วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 03:11  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 28 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.พ. 2010, 22:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



เคยสงสัยมั่งมั๊ยคะว่าทำไมพระพุทธองค์ทรงเน้นการเจริญสติปัฏฐาน ๔

แล้วทำไม ต้องมีคำว่า " สมถะ " แยกออกมาอย่างชัดเจน

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.พ. 2010, 22:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ก็ตอบแล้วไงท่านอาจาย์ ไม่ได้อ่านเหรอ อย่างงี้เรียกว่าอ่านหนังสือแตกแท้หนอ กมฺมุนา วตฺตตี โลโก

อ้างคำพูด:
ผมให้ฉายาคูณใหม่ พลศักดิ์น้อย อ. อายะ
จะให้ฉายาเป็นอะไรก็ได้ มันก็แค่เพียงสมมุตินะท่าน จะกิ้งเกื้อก็ได้ :b1: แต่ระวังเสียภาพลักษณ์นักดูจิตตัวพ่อนะ

อ้างคำพูด:
อะผมตอบสั้นๆ ก็ได้ สติ ก็คือความระลึกได้ เช่น เผลอแล้ว เผลอแล้ว คนนั้นก็เผลอ คนนี้ก็เผลอ ก็จัดได้ว่าเป็นสติ แต่เป็นสติแบบ แวบๆ


ไหนๆ จะให้ตอบอะนะขอต่ออีกหน่อย
ไอ้สติแวบๆ แบบนั้นนะ ประโยชน์มันก็พอมีอยู่ แต่มันไม่ใช่แนวทางปฏิบัติที่ถูกเพราะมันไม่ อาตาปี อันนี้รู้จักเปล่าเนี่ยหรือเรียนเลยไป หาใน กูเก้อ เอาอง พอมันไม่ อาตาปี แล้วยังไงหนอไปหาเอาเอง
เวลาสติดีมันเป็นไฉนหนอ มันก็รู้ตัวอยู่เกือบตลอดเวลานะซิ แม้กระทั่งตอนนอน จะขยับก็รู้ จะยกแขนยกขาก็รู้ ถ้านั่งสมาธิภวังค์ก็ไม่ได้กินละ จะทำพุธโท หรือทำอะไรมันก็ไหลลื่นไปหมด คนมาด่า โง่บ้าง ควายบ้าง ก็บ่เป็นหยังดอกท่านอาจารย์ แล้วท่านอาจารย์เคยไหมละเวลาคนด่าแล้วไม่โกรธ เนี่ยมันรู้สึกดีจิงๆ นะ
อะตอบแล้วนะเรื่องสติพอเปล่า ถึงคราวท่่านอาจารย์ละ หมายเหตุกรุณาอย่างแถ อีกนะครับ


แก้ไขล่าสุดโดย อายะ เมื่อ 24 ก.พ. 2010, 22:29, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2010, 00:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 พ.ย. 2009, 07:32
โพสต์: 95

แนวปฏิบัติ: หลักวิถีธรรมชาติ - อานาปานสติ,บริกรรมภาวนา
ชื่อเล่น: นุ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับ :b8: :b8: :b8: ทั้งสองท่าน พอดีผมได้อ่านเนื้อหาในกระทู้นี้เหมือนกัน เห็นว่า วีธีการดูจิต ก็เป็นแนวทางในหลักของวิปัสสนาวิธีๆนึง ถึงแม้ว่าตัวผมเองไม่เคยได้รับฟัง การสอนในแนวทางของ ท่านพระอาจารย์ปราโมทย์ แต่ผมก็ข้าใจในหลักวิธีของการดูจิตอยู่บ้าง

วิธี การดูจิตนั้น ผมเข้าใจว่า เป็นการตามรู้อารมณ์จิตของตนเอง
...คือเมื่อจิตคิดไปอย่างไร กำหนดสติตามรู้ เรื่อยไป

ซึ่งการฝึกฝนในช่วงแรกค่อนข้างยากนิดนึง แต่เมื่อฝึกฝนจนเริ่มชำนิชำนาญ คือ อบรมให้มากๆ กระทำให้ชำนิชำนาญ แล้วหลังจากนั้น สติจะตามทันความคิด ตามทันอารมณ์ เมื่อนั้นก็จะเกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริงว่า ความคิดก็มีการเกิดดับๆ แม้กระทั่งอารมณ์ต่างๆก็มีการเกิดดับๆ ..อยู่อย่างนั้น ซึ่งก็เข้าไปอยู่ในหลักของพระไตรลักษณ์ เช่นเดียวกัน

ส่วนแนวทางของสมถะนั้น เป็นการอบรม สร้างพลังให้จิตมีกำลังเข็มแข็ง(จนสติกลายเป็นสตินทรีย์) ให้มีสติมีสัมปะชัญญะสมบูรณ์ เมื่อฝึกฝนบ่อยๆ อบรมบ่อยๆ จนคล่องตัว จนชำนิชำนาญ ผู้ที่ใช้หลักสมถะวิธี ซึ่งสมาธิที่เป็นสมถะ กันจริงๆ จะไปอยู่ที่สมาธิในระดับของ อัปปนาสมาธิ หรือ ฌาณที่๔ เมื่อทำได้บ่อยๆเข้า หลังจากออกมาจากสมาธิในระดับนี้แล้ว เมื่ออยู่ในสภาวะปกติ ถ้าสังเกตให้ดีจะรู้สึกว่า เมื่อเราจะ ยืน เดิน นั่ง นอน รับ(ประ)ทาน ดื่ม ทำ พูดคิด ตัวสติของเราจะมาเด่นชัด ตามรู้ ความคิด อารมณ์ต่างๆ ที่มากระทบให้เกิดขึ้น ตามรู้การเคลื่อนไหวปมา เนื่องจากว่าตัวผมเองนั้น แม้จะปฎิบัติสมาธิภาวนา ไม่ถึงระดับสมาธิ ในขั้นอัปนนาสมาธิ หรือ บรรลุฌาณ๔ เลย เพียงแค่ว่า จิตสงบนิ่ง มีปิตี มีความสุข เมื่อทำได้บ่อยๆเข้า หลังจากออกสมาธิมาแล้ว จะรู้สึกว่ามีความสงบมาก
เมื่อมีการ พูดคิด หรือมีอารมณ์มากระทบ จะรุ้ได้ทันทีว่าเรากำลังคิดดีหรือไม่ดี หรือไปอย่างไร รู้ได้ว่าตอนนี้เรามีอารมณ์อย่างไร รู้ว่าอารมณ์นั้นกำลังเกิดขึ้น นั้นก็คือ ตัวสติ ได้ ตามรู้อารมณ์จิตของตัวเองได้เอง
เลยเข้าใจว่า ถ้าท่านใดที่ปฎิบัติสมาธิภาวนา ในหลักสมถะวิธี ตั้งแต่ ฌาณที่๑ - ๒ - ๓ - ๔ เมื่อฝึกฝนบ่อยๆ จนคล่องตัว จนชำนิชำนาญ ก็น่าจะมีความรู้สึกแบบนี้เช่นเดียวกัน

ซึ่งผลการปฎิบัติมีแนวโน้มไปในทางเดียวกัน

ผมเลยอยากให้ท่านทั้งสองอย่าได้มา ถกเถียงถึงหลักหรือวิธีการปฎิบัติและผลของการปฎิบัติที่ได้รับเลยครับ

ผมขอแนะข้อสติเตือนใจเกี่ยวกับการปฎิบัติสมาธิภาวนา ที่ท่านพระอาจารย์ใหญ่สายวิปัสสนากรรมฐานท่านนึง ได้เคย แนะลูกศิษย์ ดังนี้ครับ
...ท่านเคยกล่าวขึ้นมาลอยๆว่่า" เวลานี้จิตของข้ามันไม่สงบมีแต่ความคิด " พอบรรดาลูกศิษย์ไปถามท่านก็จะบอกว่า" ถ้ามันเอาแต่สงบอย่างเดียวมันก็ไม่ก้าวหน้า " ท่านว่าอย่างนี้ ซึ่งความหมายก็คือ ช่วงใดจิตสงบว่าง ก็ปล่อยให้มันว่าง ช่วงใดจิตมีความคิดก็ปล่อยให้มันคิดไป แต่ต้องกำหนดสติตามรู้ อยู่ทุกขณะจิต

ขอทุกๆท่านเจริญในธรรม

.....................................................
จงทำศีลให้เป็น อธิศีล
ทำจิตให้เเป็น อธิจิต
ทำปัญญาให้เป็น อธิปัญญา


พื้นฐานคุณธรรมความเป็นมนุษย์คือ ศีล๕ กุศลกรรมบถ๑๐ หิริโอตัปปะ และความกตัญญู กตเวทิตา

จุดสูงสุดของการรู้ธรรม เห็นธรรม ก็คือ
...สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ...สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2010, 00:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:

เคยสงสัยมั่งมั๊ยคะว่าทำไมพระพุทธองค์ทรงเน้นการเจริญสติปัฏฐาน ๔

แล้วทำไม ต้องมีคำว่า " สมถะ " แยกออกมาอย่างชัดเจน


ผลของสมถะคือกำลังของจิต คือบารมี หากขาดสมถะ จิตก็จะไม่สามารถมีกำลังตั้งมั่นสู้กิเลสได้
เช่น อดด่าไม่ได้ เป้นการขาดสมถะ ขาดความอุเบกขา ขาดศีล ขาดบารมี นี่คือขาดสมถะกรรมฐาน
คนที่จิตมีกำลัง มีบารมี จะสามารถตั้งจิตเป็นสมาธิได้ง่ายกว่า

คนชอบโจมตีว่าดุจิตปฏิเสธสมาธิ ซึ่งไม่จริง น่าเสียดายมากที่พวกเขาไม่ฟังให้กว้าง
หลวงพ่อสอนตลอดว่าให้ถือศีล ทำสมาธิ สวดมนต์ ไหว้พระ ทำสมาธิ เดินจงกรม
ไม่ให้ทิ้งสมถะ สิ่งเหล่านี้เป็นกำลังของจิต

ใครว่าดูจิต ไม่เอาสมถะ ขอให้ทราบว่าไม่จริง
หลวงพ่อปราโมทย์พูดเลยว่า พระพุทธเจ้าตรัสว่า
ธรรมที่ควรเจริญด้วยปัญญาอันยิ่ง มีสองอย่าง คือสมถกรรมฐาน และวิปัสนากรรมฐาน
ท่านจะไปสอนให้ไม่ทำสมถกรรมฐานได้อย่างไร
และตัวท่านเองทำสมถะกรรมฐานมาตั้ง 2x ปี (ผมจำเลขไมไ่ด้)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2010, 08:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
คนชอบโจมตีว่าดุจิตปฏิเสธสมาธิ ซึ่งไม่จริง น่าเสียดายมากที่พวกเขาไม่ฟังให้กว้าง
หลวงพ่อสอนตลอดว่าให้ถือศีล ทำสมาธิ สวดมนต์ ไหว้พระ ทำสมาธิ เดินจงกรม
ไม่ให้ทิ้งสมถะ สิ่งเหล่านี้เป็นกำลังของจิต
ขอต่อให้อีกหน่อยนะ ส่วนตัวท่านชาติเองก็ไม่เคยทำสมถะหรอกแแต่จำเขามาบอก เหอะๆ


แก้ไขล่าสุดโดย อายะ เมื่อ 25 ก.พ. 2010, 08:51, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2010, 08:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ภาวิตา-พหุลีกตา เขียน:
สวัสดีครับ :b8: :b8: :b8: ทั้งสองท่าน พอดีผมได้อ่านเนื้อหาในกระทู้นี้เหมือนกัน เห็นว่า วีธีการดูจิต ก็เป็นแนวทางในหลักของวิปัสสนาวิธีๆนึง ถึงแม้ว่าตัวผมเองไม่เคยได้รับฟัง การสอนในแนวทางของ ท่านพระอาจารย์ปราโมทย์ แต่ผมก็ข้าใจในหลักวิธีของการดูจิตอยู่บ้าง

วิธี การดูจิตนั้น ผมเข้าใจว่า เป็นการตามรู้อารมณ์จิตของตนเอง
...คือเมื่อจิตคิดไปอย่างไร กำหนดสติตามรู้ เรื่อยไป

ซึ่งการฝึกฝนในช่วงแรกค่อนข้างยากนิดนึง แต่เมื่อฝึกฝนจนเริ่มชำนิชำนาญ คือ อบรมให้มากๆ กระทำให้ชำนิชำนาญ แล้วหลังจากนั้น สติจะตามทันความคิด ตามทันอารมณ์ เมื่อนั้นก็จะเกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริงว่า ความคิดก็มีการเกิดดับๆ แม้กระทั่งอารมณ์ต่างๆก็มีการเกิดดับๆ ..อยู่อย่างนั้น ซึ่งก็เข้าไปอยู่ในหลักของพระไตรลักษณ์ เช่นเดียวกัน

ส่วนแนวทางของสมถะนั้น เป็นการอบรม สร้างพลังให้จิตมีกำลังเข็มแข็ง(จนสติกลายเป็นสตินทรีย์) ให้มีสติมีสัมปะชัญญะสมบูรณ์ เมื่อฝึกฝนบ่อยๆ อบรมบ่อยๆ จนคล่องตัว จนชำนิชำนาญ ผู้ที่ใช้หลักสมถะวิธี ซึ่งสมาธิที่เป็นสมถะ กันจริงๆ จะไปอยู่ที่สมาธิในระดับของ อัปปนาสมาธิ หรือ ฌาณที่๔ เมื่อทำได้บ่อยๆเข้า หลังจากออกมาจากสมาธิในระดับนี้แล้ว เมื่ออยู่ในสภาวะปกติ ถ้าสังเกตให้ดีจะรู้สึกว่า เมื่อเราจะ ยืน เดิน นั่ง นอน รับ(ประ)ทาน ดื่ม ทำ พูดคิด ตัวสติของเราจะมาเด่นชัด ตามรู้ ความคิด อารมณ์ต่างๆ ที่มากระทบให้เกิดขึ้น ตามรู้การเคลื่อนไหวปมา เนื่องจากว่าตัวผมเองนั้น แม้จะปฎิบัติสมาธิภาวนา ไม่ถึงระดับสมาธิ ในขั้นอัปนนาสมาธิ หรือ บรรลุฌาณ๔ เลย เพียงแค่ว่า จิตสงบนิ่ง มีปิตี มีความสุข เมื่อทำได้บ่อยๆเข้า หลังจากออกสมาธิมาแล้ว จะรู้สึกว่ามีความสงบมาก
เมื่อมีการ พูดคิด หรือมีอารมณ์มากระทบ จะรุ้ได้ทันทีว่าเรากำลังคิดดีหรือไม่ดี หรือไปอย่างไร รู้ได้ว่าตอนนี้เรามีอารมณ์อย่างไร รู้ว่าอารมณ์นั้นกำลังเกิดขึ้น นั้นก็คือ ตัวสติ ได้ ตามรู้อารมณ์จิตของตัวเองได้เอง
เลยเข้าใจว่า ถ้าท่านใดที่ปฎิบัติสมาธิภาวนา ในหลักสมถะวิธี ตั้งแต่ ฌาณที่๑ - ๒ - ๓ - ๔ เมื่อฝึกฝนบ่อยๆ จนคล่องตัว จนชำนิชำนาญ ก็น่าจะมีความรู้สึกแบบนี้เช่นเดียวกัน

ซึ่งผลการปฎิบัติมีแนวโน้มไปในทางเดียวกัน

ผมเลยอยากให้ท่านทั้งสองอย่าได้มา ถกเถียงถึงหลักหรือวิธีการปฎิบัติและผลของการปฎิบัติที่ได้รับเลยครับ

ผมขอแนะข้อสติเตือนใจเกี่ยวกับการปฎิบัติสมาธิภาวนา ที่ท่านพระอาจารย์ใหญ่สายวิปัสสนากรรมฐานท่านนึง ได้เคย แนะลูกศิษย์ ดังนี้ครับ
...ท่านเคยกล่าวขึ้นมาลอยๆว่่า" เวลานี้จิตของข้ามันไม่สงบมีแต่ความคิด " พอบรรดาลูกศิษย์ไปถามท่านก็จะบอกว่า" ถ้ามันเอาแต่สงบอย่างเดียวมันก็ไม่ก้าวหน้า " ท่านว่าอย่างนี้ ซึ่งความหมายก็คือ ช่วงใดจิตสงบว่าง ก็ปล่อยให้มันว่าง ช่วงใดจิตมีความคิดก็ปล่อยให้มันคิดไป แต่ต้องกำหนดสติตามรู้ อยู่ทุกขณะจิต

ขอทุกๆท่านเจริญในธรรม


ยังงั้นขอให้ท่านไปดูวิธีการปฏิบัติที่เขาสอนกันก่อนดีกว่านะ ดูที่สอนอย่างเดียวไม่พอให้ดูผู้ที่ถูกสอนด้วยว่าทำอย่างไร แล้วลองไปหาตอนที่หลวงตามหาบัวดูจิตด้วยมันเป็นอย่างไร ทำไมท่านทิ้ง เป็นเพราะเหตุไฉน ทำไมดูจิตอย่างเดียวมันฟุ้งมากมาย แม้ผู้ฝึกใหม่ก็ดูได้ทันทีเลยเหรอ เอาปรมัตถ์เลย นึกจะเอาก็เอา ทำอย่างกะข้าวกล่องเซเว่น เวฟแล้วกินได้เลย :b1: สติปัฐฐานสี่นะครับ มิใส่สติปัฐฐานหนึ่ง จะเลือกเอาฐานใดฐานหนึ่งอย่างเดียว ลองไปทำความเข้าใจตรงนี้มาก่อนแล้วค่อยสนทนากันนะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2010, 09:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อายะ เขียน:
ขอต่อให้อีกหน่อยนะ ส่วนตัวท่านชาติเองก็ไม่เคยทำสมถะหรอกแแต่จำเขามาบอก เหอะๆ


ผมทำทุกวัน คุณอายะ

คุณอายะมีแต่เที่ยวท้าทายสอบถามการปฏิบัติของคนอื่น
แต่ผมถามคุณอายะถึงผลการปฏิบัติที่มีในตน ไม่เึคยได้คำตอบเลยนะ

ปากดีจริงๆ ด่าคนอื่นอย่างนี้อย่างโน้น แต่ตัวเองเป็นเสียเอง


แก้ไขล่าสุดโดย เว็บมาสเตอร์ เมื่อ 25 ก.พ. 2010, 10:28, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2010, 10:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 พ.ย. 2009, 07:32
โพสต์: 95

แนวปฏิบัติ: หลักวิถีธรรมชาติ - อานาปานสติ,บริกรรมภาวนา
ชื่อเล่น: นุ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
อายะ เขียน:
ขอต่อให้อีกหน่อยนะ ส่วนตัวท่านชาติเองก็ไม่เคยทำสมถะหรอกแแต่จำเขามาบอก เหอะๆ


ผมทำทุกวัน คุณอายะ

คุณอายะมีแต่เที่ยวท้าทายสอบถามการปฏิบัติของคนอื่น
แต่ผมถามคุณอายะถึงผลการปฏิบัติที่มีในตน ไม่เึคยได้คำตอบเลยนะ

ปากดีจริงๆ ด่าคนอื่นอย่างนี้อย่างโน้น แต่ตัวเองเป็นเสียเอง

ท่านชาติสยาม พอเถอะครับ อย่าไปถกเถียงให้มากความเลย เพราะว่าแนวทางการปฎิบัติแต่ล่ะท่านนั้น คงไม่เหมือนกันทุกๆคน และวิถีจิตของแต่ละท่านคงไม่เหมือนกัน บางท่านก็สงบนิ่ง บางท่า่นก็มีความคิดเกิดขึ้น
หรือบางทีก็สงบนิ่งบ้าง มีความคิดเกิดขึ้นบ้าง สลับกันไป ก็แล้วดวงจิตของแต่ละท่านจะเป็นไป

ผมว่าท่านชาติสยาม ยึดแนวทาง การตามดูจิต หรือการตามรู้อารมณ์จิต คงเหมาะกับตัวท่านแน่นอน

ส่วนการยึดในแนวทางของ สติปัฐฐาน๔ ก็ถูกต้อง ส่วนจะยึดเอาข้อไหนนั้นก็แล้วแต่สะดวก จะเอากายเป็นฐานเป็นสิ่งรู้ของจิต หรือ จะเอาเวทนาเป็นฐานเป็นสิ่งรู้ของจิต ก็แล้วแต่ครับ หรือ จะเอาทุกข้อเลยก็ได้
แต่ตัวผมเองนั้น ยึดเอากายเป็นฐานเป็นสิ่งรู้ของจิต เป็นสิ่งระลึกของสติ คือ หมั่นพากเพียรเจริญอานาปาณสติ กำหนดรู้ที่ลมหายใจตลอดเวลาก็พอ

อ้างคำพูด:
ยังงั้นขอให้ท่านไปดูวิธีการปฏิบัติที่เขาสอนกันก่อนดีกว่านะ ดูที่สอนอย่างเดียวไม่พอให้ดูผู้ที่ถูกสอนด้วยว่าทำอย่างไร

ข้อนี้ผมคงขอผ่าน เนื่องจากว่าผมชอบในแนวทางของผมเอง เมื่อผมได้รู้ซึ้งในแนวทางการปฎิบัติของผมเองแล้ว
แนวทางหรือวิธีอื่นๆ ก็มีแนวโน้มไปในทางเดียวกัน คือ ฝึกฝนอบรมจิต จนสติกลายเป็น มหาสติปัฐฐาน มีสติเป็นใหญ่ มีสติเป็นผู้นำ

.....................................................
จงทำศีลให้เป็น อธิศีล
ทำจิตให้เเป็น อธิจิต
ทำปัญญาให้เป็น อธิปัญญา


พื้นฐานคุณธรรมความเป็นมนุษย์คือ ศีล๕ กุศลกรรมบถ๑๐ หิริโอตัปปะ และความกตัญญู กตเวทิตา

จุดสูงสุดของการรู้ธรรม เห็นธรรม ก็คือ
...สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ...สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา


แก้ไขล่าสุดโดย เว็บมาสเตอร์ เมื่อ 25 ก.พ. 2010, 14:03, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2010, 11:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ภาวิตา-พหุลีกตา เขียน:
เพราะว่าแนวทางการปฎิบัติแต่ล่ะท่านนั้น คงไม่เหมือนกันทุกๆคน และวิถีจิตของแต่ละท่านคงไม่เหมือนกัน บางท่านก็สงบนิ่ง บางท่า่นก็มีความคิดเกิดขึ้น
หรือบางทีก็สงบนิ่งบ้าง มีความคิดเกิดขึ้นบ้าง สลับกันไป ก็แล้วดวงจิตของแต่ละท่านจะเป็นไป

ผมว่าท่านชาติสยาม ยึดแนวทาง การตามดูจิต หรือการตามรู้อารมณ์จิต คงเหมาะกับตัวท่านแน่นอน

ส่วนการยึดในแนวทางของ สติปัฐฐาน๔ ก็ถูกต้อง ส่วนจะยึดเอาข้อไหนนั้นก็แล้วแต่สะดวก จะเอากายเป็นฐานเป็นสิ่งรู้ของจิต หรือ จะเอาเวทนาเป็นฐานเป็นสิ่งรู้ของจิต ก็แล้วแต่ครับ หรือ จะเอาทุกข้อเลยก็ได้
แต่ตัวผมเองนั้น ยึดเอากายเป็นฐานเป็นสิ่งรู้ของจิต เป็นสิ่งระลึกของสติ คือ หมั่นพากเพียรเจริญอานาปาณสติ กำหนดรู้ที่ลมหายใจตลอดเวลาก็พอ


คนบางประเภทไม่ปฏิบัติ ไม่ได้มีอะไรเลย ทำมาอวดดีวินิจฉัยชาวบ้าน
ต้องปราบเสียหน่อย มีอย่างที่ไหน ใส่ร้ายพระหน้าตาเฉย ไม่รู้ดีรู้ชั่ว


ที่ว่าผมดูจิตๆ แต่ว่าเวลาจิตมันรู้ มีแต่รู้กายทั้งนั้นเลยครับ
สติปัฏฐานนี้มันเนื่องกันไปหมด เพราะจิตเป็นประธาน
รู้อันใดก็ตาม สุดท้ายผู้รู้ก้คือจิต
รู้รูปก็เห้นรูป รู้นามก็เห็นนาม

สติปัฏฐานที่ว่า 4
ผมเห็นว่าไม่ได้แยกจากกัน มันเนื่องกันกันทั้งหมด


ภาวิตา-พหุลีกตา เขียน:
ท่านชาติสยาม พอเถอะครับ อย่าไปถกเถียงให้มากความเลย


ขอก็ให้ครับผม
ขออนุโมทนาผู้ขอทั้งหน้าไมค์หลังไมค์ด้วยครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2010, 12:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b1:
...ขอเสนอแนะการเจริญสติที่นำไปใช้บริกรรมออกเสียงหรือไม่ก็ได้และกระทำได้ทุกอิริยาบท...
...(ยืน/เดิน/นั่ง/นอน)อยู่นี่คือกาย...สุข-ทุกข์คือเวทนา...ความรู้สึกนึกคิดคือจิต...
...สิ่งที่กำหนดรู้คือสติ...(กิเลสที่เกิดคืออกุศลธรรมและนิวรณ์ธรรม)...
...สิ่งที่พิจารณาเห็นอยู่นี้คือปัญญา...ตัวเราของเราไม่มี...
:b12:
...ใช้สอนปฏิบัติธรรมสายกรรมฐานของพระครูพิศาลวิริยะคุณ...อำเภอบ้านเชียงจังหวัดอุดรธานีค่ะ...
:b8:
:b27: :b27:
:b53: :b53: :b53: :b53: :b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2010, 12:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
ผมทำทุกวัน คุณอายะ


ก่อนหยุดขอหน่อยนะเดี๋ยวจะหาว่าผมมุสา แต่ท่านชาติเคยพิมพ์ไว้าว่า

อ้างคำพูด:
ถ้าเวลาจิตมันเห็นปรมัตถ์มันจะไม่เห็นเป้นเราหรอก มันจะเห้นความเป้นเราอยู่ 2 "เรา"
นี่ล่ะปรมัตถ์ เราหนึ่งนี้คือรูปกายและความรู้สึกทั้งหลาย เราที่สองนี้อยู่ในกายเป็นเราที่รู้อยู่เฉย
ที่พูดนี่ พูดจากประสบการณ์ตรงนะ ไม่ต้องมาเที่ยวท้าถามว่านั่งสมาธิถึงไหน
ไม่เคยนั่งหรอก
แต่เกิดอย่างนี้ เห็นอย่างนี้


ท่านชาติคุณกับผมนะมีศาสดาองค์เดียวกันคือพระพุทธองค์ แต่ครูบาอาจารย์ที่เรานับถือนั้นสอนไม่ตรงกันท่านก็คิดว่าถูกของท่าน ผมก็คิดว่าถูกของผม ไอ้ที่ผมถามท่านไปนะมันไม่ได้สงสัยเฉพาะผมหรอก ชาวบ้านชาวเมืองเขาก็สงสัยกันหลาย ยกเว้นบางท่านที่ศรัทธา มากกว่าปัญญาก็จะเชื่อไปหมด แถมเอามาผสมกันใหม่ก็ว่าไปแล้วแต่เวรแต่กรรม ธรรมะแท้ต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เฮ้อ.......ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ก็ได้นะครับ ไปสงบสติอารมณ์ซะครับ ไอ้ที่ท่านด่าผม ผมโหสิให้ละกัน :b12: แล้วอย่าไปด่าคนอื่นเขาอีกละเสียภาพลักษณ์นักดูจิตหมด

ผม ขอ งด การสนทนากับท่านไว้เท่านี้และกัน เพราะคิดว่ารอปีหน้าท่านก็คงไม่ตอบผม
โหสิ
เอวัง


แก้ไขล่าสุดโดย อายะ เมื่อ 25 ก.พ. 2010, 12:26, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2010, 13:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อายะ เขียน:
ชาติสยาม เขียน:
ผมทำทุกวัน คุณอายะ


ก่อนหยุดขอหน่อยนะเดี๋ยวจะหาว่าผมมุสา แต่ท่านชาติเคยพิมพ์ไว้าว่า

อ้างคำพูด:
ถ้าเวลาจิตมันเห็นปรมัตถ์มันจะไม่เห็นเป้นเราหรอก มันจะเห้นความเป้นเราอยู่ 2 "เรา"
นี่ล่ะปรมัตถ์ เราหนึ่งนี้คือรูปกายและความรู้สึกทั้งหลาย เราที่สองนี้อยู่ในกายเป็นเราที่รู้อยู่เฉย
ที่พูดนี่ พูดจากประสบการณ์ตรงนะ ไม่ต้องมาเที่ยวท้าถามว่านั่งสมาธิถึงไหน
ไม่เคยนั่งหรอก
แต่เกิดอย่างนี้ เห็นอย่างนี้


ท่านชาติคุณกับผมนะมีศาสดาองค์เดียวกันคือพระพุทธองค์ แต่ครูบาอาจารย์ที่เรานับถือนั้นสอนไม่ตรงกันท่านก็คิดว่าถูกของท่าน ผมก็คิดว่าถูกของผม ไอ้ที่ผมถามท่านไปนะมันไม่ได้สงสัยเฉพาะผมหรอก ชาวบ้านชาวเมืองเขาก็สงสัยกันหลาย ยกเว้นบางท่านที่ศรัทธา มากกว่าปัญญาก็จะเชื่อไปหมด แถมเอามาผสมกันใหม่ก็ว่าไปแล้วแต่เวรแต่กรรม ธรรมะแท้ต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เฮ้อ.......ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ก็ได้นะครับ ไปสงบสติอารมณ์ซะครับ ไอ้ที่ท่านด่าผม ผมโหสิให้ละกัน :b12: แล้วอย่าไปด่าคนอื่นเขาอีกละเสียภาพลักษณ์นักดูจิตหมด

ผม ขอ งด การสนทนากับท่านไว้เท่านี้และกัน เพราะคิดว่ารอปีหน้าท่านก็คงไม่ตอบผม
โหสิ
เอวัง



พระพุทธเจ้าของคุณกับของผม คนละองค์กัน

สมาธิคุณอายะน่ะ มันสมาธิเด็กๆที่มีความเชื่อว่าต้องท่านั่งเท่านั้น ถึงจะเป็นการทำสมาธิ
คนฉลาดทำสมาธิได้ทุกเงื่อนไข ทุกท่า

พระพุทธเจ้าขององค์ที่สอนผมน่ะ
แม้คนเป้นง่อย เปลี่้ย เสียขา ขยับตัวไม่ได้
ถ้ายังลืมตาอ้าปากพูดคุยรู้เรื่องเหมือนคนปกติได้ ก็สามารถทำสมาธิได้

คุณไม่คุยกับผมหรอก แต่คงจะแอบไปแถเปิดประเด็นให้ผมไปตอบอยู่ดี
เพราะมีนิสัยชอบเสี้ยม ชอบเล่นสนุก เอาชนะคะคานไปวันๆ

ผมไม่ตอบเพื่อประโยชน์ความเข้าใจของคุณหรอก คุณมันพวกม้าที่ต้องฆ่าทิ้ง
ผมจะวุ่นวายกับคุณ กรณีที่มีการแสดงความเข้าใจผิดกับการดูจิต
เพื่อประโยชน์ของคนทั่วไป ไม่ตกเป็นเหยื่อน้ำลายของคนแบบคุณที่มีหูมีตาแต่เหมือนไม่มี
ชอบเอาคำพูดคนอื่นมาดัดแปลงอย่างร้ายกาจ เพื่อสนองตันหาอยากดีของตน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2010, 13:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
โหสิ
เอวัง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 28 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร