วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 12:01  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 161 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 11  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2012, 07:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
onion
(ต่อครับ)
ท่านอัญญาโกณฑัณญะ และปัญจวัคคีย์ที่เหลืออีก ๔ รูปบรรลุธรรมจนถึงความเป็นพระอรหันต์ด้วยความรู้ภาคปริยัติเพียง 2 เรื่อง คือ อริยสัจ ๔ จากปฐมเทศนา และอนัตตลักขณสูตรชฎิลดาบส ๓ พี่น้องพร้อมบริวาร บรรลุธรรมจนถึงพระอรหันต์ด้วยอาทิตตปริยายสูตร
ท่านอุปติสสะและโกลิตตะ คือพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะอรรคสาวก บรรลุธรรมเป็นโสดาบันทันทีด้วยคาถา “เยธฺมมาหุปพฺพวา เตสฺเหตํ ตถาคตา เตสฺญจโย นิโรโธจ เอวํวาที มหาสมโณ”ธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุ พระตถาคตเจ้าทรงแสดงเหตุเหล่านั้น และวิธีดับเหตุเหล่านั้นนี่คือวาทะของพระมหาสมณะ” แล้วเมื่อทำความเพียรต่ออีก ๗ วัน ๑๕ วันก็ได้บรรลุธรรมถึงความเป็นพระอรหันต์
ท่านองคุลีมาลวางดาบเปื้อนเลือดลงฟังอริยสัจจธรรมก็ได้บรรลุธรรมโดยลำดับ
ท่านพาหิยะ ได้ฟังข้อธรรมเรื่องอนัตตา คือสรุปว่า “เมื่อไม่มีพาหิยะ(หรือเรา หรืออัตตาหรือ
กู)ในที่ใดๆ ก็ย่อมไม่มีอะไร”
เพียงแค่นั้นก็บรรลุธรรมโดยลำดับจนถึงความเป็นพระอรหันต์
:b10:
แต่ท่านโพธิละผู้ท่องจำข้อธรรมเก่งจนถูกเปรียบว่าเหมือนพระไตรปิฎกเดินได้ กลับเนิ่นช้า
คำสอนของท่านสมัยเป็นภิกษุปุถุชนเพียง ๑ – ๒ สูตรหรือคาถา พุทธภาษิตเพียงไม่กี่ประโยค ก็ทำให้ลูกศิษย์ของท่านบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ไปเป็นจำนวนมาก แต่ตัวท่านเองกลับบรรลุธรรมช้าจนพระพุทธบิดาต้องมาทรมาณมานะทิฏฐิของท่าน จนเป็นเหตุให้ท่านได้ไปขอเรียนธรรมมจากอรหันต์สามเณรน้อย จึงได้บรรลุธรรมถึงความเป็นพระอรหันต์ ข้อธรรมของสามเณรน้อยก็เป็นแค่ปริศนาธรรมเรื่องจอมปลวกมีรู ๖ รู ปิดเสีย ๕ รูแล้วคอยจับตัวเหี้ยที่อยู่ในจอมปลวกที่รูที่ ๖ เพียงเท่านนี้ ท่านโพธิละใช้ปัญญาและสติพิจารณาตีความแตก ก็ได้บรรลุธรรม

:b45:
หลายท่านอาจนึกค้านในใจว่า ก็ท่านทั้งหลายเหล่านั้นได้บำเพ็ญบารมีมาหลายกัปป์หลายกัลป์หลายอสงขัย จึงเป็นเหตุให้บรรลุธรรมเร็ว ก็เลยอยากจะให้ทุกท่านได้ลองฉุกคิดว่ามนุษย์ทุกคน จิตวิญญาณทุกดวงล้วนได้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิทั้ง ๓๑ ภพภูมิบำเพ็ญบารมี กุศลอกุศลกันมานับชาติไม่ถ้วนเช่นกัน จะไม่มีปูมหลังพอที่จะหนุนสติปัญญาในชาตินี้ให้ได้ฟังธรรมศึกษาธรรมอย่างจริงจังและลึกซึ้งเพียงสูตรเดียว คาถาเดียว ภาษิตเดียว หรือ สองสาม แล้วมีปัญญา สติ สมาธิ พิจารณาตาม จนเกิดดวงตาเห็นธรรมได้
แต่เท่าที่สังเกตการณ์มานานในลานธรรมทั้งหลาย มีผู้รู้มากมายที่เชี่ยวชาญในการอ้างคัมภีร์พระไตรปิฎกเกือบจะเหมือนท่านโพธิละเถระในครั้งพุทธกาล ฟังการปุจฉาวิสัสชนาธรรมกันแล้วเหมือนพระอริยเจ้ามาสนทนากัน อันน่าจะเป็นเครื่องหมายบอกว่ามีพระอริยเจ้าเพิ่มมากขึ้นกว่าสมัยก่อนๆเพราะการศึกษาธรรมสมัยนี้ง่ายมากเมื่อมีสื่อหนังสือ เอกสาร แถบเสียง ทีวี วิดิโอ อินเตอร์เนท คอยอำนวยความสะดวกให้ในการศึกษาธรรม ฟังธรรม
แต่ทำไมจำนวนพระอริยเจ้ากลับลดน้อยถอยลงไปทุกทีจะหาให้ได้กราบไหว้สักทีก็แสนยาก เป็นเพราะอะไรหนอ อะไรมาเป็นเงา อะไรมาเป็นเส้นผมปิ ดบังตาคนในสมัยปัจจุบัน?

:b48:
พูดมาถึงตรงนี้หลายท่านอาจเริ่มนึกค้านว่าผู้เขียนกำลังต่อต้านการศึกษาพระไตรปิฎกและคัมภีร์ต่างๆหรือเปล่า ขอกราบเรียนว่าอาจเคยมีจิตต่อต้านเมื่อครั้งใหม่ๆ แต่เมื่อศึกษาและปฏิบัติธรรมไปพิสูจน์ความจริงไปนานๆ ได้ย้อนวิเคราะห์ สังเกตการณ์จึงได้ข้อคิดสะกิดใจว่า
“ปริยัติทั้งหลายทั้งในและนอกคัมภีร์นั้นดีแน่ แต่พึงควรเลือกเฟ้นศึกษาเจาะลึกเฉพาะสูตรหรือคาถา ภาษิต ที่ประทับใจ โดนใจจริงๆ สักเพียง ๑ หรือ สองสาม จนได้หลักปฏิบัติเฉพาะตน นำมาค้นคว้าทดลอง พิสูจน์หาความจริงด้วยตนเองอย่างจริงจัง ก็น่าจะเป็นที่หวังว่าจะได้เกิดดวงตาเห็นธรรม”
อย่าเอามากมายเกินไปจนสับสนอย่าลืมว่า ๑ สูตรก็เหมาะกับ ๑ คนหรือ ๑ กลุ่มชนที่จริตนิสัยคล้ายคลึงกัน ถ้าเรารับมาหลายๆสูตรโดยไม่ทำความลึกซึ้งถึงแก่นในแต่ละสูตร ปริยัติทั้งหลายที่รู้มานั่นแหละจะขัดกันเองให้เกิดวิจิกิจฉาความลังเลสงสัยในธรรม
(ยังมีต่อ)
:b53: :b45: :b51:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2012, 06:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b53:
(ต่อ)
(ต่อ)
ก่อนที่เราจะสนทนากันต่อไปขอกราบเรียนว่า กระทู้นี้เป็นเพียงความรู้เพื่อกระตุ้นต่อมสัมปชัญญะ คือสติ ปัญญา และความสามารถตามธรรมชาติของมนุษย์ให้ลุกตื่นขึ้นมาทำงานได้โดยไร้สิ่งกีดขวาง มิใช่ความรู้เพื่อจดจำไปเป็นหลักปฏิบัติอย่างไร ท่านผู้อ่านต้องไปใช้วิจรณญาณหลังการถูกกระตุ้นแล้วค้นหาวิธีการปฏิบัติเฉพาะตัวเอาเอง
:b16:
เราได้กล่าวถึงมุมมองทางด้านความจริง เส้นผมและเงาผสมปนกันมาพอสมควรแล้ว บัดนี้เราควรจะได้เจาะลึกลงไปในแง่มุมมด้านความจริงที่ถูกปิดบังกันดูบ้างนะครับความจริงที่ถูกปิดบังอันแรกก็คือ
:b46:
“สติ ปัญญา และความสามารถตามธรรมชาติของมนุษย์”
:b45:
มนุษย์และสัตว์โลกทุกชีวิตจะมีความสามารถตอบโต้และแก้ไขปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นกับร่างกายและชีวิตจิตใจโดยอัตโนมัติด้วยสัญชาติญาณแห่งการเอาชีวิตรอด (Survival for fited)สัญชาตญาณนี้จะระดมเอา สติ ปัญญา สมาธิ จิตสำนึก จิตใต้สำนึกและความสามารถทั้งหมดที่ธรรมชาติประทานมาให้ออกมาแก้ไขปัญหาของแต่ละคนแต่ละชีวิต
:b54:
ตัวอย่างที่พื้นๆง่ายๆเช่นสมมุติว่าบุคคลผู้หนึ่งไปนั่งอยู่ข้างเตาไฟที่เป็นเตาถ่าน บังเอิญ ถ่านไฟแตกกระเด็นมาตกลงที่หน้าตักของเขา ปฏิกิริยาการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดของเขาจะทำให้เกิดการปัดหรือสะบัดเอาก้อนถ่านไฟออกไปให้พ้นตัวโดยเร็วที่สุดโดยไม่มีการคอยไปนึกถึงหลักทฤษฎี วิธีการปฏิบัติใดๆในการที่จะเอาก้อนถ่านไฟที่ลุกแดงออกจากตัว ความข้อนี้ขอให้ทุกท่านสังเกตให้ดี พิจารณาให้ลึกซึ้งโดยนึกเทียบจากกับความเป็นจริง แล้วจะเกิดประโยชน์เป็นอย่างมากกับการปฏิบัติธรรม
ถ้าบุคคลผู้นี้ไม่เคยศึกษาความรู้อะไรมาก่อนเกี่ยวกับเรื่องการดับไฟหรือแก้ปัญหาการถูกลูกไฟตกใส่ตัว ปฏิกิริยาการแก้ไขปัญหาของเขาจะเกิดขึ้นและเป็นไปโดยธรรมชาติโดยอัตโนมัติ


แต่ถ้าบุคคลผู้นี้ถูกสอนมาโดยหลักทฤษฎีว่าถ้ามีลูกไฟเหมือนอย่างก้อนถ่านไฟลุกแดงมากตกใส่ตัวคุณจะต้องทำอย่างนี้ ข้อ 1 – 2 – 3 – 4
เมื่อคนผู้นี้ถูกก้อนถ่านไฟร้อนแดงตกใส่ตัวเขา ความคิดตามหลักทฤษฎีที่เขาเรียนรู้มาจะเกิดขึ้นมาก่อนแล้วเขาก็ปฏิบัติการแก้ไขไปตามหลักทฤษฎีอันนั้นจนจบ สิ่งที่จะได้เป็นข้อสังเกตจากตัวอย่างนี้ก็คือ ปฏิกิริยาในการดับไฟ หรือเอาก้อนไฟร้อนออกจากตัวของเขาจะเชื่องช้าไปมากกว่าปฏิกิริยาการตอบโต้แก้ไขโดยธรรมชาติดังตัวอย่างแรกที่ยกมา

:b40:
เรื่องนี้ท่านอ่านแล้วอาจดูงงว่าผู้เขียนต้องการให้รู้อะไร?
ผู้เขียนต้องการให้ท่านเกิด สิ่งที่ว่า
”ความรู้ ความเห็นและความคิดที่ถูกต้องตามธรรมขึ้นมาในใจของท่านเอง” อย่างที่ฝรั่งเขาเรียกว่า“ไอเดีย” ทางไทยเราว่า “ปิ้ง” หรือ “แว๊ป”ขึ้นมาในจิตค้นพบวิธีการด้วยตนเอง
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2012, 17:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2011, 22:53
โพสต์: 705

แนวปฏิบัติ: รู้สึกตัว
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปุจฉา

-อะไรคือเส้นผม

-อะไรคือภูเขา

-อะไรคือเงา

-อะไรเรียกว่าบัง

และอะไรคือความจริง

:b38:

.....................................................
"ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 พ.ค. 2012, 07:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


ขณะจิต เขียน:
ปุจฉา

-อะไรคือเส้นผม

-อะไรคือภูเขา

-อะไรคือเงา

-อะไรเรียกว่าบัง

และอะไรคือความจริง

:b38:

:b12:
ร้อนใจอยากได้คำตอบเร็วๆใช่ไหมครับ
แต่วัตถุประสงค์ของกระทู้ต้องการให้ผู้อ่านค้นพบคำตอบด้วยตนเอง ลองสนทนากันไปอีกสักพัก ด้วยความสังเกตพิจารณา คำตอบมีอยู่แล้วเป็นระยะๆในกระทู้ ลองสังเกตดูดีๆนะครับ

b16:
เจริญธรรมครับ
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มิ.ย. 2012, 06:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
(ต่อครับ)
“การปฏิบัติธรรมแบบไร้กระบวนท่า”
ทุกๆท่านที่กำลังมาศึกษาหาความรู้ สนทนาธรรม พิสูจน์ธรรม ทดสอบธรรม วิเคราะห์วิจัยธรรม และปฏิบัติธรรมกันอยู่ทุกวันนี้คงจะมีความเห็น รูปแบบ วิธีการปฏิบัติไปตามแนวทางที่ตนเองเชื่อถือศรัทธาและเห็นว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับตนเองในขณะนี้ แต่ท่านทั้งหลาย[color=#BF0040]ทราบไหมว่า เมื่อเกิดความยึดถือในรูปแบบวิธีการปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมาแล้ว รูปแบบวิธีการเหล่านั้นจะไปปิดกั้นรูปแบบวิธีการโดยธรรมชาติที่ธรรมชาติได้สร้างสรรให้มาไว้กับชีวิตมนุษย์ทุกคน[/color]
:b48:
รูปแบบหรือวิธีการปฏิบัติธรรมที่ดีที่สุดก็คือวิธีการตามที่ธรรมชาติให้มาหรือวิธีการที่ใกล้เคียงกับวิธีที่ธรรมชาติให้มา
วิธีการที่ธรรมชาติให้มานั้นเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นและเป็นไปเองโดยธรรมชาติอย่างเป็นอัตโนมัติ ที่เราเรียกกันว่า “สัญชาติญาณ”
มนุษย์และสัตว์โลกทั้งหลายนั้นต่างก็มีสัญชาติญาณในการเอาตัวรอดจากภัยพิบัติ สิ่งขัดข้องและปัญหาต่างๆเกิดขึ้นมาทำงานเองโดยอัตโนมัติ ดังตัวอย่างเรื่องก้อนถ่านไฟแดงตกลงใส่ตัวคน ที่ยกมาให้ดูแล้วข้างต้น
ถ้าเราสามารถที่จะจัดการให้ร่างกายและจิตใจได้อยู่ในท่าทางและสภาพแวดล้อม ที่เหมาะสม เราสามารถจะปลุกเอาสัญชาติญาณโดยธรรมชาติของกายและจิตนี้ขึ้นมาเป็นวิธีปฏิบัติธรรมโดยธรรมชาติได้
ท่าทางและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมนั้นเป็นอย่างไร
ท่าทางที่เหมาะสมสำหรับการปฏิบัติธรรมแบบธรรมชาตินั้นก็คือ การนั่งขัดสมาธิเฉยๆ โดย

เมื่อนั่งลงแล้วหลังจากนั้นก็ปล่อยให้กระบวนการทางธรรมชาติในกายและจิตเขาทำงานไปตามหน้าที่ของเขา อายตนะหรืออวัยวะสำหรับรับการสัมผัสทั้ง 6 ก็เปิดกว้างให้ทำงาน
ปัญญา สติ สมาธิ ก็ให้เขาได้ทำงานตามหน้าที่โดยธรรมชาติไปอย่างอิสระเสรี โดยมิให้มีความเห็นหรือรูปแบบ วิธีปฏิบัติใดไปกำหนดกฎเกณฑ์ไว้
หน้าที่ของผู้ปฏิบัติก็มีเพียงรักษากายใจให้สงบนิ่งเฉยให้ได้ตลอดระยะเวลาการปฏิบัติที่กำหนดไว้
อาจเป็นครั้งละ ประมาณ 1 ชั่วโมงหรือมากกว่าแล้วแต่ความสามารถของแต่ละบุคคล
ลองทำกันดูนะครับ หลังจากจัดการให้ร่างกายจิตใจได้อยู่ในท่าที่ถูกต้องแล้ว สำหรับผู้ใหม่ สิ่งแวดล้อมก็พึงควรให้เป็นที่สงบปราศจากสิ่งรบกวนต่างๆ แต่ถ้าชำนาญแล้ว จะไปนั่งปฏิบัติในสิ่งแวดล้อมอย่างไรก็ได้ เพราะยิ่งมีสิ่งกระทบสัมผัส มีสิ่งขัดขวางมากเท่าไหร่ ผู้ปฏิบัติก็จะได้เห็นได้รู้กระบวนการทำงานโดยธรรมชาติของกายและจิตมากเท่านั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2012, 22:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ขณะจิต เขียน:
ปุจฉา

-อะไรคือเส้นผม

-อะไรคือภูเขา

-อะไรคือเงา

-อะไรเรียกว่าบัง

และอะไรคือความจริง

:b38:


มานะ...คือเส้นผม

ตน...คือภูเขา

สัญญาธรรม..คือเงา

ไม่แจ้ง...คือบัง

ธรรม...คือความจริง

ทั้งเส้นผม...ทั้ง..ภูเขา...และทั้ง..เงา...นั้นแหละที่บัง..ความจริง...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2012, 22:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้ไม่น้อม...ย่อมไม่เห็นธรรมจริง

ผู้น้อบน้อมจริง...จึงจะเห็นธรรมได้

แม้คราวเห็นธรรมจริงแล้วไซร์...กลับน้อบน้อมยิ่งกว่า

ผู้น้อบน้อมยิ่งกว่าผู้หมดกิเลสแล้ว...ไม่มี
:b41: :b37: :b38: :b43:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2012, 23:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


คำตอบของทุกท่าน ถูกทุกข้อ แต่อาจไม่ถูก กับสิ่งที่ผู้ถามตอบไว้ ก็แค่นั้น :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2012, 04:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
(ต่อครับ)
เท่าที่กล่าวมาหลายท่านก็อาจคิดว่า “นี่ก็คือวิธีการหรือกระบวนท่าอย่างหนึ่งนั่นเอง” ถูกต้อง
อยู่นะครับเพราะเมื่อแรกเริ่มหรือสำหรับผู้ใหม่ก็อาจจำเป็นต้องมีการกำกับเบื้องต้นนิดหนึ่ง แต่พอได้ลงมือทำไปไม่ช้าก็จะเรียนรู้ด้วยตนเองว่า การปฏิบัติธรรมแบบไร้กระบวนท่านั้นควรจะเป็นอย่างไร?
:b45:
คำถามที่ป้อนให้กับตนเองเป็นดุจกุญแจไขระหัสแห่งธรรมชาติ
ท่านที่ได้เคยศึกษาพุทธประวัติและประวัติการบรรลุธรรมของพระพุทธเจ้า อรรคสาวก มหาสาวก และปกติสาวกทั้งหลายถ้าสังเกตให้ดีจะได้พบว่าปริศนาหรือคำถามหรือข้อความบางประโยค เป็นเหตุเป็นปัจจัยที่ไปปลุกสัญชาติญาณแห่งการอยากรู้อยากเห็น สัญชาติญาณแห่งการแก้ไขปัญหาโดยธรรมชาติของชีวิตให้ลุกขึ้นมาทำงาน
พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าครั้งยังเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ทรงเกิดคำถามขึ้นมาว่า “ทำไม ๆ ๆ ๆ เพราะเหตุอะไร? เราจึงต้อง เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทำอย่างไร?จึงจะไม่ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย
ทรงถามย้ำและค้นหาคำตอบด้วยพระองค์เองจนเป็นเหตุให้ต้องเสด็จหนีออกบวชค้นหาคำตอบ

:b53:
เบื้องแรกพระองค์ทรงค้นหาคำตอบจากผู้รู้ผู้สามารถที่เก่งกาจที่สุดแห่งยุคสมัย อันได้แก่ท่านฤาษีอาฬารดาบสและอุทกดาบส ทรงได้รูปแบบและวิธีการปฏิบัติมาทำจนถึงที่สุดแล้วแต่ก็ยังมิได้รับคำตอบ ทรงค้นคว้าทดลองต่อไปตามหลักทฤษฎีของฤาษีสมัยนั้นว่าถ้าทรมาณกายจนถึงที่สุดก็จะได้พบคำตอบ ทรงทำตามความเห็นนั้นอย่างอุกฤษ แต่ก็มิได้รับคำตอบเช่นกัน
เมื่อไม่ได้รับคำตอบโดยรูปแบบและวิธีปฏิบัติใดๆอันมีอยู่ทั้งหมด พระองค์จึงได้ทรงกลับมาสู่ธรรมชาติเดิมแท้ของสัญชาติญาณแห่งการแก้ปัญหาของมนุษย์กระบวนการการปฏิบัติธรรมแบบไร้กระบวนท่าจึงเกิดขึ้นกับพระองค์ในคืนวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ ตลอดระยะเวลาตั้งแต่ปฐมยามจนมาสิ้นสุดยุติลงในเช้าตรู่ของวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๖ ซึ่งตรงกับวันวิสาขะปุณมีเมื่อ ๔๕ ปีก่อนพุทธศักราช

:b8:
ช่วงเวลาแห่งการบรรลุธรรมของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้านี้เป็นสิ่งที่เราควรจะมาทำการวิเคราะห์วิจัยกันให้ละเอียดถี่ถ้วนแล้วเราจะได้
พบว่า “การปฏิบัติธรรมโดยธรรมชาติอย่างไร้กระบวนท่านั้นเป็นอย่างไร?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2012, 05:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ขณะจิต เขียน:
ปุจฉา

-อะไรคือเส้นผม

-อะไรคือภูเขา

-อะไรคือเงา

-อะไรเรียกว่าบัง

และอะไรคือความจริง

:b38:


มานะ...คือเส้นผม

ตน...คือภูเขา

สัญญาธรรม..คือเงา

ไม่แจ้ง...คือบัง

ธรรม...คือความจริง

ทั้งเส้นผม...ทั้ง..ภูเขา...และทั้ง..เงา...นั้นแหละที่บัง..ความจริง...

:b12:
เกือบใช่แล้วครับ แต่ยังไม่ใช่ทั้งหมด โปรดติดตามอ่านกันต่อไป เพราะเรื่องนี้จะยังไม่มีคำเฉลย จนกว่าทุกท่านจะ อ้อ! ขึ้นมาในใจของแต่ละท่านเอง แล้วบรรยายความในใจถึงเรื่องที่ อ้อ! ออกมาสู่กันฟัง
ท่านกบ อย่าพึ่งใจร้อนนะครับ เดี๋ยวจะร้อนใจ
:b12: :b12:
:b4: :b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2012, 05:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ผู้ไม่น้อม...ย่อมไม่เห็นธรรมจริง

ผู้น้อบน้อมจริง...จึงจะเห็นธรรมได้

แม้คราวเห็นธรรมจริงแล้วไซร์...กลับน้อบน้อมยิ่งกว่า

ผู้น้อบน้อมยิ่งกว่าผู้หมดกิเลสแล้ว...ไม่มี
:b41: :b37: :b38: :b43:

:b12: :b12: :b12: :b12:
ทั้งน้อมและไม่น้อม ก็ยังเป็นกระบวนท่าอยู่ เพราะยังตกอยู่ในอำนาจของธาตุคู่ มิอาจพ้นสมมุติไปได้
ระหว่างกลางของคู่นั้นสิ ควรสังเกต พิจารณาให้ดี มีคำตอบที่ไม่อาจอธิบายได้ด้วยภาษามนุษย์ซ่อนอยู่ในนั้น ลองหากันให้เจอนะครับ
ระหว่าง ชั่ว กับ ดี.......ระหว่างบุญ กับ บาป........ระหว่างถูก กับ ผิด.......ระหว่างอ่อนน้อม กับ ไม่อ่อนน้อม......ระหว่างมืด กับ สว่าง....ระหว่าง.....ๆ....ๆ......ๆ....ๆ....ๆ....ๆ....ๆ....ๆ

onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2012, 05:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
คำตอบของทุกท่าน ถูกทุกข้อ แต่อาจไม่ถูก กับสิ่งที่ผู้ถามตอบไว้ ก็แค่นั้น :b8:

:b16: :b16: :b16:
ไม่ใช่ "แค่นั้น" นะครับท่านฝึกจิต ท่านควรจะเพิ่มความสังเกตและทำความละเอียดให้มากยิ่งขึ้นกับศัพท์บัญญัติต่างๆที่บรรพบุรุษของเราบัญญัติขึ้นมา "ทุกคำล้วนมีความหมายลึกซึ้งและจำแนกสภาวะให้ต่างกันโดยละเอียดอ่อนนะครับ"
onion
ตัวอย่างเช่น บริโภค รับประทาน กิน ฟาด.....สวาปาม.....ยัด(ห่า)......แดก(ขอโทษไม่ค่อยสุภาพ)แต่ละคำความหมายเหมือนกันแต่ความละเอียดของพฤติกรรม และกาละเทศะในการใช้คำ ต่างกัน
:b12: :b12: :b12:
ธรรมะละเอียดอ่อนยิ่งกว่านั้น แต่ละคำในศัพท์ธรรมะจึงมีความหมายในเชิงพฤติกรรมและสภาวะจำแนกแตกต่างกันไป พึงสังเกตพิจารณาให้ดีนะครับ
:b16: :b16:
อีกตัวอย่างหนึ่งเช่น ที่คุณกบ ให้ความหมายว่า "ภูเขา คือ ตน หรืออัตตา" คุณฝึกจิตลองไปคิดพิจารณาดูให้ดีๆซิว่าน่าจะตรงกับประเด็นของคำว่า "เส้นผม บัง ภูเขา หรือไม่? ภูเขา กับ ความจริง เป็นความหมายเดียวกันหรือไม่ ลองใคร่ครวญดูนะครับ อย่าเพิ่งด่วนตัดสินอะไรเร็วเกินไปโดยวิธี "ตีคลุม(ตีขลุม)" อาจทำให้ผิดจากความหมายและวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของคำหรือศัพท์บัญญัตินั้นก็ได้นะครับ
:b4: :b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2012, 23:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12: :b12: :b12: :b12:
ทั้งน้อมและไม่น้อม ก็ยังเป็นกระบวนท่าอยู่ เพราะยังตกอยู่ในอำนาจของธาตุคู่ มิอาจพ้นสมมุติไปได้
ระหว่างกลางของคู่นั้นสิ ควรสังเกต พิจารณาให้ดี มีคำตอบที่ไม่อาจอธิบายได้ด้วยภาษามนุษย์ซ่อนอยู่ในนั้น ลองหากันให้เจอนะครับ
ระหว่าง ชั่ว กับ ดี.......ระหว่างบุญ กับ บาป........ระหว่างถูก กับ ผิด.......ระหว่างอ่อนน้อม กับ ไม่อ่อนน้อม......ระหว่างมืด กับ สว่าง....ระหว่าง.....ๆ....ๆ......ๆ....ๆ....ๆ....ๆ....ๆ....ๆ

onion


มันมีเหตุ...มีปัจจัย...

จะเข้ากลาง...ระหว่าง..ไม่น้อบน้อม...กับน้อมน้อม..ได้..มันก็ต้องรู้เสียก่อน..ทั้ง 2 ข้าง..นี้ขั้นโลกียะ

ที่ไม่เคยเห็นทั้ง 2 ข้างเลย...แล้วเข้ากลางได้....มันเป็นเรื่องของคนขี้โม้...แล้วละ

พระพุทธองค์เทศน์สอนปัญจวัคคี...เรื่องทางสายกลาง....แต่ทรงตรัสเรื่อง...อัตตกิลมถานุโยค..และ..กามสุขัลลิกานุโยค...ให้เข้าใจก่อน....แล้วจึงตามด้วยทางสายกลาง....ก็เพราะเหตุนี้...

เราอบรมจิต...ไม่ไช่อบรมกาย...กายที่ทุกข์...มีผลให้ใจไม่สงบ...ใจไม่สงบก็ไม่พบโมกขธรรม...นี้เรียกว่า...อัตตกิลมถานุโยค....(เมื่อน้อมใจคิดตาม...ก็เห็นตามนั้น...ใจก็ไม่อยากเอา)

ความปรารถณาในการครองเรือน...มีสัมพันธ์ภรรยาสามี...ความอยากในกามอันนี้...ผู้เข้าป่ามาหาโมกขธรรม...ได้ลดไปแล้ว....แต่ความอยากได้ในโมกขธรรมมากไป...อันนี้เรียกว่า...กามสุขัลลิกานุโยค....(เมื่อน้อมจิตตาม....ก็เห็นความอยากที่มีมากของตนเอง...ก็เข้าใจ)

เมื่อรู้ว่าฝั่งทั้งสองข้างอยู่ตรงไหน...ก็รู้ว่าทางระหว่าง...นั้น....(มีอารมณ์)เป็นอย่างไร
........

ผู้พ้นกิเลสไปแล้ว...จึงเป็นผู้น้อบน้อมอย่างยิ่ง...ก็ด้วยเหตุนี้...ด้วยเหตุที่เข้าใจ

เขาไม่ได้ดูที่...กาย...วาจา...แล้วละ..อโสกะ..เอย

มันหยาบ....ไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2012, 23:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อโสกะ....ยึดตนเกินไป....จึงปฏิเสธที่จะพิจารณาสิ่งที่รายล้อมอย่างละเอียดรอบคอบ...

อาจจะพูดได้ว่า...ฉลาดแต่ขาดเฉลี่ยว

สิ่งนี้แหละ...ที่บังความจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2012, 01:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


หากรู้สึกว่า ฟู ลอย ให้กลับมามองที่จุดเริ่มต้น ปฏิบัติเพื่อ ละ ตัวตน
หากรู้สึกว่าแฝบ จม ให้รู้สึกว่า หลงอยู่ใน อวิชชา เสียแล้ว วางเสีย แล้วมาที่จุดเริ่มต้น

จนกว่า ฟูแฝบ น้อยลงๆ จะเกิด เสถียรภาพ ในชีวิต ประจำวันจริง

:b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 161 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 11  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร