเหมาะแก่งาน ใช้งานได้ดี มีประสิทธิภาพ แล้วแต่จะเอาไปใช้อะไร

รูปภาพ

แต่งานสำคัญที่ต้องการในพระพุทธศาสนา ก็คือ งานทางปัญญาเพราะจะบรรลุจุดหมายของพระพุทธศาสนาด้วยปัญญา แต่ปัญญาจะทำงานได้ดี จะมองเห็นชัดเจน ก็ต้องอาศัยจิตที่เป็นสมาธิผ่องใส

ถ้าเราใช้จิตสมาธิเพื่อประโยชน์ทางปัญญาตามหลักพระพุทธศาสนา คุณสมบัติทั้งสามด้านของจิตสมาธิก็มาเสริมกันเอง ให้ทำงานได้ผลเต็มที่ คือ ลักษณะด้านที่ ๒ เป็นหลัก

หมายความว่า จิตที่ใสเป็นสมาธิ เอื้อต่อการใช้ปัญญา และเอื้อต่อการมองเห็นด้วยปัญญา แล้วลักษณะที่ ๑ มาช่วย ทำให้จิตนั้นมีกำลังอีก การใช้ปัญญาในจิตที่มีกำลังด้วยก็ยิ่งชัดเจนและเดินหน้า แล้วยังมีลักษณะที่ ๓ ความสงบช่วยด้วย โดยไม่มีอะไรกวน ไม่มีอะไรที่จะมาทำให้สั่นให้ไหวมายั่วมาล่อออกไป การใช้ปัญญาก็ยิ่งได้ผล

ดังนั้น ลักษณะของสมาธิ ๓ อย่างนี้ จะต้องใช้ให้ถูกต้อง เมื่อใดรู้ธรรมแจ้งจบแล้ว การใช้ประโยชน์ก็มาอยู่ที่ลักษณะที่ ๓ มาก เหมือนอย่างพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว พระองค์ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากสมาธิในแง่ที่สองที่จะต้องพัฒนาปัญญา เพราะว่าพระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว

เมื่อพระองค์เสด็จไปบำเพ็ญพุทธกิจมาเสร็จแล้ว ก็ทรงพักผ่อนด้วยการเข้าฌาน ดังที่เรียกว่าเป็นทิฏฐธรรมสุขวิหาร แปลว่า ธรรมเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน คือ สำหรับพักผ่อน เป็นการใช้สมาธิในความหมายที่ ๓ แต่พระพุทธเจ้าทรงหลุดพ้นจากกิเลสหมดแล้ว จึงไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทรงติดเพลินสมาธินั้น และไม่มีทางที่จะทรงประมาท

สำหรับพวกเราทั่วไป ยังต้องระวัง ถ้าติดเพลิน ใช้สมาธิเป็นตัวกล่อม ก็จะกลายเป็นเครื่องฉุดดึงตัวเองไว้ ทำให้ไม่สามารถบรรลุธรรมขัดขวางต่อการพัฒนา จึงได้บอกแต่ต้นว่า ตัวกล่อมนี้ ข้อเสียของมันก็คือ มันทำให้หยุดการพัฒนา มันทำให้เราหยุดอยู่แค่นั้น ไม่ก้าวต่อไป

ดังนั้น ชาวพุทธหยุดไม่ได้ ต้องก้าวต่อไป โดยใช้สมาธิเป็นตัวเอื้อ ช่วยเกื้อหนุนให้เดินหน้าไปในไตรสิกขา

ขอย้อนกลับมาพูดถึงเรื่องของการกล่อมด้วยการอ้อนวอนเทพเจ้า คนจำนวนมากกล่อมใจตัวเองด้วยเรื่องนี้ จนกระทั่งศาสนาที่มองเห็นว่า มนุษย์จะหลงจมอยู่ด้วยความหวังพึ่ง ไม่พัฒนาต่อไป ก็ต้องใช้อุบายที่จะทำให้มนุษย์เหล่านั้นหรือศาสนิกของตนต้องเพียรพยายามเอา เอง ไม่ใช่รอคอยเทพเจ้าช่วยแล้วมัวนั่งงอมืองอเท้าอยู่อย่างเดียว ก็เลยต้องจำกัดการช่วยว่าจะช่วยอีกนานหลายพันปีข้างหน้า หรือไม่รู้ว่าเมื่อไร ตอนนี้ให้ดิ้นรนช่วยตัวเองไปก่อน หรือบอกว่าพระเจ้าจะช่วยเฉพาะคนที่ช่วยตัวเอง เป็นต้น แล้วแต่วิธีการของศาสนานั้นๆ

รูปภาพ

แต่ในพุทธศาสนานี้ ท่านไม่ให้มัวหวังผลอ้อนวอนนอนรอคอยการดลบันดาลอย่างนั้นเลย เพราะสอนหลักให้ทำการด้วยความเพียรซึ่งมีฐานอยู่ในหลักสิกขา ที่มีสาระว่าให้ฝึกฝนพัฒนาตนอยู่ตลอดเวลาอย่างจริงจังไม่ประมาท เพื่อทำตนให้เป็นที่พึ่งได้ มีชีวิตที่ปลอดโปร่งโล่งเบา และมีความสุขที่เป็นอิสระอย่างแท้จริง

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ที่มา : จากหนังสือจาริกบุญ จารึกธรรม
โดยพระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต)

อนุโมทนาครับ :b46: :b47: :b8: :b8: :b8: :b47: :b46:

http://www.kanlayanatam.com/sara/sara113.htm
http://www.dhammathai.org/articles/dbview.php?No=121


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ย. 2013, 12:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12: :b12:
คุณโฮฮับนี่เข้าทำนองคนที่ว่า....."ฟังไม่ได้ศัพท์ จับเอามากระเดียด"

คุณยังไม่รู้เหตุผลและยังไม่เคยถามเหตุผลเลยว่า ทำไมอโศกะต้องเปลี่่ยนชื่อล๊อกอินหลายครั้ง แล้วก็มาสรุปตีความเอาเองว่าอโศกะหลอกลวง.......

หัดมองโลกและผู้อื่นในแง่ดีแง่บวก เสียบ้างนะครับ จะได้อยู่สบาย จิตใจจะได้เป็นสุข ไม่ต้องมานั่งพิมพ์ข้อความวิพากษ์วิจารณ์ ยาวยืดเป็นน้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง ยกตนข่มท่าน สบประมาทผู้อื่นไปทั้งลานธรรมอยู่อย่างทุกวันนี้


คนอย่างผมจะตัดสินสิ่งใดเอาพิจารณาจากหลักฐาน ฉะนั้นไอ้สุภาษิต
ที่คุณเอามาใช้กับผมมันไม่ได้ความครับ

ขนาดผมพูดไปตามเหตุปัจจัย ที่พิจารณาจากการกระทำของคุณ
แบบที่ชาวบ้านเขาเห็นตำตา คุณยังลื่นไถลยิ่งกว่าปลาไหลแช่น้ำเหลืองศพ

มาด่าผมใส่ความผมป่าวๆ พอผมย้อนให้ ดันมาว่าผมมองคนอื่นในแง่ลบ
ไม่ได้มองตัวเองเลย หลงจนกู่ไม่กลีบแล้วโสกเอ๊ย


โสกะก็พอๆกับบิกทู่นั้นแหล่ะ สร้างภาพพอถูกจับได้ ก็แก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ
แบบนี้โดนหวายแช่ฉี่แบบบิกทู่ยังน้อยไป อย่างโสกะต้องโดนจับเอาน้ำกรดกรอกปาก
จะได้รู้สำนึก :b13:

asoka เขียน:

อโศกะ คอยจะลืมพาสเวิร์ดทุกที เมื่อไปล๊อกอินเข้า แทบเลทบ้าง สมาร์ทโฟนบ้าง กลับมาพีซีบ้าง เพราะช่วงสมัครเข้าลานธรรมจักรใหม่ๆ มีการเดินทางบ่อย พอเข้าไม่ได้ แต่เสียดายเวบบอร์ดดีๆและประเสริฐอย่างลานธรรมจักรนี้เลยต้องเปลี่ยนชื่อล๊อกอินสมัครใหม่อยู่ 2 - 3 ครั้ง เดี๋ยวนี้ จดไว้อย่างดีแล้ว ต่อไปคงไม่เปลี่ยนชื่ออีก เลยขออนุญาตแจ้งบอกกล่าวกัลยาณมิตรทุกท่านให้ทราบเสียเลยว่า

อโศกะ ......asoka.....อนัตตาธรรม ในลานธรรมจักร ในลานธรรมเสวนา เป็นคนเดียวกัน

ส่วนในลานธรรมอื่นนั้น เช่น ธรรมไทย ใช้ชื่อว่า "เนินฆ้อ".....

พิมพ์ให้กูเกิ้ลเขาค้นหาดู ก็จะพบและรู้จักกันมากขึ้นครับ



ผู้ร้ายปากแข็ง หลักฐานมันฟ้องอยู่ทนโท่
ถามหน่อยเถอะเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนล็อกอินใหม่ .......
ทำไมระดับสถานะของสมาชิก ถึงเป็นระดับสูงสุด เหตุใดมันถึงไม่สอดคล้องกับจำนวนการโพส
คุยกับทางเว็บเรื่องจำนวนการโพสเก่าได้ แล้วทำไมคุยเรื่องยูสเนมไม่ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ย. 2013, 13:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
หลักฐานที่ประจานตัวคุณโฮฮับนั้นมีมากมายเหลือเกิน แค่ไปทำกระทู้ผู้อื่นถูกล็อก
ก็หลายสิบกระทู้ลองไปค้นดู

แล้วที่ไปแสดงธรรมผิดธรรม ค้านตัวเองก็มีตั้งเยอะแยะ

ที่ไปแสดง สับปลับผลาวาจา ปิสุณาวาจา หรือแม้กระทั่งผรุสวาจาก็มีมากมาาย ในกระทู้นี้ก็เยอะ ลองย้อนกลับไปสังเกตวิเคราะห์กันดูนะครับ


กระทู้โดนล็อก มันเกี่ยวกับที่ผมว่าคุณโกหกหลอกลวงมั้ยครับ การล็อกกระทู้มันเป็นวิจารณญาน
ของผู้ดูแล คุณจะเอามาเป็นบรรทัดฐานหรือครับ ถ้าเป็นแบบนั้นก็แสดงว่า
ผู้ดูแลของเว็บนี้เป็นผู้รอบรู้และเป็นผู้บรรลุแล้ว...วันหลังคุณโสกะเลิกกราบไหว้อาจารย์
มาไหว้ผู้ดูแลก็พอครับ.....พุทโธ๋! อ้างอะไรเหมือนเด็ก ตะบี้ตะบันอ้างไปเรื่อย
ผมบนหนังศีรษะที่บ่งบอกถึงวัย กับวุฒิภาวะทางความคิดทำมันไม่แตกต่างกันสิ้นเชิง :b32:

ไอ้สุณาวาจาที่เกี่ยวกับผม ไม่ต้องเอามาเป็นคะแนนเสียงหรอกครับ
ผมใช้วาจาแบบนี้ตั้งแต่เริ่มแรก และผมก็ออกตัวเสมอๆว่า ใครคุยกับผมจะต้อง
ควบคุมสติให้ดี ถือเป็นการปฏิบัติไปในตัว

ผิดกับคุณครับ เริ่มแรกก็จ๊ะจ๋า จ๋าจ๊ะ พอถูกความเห็นแทงใจดำเข้าหน่อย
ถึงกับสติแตก วจีทุจริตสารพัดที่จะพรั่งพรูออกมา :b32:

แล้วที่บอกว่าผมแสดงความเห็นผิดธรรม ค้านตัวเอง
ขอหลักฐานหน่อยครับ
อย่าสร้างคดีใหม่ คดีหลอกลวงชาวบ้านยังไม่เคลียร์เลย :b9:


asoka เขียน:

แล้วที่ไปพยายามโจมตี รุมกัดรุมทึ้ง มองแต่ลบของคุณ Amazing ทั้งๆที่เขามีเรื่องดีๆที่น่าชื่นชมมากมายกลับไม่มองไม่วิพากษ์วิจารณ์ นี่ก็ส่อแสดงนิสัยอันฝังลึกในขันธสันดาน ยากจะขุดถอน ที่คงจะเป็นคุณลักษณะประจำของโฮฮับตลอดไปทั้งในลานนี้และที่อื่น คือ มองลบไว้ก่อน


สำหรับนายบิกทู่ ผมไม่ต้องใช้ความพยายามเลย การกระทำของพี่หื่นมันฟ้องอยู่ทนโท่
คุณจะนิยมชมชอบ หลับหูหลับตาเชียร์ ด้วยเป็นเพราะบิกทู่เขาเข้ามาสนับสนุน ช่วยคุณรุมด่าผม
มันก็เป็นเรื่องของคุณ แต่การที่จะมาบอกผมว่า ผมมีขันธสันดานยากที่จะขุดนี่
ผมว่าคุณกลับไปส่องกระจกดูตัวเองก่อนครับ :b13:

asoka เขียน:
เปลี่ยนจิตเปลี่ยนใจมาฝึกสร้างนิสัยใหม่คือมองโลกในแง่บวกให้มาก มองหาค้นหาคุณงามความดีเสริมสร้างคุณงามความดีของเพื่อนมนุษย์เสียเถิด แล้วจิตใจคุณจะไม่ได้เศร้าหมอง ขุ่นมัว พบแต่สิ่งที่คับแค้น ขัดเคือง


แน่ใจแล้วหรือที่พูด แต่ที่แน่ๆดูจากคำพูดของคุณแล้ว คุณกำลังจะอกแตกตายครับ :b32:

asoka เขียน:
ลองพิจารณาย้อนหลังกลับไปบ้างซิ ว่ากับอโศกะ คุณAmazing คุณกรัชกาย กับอีกหลายท่่านหลายคน มีใครบ้างที่คุณไม่เคยคัดง้างกับเขา จนบางคนบางท่านเอือมระอาหรือมองหน้ากั นไม่ติดไม่อยากเสวนาด้วย
มาส่งเสริมธรรมด้วยการมองโลก มองเพื่อนมนุษย์ในทางบวกกันเถิดนะครับ ลานนี้และโลกนี้จะได้สงบร่มเย็น เป็นสุข[/b][/color]


ไม่ได้สติเล้ย อ้างเขาไปทั่ว แถมอ้างคนทที่ไม่ได้ความอีกต่างหาก
ทำไมไม่ดูไปที่น้องคิงคองหรือคุณวไลพรบ้างล่ะ คุณโสกะผมว่าสมองคุณใช้ได้แค่ซีกเดียวแน่ๆ

จะส่งเสริมธรรม มันต้องเอาเหตุผลมาคุยกัน ถึงจะมีสำนวนในวาจาบ้างก็ไม่เป็นไร
แต่ดูคุณซิ พอใครเข้าแสดงความไม่เห็นด้วย ให้เหตุผลแย้ง ก็ไม่พอใจว่ากล่าวเขา
ที่แย่ไปกว่าดันยังลามปาม ดูหมิ่นดูแคลนพุทธพจน์และปริยัติอีกด้วย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2013, 14:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




GEDC1775_resize.JPG
GEDC1775_resize.JPG [ 78.03 KiB | เปิดดู 3552 ครั้ง ]
โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
:b12: :b12:
คุณโฮฮับนี่เข้าทำนองคนที่ว่า....."ฟังไม่ได้ศัพท์ จับเอามากระเดียด"

คุณยังไม่รู้เหตุผลและยังไม่เคยถามเหตุผลเลยว่า ทำไมอโศกะต้องเปลี่่ยนชื่อล๊อกอินหลายครั้ง แล้วก็มาสรุปตีความเอาเองว่าอโศกะหลอกลวง.......

หัดมองโลกและผู้อื่นในแง่ดีแง่บวก เสียบ้างนะครับ จะได้อยู่สบาย จิตใจจะได้เป็นสุข ไม่ต้องมานั่งพิมพ์ข้อความวิพากษ์วิจารณ์ ยาวยืดเป็นน้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง ยกตนข่มท่าน สบประมาทผู้อื่นไปทั้งลานธรรมอยู่อย่างทุกวันนี้


คนอย่างผมจะตัดสินสิ่งใดเอาพิจารณาจากหลักฐาน ฉะนั้นไอ้สุภาษิต
ที่คุณเอามาใช้กับผมมันไม่ได้ความครับ

ขนาดผมพูดไปตามเหตุปัจจัย ที่พิจารณาจากการกระทำของคุณ
แบบที่ชาวบ้านเขาเห็นตำตา คุณยังลื่นไถลยิ่งกว่าปลาไหลแช่น้ำเหลืองศพ

มาด่าผมใส่ความผมป่าวๆ พอผมย้อนให้ ดันมาว่าผมมองคนอื่นในแง่ลบ
ไม่ได้มองตัวเองเลย หลงจนกู่ไม่กลีบแล้วโสกเอ๊ย


โสกะก็พอๆกับบิกทู่นั้นแหล่ะ สร้างภาพพอถูกจับได้ ก็แก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ
แบบนี้โดนหวายแช่ฉี่แบบบิกทู่ยังน้อยไป อย่างโสกะต้องโดนจับเอาน้ำกรดกรอกปาก
จะได้รู้สำนึก :b13:

asoka เขียน:

อโศกะ คอยจะลืมพาสเวิร์ดทุกที เมื่อไปล๊อกอินเข้า แทบเลทบ้าง สมาร์ทโฟนบ้าง กลับมาพีซีบ้าง เพราะช่วงสมัครเข้าลานธรรมจักรใหม่ๆ มีการเดินทางบ่อย พอเข้าไม่ได้ แต่เสียดายเวบบอร์ดดีๆและประเสริฐอย่างลานธรรมจักรนี้เลยต้องเปลี่ยนชื่อล๊อกอินสมัครใหม่อยู่ 2 - 3 ครั้ง เดี๋ยวนี้ จดไว้อย่างดีแล้ว ต่อไปคงไม่เปลี่ยนชื่ออีก เลยขออนุญาตแจ้งบอกกล่าวกัลยาณมิตรทุกท่านให้ทราบเสียเลยว่า

อโศกะ ......asoka.....อนัตตาธรรม ในลานธรรมจักร ในลานธรรมเสวนา เป็นคนเดียวกัน

ส่วนในลานธรรมอื่นนั้น เช่น ธรรมไทย ใช้ชื่อว่า "เนินฆ้อ".....

พิมพ์ให้กูเกิ้ลเขาค้นหาดู ก็จะพบและรู้จักกันมากขึ้นครับ



ผู้ร้ายปากแข็ง หลักฐานมันฟ้องอยู่ทนโท่
ถามหน่อยเถอะเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนล็อกอินใหม่ .......
ทำไมระดับสถานะของสมาชิก ถึงเป็นระดับสูงสุด เหตุใดมันถึงไม่สอดคล้องกับจำนวนการโพส
คุยกับทางเว็บเรื่องจำนวนการโพสเก่าได้ แล้วทำไมคุยเรื่องยูสเนมไม่ได้

s004
พูดความจริงให้ฟังก็บอกว่าลื่นไหล ไอ้ที่ว่าลื่นไหลนั่นมันนิสัยของโฮฮับเสียมากว่า ยิ่งนิสัยมองโลกในแง่ลบรู้จักแต่ตำหนิติเตียนคนอื่่นแต่ไม่รู้จักติเตียนตนเพ่งโทษตนนี่เป็นนิสัยที่ลึกเข้ากระดูกและกมลสันดานของโฮฮับ คงกู่ไม่กลับเรียกคืนไม่ได้เสียแล้ว น่าสงสาร
s002
อีกอันที่ว่าทำไมระดับสมาชิกถึงเป็นสูงสุดนั้น ไม่ใช่เป็นค่าสะสมจากกายเปลี่ยนชื่อล็กอินใหม่ ลองกลับไปดูให้ดีๆ ทุกชื่อก็ตั้งต้นนับหนึ่งใหม่มาเหมือนกันทั้งนั้น ตอนที่กระทู้ได้เดินเรียบไม่ถูกชักใบให้เรือเสียจากโฮฮับในสมัยแรกๆ ข้อธรรมได้เปล่งประกายเต็มที่ว่ามีสาระแก่นสารเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านมากพอ ท่านผู้รักษาลานรักษากฎทั้งหลายท่านจึงวินิจฉัยยกระดับฐานะสมาชิกให้

หลังๆมานี้พอเจอโฮฮับมาขัดขวางกระแสธรรม ชักใบให้เรือเสีย จนบางกระทู้ที่กำลังจะมีอะไรดีๆออกมาเล่าสู่กันฟัง ถึงกับต้องโดนล็อกไปเพราะถกเถียงกับโฮฮับ

เรื่องUser name เก่าที่เป็นชื่อไทยว่า อโศกะ ทางผู้รักษาลานก็เคยคืนให้ แต่ตอนนั้นยังไม่เข้าใจวิธีการติดต่อกับผู้รักษาลานเลยไม่รู้เรื่อง ต้องขอชื่อใหม่เป็น asoka ดังทุกวันนี้ ก็ไม่ได้เป็นเรื่องลื่นไหลหลอกลวงอะไร เป็นเรื่องของความที่ยังไม่เข้าใจกระบวนการของลานธรรมจักรดีเท่าที่ควรเท่านั้นเอง แต่ทำไมโฮฮับเอามาบิดเบือนให้เป็นเรื่องที่ชั่วร้ายไปได้ น่าจะแสดงถีงนิสัยความเคยชินในการมองโลกในแง่ลบของโฮฮับมากกว่าหรือเปล่า

แล้วไอ้การที่โฮฮับมาท้วงติงวินิจฉัยของผู้รักษาลานกลายๆอย่างที่ทำอยู่นี้ มันจะไม่เหมือนเป็นการไปดูถูกวินิจฉัยและภูมิปัญญาของท่านผู้รักษาลานหรือ ทางคณะท่านก็ให้เกียรติยกระดับโฮฮับ จาก 10 มาถึง 19 นี่ก็ถือว่าไม่ธรรมดาแล้วนะ

ถ้าเมื่อไหร่เปลี่ยนมาเป็นการมองโลกแต่มุมบวกให้มาก เสริมสร้างสนับสนุนความดีงามของเพื่อนผู้ร่วมลานมากกว่าคัดค้าน ข่มทับ บลัฟ เก......อีกหน่อยคงได้ถึงระดับเท่ๆที่หวังใจ

:b4: :b4: :b4:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2013, 15:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
พูดความจริงให้ฟังก็บอกว่าลื่นไหล ไอ้ที่ว่าลื่นไหลนั่นมันนิสัยของโฮฮับเสียมากว่า ยิ่งนิสัยมองโลกในแง่ลบรู้จักแต่ตำหนิติเตียนคนอื่่นแต่ไม่รู้จักติเตียนตนเพ่งโทษตนนี่เป็นนิสัยที่ลึกเข้ากระดูกและกมลสันดานของโฮฮับ คงกู่ไม่กลับเรียกคืนไม่ได้เสียแล้ว น่าสงสาร


สงสัยจะไม่รู้จัก การถกธรรม เห็นคนแย้งธรรมเป็นการตำหนิติเตียนไปได้
คุณยังไม่รู้ตัวอีกหรือ ไอ้ที่คุณกำลังทำกำลังผรุวาส นั้นแหล่ะคือสิ่งที่คุณกล่าว :b32:

asoka เขียน:
อีกอันที่ว่าทำไมระดับสมาชิกถึงเป็นสูงสุดนั้น ไม่ใช่เป็นค่าสะสมจากกายเปลี่ยนชื่อล็กอินใหม่ ลองกลับไปดูให้ดีๆ ทุกชื่อก็ตั้งต้นนับหนึ่งใหม่มาเหมือนกันทั้งนั้น ตอนที่กระทู้ได้เดินเรียบไม่ถูกชักใบให้เรือเสียจากโฮฮับในสมัยแรกๆ ข้อธรรมได้เปล่งประกายเต็มที่ว่ามีสาระแก่นสารเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านมากพอ ท่านผู้รักษาลานรักษากฎทั้งหลายท่านจึงวินิจฉัยยกระดับฐานะสมาชิกให้

เปลี่ยนล็อกอินใหม่ ค่าตั้งต้นโพสก็นับใหม่
แต่ทำไมระดับมันถึงเป็นสมาชิกสูงสุดทั้งๆที่ จำนวนความเห็นที่โพสมันยังไม่ถึง


ระดับสมาชิก เขานับเอาจากจำนวนความเห็นที่โพส
ไม่ใช่วัดจากความหลงตัวเอง อย่างที่คุณบอก พูดอะไรแต่ล่ะที่ไม่อายปาก :b9:

โสกะแนะนำให้อ่านความเห็นนี้ ก็จะรู้ว่า โสกะหลอกลวง เป็นผู้ร้ายปากแข็ง
เป็นปลาไหลทาวาสลิน :b9:


admin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อ้าวว เพิงสังเกตเห็น กลายเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ ไปแระ :b1:

งั้นขออนุญาตถามใหม่ มันปรับเองโดยอัตโนมัติตามวัน/เวลา หรือท่านแอตมินปรับให้เป็นดังนั้นครับ :b8:

หากมันปรับให้เองตามวันเวลาก็ช่างมัน แต่ถ้าแอตมินปรับให้เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ ก็ช่วยปรับคืนสถานะเดิมด้วยครับ :b8: ตะขิดตะขวงใจผู้ทรงคุณวุฒิ ทรงนั่นทรงนี่


เรียนให้ทราบเรื่องกลุ่มสมาชิกบอร์ดให้ทราบดังนี้

ในบอร์ดลานธรรมจักร ได้จัดกลุ่มไว้ดังนี้
1.Moderators คือ admin (ดูแลระบบ)
2.ผู้ดูแลบอร์ด (ดูแลบอร์ดทั้งหมด)
3.ผู้ช่วยผู้ดูแลบอร์ด (ดูแลเฉพาะบางบอร์ด)
4.อาสาสมัคร (ดูแลเฉพาะบางบอร์ด)
กลุ่มเหล่านี้ ต้องได้รับการแต่งตั้งจาก admin สามารถลบ แก้ไข กระทู้และข้อความของสมาชิกอื่นๆได้ ตามที่ admin อนุญาต

5. ผู้ทรงคุณวุฒิ (สมาชิกที่โพสต์เกิน 4,000 ครั้ง)
6 สมาชิก (สมาชิกทั่วไป)
สองกลุ่มนี้เป็นสมาชิกทั่วไป ไม่มีความสามารถเหมือนกลุ่มแรก

7.เฝ้าระวัง (ทำผิดกฏิกติกา เฝ้าระวังพฤติกรรม)

..........................
ประวัติความเป็นมาของ กลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นกลุ่มที่เกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว ครั้งแรกจะได้รับการแต่งตั้งจาก admin โดยตรงโดยคัดจากสมาชิกที่มีความรู้ความสามารถ และวัยวุฒิ ที่เหมาะสม

ก่อนหน้ามี 3 ท่าน ที่ได้รับการแต่งตั้ง คือ คุณสุชาติ, คุณสติมา, คุณพี่ดอกแก้ว ทั้งสามท่านนี้ได้ัรับแต่งตั้ง หลังจากนั้นมาก็ไม่ได้แต่งตั้งสมาชิกท่านใดอีก เมื่อคืนวาน admin ได้เข้าไปจัดระเบียบใหม่กลุ่มสมาชิก ได้ทำการปรับเปลี่ยน กลุ่มสมาชิก ผุ้ทรงวุฒิใหม่ จากการคัดเืลือกโดยตรงมาเป็นการนับจำนวนการโพสต์และตอบกระทู้ เหมือนจัดระดับสมาชิกทั่วไปแทน

หลายๆท่านคงสงสัยทำไมตัวเองสีเปลี่ยน หรือสมาชิกท่านนั้นๆ สีเปลี่ยนไป ได้รับความดีความชอบ หรือทำผิดอะไรมา จึงโดนเปลี่ยน คิดว่าคงจะเข้าใจตามที่ admin ได้อธิบายมาข้างต้นแล้ว
:b1:


posting.php?mode=quote&f=11&p=318284

อยากรู้จะแถไปไหนอีก ถ้ายังทำตัวเป็นปลาไหลอีก
คราวนี้เจอใบข่อยแน่ๆ :b32:


asoka เขียน:
หลังๆมานี้พอเจอโฮฮับมาขัดขวางกระแสธรรม ชักใบให้เรือเสีย จนบางกระทู้ที่กำลังจะมีอะไรดีๆออกมาเล่าสู่กันฟัง ถึงกับต้องโดนล็อกไปเพราะถกเถียงกับโฮฮับ


มันจะไปขัดขวางกระแสธรรมอะไรของคุณ เขาแย้งธรรมคุณ คุณก็แค่หาเหตุผล
มาแก้ต่างทำให้คนที่มาแย้งเชื่อว่าธรรมของคุณถูกต้อง แต่คุณไม่ทำวิธีนี้
คุณเลือกที่จะดี้ดดิ้น ตีโพยตีพายหาว่าผมมาขักขวางกระแสอะไรของคุณนั้น
แบบนี้กระทู้มันก็โดนล็อกน่ะซิ

asoka เขียน:
เรื่องUser name เก่าที่เป็นชื่อไทยว่า อโศกะ ทางผู้รักษาลานก็เคยคืนให้ แต่ตอนนั้นยังไม่เข้าใจวิธีการติดต่อกับผู้รักษาลานเลยไม่รู้เรื่อง ต้องขอชื่อใหม่เป็น asoka ดังทุกวันนี้ ก็ไม่ได้เป็นเรื่องลื่นไหลหลอกลวงอะไร เป็นเรื่องของความที่ยังไม่เข้าใจกระบวนการของลานธรรมจักรดีเท่าที่ควรเท่านั้นเอง แต่ทำไมโฮฮับเอามาบิดเบือนให้เป็นเรื่องที่ชั่วร้ายไปได้ น่าจะแสดงถีงนิสัยความเคยชินในการมองโลกในแง่ลบของโฮฮับมากกว่าหรือเปล่า:


ผมถึงได้ย้ำนักหนาว่า คุณมันผู้ร้ายปากแข็ง
ลื่นไหลเป็นปลาไหลลอกคราบ
:b32:

asoka เขียน:
แล้วไอ้การที่โฮฮับมาท้วงติงวินิจฉัยของผู้รักษาลานกลายๆอย่างที่ทำอยู่นี้ มันจะไม่เหมือนเป็นการไปดูถูกวินิจฉัยและภูมิปัญญาของท่านผู้รักษาลานหรือ ทางคณะท่านก็ให้เกียรติยกระดับโฮฮับ จาก 10 มาถึง 19 นี่ก็ถือว่าไม่ธรรมดาแล้วนะ


ทำตัวเป็นเด็กแล้วไง อ้างเอาผู้ดูแลมาเป็นพวกอีกแล้ว
วุฒิภาวะไม่สมกับสีผมบนศีรษะเลยครับ

asoka เขียน:
ถ้าเมื่อไหร่เปลี่ยนมาเป็นการมองโลกแต่มุมบวกให้มาก เสริมสร้างสนับสนุนความดีงามของเพื่อนผู้ร่วมลานมากกว่าคัดค้าน ข่มทับ บลัฟ เก......อีกหน่อยคงได้ถึงระดับเท่ๆที่หวังใจ


คุณนี่แปลกคนครับ คุณแสดงธรรมที่เป็นแง่ลบ แล้วจะมาบังคับขู่เข็นชาวบ้าน
ให้มองคุณในแง่บวก สติสตังคุณยังดีอยู่เปล่าโสกะ สงสัยกลั่นลมหายใจจนเพี้ยน
อย่าเคลิ้มกับเสียงตอดๆของหัวใจอย่างเดียว เอาสติมาฟังธรรมคนอื่นเขาบ้าง :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2013, 17:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


s004
โฮฮับ พูด
อ้างคำพูด:
แล้วที่บอกว่าผมแสดงความเห็นผิดธรรม ค้านตัวเอง
ขอหลักฐานหน่อยครับ
อย่าสร้างคดีใหม่ คดีหลอกลวงชาวบ้านยังไม่เคลียร์เลย

Onion_no
ดีแล้วที่โฮฮับอยากได้หลักฐานและข้อมูลว่า โฮฮับรู้มาผิด จนทำให้เกิดความ เห็นผิด คิดผิด ทำผิด ได้สิ่งที่ผิดๆ กลายเป็นคนผิด แล้วสุดท้ายก็มาถ่ายทอดแต่สิ่งที่ผิดๆให้ผู้คนหลงทาง มีอะไรบ้าง จะประมมวลและสรุปมาให้ฟังเป็นนข้อ เอาอันที่สำคัญ และเป็นอันตรายต่อพุทธธรรมมากๆก่อนนะครับ
onion onion onion
1 มัชฌิมาปฏิปทาคืออริยมรรคมีองค์ 8 เป็นธรรมสำหรับพระอริยะเจ้าขึ้นไป คนธรรมดาไม่สามารถปฏิบัติได้
.เป็นความรู้ผิด ตีความหมายมาผิดจนเห็นผิดพูดผิด

2.เรื่องไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นสภาวะเดียว......ไตรลัษณ์ของคุณโฮฮับคือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป


อ้างคำพูด:
ไอ้ที่คุณพูดนึกอนิจจจัง ทุกขัง อนัตตา เพียงแค่นี้ก็รู้ว่า คุณขี้โม้
จะบอกให้น่ะ ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันเป็นเพียงสภาวะเดียว
แต่ในสภาวะเดียวนั้น มีความหมายได้สามอย่าง
มันไม่ใช่อย่างที่คุณโม้ ว่า อนิจจังแล้วก็ลัดออก เห็นทุกขังแล้วลัดออก ตลก

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันเป็นสภาวะเดียวจำไว้



3.จำความหมายและหน้าที่ของสติมาไม่ครบ

อ้างคำพูด:
จะบอกโสกะให้และช่วยเอาคำพูดของผม ไปบอกคนที่สอนคุณด้วย.......

สติเป็นสภาวะที่......ระลึกรู้
การระลึกรู้ไม่ได้หมายถึงรู้ปัจจุบันอารมณ์

หน้าที่ของการรู้ปัจจุบันอารมณ์คือ......จิต(วิญญาน)

สติเป็นอาการของจิต ที่ไปรู้สัญญา(อดีด) สติไม่ใช่รู้ปัจจุบันอารมณ์
ตัวที่รู้ปัจจุบันอารมณ์คือ......จิตหรือวิญญาน เข้าใจมั้ยโสกะ


4.ไม่รู้จักการทำงานของสัมมาสังกัปปะ ปัญญามรรค

อ้างคำพูด:
หลักของสัมมาสังกัปปะ มันเป็นคนล่ะเรื่อง มันเกี่ยวกับการทำฌาน
ยิ่งถ้าเป็นการปฏิบัติอย่างที่โสกะกำลังทำยิ่งเป็นคนล่ะโลก

สัมมาสังกัปปะเป็นหลักของการปฏิบัติในการดับอวิชา ไม่ใช่การทำฌาน
การทำฌานเพียงอย่างเดียวไม่สามารถดับอวิชาได้

ความเป็นสัมมาสังกัปปะ นั้นก็คือ การใช้ปัญญาลงไปพิจารณาธรรมเพียงให้เห็นถึง
ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
ถ้าไล่ลำดับของไตรสิกขา ในส่วนของอธิปัญญา จะต้องเกิดปัญญา(ไตรลักษณ์)เสียก่อน
เราจึงจะเอาปํญญาตัวนี้มาพิจารณาธรรมให้เกิดเป็นสัมมาสังกัปปะได้

onion onion
1 มัชฌิมาปฏิปทาคืออริยมรรคมีองค์ 8 เป็นธรรมสำหรับพระอริยะเจ้าขึ้นไป คนธรรมดาไม่สามารถปฏิบัติได้
.เป็นความรู้ผิด ตีความหมายมาผิดจนเห็นผิดพูดผิด

อริยมรรค หากแปลความหมายว่า คือมรรค หรือทางเดินสำหรับพระอริยะ.....นี่คือแปลความหมายผิด

อริยมรรค ต้องแปลว่า ทางเดินอันประเสริฐเพื่อให้ถึงความเป็นอริยบุคคล

เมื่อแรกสอนในวันปฏมเทศนาพระพุทธบิดาก็ทรงสอนแก่ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ซึ่งยังเป็นปุถุชน มิใช่อริยชน เมื่อปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 น้อมมาใส่ใจพิจารณาหรือเจริญมรรคทั้ง 8 นั้นแล้วด้วยปัญญามรรค อันมีศีลมรรค และสมาธิมรรคสนับสนุนจึงได้เข้าถึงความเป็นอริยบุคคลตามลำดับจนถึงที่สุดคือความเป็นพระอรหันต์

มัชฌิมาปฏิปทาคืออริยมรรคมีองค์ 8 นี้จึงเป็นทางเดินอันประเสริฐ เป็นหลักการปฏิบัติธรรมอันเป็นเอก เป็นทางสายเดียวสู่มรรค ผล นิพพาน ถึงความเป็นพระอริยเจ้าทั้ง 4 จำพวก เป็นแก่นคำสอนที่สำคัญของพระพุทธศาสนาที่มนุษย์ เทวดา พรหม ทั้งหลายสามารถน้อมนำไปประพฤติปฏิบัติได้ เพราะเป็นเรื่องของ ปัญญา ศีล สมาธิที่ใครก็สามารถรู้ได้ ทำได้ เมื่อทำถูกต้องได้สัดได้ส่วนพอดีกันแล้วย่อมส่งผลให้หลุดพ้นถึงความเป็นอริยบุคคล

มิใช่ต้องได้ความเป็นอริยบุคคลแล้วจึงจะนำมาเจริญได้อย่างที่โฮฮับเข้าใจผิดไป

:b34:
2.เรื่องไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นสภาวะเดียว......ไตรลัษณ์ของคุณโฮฮับคือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

เรื่องนี้ไปพูดที่ไหนอย่างที่โฮฮับพูดก็มีแต่ท่านผู้รู้จะหัวเราะในความรู้ผิดเข้าใจผิด ของโฮฮับ

ไตรลักษณ์....แปลเป็นไทยว่า ลักษณะทั้ง 3 เป็นสามัญลักษณะ คือสภาวธรรมเขาเป็นอย่างนี้เสมอคือ

ทุกขัง...ทนตั้งอยู่ไม่ได้.....จึงต้อง อนิจจัง....เปลี่ยนแปลงไป.....ทั้งความเป็นทุกขังและอนิจจังนั้น เป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา เป็นความรู้สำคัญ เป็นหลักการของวิปัสสนาภาวนา วิปัสสนาภาวนา ถ้าไม่เห็นหรือไม่รู้ถึงความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ใช่วิปัสสนาภาวนา

ส่วนอุบัติ ฐีติ ภังคะ....หรือเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป...นั้นก็เป็นสามัญลักษณะ คือ ทุกสิ่งเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ย่อมทนตั้งอยู่ไม่ได้ ต้องดับสลายไป ดังพระบรมศาสดาทรงตรัสสรุปไว้ว่า

"สัพเพสังขารา อนิจจา....สัพเพสังขารา ทุกขา.....สัพเพธัมมา อนัตตา"

อนึ่งเรื่องของฐีติ ความตั้งอยู่ของธรรมสภาวะนั้น เป็นเรื่องพ้นวิสัยที่จิตหยาบๆของปุถุชนจะสามารถรู้ทันได้
มีแต่ความ เกิดขึ้น ดับไป หรือ เกิด - ดับ ๆ ๆ ๆเท่านั้นที่เมื่อทำจิตใจให้สงบเพียงพอแล้วจึงจะพอสามารถรู้ทันได้
ที่เห็นเหมือนสิ่งต่างๆเกิดขึ้นแล้วตั้งอยู่นั้น เป็นการเห็นเพราะถูกสันตติบังอนิจจังไว้เท่านั้น เช่นความเจ็บ ที่ดูเหมือนเจ็บตั้งอยูยาวนาน แต่สภาวธรรมจริงๆนั้น เป็นความเจ็บ - ดับ เจ็บ - ดับ ๆ ๆ ๆ ต่อเนื่องกันไปถี่และเร็วมากจนสติปัญญาที่ไม่ได้รับการฝึกฝน ไม่คมกล้าพอ ไม่สามารถรู้ทันได้

:b34:
3.จำความหมายและหน้าที่ของสติมาไม่ครบไม่ถูกต้อง เพราะแปลผิด

สติ ธรรมดาๆนั้นอาจจะแปลว่าระลึกรู้อย่างที่โฮฮับเข้าใจ เพราะเป็นสติที่ยังไม่ประกอบด้วยปัญญา เป็นสติที่ยังไม่ได้รับการอบรมด้วยธรรมะของพระพุทธเจ้า เป็นสติตามสัญชาตญาณของสัตว์โลก

สติ ที่สำคัญและใช้ในการเจริญมรรคนั้น ท่านเรียกว่า "สัมมาสติ" เพราะถูกอบรมให้รู้จัก ศสีล สมาธิ ปัญญา อริยมรรคมีองค์ 8 และโพธิปักขิยธรรมทั้ง 37 ประการแล้ว รู้ว่ามีงานและหน้าที่ที่่จะต้องกำกับกาย ใจ ให้เดินทางไปบนทางแห่งมรรคมีองค์ 8

สัมมาสติ นั้นมีงานและหน้าที่คือ

รู้ทันปัจจุบันอารมณ์ ......ระลึกได้...หรือระลึกรู้......ไม่ลืม

ความรู้ทันปัจจุบันอารมณ์นั้นก็เป็นสาระสำคัญยิ่งอีกอย่างหนึ่งของวิปัสสนาภาวนาหรือการเจริญมรรค 8 เพราะปัจจุบันอารมณ์เท่านั้นที่แก้ไข เปลี่ยนแปลงได้

ที่โฮฮับไปเข้าใจว่า วิญญาณ คือผู้รู้ปัจจุบันอารมณ์นั้น เป็นความเข้าใจผิด เพราะขาดประสบการณ์จริงในการปฏิบัติ ลองพิจารณาดูให้ดี

วิญญาณนั้นเป็นตัว รู้ ผัสสะทางทวารทั้ง 6 เฉยๆ หรือรูป..เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธัมมารมณ์ แต่วิญญาณไม่ไปรู้นามขันธ์อื่นที่เหลือ คือ สัญญา เวทนา สังขาร ผู้ที่ไปติดตามรู้ทันขันธ์ทั้ง 5 คือ สสติและปัญญา

ลองดูลำดับการเกิดของขันธ์ต่อไปนี้

รูปกายตั้งอยู่ อายตนะทั้ง 6 เปิดรับ ผัสสะเกิดขึ้น.....วิญญาณรับรู้(เฉยๆ ไม่มีปรุงแต่ง)สัญญา .....จำหมาย
สังขารปรุงแต่งว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ......เวทนา..ยินดียินร้ายเกิด ......ตัณหาเกิด.... กรรมเกิด วิบากกรรมเกิด..... วัฏฏะเกิดหมุนวน

ทุกช่วงตอน สตินทรีย์เจตสิกและปัญญินทรีย์เจตสิกจะไปแทรกซ้อนรู้ทันตลอดเวลา.....จึงจะเกิดการรู้ เห็น ธรรมตามความเป็นจริง

ถามปัญหาง่ายๆกับโฮฮับ.......การรู้ทันสิ่งต่างๆที่จะเกิดขึ้นกับตนเองในชีวิตประจำวันและแก้ไขเหตุการณ์ต่างๆที่จะเกิดจะเข้ามาถึงได้เป็น วิญญาณหรือ สติ กันแน่ ผู้คนเขาเรียกการรู้ทันอันนี้ ว่า สติ หรือเรียกว่าวิญญาณ อย่างที่โฮฮับรู้และเข้าใจมาผิดๆ

:b34:
มีงานแทรกเสียแล้วข้อที่เหลือค่อยคุยกันตอนต่อไปนะครับ
:b29:
:b36:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2013, 18:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
s004
โฮฮับ พูด
อ้างคำพูด:
แล้วที่บอกว่าผมแสดงความเห็นผิดธรรม ค้านตัวเอง
ขอหลักฐานหน่อยครับ
อย่าสร้างคดีใหม่ คดีหลอกลวงชาวบ้านยังไม่เคลียร์เลย

Onion_no
ดีแล้วที่โฮฮับอยากได้หลักฐานและข้อมูลว่า โฮฮับรู้มาผิด จนทำให้เกิดความ เห็นผิด คิดผิด ทำผิด ได้สิ่งที่ผิดๆ กลายเป็นคนผิด แล้วสุดท้ายก็มาถ่ายทอดแต่สิ่งที่ผิดๆให้ผู้คนหลงทาง มีอะไรบ้าง จะประมมวลและสรุปมาให้ฟังเป็นนข้อ เอาอันที่สำคัญ และเป็นอันตรายต่อพุทธธรรมมากๆก่อนนะครับ
onion onion onion
1 มัชฌิมาปฏิปทาคืออริยมรรคมีองค์ 8 เป็นธรรมสำหรับพระอริยะเจ้าขึ้นไป คนธรรมดาไม่สามารถปฏิบัติได้
.เป็นความรู้ผิด ตีความหมายมาผิดจนเห็นผิดพูดผิด

2.เรื่องไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นสภาวะเดียว......ไตรลัษณ์ของคุณโฮฮับคือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป


อ้างคำพูด:
ไอ้ที่คุณพูดนึกอนิจจจัง ทุกขัง อนัตตา เพียงแค่นี้ก็รู้ว่า คุณขี้โม้
จะบอกให้น่ะ ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันเป็นเพียงสภาวะเดียว
แต่ในสภาวะเดียวนั้น มีความหมายได้สามอย่าง
มันไม่ใช่อย่างที่คุณโม้ ว่า อนิจจังแล้วก็ลัดออก เห็นทุกขังแล้วลัดออก ตลก

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันเป็นสภาวะเดียวจำไว้



3.จำความหมายและหน้าที่ของสติมาไม่ครบ

อ้างคำพูด:
จะบอกโสกะให้และช่วยเอาคำพูดของผม ไปบอกคนที่สอนคุณด้วย.......

สติเป็นสภาวะที่......ระลึกรู้
การระลึกรู้ไม่ได้หมายถึงรู้ปัจจุบันอารมณ์

หน้าที่ของการรู้ปัจจุบันอารมณ์คือ......จิต(วิญญาน)

สติเป็นอาการของจิต ที่ไปรู้สัญญา(อดีด) สติไม่ใช่รู้ปัจจุบันอารมณ์
ตัวที่รู้ปัจจุบันอารมณ์คือ......จิตหรือวิญญาน เข้าใจมั้ยโสกะ


4.ไม่รู้จักการทำงานของสัมมาสังกัปปะ ปัญญามรรค

อ้างคำพูด:
หลักของสัมมาสังกัปปะ มันเป็นคนล่ะเรื่อง มันเกี่ยวกับการทำฌาน
ยิ่งถ้าเป็นการปฏิบัติอย่างที่โสกะกำลังทำยิ่งเป็นคนล่ะโลก

สัมมาสังกัปปะเป็นหลักของการปฏิบัติในการดับอวิชา ไม่ใช่การทำฌาน
การทำฌานเพียงอย่างเดียวไม่สามารถดับอวิชาได้

ความเป็นสัมมาสังกัปปะ นั้นก็คือ การใช้ปัญญาลงไปพิจารณาธรรมเพียงให้เห็นถึง
ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
ถ้าไล่ลำดับของไตรสิกขา ในส่วนของอธิปัญญา จะต้องเกิดปัญญา(ไตรลักษณ์)เสียก่อน
เราจึงจะเอาปํญญาตัวนี้มาพิจารณาธรรมให้เกิดเป็นสัมมาสังกัปปะได้

onion onion
1 มัชฌิมาปฏิปทาคืออริยมรรคมีองค์ 8 เป็นธรรมสำหรับพระอริยะเจ้าขึ้นไป คนธรรมดาไม่สามารถปฏิบัติได้
.เป็นความรู้ผิด ตีความหมายมาผิดจนเห็นผิดพูดผิด

อริยมรรค หากแปลความหมายว่า คือมรรค หรือทางเดินสำหรับพระอริยะ.....นี่คือแปลความหมายผิด

อริยมรรค ต้องแปลว่า ทางเดินอันประเสริฐเพื่อให้ถึงความเป็นอริยบุคคล

เมื่อแรกสอนในวันปฏมเทศนาพระพุทธบิดาก็ทรงสอนแก่ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ซึ่งยังเป็นปุถุชน มิใช่อริยชน เมื่อปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 น้อมมาใส่ใจพิจารณาหรือเจริญมรรคทั้ง 8 นั้นแล้วด้วยปัญญามรรค อันมีศีลมรรค และสมาธิมรรคสนับสนุนจึงได้เข้าถึงความเป็นอริยบุคคลตามลำดับจนถึงที่สุดคือความเป็นพระอรหันต์

มัชฌิมาปฏิปทาคืออริยมรรคมีองค์ 8 นี้จึงเป็นทางเดินอันประเสริฐ เป็นหลักการปฏิบัติธรรมอันเป็นเอก เป็นทางสายเดียวสู่มรรค ผล นิพพาน ถึงความเป็นพระอริยเจ้าทั้ง 4 จำพวก เป็นแก่นคำสอนที่สำคัญของพระพุทธศาสนาที่มนุษย์ เทวดา พรหม ทั้งหลายสามารถน้อมนำไปประพฤติปฏิบัติได้ เพราะเป็นเรื่องของ ปัญญา ศีล สมาธิที่ใครก็สามารถรู้ได้ ทำได้ เมื่อทำถูกต้องได้สัดได้ส่วนพอดีกันแล้วย่อมส่งผลให้หลุดพ้นถึงความเป็นอริยบุคคล

มิใช่ต้องได้ความเป็นอริยบุคคลแล้วจึงจะนำมาเจริญได้อย่างที่โฮฮับเข้าใจผิดไป

:b34:
2.เรื่องไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นสภาวะเดียว......ไตรลัษณ์ของคุณโฮฮับคือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

เรื่องนี้ไปพูดที่ไหนอย่างที่โฮฮับพูดก็มีแต่ท่านผู้รู้จะหัวเราะในความรู้ผิดเข้าใจผิด ของโฮฮับ

ไตรลักษณ์....แปลเป็นไทยว่า ลักษณะทั้ง 3 เป็นสามัญลักษณะ คือสภาวธรรมเขาเป็นอย่างนี้เสมอคือ

ทุกขัง...ทนตั้งอยู่ไม่ได้.....จึงต้อง อนิจจัง....เปลี่ยนแปลงไป.....ทั้งความเป็นทุกขังและอนิจจังนั้น เป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา เป็นความรู้สำคัญ เป็นหลักการของวิปัสสนาภาวนา วิปัสสนาภาวนา ถ้าไม่เห็นหรือไม่รู้ถึงความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ใช่วิปัสสนาภาวนา

ส่วนอุบัติ ฐีติ ภังคะ....หรือเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป...นั้นก็เป็นสามัญลักษณะ คือ ทุกสิ่งเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ย่อมทนตั้งอยู่ไม่ได้ ต้องดับสลายไป ดังพระบรมศาสดาทรงตรัสสรุปไว้ว่า

"สัพเพสังขารา อนิจจา....สัพเพสังขารา ทุกขา.....สัพเพธัมมา อนัตตา"

อนึ่งเรื่องของฐีติ ความตั้งอยู่ของธรรมสภาวะนั้น เป็นเรื่องพ้นวิสัยที่จิตหยาบๆของปุถุชนจะสามารถรู้ทันได้
มีแต่ความ เกิดขึ้น ดับไป หรือ เกิด - ดับ ๆ ๆ ๆเท่านั้นที่เมื่อทำจิตใจให้สงบเพียงพอแล้วจึงจะพอสามารถรู้ทันได้
ที่เห็นเหมือนสิ่งต่างๆเกิดขึ้นแล้วตั้งอยู่นั้น เป็นการเห็นเพราะถูกสันตติบังอนิจจังไว้เท่านั้น เช่นความเจ็บ ที่ดูเหมือนเจ็บตั้งอยูยาวนาน แต่สภาวธรรมจริงๆนั้น เป็นความเจ็บ - ดับ เจ็บ - ดับ ๆ ๆ ๆ ต่อเนื่องกันไปถี่และเร็วมากจนสติปัญญาที่ไม่ได้รับการฝึกฝน ไม่คมกล้าพอ ไม่สามารถรู้ทันได้

:b34:
3.จำความหมายและหน้าที่ของสติมาไม่ครบไม่ถูกต้อง เพราะแปลผิด

สติ ธรรมดาๆนั้นอาจจะแปลว่าระลึกรู้อย่างที่โฮฮับเข้าใจ เพราะเป็นสติที่ยังไม่ประกอบด้วยปัญญา เป็นสติที่ยังไม่ได้รับการอบรมด้วยธรรมะของพระพุทธเจ้า เป็นสติตามสัญชาตญาณของสัตว์โลก

สติ ที่สำคัญและใช้ในการเจริญมรรคนั้น ท่านเรียกว่า "สัมมาสติ" เพราะถูกอบรมให้รู้จัก ศสีล สมาธิ ปัญญา อริยมรรคมีองค์ 8 และโพธิปักขิยธรรมทั้ง 37 ประการแล้ว รู้ว่ามีงานและหน้าที่ที่่จะต้องกำกับกาย ใจ ให้เดินทางไปบนทางแห่งมรรคมีองค์ 8

สัมมาสติ นั้นมีงานและหน้าที่คือ

รู้ทันปัจจุบันอารมณ์ ......ระลึกได้...หรือระลึกรู้......ไม่ลืม

ความรู้ทันปัจจุบันอารมณ์นั้นก็เป็นสาระสำคัญยิ่งอีกอย่างหนึ่งของวิปัสสนาภาวนาหรือการเจริญมรรค 8 เพราะปัจจุบันอารมณ์เท่านั้นที่แก้ไข เปลี่ยนแปลงได้

ที่โฮฮับไปเข้าใจว่า วิญญาณ คือผู้รู้ปัจจุบันอารมณ์นั้น เป็นความเข้าใจผิด เพราะขาดประสบการณ์จริงในการปฏิบัติ ลองพิจารณาดูให้ดี

วิญญาณนั้นเป็นตัว รู้ ผัสสะทางทวารทั้ง 6 เฉยๆ หรือรูป..เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธัมมารมณ์ แต่วิญญาณไม่ไปรู้นามขันธ์อื่นที่เหลือ คือ สัญญา เวทนา สังขาร ผู้ที่ไปติดตามรู้ทันขันธ์ทั้ง 5 คือ สสติและปัญญา

ลองดูลำดับการเกิดของขันธ์ต่อไปนี้

รูปกายตั้งอยู่ อายตนะทั้ง 6 เปิดรับ ผัสสะเกิดขึ้น.....วิญญาณรับรู้(เฉยๆ ไม่มีปรุงแต่ง)สัญญา .....จำหมาย
สังขารปรุงแต่งว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ......เวทนา..ยินดียินร้ายเกิด ......ตัณหาเกิด.... กรรมเกิด วิบากกรรมเกิด..... วัฏฏะเกิดหมุนวน

ทุกช่วงตอน สตินทรีย์เจตสิกและปัญญินทรีย์เจตสิกจะไปแทรกซ้อนรู้ทันตลอดเวลา.....จึงจะเกิดการรู้ เห็น ธรรมตามความเป็นจริง

ถามปัญหาง่ายๆกับโฮฮับ.......การรู้ทันสิ่งต่างๆที่จะเกิดขึ้นกับตนเองในชีวิตประจำวันและแก้ไขเหตุการณ์ต่างๆที่จะเกิดจะเข้ามาถึงได้เป็น วิญญาณหรือ สติ กันแน่ ผู้คนเขาเรียกการรู้ทันอันนี้ ว่า สติ หรือเรียกว่าวิญญาณ อย่างที่โฮฮับรู้และเข้าใจมาผิดๆ

:b34:
มีงานแทรกเสียแล้วข้อที่เหลือค่อยคุยกันตอนต่อไปนะครับ
:b29:
:b36:


โสกะที่พร่ำพรรณามาทั้งหมดเนี่ย พูดตามหลักของการพิจารณา
ไม่ว่าจะเป็นทางโลกหรือทางธรรม ท่านเรียกว่า...เพ้อเจ้อ
พูดจาเรื่อยเปื่อยขาดหลักการ เหมือนชนเผ่าที่ไม่มีหลักการใช้ภาษา

คุณโสกะ คุณกล่าวหาผมว่ารู้ธรรมผิดๆ แสดงธรรมผิดๆค้านตัวเอง
ผมขอหลักฐานจากคุณ คุณเข้าใจคำว่า..หลักฐานมั้ย

คำว่าหลักฐาน คุณต้องไปเอาหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงกล่าวมาอ้างว่า
ผมกล่าวธรรมผิดอย่างไรตรงไหน,..........


มันไม่ใช่เอาธรรมที่ผมเคยแสดงความเห็น แล้วคุณก็จะมาพูดเองเออเองว่า
มันผิดธรรม ถามหน่อยคุณเป็นพระพุทธเจ้าหรือ
พุทโธ่! ทำไมหนอจะต้องให้สอนเรื่องแม้เด็กนักเรียนก็เข้าใจ

เรากำลังพูดถึงสิ่งใดอยู่ มันต้องเอาสิ่งนั้นมาอ้างมาแสดงให้เห็น
ไม่ใช่มาพูดเพ้อเจ้อ จินตนาการเอาเอง :b6:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2013, 20:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
ก่อนอื่นใดขออนุโมทนากับข้อธรรมที่คุณ Rotala ยกมาแบ่งปันให้ทราบถึงคุณของสมาธิและความสงบอันมีต่อการปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ 8
s004
อ้างคำพูด:
ถามปัญหาง่ายๆกับโฮฮับ.......การรู้ทันสิ่งต่างๆที่จะเกิดขึ้นกับตนเองในชีวิตประจำวันและแก้ไขเหตุการณ์ต่างๆที่จะเกิดจะเข้ามาถึงได้เป็น วิญญาณหรือ สติ กันแน่ ผู้คนเขาเรียกการรู้ทันอันนี้ ว่า สติ หรือเรียกว่าวิญญาณ อย่างที่โฮฮับรู้และเข้าใจมาผิดๆ

:b34:
ตอบคำถามนี้มาก่อนนะโฮฮับ
:b40:
4.ไม่รู้จักการทำงานของสัมมาสังกัปปะ ปัญญามรรค
:b41:
อ้างคำพูด:
โฮฮับ
หลักของสัมมาสังกัปปะ มันเป็นคนล่ะเรื่อง มันเกี่ยวกับการทำฌาน
ยิ่งถ้าเป็นการปฏิบัติอย่างที่โสกะกำลังทำยิ่งเป็นคนล่ะโลก

สัมมาสังกัปปะเป็นหลักของการปฏิบัติในการดับอวิชา ไม่ใช่การทำฌาน
การทำฌานเพียงอย่างเดียวไม่สามารถดับอวิชาได้

ความเป็นสัมมาสังกัปปะ นั้นก็คือ การใช้ปัญญาลงไปพิจารณาธรรมเพียงให้เห็นถึง
ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
ถ้าไล่ลำดับของไตรสิกขา ในส่วนของอธิปัญญา จะต้องเกิดปัญญา(ไตรลักษณ์)เสียก่อน
เราจึงจะเอาปํญญาตัวนี้มาพิจารณาธรรมให้เกิดเป็นสัมมาสังกัปปะได้

:b10:
ตามคำพูดของโฮฮับที่ยกมาอ้างนี่ ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าโฮฮับยังรู้ไม่ครบไม่ถี่ถ้วนกับมรรคข้อที่ 2 ปัญญามรรคสัมมาสังกัปปะ

ไม่มีอะไรเกี่ยวอะไรกับเรื่องฌาณเลย ที่อโศกะพูดไว้


สัมมาสังกัปปะปัญญามรรคนั้น เวลาทำงานในการปฏิบัติจริงมีอยู่ 2 หน้าที่คือ

1.สังเกต.....(ไม่ใช้ความคิด)

2.พิจารณา....(ใช้ความคิด)


ที่คุณว่า พิจารณาธรรมให้เกิดเป็นสัมมาสังกัปปะ นั้นเป็นการพูดกลับข้างของสภาวธรรม....สัมมาสังกัปปะเกิดขึ้นมาสังเกตพิจารณาปัจจุบันอารมณ์ จึงได้เห็นธรรมตามความเป็นจริงว่า ทุกสภาวธรรม มันเกิดขึ้นมาแล้วก็ดับไป เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อยู่ทุกเวลา นาที วินาที มีแต่เกิดขึ้น -ดับไป ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆเพียงเท่านี้ไม่มีอะไร........จนเกิดความเบื่อหน่ายคลายจางละวางความเห็นผิดยึดผิด นี่คือผลงานที่จะเกิดขึ้นจากปัญญาสัมมาสังกัปปะ

จึงได้กล่าวไว้แต่ต้นว่า ถ้าไม่มีความสังเกต+พิจารณา วิปัสสนาปัญญาจักไม่เกิดขึ้นมาได้
สังเกต พิจารณาเป็นคุณสมบัติและหน้าที่ของปัญญาสัมมาสังกัปปะนั่นเอง
พูดอีกอย่างก็ได้ว่า "ถ้าขาดมรรคตัวที่ 2 ปัญญาสัมมาสังกัปปะ วิปัสสนาปัญญาจักไม่เกิดขึ้น ไม่เจริญงอกงามได้"

ที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่นักปฏิบัติธรรมพึงรู้คือ ตอนที่มรรคญาณ ผลญาณจะเกิดนั้น ความพิจารณาซึ่งต้องใช้ความคิดจะหยุดไป คงเหลือแต่ความสังเกตรู้สภาวะธรรมไปตามธรรม....(ตถตา) เมื่อนั้นมรรคจึงจะสมังคีกันได้จนกลายเป็นโสดาปัตติมรรค...หรือสกิทาคามีมรรค หรืออนาคามีมรรค หรือที่สุด อรหัตมรรค....ตอนที่มรรคเกิดจะไม่มีความคิดปรุงแต่งไปเกี่ยวข้องเลย

:b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2013, 20:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


s004
อ้างคำพูด:
โสกะที่พร่ำพรรณามาทั้งหมดเนี่ย พูดตามหลักของการพิจารณา
ไม่ว่าจะเป็นทางโลกหรือทางธรรม ท่านเรียกว่า...เพ้อเจ้อ
พูดจาเรื่อยเปื่อยขาดหลักการ เหมือนชนเผ่าที่ไม่มีหลักการใช้ภาษา

คุณโสกะ คุณกล่าวหาผมว่ารู้ธรรมผิดๆ แสดงธรรมผิดๆค้านตัวเอง
ผมขอหลักฐานจากคุณ คุณเข้าใจคำว่า..หลักฐานมั้ย

คำว่าหลักฐาน คุณต้องไปเอาหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงกล่าวมาอ้างว่า
ผมกล่าวธรรมผิดอย่างไรตรงไหน,..........

มันไม่ใช่เอาธรรมที่ผมเคยแสดงความเห็น แล้วคุณก็จะมาพูดเองเออเองว่า
มันผิดธรรม ถามหน่อยคุณเป็นพระพุทธเจ้าหรือ
พุทโธ่! ทำไมหนอจะต้องให้สอนเรื่องแม้เด็กนักเรียนก็เข้าใจ

เรากำลังพูดถึงสิ่งใดอยู่ มันต้องเอาสิ่งนั้นมาอ้างมาแสดงให้เห็น
ไม่ใช่มาพูดเพ้อเจ้อ จินตนาการเอาเอง

:b6:
โฮฮับถามหาหลักฐานทางคัมภีร์....ผมคงหามาให้โฮฮับดูไม่ค่อยได้เพราะไม่ชำนาญเรื่องค้นและอ้างคัมภีร์อย่างโฮฮับ

แต่หลักฐานที่ผมมีก็คือสภาวธรรมที่ปรากฏอยู่จริงในกายใจ ดังเช่นเรื่อง ลมหายใจ หัวใจเต้น ชีพจร กระแสสั่นสะเทือนในกาย และสังขารุเปกขาญาณ

โฮฮับอยากจะเห็นหลักฐานก็ต้องลงมือปฏิบัติตรวจสอบทดสอบด้วยการปฏิบัติจริงพิสูจน์ธรรมก็จะได้พบหลักฐานทุกอย่างตามที่ผมบอกอย่างแน่นอน คำตอบอยู่ในตัว ในกาย ในใจของโฮฮับนั่นแหละ สำคัญว่ากล้าพิสูจน์หรือเปล่า

หรือจะตะแบงจะเอาหลักฐานจากตำราและคัมภีร์อยู่ร่ำไป

:b12: :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2013, 04:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:
อ้างคำพูด:
ถามปัญหาง่ายๆกับโฮฮับ.......การรู้ทันสิ่งต่างๆที่จะเกิดขึ้นกับตนเองในชีวิตประจำวันและแก้ไขเหตุการณ์ต่างๆที่จะเกิดจะเข้ามาถึงได้เป็น วิญญาณหรือ สติ กันแน่ ผู้คนเขาเรียกการรู้ทันอันนี้ ว่า สติ หรือเรียกว่าวิญญาณ อย่างที่โฮฮับรู้และเข้าใจมาผิดๆ

:b34:
ตอบคำถามนี้มาก่อนนะโฮฮับ
:b40:

รู้ทันสิ่งต่างๆ ......เราต้องรู้ด้วยจิตตัวรู้ จิตตัวรู้คือ....วิญญาน

การรู้ทันหมายถึงรู้ถึงสิ่งที่มากระทบหรือเรียกว่าผัสสะ ผัสสะเกิดที่ทวารใด
ก็ให้รู้ทันทวารนั้น แบบนี้จึงเรียก รู้ทันปัจจุบันอารมณ์

สติไม่ใช่จิตผู้รู้ สติเป็นเพียงอาการของจิต เป็นเจตสิก
สติจะเกิดได้นั้น จะต้องมีจิตหรือวิญญานเกิดร่วมด้วยเสมอ

และต้องมีการกำหนดรู้ไว้ก่อน อย่างเช่น...
เราจะกำหนดรู้อยู่ที่จักษุทวาร นั้นคือตั้งใจมองแต่สิ่งที่มากระทบทางตา
เป็นแบบนี้แล้วถ้ามีอะไรมากระทบทางตาก็รู้ทันด้วยจิตตัวรู้หรือวิญญาน

แต่ด้วยธรรมชาติของจิตหรือวิญญาน มักจะถูกกิเลสเข้าครอบงำ
ทำให้จิตเกิดความหลงเรียกว่า.......โมหะ
ความหลงหรือโมหะ ก็คือ อาการที่จิตไม่ได้อยู่กับทวารที่จิตกำหนดรู้ไว้
นั้นก็คือตา อาจจะไปอยู่ที่ใจ(คิด)หรือทวารส่วนอีก

เป็นเพราะเหตุนี้ เราจึงต้องอาศัยสติ เพื่อเรียกอดีตกลับมา
นั้นก็คือทำให้จิตกลับไปอยู่ที่ทวารตัวเดิม ก็คือตานั้นเอง

สติและโมหะไม่ใช่จิต จิตคือวิญญาน สติและโมหะเป็นเพียงอาการของจิต
อาการของจิตหรือเรียกอีกอย่างว่า เจตสิก มันเป็นเพียงสิ่งที่จิตไปรู้
เมื่อจิตไปรู้อาการใดหรือรู้เจตสิกตัวใด เราเรียกการรู้นั้นว่า...ปัจจุบันอารมณ์
แต่เหตุที่ทำให้เกิดสติ ไม่ใช่ปัจจุบันมันเป็นอดีตหรือสัญญา


การจะเข้าใจเรื่องจิต เจตสิก รูป บุคคลนั้นจะต้องมีดวงตาเห็นธรรม
นั้นก็คือได้เห็นสภาวธรรมตามความเป็นจริงเสียก่อน ที่สำคัญต้องเข้าใจว่า
สภาวธรรมเป็นสังขาร มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปตลอดเวลา
ตัวปัจจุบันอารมณ์ จะเกิดได้ต้องอาศัยการกำหนดรู้
ถ้าไม่กำหนดรู้ไว้ก่อน ความหมายของปัจจุบันอารมณ์ มันก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้
เพราะอารมณ์เป็นเพียงสังขาร มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปในทันทีทันใด
เรียกว่า เกิดแล้วก็ดับเลย


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 925 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13 ... 62  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร