วันเวลาปัจจุบัน 27 ก.ค. 2025, 19:20  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 153 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 11  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 16:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
รู้เห็นตามที่มัน(ธรรมชาติ) เป็นของมัน รู้เห็นยังงี้จบตรงนั้นเองขอรับ เรียกว่ารู้เห็นธรรม :b1:

แต่ถ้าไปคิดเอาว่ามันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นปฏิจจสมุปบาท เกิดขึ้นแล้วดับไปไม่มีอะไรเที่ยงแท้ยั่งยืนโลกนี้คือละครบทบาทบางตอนชีวิตยอกย้อนยับเยิน ฯลฯ แบบนี้คิดเอา ภาษานักปฏิบัติเขาเรียกวิปัสสนึก คือนึกเอาตามที่ตนเองยึดอยากให้มันเป็น คืออยากให้มันเป็นวิปัสสนา แล้วการคิดนึกทำนองนี้ จะฟุ้งซ่านพล่านเตลิดอย่างไร้ทิศทาง

เจริญธรรม :b1:
อันนี้ต้องขอสงวนสิทธิ์เป็นความคิดส่วนบุคคลแล้วครับ (เป็นข้อสังเกตุนะครับ ถ้าคำนี้คำเดียวจริงๆ84000ธรรมขันต์นั้นคงไม่เกิดขึ้น)


หลังเจ้าชายสิทธัตถะรู้ธรรมคือปฏิจจสมุปบาทจะว่ารู้อริยสัจก็ได้ จึงได้นามว่าพระพุทธเจ้า พระองค์ใช้เวลาแสดงธรรมแก่คนในยุคนั้นเป็นเวลาถึง 45 ปี แล้วผู้ฟังก็มีทุกชนชั้นวรรณะ เป็นธรรมดาอยู่เองที่คำสอนจะมีมาก มีทั้งคำสอนเกี่ยวกับการทำหน้าที่ระหว่างกัน เช่นหน้าที่ของมารดาบิดาพึงปฏิบัติต่อบุตรธิดา... หน้าที่ของศิษย์จะพึงปฏิบัติต่อครูบาอาจารย์ ธรรมะธรรมดาๆมองเห็นง่ายๆ แต่เราคิดว่าไม่ใช่ธรรมหรืออย่างไร เล่นของสูงสุดยอด เลยไม่ได้อะไรเลย แม้พุทธธรรมจะถูกบันทึกไว้มากมาย :b1:
ตรงนี้ขอค้านครับ สมัยก่อนผมไม่เคยดูแลลูกเมียเลยผมสนใจแต่ตัวเองอย่างมากเลวมากๆ ตั้งแต่ผมปฎิบัติธรรมะมานี้เปลี่ยนตัวเองได้มากคิดถึงแต่คนอื่นเป็นห่วงพ่อแม่ดูแลพ่อแม่พี่น้องลูกเมียได้มากกว่าเก่าเยอะเลยครับ และรู้จักทำอะไรเพื่อสังคมได้บ้างตามโอกาสเเพราะรสพระธรรมนี่แหล่ครับ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 16:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ถามทั้งสองคน นายกรัชกาย นายโฮฮับ นายbigtoo มีไหม :b1:
มีในสมมุติ ปรมัตถ์ก็เป็นธาตุเป็นขันต์ ไม่ใช่ไม่มีอะไรเลย

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 16:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ถามทั้งสองคน นายกรัชกาย นายโฮฮับ นายbigtoo มีไหม :b1:
มีในสมมุติ ปรมัตถ์ก็เป็นธาตุเป็นขันต์ ไม่ใช่ไม่มีอะไรเลย



เห็นพูดสองสามหนแล้วนะครับ ธาตุขันธ์ พอบอกได้ไหมครับ ธาตุอะไร ขันธ์อะไร ธาตุขันธ์ๆๆๆๆ :b8:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 16:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
รู้เห็นตามที่มัน(ธรรมชาติ) เป็นของมัน รู้เห็นยังงี้จบตรงนั้นเองขอรับ เรียกว่ารู้เห็นธรรม :b1:

แต่ถ้าไปคิดเอาว่ามันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นปฏิจจสมุปบาท เกิดขึ้นแล้วดับไปไม่มีอะไรเที่ยงแท้ยั่งยืนโลกนี้คือละครบทบาทบางตอนชีวิตยอกย้อนยับเยิน ฯลฯ แบบนี้คิดเอา ภาษานักปฏิบัติเขาเรียกวิปัสสนึก คือนึกเอาตามที่ตนเองยึดอยากให้มันเป็น คืออยากให้มันเป็นวิปัสสนา แล้วการคิดนึกทำนองนี้ จะฟุ้งซ่านพล่านเตลิดอย่างไร้ทิศทาง

เจริญธรรม :b1:
อันนี้ต้องขอสงวนสิทธิ์เป็นความคิดส่วนบุคคลแล้วครับ (เป็นข้อสังเกตุนะครับ ถ้าคำนี้คำเดียวจริงๆ84000ธรรมขันต์นั้นคงไม่เกิดขึ้น)


หลังเจ้าชายสิทธัตถะรู้ธรรมคือปฏิจจสมุปบาทจะว่ารู้อริยสัจก็ได้ จึงได้นามว่าพระพุทธเจ้า พระองค์ใช้เวลาแสดงธรรมแก่คนในยุคนั้นเป็นเวลาถึง 45 ปี แล้วผู้ฟังก็มีทุกชนชั้นวรรณะ เป็นธรรมดาอยู่เองที่คำสอนจะมีมาก มีทั้งคำสอนเกี่ยวกับการทำหน้าที่ระหว่างกัน เช่นหน้าที่ของมารดาบิดาพึงปฏิบัติต่อบุตรธิดา... หน้าที่ของศิษย์จะพึงปฏิบัติต่อครูบาอาจารย์ ธรรมะธรรมดาๆมองเห็นง่ายๆ แต่เราคิดว่าไม่ใช่ธรรมหรืออย่างไร เล่นของสูงสุดยอด เลยไม่ได้อะไรเลย แม้พุทธธรรมจะถูกบันทึกไว้มากมาย :b1:



ตรงนี้ขอค้านครับ สมัยก่อนผมไม่เคยดูแลลูกเมียเลยผมสนใจแต่ตัวเองอย่างมากเลวมากๆ ตั้งแต่ผมปฎิบัติธรรมะมานี้เปลี่ยนตัวเองได้มากคิดถึงแต่คนอื่นเป็นห่วงพ่อแม่ดูแลพ่อแม่พี่น้องลูกเมียได้มากกว่าเก่าเยอะเลยครับ และรู้จักทำอะไรเพื่อสังคมได้บ้างตามโอกาสเเพราะรสพระธรรมนี่แหล่ครับ



ไม่ได้ว่าใครนะครับ เรืองส่วนตัวของใครของคนนั้น แต่สื่อความหมายว่า คำสอนของพระพทธเจ้ามีมากอย่างว่านั่น แล้วก็มีทุกระดับ เพราะพระองค์ใช้เวลาสอนผู้คนในยุคนั้นถึง 45 ปี เจตนาสื่อยังงี้ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 16:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
รู้เห็นตามที่มัน(ธรรมชาติ) เป็นของมัน รู้เห็นยังงี้จบตรงนั้นเองขอรับ เรียกว่ารู้เห็นธรรม :b1:

แต่ถ้าไปคิดเอาว่ามันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นปฏิจจสมุปบาท เกิดขึ้นแล้วดับไปไม่มีอะไรเที่ยงแท้ยั่งยืนโลกนี้คือละครบทบาทบางตอนชีวิตยอกย้อนยับเยิน ฯลฯ แบบนี้คิดเอา ภาษานักปฏิบัติเขาเรียกวิปัสสนึก คือนึกเอาตามที่ตนเองยึดอยากให้มันเป็น คืออยากให้มันเป็นวิปัสสนา แล้วการคิดนึกทำนองนี้ จะฟุ้งซ่านพล่านเตลิดอย่างไร้ทิศทาง

เจริญธรรม :b1:
อันนี้ต้องขอสงวนสิทธิ์เป็นความคิดส่วนบุคคลแล้วครับ (เป็นข้อสังเกตุนะครับ ถ้าคำนี้คำเดียวจริงๆ84000ธรรมขันต์นั้นคงไม่เกิดขึ้น)


หลังเจ้าชายสิทธัตถะรู้ธรรมคือปฏิจจสมุปบาทจะว่ารู้อริยสัจก็ได้ จึงได้นามว่าพระพุทธเจ้า พระองค์ใช้เวลาแสดงธรรมแก่คนในยุคนั้นเป็นเวลาถึง 45 ปี แล้วผู้ฟังก็มีทุกชนชั้นวรรณะ เป็นธรรมดาอยู่เองที่คำสอนจะมีมาก มีทั้งคำสอนเกี่ยวกับการทำหน้าที่ระหว่างกัน เช่นหน้าที่ของมารดาบิดาพึงปฏิบัติต่อบุตรธิดา... หน้าที่ของศิษย์จะพึงปฏิบัติต่อครูบาอาจารย์ ธรรมะธรรมดาๆมองเห็นง่ายๆ แต่เราคิดว่าไม่ใช่ธรรมหรืออย่างไร เล่นของสูงสุดยอด เลยไม่ได้อะไรเลย แม้พุทธธรรมจะถูกบันทึกไว้มากมาย :b1:



ตรงนี้ขอค้านครับ สมัยก่อนผมไม่เคยดูแลลูกเมียเลยผมสนใจแต่ตัวเองอย่างมากเลวมากๆ ตั้งแต่ผมปฎิบัติธรรมะมานี้เปลี่ยนตัวเองได้มากคิดถึงแต่คนอื่นเป็นห่วงพ่อแม่ดูแลพ่อแม่พี่น้องลูกเมียได้มากกว่าเก่าเยอะเลยครับ และรู้จักทำอะไรเพื่อสังคมได้บ้างตามโอกาสเเพราะรสพระธรรมนี่แหล่ครับ



ไม่ได้ว่าใครนะครับ เรืองส่วนตัวของใครของคนนั้น แต่สื่อความหมายว่า คำสอนของพระพทธเจ้ามีมากอย่างว่านั่น แล้วก็มีทุกระดับ เพราะพระองค์ใช้เวลาสอนผู้คนในยุคนั้นถึง 45 ปี เจตนาสื่อยังงี้ :b1:
ก็บัวสี่เหล่านั้นแหละครับพี่ความเห็นก็ส่วนความเห็น มันถึงเป็นปัจจัตตังไงครับ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 17:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปัจจัตตังอีก

จากใจนะ น้อง big พี่ว่าน้องควรศึกษาธรรมะธรรมดาๆพื้นๆเถอะครับ อย่าคิดธรรมะระดับปรมัตถ์เลย จะทำบุญทำทานก็ทำ ทำแต่พอดีๆ เราไม่เดือดร้อน วิธีทำบุญมีมากมาย เช่นบุญกิริยาวัตถุมี 10 อย่าง เป็นต้น

รายหนึ่งเขาว่างี้ :b1:



อ้างคำพูด:
พระเจ้าหรือเหล่าพระเจ้า ต้องการยืมมือผมเขียนบทความทางศาสนา แต่นอกจากท่านไม่จ่ายค่าจ้างให้ผมแล้ว ยังไห้ผมไปทำบุญในระดับเกินจุดวิกฤตอีก คือ ทำบุญจนหมดตัว แล้วต้องไปยืมเงินคนอื่นอีกหลายคนมาทำบุญอีก ผมจึงต้องให้บทเรียนพวกท่านว่า ถ้าผมหมดตัว ล้มละลาย เป็นหนี้เป็นสิน แรงในการเขียนบทความทางศาสนาของผมก็ไม่มี

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 18:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ปัจจัตตังอีก

จากใจนะ น้อง big พี่ว่าน้องควรศึกษาธรรมะธรรมดาๆพื้นๆเถอะครับ อย่าคิดธรรมะระดับปรมัตถ์เลย จะทำบุญทำทานก็ทำ ทำแต่พอดีๆ เราไม่เดือดร้อน วิธีทำบุญมีมากมาย เช่นบุญกิริยาวัตถุมี 10 อย่าง เป็นต้น

รายหนึ่งเขาว่างี้ :b1:



อ้างคำพูด:
พระเจ้าหรือเหล่าพระเจ้า ต้องการยืมมือผมเขียนบทความทางศาสนา แต่นอกจากท่านไม่จ่ายค่าจ้างให้ผมแล้ว ยังไห้ผมไปทำบุญในระดับเกินจุดวิกฤตอีก คือ ทำบุญจนหมดตัว แล้วต้องไปยืมเงินคนอื่นอีกหลายคนมาทำบุญอีก ผมจึงต้องให้บทเรียนพวกท่านว่า ถ้าผมหมดตัว ล้มละลาย เป็นหนี้เป็นสิน แรงในการเขียนบทความทางศาสนาของผมก็ไม่มี
ปรมัตถ์คิดได้ก็รู้แต่ขั้นประจักษ์แจ้งคิดเอาอย่างเดียวไมได้ บุญกิริยามันก็มี10นั้นแหล่ะครับแต่นี่ผมให้เป็นบทพิสูจน์เล็กๆน้อยๆ สำหรับคนที่ชอบปล่อยวางแบบไม่ยึดติด จะไดรู้จริงๆว่ายึดหรือไม่ยึดตอนนี้แหล่ะชัดๆ งั้นนไม่มีใครรู้ตัวเองหรอกครับ ว่าตัวเองถึงไหนแล้วครับ และคนที่ทำทานหมดตัวมันมีสองแแบ คือแบบแรกเรียกว่าหลง แบบสองเรียกว่ารู้(รู้ถึงที่สุดแล้ว) ผมไม่ใช้ทั้งสองแบบครับ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แก้ไขล่าสุดโดย bigtoo เมื่อ 09 ก.ย. 2012, 18:30, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 18:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


มีอยู่ท่านหนึ่งนะครับสอนว่าทุกอย่างมันเป็นอนัตตาไม่มีตัวตนท่านไม่ให้ทำอะไรเลยปล่อยวางทุกสิ่งสติก็ไม่ต้องฝึก นั่งสมาธิก๊ไม่ต้องนั่ง คิดก็ไม่ต้องคิดให้ปล่อยเลย เหมือนสมัยพุทธกาลที่ท่านยกตัวอย่างว่าพระอัญญาโกณฑัญญฟังธรรมก็สำเร็จเลย ฉะนั้นเราก็ต้องไม่ทำอะไรมันว่างอยู่แล้วในตัวมันเอง ผมคิดในใจว่า 1ท่านเป็นอรหันต์iรู้แต่วิธีบบรลุของตนเอง และ 2ท่านเข้าใจพระธรรมผิด มีอยู่สองอย่าง เพราะพุทธวจนะที่พระองค์บอกเองว่าทำอย่างนั้นอย่างนี้เอาไปไว้ตรงไหน ตั้งเป็นข้อสังเกตุ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 20:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
หลังเจ้าชายสิทธัตถะรู้ธรรมคือปฏิจจสมุปบาทจะว่ารู้อริยสัจก็ได้ จึงได้นามว่าพระพุทธเจ้า พระองค์ใช้เวลาแสดงธรรมแก่คนในยุคนั้นเป็นเวลาถึง 45 ปี แล้วผู้ฟังก็มีทุกชนชั้นวรรณะ เป็นธรรมดาอยู่เองที่คำสอนจะมีมาก มีทั้งคำสอนเกี่ยวกับการทำหน้าที่ระหว่างกัน เช่นหน้าที่ของมารดาบิดาพึงปฏิบัติต่อบุตรธิดา... หน้าที่ของศิษย์จะพึงปฏิบัติต่อครูบาอาจารย์ ธรรมะธรรมดาๆมองเห็นง่ายๆ แต่เราคิดว่าไม่ใช่ธรรมหรืออย่างไร เล่นของสูงสุดยอด เลยไม่ได้อะไรเลย แม้พุทธธรรมจะถูกบันทึกไว้มากมาย :b1:


ม่ายได้รู้อิโหน่อิเหน่อะไรกับเขา....แต่พออ่านตรงนี้...หนับหนุ่น..ครับ :b17:

พ่อแม่ครูอาจารย์กระผมสอนว่า....ถ้าแค่โลกียธรรม....ธรรมดา ๆ ยังไม่ได้...ก็อย่าไปหวังเรื่องของโลกุตรธรรม...เล้ย..

อิอิ.. :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 20:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว




185188_424027014300322_148288279_n.jpg
185188_424027014300322_148288279_n.jpg [ 50.27 KiB | เปิดดู 3082 ครั้ง ]
กบนอกกะลา เขียน:
กรัชกาย เขียน:
หลังเจ้าชายสิทธัตถะรู้ธรรมคือปฏิจจสมุปบาทจะว่ารู้อริยสัจก็ได้ จึงได้นามว่าพระพุทธเจ้า พระองค์ใช้เวลาแสดงธรรมแก่คนในยุคนั้นเป็นเวลาถึง 45 ปี แล้วผู้ฟังก็มีทุกชนชั้นวรรณะ เป็นธรรมดาอยู่เองที่คำสอนจะมีมาก มีทั้งคำสอนเกี่ยวกับการทำหน้าที่ระหว่างกัน เช่นหน้าที่ของมารดาบิดาพึงปฏิบัติต่อบุตรธิดา... หน้าที่ของศิษย์จะพึงปฏิบัติต่อครูบาอาจารย์ ธรรมะธรรมดาๆมองเห็นง่ายๆ แต่เราคิดว่าไม่ใช่ธรรมหรืออย่างไร เล่นของสูงสุดยอด เลยไม่ได้อะไรเลย แม้พุทธธรรมจะถูกบันทึกไว้มากมาย :b1:


ม่ายได้รู้อิโหน่อิเหน่อะไรกับเขา....แต่พออ่านตรงนี้...หนับหนุ่น..ครับ :b17:

พ่อแม่ครูอาจารย์กระผมสอนว่า....ถ้าแค่โลกียธรรม....ธรรมดา ๆ ยังไม่ได้...ก็อย่าไปหวังเรื่องของโลกุตรธรรม...เล้ย..

อิอิ.. :b8: :b8: :b8:
รู้ได้งัย

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 21:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องทำบุญทำทาน...พ่อแม่ครูอาจารย์กระผมบอกว่า...พระพุทธองค์ทรงสอนให้แบ่งทรัพย์เป็นส่วน ๆ (อยู่ในเรื่องพระเวสสันดร)

1. หนึ่งส่วนใช้หนีเก่า...คือ...บำรุงบิดามารดาผู้มีพระคุณ
2. หนึ่งส่วนให้ใช้หนีใหม่...คือ..เลี้ยงดูบุตรธิดาข้าทาสบริวาร......
3. หนึ่งส่วนให้ทิ้งเหว...คือ...ใช้เลี้ยงชีวิตบำรุงร่างกาย
4. หนึ่งส่วนให้นำไปด้วย...คือ...ทำบุญทำทาน

(จำผิด..จำขาด...จำเกิน....ก็ขออภัยด้วยนะครับ)

ดังนั้น...สำนักไหนที่สอนแต่ทำบุญทำทานเสียจนสุดลิ้มทิ้มประตู....คนในครอบครัวพากันเดือดร้อนไปทั่ว....ก็รู้แล้วละเน๊าะว่า...สอนเกินพระศาสดา
s002 s002 s002


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 21:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
รู้ได้งัย


บิ๊กทู....คิดว่ากระผม...ว่าบิ๊กทู...หรอ?

555.... :b13: :b13:

No....No...No... :b9:

แต่หากจะถามว่า...แล้วจะรู้ได้งัย?

ก็จะตอบว่า...ก็ถามตัวเองดูซิ.... :b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 21:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2011, 22:53
โพสต์: 705

แนวปฏิบัติ: รู้สึกตัว
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


rolleyes ส่วนตัวผมขอสนับสนุนท่านบิ๊กนะ เอาให้รู้ดำรู้แดงเลย ชาตินี้ เวลาไม่รอท่า ดีกว่ากล้าๆกลัวๆ อย่างพระปฏิบัติท่านว่า ธรรมมะอยู่ฟากตาย ผมก็เคยลองพิสูจน์อะไรแผลงๆ(อันนี้นอกเรื่องนะ)เช่นเิดินเข้าป่าหาผีพิสูจน์ความกลัว นอนบนเขาคนเดียวเวลาต้องการกำลังใจ แล้วเราจะรู้ว่าเรามันอยู่ตรงใหนไอ้ที่ซ่อนๆแบมาให้เห็นเลย สติปัญญาที่เกียจคร้านออกมาหมดเลยมันกลัวตาย ก็ได้อะไรเยอะนะกับวิธีเฉพาะตนนี้ Onion_no

.....................................................
"ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง"


แก้ไขล่าสุดโดย ขณะจิต เมื่อ 09 ก.ย. 2012, 21:42, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 21:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


ขณะจิต เขียน:
rolleyes ส่วนตัวผมขอสนับสนุนท่านบิ๊กนะ เอาให้รู้ดำรู้แดงเลย ชาตินี้ เวลาไม่รอท่า ดีกว่ากล้าๆกลัวๆ อย่างพระปฏิบัติท่านว่า ธรรมมะอยู่ฟากตาย ผมก็เคยลองพิสูจน์อะไรเผลงๆ(อันนี้นอกเรื่องนะ)เช่นเิดินเข้าป่าหาผีพิสูจน์ความกลัว นอนบนเขาคนเดียวเวลาต้องการกำลังใจ แล้วเราจะรู้ว่าเจาเรามันอยู่ตรงใหนไอ้ที่ซ่อนๆแบมาให้เห็นเลย สติปัญญาที่เกียจคร้านออกมาหมดเลยมันกลัวตาย ก็ได้อะไรเยอะนะกับวิธีเฉพาะตนนี้ Onion_no
เหมือนนักมวยนะครับต้องลงสนามจริงจะได้รู้ว่าเรานะรุ่นไหนครับ ไม่ใช่เตะกระสอบทรายอย่างเดียว ก็เพลินเลยอย่างนี้ถท่าสวยอย่างเดียวครับ ลุยเลย เกิดมาครั้งเดียว ตายครั้งเดียว ลุยให้มันรู้ซะถ้าไม่ใช่จะได้กลับตัวทัน

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 22:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ขณะจิต เขียน:
rolleyes ส่วนตัวผมขอสนับสนุนท่านบิ๊กนะ เอาให้รู้ดำรู้แดงเลย ชาตินี้ เวลาไม่รอท่า ดีกว่ากล้าๆกลัวๆ อย่างพระปฏิบัติท่านว่า ธรรมมะอยู่ฟากตาย ผมก็เคยลองพิสูจน์อะไรแผลงๆ(อันนี้นอกเรื่องนะ)เช่นเิดินเข้าป่าหาผีพิสูจน์ความกลัว นอนบนเขาคนเดียวเวลาต้องการกำลังใจ แล้วเราจะรู้ว่าเรามันอยู่ตรงใหนไอ้ที่ซ่อนๆแบมาให้เห็นเลย สติปัญญาที่เกียจคร้านออกมาหมดเลยมันกลัวตาย ก็ได้อะไรเยอะนะกับวิธีเฉพาะตนนี้ Onion_no

:b17: :b17: :b17:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 153 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 11  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร