วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 17:04  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 23 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2009, 05:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
คุณกรัชกายครับ

เวลาคุณไปเรียนหนังสือ คุณเอาทุกวิชาใส่ในหนังสือเล่มเดียวกันหรือเปล่า แล้วจะค้นหน้ากันอย่างไร นี่ผมยัง
ไม่ทันตั้งกระทู้ กระทู้นั้นก็ไปหน้า 2 แล้ว ถ้าผมมี 5 เรื่องอาจจะไปถึงหน้า 15 เวลาคนอื่นเข้ามา กว่าเขาจเปิดถึงหน้า 15 อาจจะใช้เวลาเป็นชั่วโมง แค่เสียเวลา 1 ชั่วโมงก่อนอ่าน เขาก็เลิกอ่านแล้ว

ผมย้ำว่า ถ้าผมผิดกฎกติกา ก็เล่นงานผมได้อยู่แล้ว ผมตั้งกระทู้ใหม่ เนื่องจากกระทู้เก่าผมโดนโยนทิ้งไปนั่นเอง



ผมย้ำว่า ถ้าผมผิดกฎกติกา ก็เล่นงานผมได้อยู่แล้ว ผมตั้งกระทู้ใหม่ เนื่องจากกระทู้เก่าผมโดนโยนทิ้งไปนั่นเอง


ท่านประธาน natdanai เป็นไปได้ไหม เปิดห้อง vip ให้คุณพลศักดิ์ห้องหนึ่ง (กระทู้หนึ่ง) โดยห้ามผู้อื่นเข้าไปยุ่งกับท่าน ให้ท่านว่าของท่านไปคนเดียว ให้ระบายสิ่งที่ค้างอยู่ในความรู้สึกออกให้หมด
กรัชกายเองก็ไม่เข้าไปเปิดเพลงในห้องนั้น :b32:

ถึงขนาดนี้แล้ว ต่อไปคุณพลศักดิ์ตั้งกระทู้ใหม่อีก ก็จับลงถังขยะเสีย เมื่อเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ฯลฯ ถึงขนาดนี้แล้ว ยังไม่รู้สึกตัว ก็แบนเสียให้รู้แล้วรู้รอดไป :b1:




เมื่อเปิดห้องพิเศษให้ท่านแล้ว สองลิงค์นี้เห็นว่าเกะกะรกรุงรังรกบอร์ดก็ลบเสีย
เพราะคุณพลศักดิ์คงไม่ใช้แล้ว

viewtopic.php?f=1&t=23116

viewtopic.php?f=1&t=23136

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2009, 05:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คห.นี้ ถามคุณพลศักดิ์ เมื่อผู้ดูแลลาน ทำอย่างนั้น คุณรับปากได้ไหมว่า จะไม่ตั้งกระทู้ใหม่อีก เพื่อให้ท่านประธานได้อยู่กับครอบครัวอย่างปกติสุข :b1:
ไหนๆ คุณพลศักดิ์คิดชื่อห้อง vip สิครับ จะตั้งชื่อว่าอะไรดี

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2009, 07:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในนาม ฟ้าหัวเราะเยอะข้า ตั้งกระทู้ไว้ที่บอร์ดนี้อีก เรื่องเดียวกัน

http://board.palungjit.com/f4/อสังขตธรรม-เป็นผู้ทำให้เกิด-สังขตธรรม-193144.html

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2009, 08:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 มิ.ย. 2009, 17:37
โพสต์: 123


 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้รักษาบอร์ด เขียน:
ย้ายข้อความไปที่
viewtopic.php?f=1&t=23116


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2009, 08:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 มิ.ย. 2009, 17:37
โพสต์: 123


 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้รักษาบอร์ด เขียน:
ย้ายข้อความไปที่
viewtopic.php?f=1&t=23116


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2009, 08:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


ขงเบ้งเทพแห่งกลยุทธ์ เขียน:
อสังขตธรรม ไม่มีวันหนุน สังขตธรรมนะครับ ธรรมตรงนี้ถ้าไม่รู้ไม่ถึงไม่ควรตอบจะเป็นกรรมเปล่า เพราะธรรมระดับนี้เป็น สกทาคามีมรรคอย่างน้อย แล้วจะกลายเป็นอภิสังขารมารทำลายผู้เริ่มปฎิบัตินะงับ
อยากจะขอเชิญผู้ที่รู้จริงช่วยแก้นะงับ
จะเป็นพระคุณบุญกุศลที่ช่วยค้ำพระศาสนาให้ดำรงอยู่ครบ 5000 วัสสา



ผมยังไม่รู้จริงนะครับ เพราะรู้จริงในนิยามของผมต้องถึงมรรคผลนิพพาน แต่ผมจะแก้การตีความบิด
เบือนจากความเป็นจริงของคุณพลศักดิ์อย่างอุตสาหะยิ่งก็แล้วกัน :b12:

suwichai เขียน:
กรุณาอย่ามั่ว และอย่าคิดเอาเองครับ อสังขตธรรม เป็นธรรมอันไม่ได้เกิดแต่เหตุปัจจัย อสังขตธรรม มีคุณสมบัติ หรือ คุณลักษณ์ ดังนี้
1. มีมาแต่เดิม
2. มีอยู่อย่างถาวร
3. ไม่เหมือนกับสิ่งใด ที่มองเห็น หรือ ที่เป็น วัตถุ สสาร
4. มีเพียงหนึ่งเดียว
5. ไม่พึ่งพาสิ่งใด
6. เป็นที่มาหรือ เป็นผู้ให้บังเกิด สรรพสิ่งทั้งหลาย
7. อยู่เหนือ กาลเวลา
ส่วนสังขตธรรม คือ ธรรม(สิ่ง)ที่มีปัจจัยปรุงแต่งมารวมกัน ทำให้มันเกิดขึ้น มันเป็นไปตามเหตุปัจจัย
ในคำสอน จากพระไตรปิฎก ได้กล่าวว่า
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติที่ไม่มีจุดกำเนิด ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง นั้น มีอยู่
ถ้าไม่มี ธรรมชาติที่ ไม่มีจุดกำเนิด ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง ความเป็นไปของธรรมชาติที่เกิดที่เป็น
ที่มีอะไรปรุงแต่ง ก็จะปรากฏไม่ได้ เพราะเหตุที่ มีธรรมชาติ ที่ไม่มีจุดเกิด ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรมาปรุงแต่ง ความเป็นไปของธรรมชาติ ที่เกิด ที่เป็น ที่มี ใครทำ ที่อะไร ปรุงแต่ง จึงเกิดขึ้นได้”
(อิตติวุตตก กัณฑ์ ที่ 1825/275 ว่าด้วยเรื่อง ธรรมชาติ ที่ไม่มีจุดเกิด
ไม่ถูกปรุงแต่ง มีอยู่ - จากพระไตรปิฎก ฉบับ ประชาชน หน้า 55)
ชัดไหมครับ
ธรรมชาติที่ ไม่มีจุดกำเนิด ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง (อสังขตธรรม)เป็นผู้ทำให้เกิดความเป็นไปของธรรมชาติที่เกิดที่เป็นที่มีอะไรปรุงแต่ง หรือสังขตธาตุจะปรากฏไม่ได้ ถ้าไม่มีอสังขตธรรม
เพราะ มีธรรมชาติที่ไม่มีจุดเกิด ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรมาปรุงแต่ง นั้นเอง ความเป็นไปของธรรมชาติ ที่เกิด ที่เป็น ที่มี ใครทำ ที่อะไร ปรุงแต่ง จึงเกิดขึ้นได้
สรุป
อสังขตธรรม ( นิพพาน ) ทำให้เกิดมีสังขตธรรม คือ โลก จักรวาล และขันธ์ 5 ของคนและสัตว์
แล้วอสังขตธรรม ( นิพพาน ) หรือ รัตนตรัยนั้น ชาวโลกเขาเรียกว่า อะไรล่ะครับ....ผมไม่ได้พูดคำนั้นน่ะ เดี๋ยวมารในเว็บศาสนาจะแบนกระทู้ของผมอีก


ข้อความของคุณพลศักดิ์นี่ อ่านแล้วบอกได้เลยว่า แปลไม่ถูก ตีความไม่ถูกอรรถธรรมและพระพุทธ
ประสงค์ บิดเบือนพระธรรมคำสอนเพื่อวาทะของตนอย่างมาก ขาดหลักเกณฑ์ในการวินิฉัย

พระสูตรที่คุณพลศักดิ์อ้างมานี้ อยู่ในหมวดของอิติวุตตกะ อุทาน นิพพานสูตร เริ่มตั้งแต่สูตรที่ ๑๕๘
พระสูตรนี้น่าจะเป็นพระสูตรที่ ๑๖๐ เรื่องย่อในพระสูตรก็คือ พระพุทธเจ้าเราเทศนาเรื่องพระนิพพานแล้ว
ภิกษุทั้งหลายปรีดาปราโมทย์ในคุณของพระนิพพาน พระองค์ทรงทราบในใจของเหล่าภิกษุ เมื่อจะทรง
อนุเคราะห์ภิกษุเหล่านั้นให้มีความเห็นเรื่องพระนิพพานที่ถูกต้อง จึงทรงเปล่งอุทานออกมา

ผมขออนุญาตยกบาลีสยามด้วย เพราะถ้ามีบุคคลผู้เข้าใจในบาลีสยามอ่าน เขาจะแจ่มแจ้งเรื่องการ
แปลและตีความด้วย ท่านใดไม่รู้เรื่องบาลีสยามก็ข้ามไปได้เลย เพราะคำแปลภาษาไทยผมก็ลงไว้

พระอุทานมีว่า

" อตฺถิ ภิกฺขเว อชาตํ อภูตํ อกตํ อสงฺขตํ , โน
เจ ตํ ภิกฺขเว อภวิสฺส อชาตํ อภูตํ อกตํ อสงฺขตํ , นยิธ ชาตสฺส
ภูตสฺส กตสฺส สงฺขตสฺส นิสฺสรณํ ปญฺญาเยถ , ยสฺมา จ โข
ภิกฺขเว อตฺถิ อชาตํ อภูตํ อกตํ อสงฺขตํ , ตสฺมา ชาตสฺส
ภูตสฺส กตสฺส สงฺขตสฺส นิสฺสรณํ ปญฺญายตีติ ". ฯ

แปลว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติ ไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว
ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าธรรมชาติ อันไม่เกิดแล้ว
ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว จักไม่ได้มีแล้วไซร้
การสลัดออกซึ่งธรรมชาติ ที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว
จะไม่พึงปรากฏในโลกนี้เลย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะธรรมชาติ อันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว
ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่ ฉะนั้น การสลัดออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว
อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว จึงปรากฏ.


ลองตีความกันครับ

ธรรมชาติ(ที่พระพุทธองค์ตรัสถึงในที่นี้) คือพระนิพพาน (พระสูตรก็จัดอยู่หมวดนิพพานสูตร)
อีกทั้งจะแปลว่าจิตไม่ได้ เพราะอะไรครับ เพราะจิตมีลักษณะตรงข้ามกับลักษณะที่พระพุทธเจ้าท่าน
ตรัสมาในสูตรนี้เลย อ่านลงไปครับ แล้วจะเข้าใจว่า ไม่ไช่ลักษณะของจิตเลย

ไม่เกิดแล้ว หมายถึง การไม่เกิดขึ้นของรูปและนาม

ไม่เป็นแล้ว หมายถึง ไม่มีเหตุที่จะเกิดขึ้น(ของรูปและนาม) เหตุคือตัณหา
อนึ่งนิพพานมาจากคำว่า นิ ไม่มีหรือออก วานะ กิเลสเครื่องร้อยรัด ต่อคำกันกลายเป็น นิพวานะ หรือ
นิพพาน แปลว่า ไม่มีกิเลสเครื่องร้อยรัด หรืออีกอย่างหนึ่ง มีกิเลสเครื่องร้อยรัดออกแล้ว

อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว หมายถึง ไม่มีเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งสร้าง(รูปและนาม)ขึ้น
ปัจจัยในที่นี้คือ กรรม จิต อุตุ อาหาร ๔ อย่างนี้เป็นปัจจัยของรูปและนาม

ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว หมายถึง เว้นจากลักษณะที่ถูกเหตุปัจจัยปรุงแต่ง(รูปและนาม)
ปัจจัยก็คือ กรรม จิต อุตุ อาหาร นั่นเอง

เมื่อพระนิพพานคืออสังขตธาตุ มีลักษณะเช่นนี้(โดยสภาวะปรมัตถ์) จะยังสังขตธาตุทั้งหลายให้เกิดได้
อย่างไร
ในอุทานนี้ พระองค์ทรงตรัสเป็นการตรัสยืนยันถึงการมีอยู่ของนิพพานโดยสภาวะปรมัตถ์ ไม่ไช่การตรัสหมายเอาหรือเพื่อยืนยันว่าอสังขตธาตุเป็นเหตุเกิดหรือทำให้สังขตธาตุเกิด การตีความว่าอสังขตธาตุทำ
ให้สังขตธาตุเกิดนั้น ดูจะตีความผิดไปจากพุทธประสงค์และไม่ถูกอรรถธรรมอีกด้วย


อนึ่ง พึงสังเกตสำนวนโวหารที่เป็นลักษณะเงื่อนไข ลักษณะเงื่อนไขนี้ใช้เมื่อยืนยันเหตุผลอันหนึ่งอันใด
ในที่นี้คือ

ธรรมชาติไม่เกิดแล้ว....ฯลฯ....มีอยู่
ถ้าปัจจัย.....ฯลฯ.......จักไม่ได้มีแล้วไซร้
การสลัดออก.....ฯลฯ.......ไม่พึงปรากฏในโลกนี้
ก็เพราะธรรมชาติ.....ฯลฯ......มีอยู่
การสลัดออก.....ฯลฯ.........จึงปรากฏ

ประโยคแรกทรงยืนยันพระนิพพานว่ามีอยู่
ตรัสเงื่อนไขว่า ถ้าไม่มี ตรัสผลของเงื่อไขว่า การสลัดออกไม่พึงปรากฏในโลกนี้
ตรัสเงื่อนไขอีกว่า ก็เพราะธรรมชาติ...มีอยู่ สรุปผลของเงื่อนไขว่า การสลัดออกจึงปรากฏ

ในอุทานนี้ไม่ได้ทรงกล่าวถึงเรื่องอื่นเลย นอกจากยืนยันความมีอยู่ของนิพพานและบอกลักษณะ
ปรมัตถ์ของนิพพานไว้ อย่าได้แถตีความออกไปนอกนี้เลย ผิดอรรถธรรมและพระพุทธประสงค์


การแปลที่คุณพลศักดิ์ยกมานั้น ผมไม่ทราบว่าแปลด้วยบาลีแบบไหน ถึงได้ออกมาแบบนี้ ปกติธรรมดา
ภาษาบาลีในพระไตรปิฎกนั้น ไม่มีวรรค ไม่มีจุลภาคบอกการขึ้นประโยคจบประโยค ตามที่ผมยกมานั้น
ผมใส่ให้ครบเลย และถ้าแปลตามประโยคที่ผมใส่เครื่องหมายให้มานั้น ก็จะถูกไวยากรณ์ภาษา เหตุที่
ต้องกล่าวเช่นนี้ เพราะไวยากรณ์ของภาษาจะบังคับการแปล บังคับลักษณะและวิธีการแปล บังคับเนื้อ
ความประโยคว่า เริ่มตรงไหน จบตรงไหน และศัพท์นี้ต้องแปลแบบไหน แปลความหมายลักษณะไหน
เหล่านี้เองพระพุทธเจ้าจึงให้สอบเรื่องที่ได้ยินได้ฟังมาว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสหรือประสงค์
โดยย่อท่านให้สอบทาน บท พยัญชนะ (หมายถึงสอบหลักภาษา) และตรวจกับพระสูตรพระวินัย(หมาย
ถึงข้อนั้นๆต้องไม่ขัดกันกับสูตรอื่นและไม่ขัดต่อพระบัญญัติที่ทรงห้ามไว้) ถ้าเข้าได้ทั้งบท พยัญชนะ
พระสูตร พระวินัยแล้ว ก็เป็นอันตกลงได้ว่า เป็นธรรมเป็นวินัยที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้(ความนี้โดยพิศดาร
อ่านได้จากมหาปรินิพพานสูตร)

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2009, 09:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


suwichai เขียน:
คุณธรรมะสวนัง และคุณธรรมภูตครับ
ผมขอแสดงความยินดีที่ดวงตาธรรมของพวกคุณเปิดแล้ว แต่เพื่อเปิดดวงตาธรรมของคุณให้กว้างขึ้น ผมขอชี้แนะดังนี้:
เถรวาทแยกจิต กับนิพพานออกจากกัน คุณจึงไม่ควรแยกจิตบริสุทธิ์และสิ่งปนเปื้อนออกจากกัน แต่คุณต้องแยกจิตในทางเถรวาทเป็น 2 ชนิดเลย คือ


จิตกับพระนิพพาน คนละเรื่องกันอยู่แล้ว เพราะ นิพพานดับจิต จิตไม่มีในพระนิพพาน เพราะจิตเป็นนาม
พระนิพพานไม่มีรูปและนาม ไม่ได้หมายถึงการแยกกันของท่านจะตามความหมายที่คุณอ้าง

suwichai เขียน:
1. จิตเดิมแท้ หรือ จิตประภัสสร ซึ่งก็คือ จิตพุทธะ หรือนิพพานจิต ศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าสอนทางให้เข้าไปสู่จิตนี้


ท่านกล่าวหมาย จิตเป็นประธาน เรียกว่าปธานนัย สิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมจิตคือเจตสิกที่ปรุงแต่ง ยืนยันจิต
ว่าถูกปรุงแต่งโดยอุปกิเลสที่จรมา(เจตสิกธรรม) ไม่ได้หมายถึงจิตพุทธ นิพพานจิตเลย และทรงสอนให้
ดับต้นเหตุแห่งการเกิดขึ้นของรูปและนาม จิตเป็นนาม ก็ทรงสอนให้ดับการเกิดขึ้นของจิตนั่นเอง

suwichai เขียน:
2. จิตในปฏิจจสมุปบาท หรือจิตสังขาร หรือเอวิชชาจิต จิตตัวนี้เวียนวนอยู่ในสังสารวัฏฏ์ มันเป็นจิตเก๊เกิดขึ้นได้ เพราะจิตเดิมแท้ข้อ 1 ไปหลงในกิเลสอวิชชานั่นเอง
จิตเดิมแท้ หรือ จิตประภัสสร หรือ จิตพุทธะ หรือนิพพานจิต มันเป็นจิตบริสุทธิ์ ไม่มีความโลภ โกรธ หลง มันอยู่ในพระนิพพาน
จิตในปฏิจจสมุปบาท หรือจิตสังขาร หรือเอวิชชาจิต
มันเป็นจิตไม่บริสุทธิ์ ่มีความโลภ โกรธ หลง มันจึงอยู่ในพระนิพพานไม่ได้ จิตไม่บริสุทธิ์จึงต้องมีภพภูมิอื่นใน 3 ภพ ไว้รองรับตัวมันเอง
ที่ผมโดนแบน โดนขับออกจากเว็บศาสนาต่างๆ ก็เนื่องจากพระยามารและพวกมาร เขาครองโลกนี้อยู่ รวมทั้งโลกไซเบอร์ เขาสามารถสิงใจใครก็ได้ เพื่อมากวนและมาต่อต้านผม


เอาเรื่องจิตมาปนเปกับเรื่องปฏิจจสมุปปบาทแบบมั่วไปหมด ถึงได้ออกมาแบบนี้ แล้วก็ไปว่าคนที่เขารู้
เขาเข้าใจว่าเป็นมาร โดนมารสิงบ้าง ก็แบบนี้ไง เขาถึงได้แบน น่าจะเอ่ะใจสักนิดว่า สิ่งที่ทำอยู่ทำไม
ผู้รู้ผู้เขาใจส่วนมากถึงได้คัดค้าน และที่ท่านเหล่านั้นทำ ก็ไม่ไช่ด้วยแค้นเคืองเลย แต่ท่านผู้รู้ผู้เข้าใจ
เหล่านั้นทำไป ก็เมตตา อยากปรับทิฏฐิคุณพลศักดิ์ให้ตรง เพราะความเห็นผิดนี้มีผลที่รุนแรงมาก

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2009, 10:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


จิตประภัสสร ไม่ใช่นิพพาน อย่ามั่วนะครับ
เพราะจิตประภัสสรไม่ใช่นิพพาน จึงถูกอวิชชาครอบได้ จึงเกิดสายปฏิจจสมุปบาทมานี้
คุณนี้มีแต่จะล่อเข้าหาพระเจ้าอยู่เรื่อยเลย

ถามจริง...ตัวผมก่อนเรียนมหาฯลัย กับ หลังเรียนจบ จะถือเป็นคนเดียวกันได้อย่างไร
ถ้าถือเป็นคนเดียวกัน ผมก็ไม่ต้องมาเรียนให้เสียเวลา..ก็ไปสมัครงานในระดับป.ตรีเลย..แล้วเขาจะรับไหม?..เขาก็ไม่รับ..ก็มันไม่ใช่คนเดียวกัน..นี้แหละจิตประภัสสร กับนิพพาน เป็นอย่างนี้..

ไหน ๆ คุณก็เป็นคนบอกเองว่า ไม่ใช่พระอริยะเจ้า..ก็ไม่ต้องเสียเวลามาบอกมาสอนคนอื่นหรอกครับ..ทุกวันนี้พระอริยะเจ้ายังมีอยู่..ท่านก็สอนของท่านอยู่ทุกวัน..ปล่อยให้ผู้ถึงแล้วเขาสอนดีกว่าครับ..ท่านก็ยังไม่ถึง..คอยถึงแล้ว..แล้วมาสอนก็คงไม่สายหรอกน่า


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 23 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร