ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
พระพุทธศาสนาเถรวาท http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=57914 |
หน้า 3 จากทั้งหมด 12 |
เจ้าของ: | Rosarin [ 18 ส.ค. 2019, 03:07 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระพุทธศาสนาเถรวาท |
กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: รู้จักธัมมะไหม ธัมมะ แปลว่า สิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริงมีจริงๆเป็นแต่ละ1 รู้จักแต่ละ1ไหมว่าเถรตรงมาก เถรตรงแปลให้ตรงก่อน เถรอ่านว่าเถ-ระแปลว่ามั่นคง ตรงอ่านว่าตรงแปลว่าตรงคงที่ไม่เปลี่ยน เถรตรงคือความมั่นคงตรงทางตรงจริงทีละ1ขณะจิต เดี๋ยวนี้กำลังมีจิตแต่ละ1ขณะตรงทีละ1ทางครบทั้ง6ทางกำลังมี และกำลังเป็นไปต่างๆนานาตรงตามที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้มีแล้วไม่มีใครทำและไม่รู้ว่ามีไม่รู้อยู่แล้ว เพี้ยน ธัมมะ แปลว่า สิ่งมีจริง คิกๆ เลอะเทอะ อย่างนี้เรียกว่า ธัมมะปฏิรูปปฏิสังขรณ์ คนไทยตัดะออก อ่านธรรมว่าทำ ภาษาต้นฉบับ อ่านว่า ธัมมะ Dhamma คือภาษาบาลี ธัมมะแปลในภาษาไทยหมายถึง สิ่งที่มีจริง(ที่กำลังมีจริงๆตรงขณะ) จิตเกิดดับทีละ1ขณะตรงขณะตรงทีละ1ทางเป็นธัมมะไม่ใช่ตัวตน |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 18 ส.ค. 2019, 07:58 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระพุทธศาสนาเถรวาท |
Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: รู้จักธัมมะไหม ธัมมะ แปลว่า สิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริงมีจริงๆเป็นแต่ละ1 รู้จักแต่ละ1ไหมว่าเถรตรงมาก เถรตรงแปลให้ตรงก่อน เถรอ่านว่าเถ-ระแปลว่ามั่นคง ตรงอ่านว่าตรงแปลว่าตรงคงที่ไม่เปลี่ยน เถรตรงคือความมั่นคงตรงทางตรงจริงทีละ1ขณะจิต เดี๋ยวนี้กำลังมีจิตแต่ละ1ขณะตรงทีละ1ทางครบทั้ง6ทางกำลังมี และกำลังเป็นไปต่างๆนานาตรงตามที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้มีแล้วไม่มีใครทำและไม่รู้ว่ามีไม่รู้อยู่แล้ว เพี้ยน ธัมมะ แปลว่า สิ่งมีจริง คิกๆ เลอะเทอะ อย่างนี้เรียกว่า ธัมมะปฏิรูปปฏิสังขรณ์ คนไทยตัดะออก อ่านธรรมว่าทำ ภาษาต้นฉบับ อ่านว่า ธัมมะ Dhamma คือภาษาบาลี ธัมมะ แปลในภาษาไทยหมายถึงสิ่งที่มีจริง (ที่กำลังมีจริงๆตรงขณะ) จิตเกิดดับทีละ1ขณะตรงขณะตรงทีละ1ทางเป็นธัมมะไม่ใช่ตัวตน พุทธศาสนาในเมืองไทยไปไม่รอด |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 18 ส.ค. 2019, 08:53 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระพุทธศาสนาเถรวาท |
เห็นแล้วนึกถึงคุณโรส คือ อยากจะเว้าว่า คุณโรสขอรับกลับมาเริ่มต้นใหม่เถอะ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 18 ส.ค. 2019, 18:26 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระพุทธศาสนาเถรวาท |
ยังไม่เคยเห็นวัดไหนๆในเมืองไทยทำได้งดงาม (ศีล) ในสายตาสาธุชนก็อนุโมทนาชื่นตาชื่นใจที่จัดระเบียบ ได้สวยงามน่าเลือมใส แต่ในสายตา ... คิกๆๆๆ ก็คิดไปว่า กูจะทำยังไงถึงจะล้มมันได้แล้วยึดสมบัติวัดมาเป็นของตนว่ะ https://www.facebook.com/photo.php?fbid ... =3&theater |
เจ้าของ: | โลกสวย [ 19 ส.ค. 2019, 12:20 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระพุทธศาสนาเถรวาท |
กรัชกาย เขียน: ยังไม่เคยเห็นวัดไหนๆในเมืองไทยทำได้งดงาม (ศีล) ในสายตาสาธุชนก็อนุโมทนาชื่นตาชื่นใจที่จัดระเบียบ ได้สวยงามน่าเลือมใส แต่ในสายตา ... คิกๆๆๆ ก็คิดไปว่า กูจะทำยังไงถึงจะล้มมันได้แล้วยึดสมบัติวัดมาเป็นของตนว่ะ https://www.facebook.com/photo.php?fbid ... =3&theater ฝัน อยากเห็นที่ประชุมต่างๆ ที่สภาเรียบร้อยมีศีลมีธรรม แบบนี้จุงเบย คริคริ |
เจ้าของ: | Rosarin [ 20 ส.ค. 2019, 00:15 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระพุทธศาสนาเถรวาท |
กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: รู้จักธัมมะไหม ธัมมะ แปลว่า สิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริงมีจริงๆเป็นแต่ละ1 รู้จักแต่ละ1ไหมว่าเถรตรงมาก เถรตรงแปลให้ตรงก่อน เถรอ่านว่าเถ-ระแปลว่ามั่นคง ตรงอ่านว่าตรงแปลว่าตรงคงที่ไม่เปลี่ยน เถรตรงคือความมั่นคงตรงทางตรงจริงทีละ1ขณะจิต เดี๋ยวนี้กำลังมีจิตแต่ละ1ขณะตรงทีละ1ทางครบทั้ง6ทางกำลังมี และกำลังเป็นไปต่างๆนานาตรงตามที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้มีแล้วไม่มีใครทำและไม่รู้ว่ามีไม่รู้อยู่แล้ว เพี้ยน ธัมมะ แปลว่า สิ่งมีจริง คิกๆ เลอะเทอะ อย่างนี้เรียกว่า ธัมมะปฏิรูปปฏิสังขรณ์ คนไทยตัดะออก อ่านธรรมว่าทำ ภาษาต้นฉบับ อ่านว่า ธัมมะ Dhamma คือภาษาบาลี ธัมมะ แปลในภาษาไทยหมายถึงสิ่งที่มีจริง (ที่กำลังมีจริงๆตรงขณะ) จิตเกิดดับทีละ1ขณะตรงขณะตรงทีละ1ทางเป็นธัมมะไม่ใช่ตัวตน พุทธศาสนาในเมืองไทยไปไม่รอด เอาจริงๆนะ ถามจริงๆจังๆ และก็บอกตรงๆ ให้รู้สึกตัวทันทีนะ ดับเห็นผิดเดี๋ยวนี้ทันที คือจิตเห็นสี1ขณะในตาดำ ดับแล้วถึงจะเกิดจิตอีก5ทาง รวมแล้วทั้ง6ทางเกิดดับสลับกัน หมดไปทีละ1ทางไม่เกิดพร้อมกัน และไม่ใช่เห็นสีเดิมเห็นใหม่ทุกวินาที เป็นเราเห็นผิดคิดผิดทำผิดลืมทำปัญญา ตามคำสอนทำปัญญาตรงปัจจุบันเริ่มที่1สุตะ และถ้าไม่เริ่มที่1ตรงทางแสดงว่าเป็นกิเลสแสนล้านแล้ว เพราะจิตเกิดดับนับไม่ถ้วนแสนล้านดวงจิตมีแล้วกำลังเกิดดับแต่ไม่รูู้ว่ามีไม่รู้ แปลว่ามีกิเลสไงคะ คิดไตร่ตรองให้เข้าใจความจริงตรงทางตาหูจมูกลิ้นกายใจตัวเองตัวจริงของธัมมะตรงปัจจุบันขณะดับที่กาย ไม่มีตัวจริงธัมมะใดๆแม้แต่เศษเสี้ยววินาทีที่เกิดนอกสายตา...ตัวเองกำลังเห็นผิดเป็นคนอยู่นอกตาคือเห็นผิด ไม่เข้าใจตรงสัจจะทีละ1ขณะแต่ละ1ขณะที่ไม่เกิดพร้อมกันไม่เกิดปนกันด้วยเข้าใจไหมปัญญาอยู่ไหนหนอ |
เจ้าของ: | Rosarin [ 20 ส.ค. 2019, 00:37 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระพุทธศาสนาเถรวาท |
ถามหน่อยสิคะ ไม่สงสัยตัวเองเลยหรือ ว่าทำไมถึงมีใครคนนึงพยายาม มาบอกว่าให้เริ่มต้นฟังพระพุทธพจน์ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงคนเดียวในจักรวาลนี้ และคนที่จะตรัสรู้และมากล่าวตามทุกคำในพระไตรปิฎกอีก คือพระพุทธเจ้าพระองค์ที่5ในภัทรกัปป์นี้และกาลที่ยังมีการประกาศคำสอนของพระสมณโคตม จะไม่มีใครรู้ความจริงที่พระองค์ตรัสรู้เพราะทุกคนล้วนเป็นสาวกไม่สามารถบรรลุธรรมเองได้เข้าใจไหมคะ อริยสัจจะธัมมะคือความจริงทุกคำในพระไตรปิฎกที่กำลังเกิดโดยอนัตตาตามเหตุตามปัจจัยที่เกิดดับในจิต นิพพานเท่านั้นไม่มีเกิดดับเพราะเป็นสภาวะไร้ตัวตนด้วยปัญญาถึงขีดสุดในการไม่มีกิเลสคือไร้โลภะไม่ติดดี ถ้ายังอยากได้อยากดีอยากรู้อยากทำมาหากินใช้เงินทองอยากได้บุญเพิ่มแปลว่าไม่รู้ว่าบุญแท้ๆคืออะไรจร้า สละไม่ได้ไม่เรียกว่าบุญก็ยังมีตัวตนไปยึดดีถือดีถือว่าตัวดีกว่าเก่งกว่าเลิศกว่าใครลืมตัวขาดสุตมยปัญญายุ่ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 20 ส.ค. 2019, 10:30 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระพุทธศาสนาเถรวาท |
Rosarin เขียน: Kiss ถามหน่อยสิคะ ไม่สงสัยตัวเองเลยหรือ ว่าทำไมถึงมีใครคนนึงพยายาม มาบอกว่าให้เริ่มต้นฟังพระพุทธพจน์ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงคนเดียวในจักรวาลนี้ และคนที่จะตรัสรู้และมากล่าวตามทุกคำในพระไตรปิฎกอีก คือพระพุทธเจ้าพระองค์ที่5ในภัทรกัปป์นี้และกาลที่ยังมีการประกาศคำสอนของพระสมณโคตม จะไม่มีใครรู้ความจริงที่พระองค์ตรัสรู้เพราะทุกคนล้วนเป็นสาวกไม่สามารถบรรลุธรรมเองได้เข้าใจไหมคะ อริยสัจจะธัมมะคือความจริงทุกคำในพระไตรปิฎกที่กำลังเกิดโดยอนัตตาตามเหตุตามปัจจัยที่เกิดดับในจิต นิพพานเท่านั้นไม่มีเกิดดับเพราะเป็นสภาวะไร้ตัวตนด้วยปัญญาถึงขีดสุดในการไม่มีกิเลสคือไร้โลภะไม่ติดดี ถ้ายังอยากได้อยากดีอยากรู้อยากทำมาหากินใช้เงินทองอยากได้บุญเพิ่มแปลว่าไม่รู้ว่าบุญแท้ๆคืออะไรจร้า สละไม่ได้ไม่เรียกว่าบุญก็ยังมีตัวตนไปยึดดีถือดีถือว่าตัวดีกว่าเก่งกว่าเลิศกว่าใครลืมตัวขาดสุตมยปัญญายุ่ อ่าน คคห.คุณโรสแล้ว เหมือนคนเพ้อเจ้อ นี่พูดจากความรู้สึกนะ (ขออภัย) รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ |
เจ้าของ: | Rosarin [ 21 ส.ค. 2019, 20:29 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระพุทธศาสนาเถรวาท |
กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: Kiss ถามหน่อยสิคะ ไม่สงสัยตัวเองเลยหรือ ว่าทำไมถึงมีใครคนนึงพยายาม มาบอกว่าให้เริ่มต้นฟังพระพุทธพจน์ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงคนเดียวในจักรวาลนี้ และคนที่จะตรัสรู้และมากล่าวตามทุกคำในพระไตรปิฎกอีก คือพระพุทธเจ้าพระองค์ที่5ในภัทรกัปป์นี้และกาลที่ยังมีการประกาศคำสอนของพระสมณโคตม จะไม่มีใครรู้ความจริงที่พระองค์ตรัสรู้เพราะทุกคนล้วนเป็นสาวกไม่สามารถบรรลุธรรมเองได้เข้าใจไหมคะ อริยสัจจะธัมมะคือความจริงทุกคำในพระไตรปิฎกที่กำลังเกิดโดยอนัตตาตามเหตุตามปัจจัยที่เกิดดับในจิต นิพพานเท่านั้นไม่มีเกิดดับเพราะเป็นสภาวะไร้ตัวตนด้วยปัญญาถึงขีดสุดในการไม่มีกิเลสคือไร้โลภะไม่ติดดี ถ้ายังอยากได้อยากดีอยากรู้อยากทำมาหากินใช้เงินทองอยากได้บุญเพิ่มแปลว่าไม่รู้ว่าบุญแท้ๆคืออะไรจร้า สละไม่ได้ไม่เรียกว่าบุญก็ยังมีตัวตนไปยึดดีถือดีถือว่าตัวดีกว่าเก่งกว่าเลิศกว่าใครลืมตัวขาดสุตมยปัญญายุ่ อ่าน คคห.คุณโรสแล้ว เหมือนคนเพ้อเจ้อ นี่พูดจากความรู้สึกนะ (ขออภัย) รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ คนเราเนี่ยนะคะ ไม่เคยคิดตรงตัวจริงธัมมะตรงทาง มีแต่คิดไปตามความคิดเห็นของตน ที่ไปอ่านไปท่องจำบัญญัติคำต่างๆ มีการจำถึงอดีตคำที่เคยเห็นมาไงคะ ลืมสิ่งที่ตถาคตบอกว่าจำคลาดเคลื่อน จากความจริงที่กำลังปรากฏจนกว่าจะได้ฟัง เกิดเข้าใจสิ่งที่จิตตนกำลังมีตรงตามที่กำลังได้ยิน คำสอนของพระพุทธเจ้ารู้ความจริงถูกตรงตามได้ตอนฟัง โดยการไตร่ตรองซ้ำไปซ้ำมาในคำที่กำลังได้ยินตรงตามเสียงทันที อริยสัจจะธัมมะคือความจริงของสิ่งที่กำลังมีจริงๆที่กำลังปรากฏว่ามีตรงปัจจุบันตรงตามที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ซึ่งมีแล้วและกำลังเป็นไปตรงๆทีละ1คำตรงสัจจะตรงที่กายจิตมีแปลว่าความจริงมีจิตกระทบรูป/นามก่อนดับ ถามหน่อยสิคะในขณะที่จิตกำลังมีการเกิดทีละ1ขณะและดับทีละ1ขณะตามลำดับเรียงลำดับไม่ขาดสาย คือการเกิดดับมีในจิตเกิดแล้วทีละ1ขณะตรงทางตรงจริงเป็นไปเองตรงตามเหตุตามปัจจัยตรงทีละ1จริงๆ ไม่รู้เลยว่าเดี๋ยวนี้ไม่เข้าใจตรงสัจจะที่กายตัวเองมีแล้วก็คิดจำแต่บัญญัติคำไม่รู้ว่าตรงคำตรงจริงมีที่จิตตน มีแล้วจิตนั้นน่ะไม่ได้ทำจิตแต่ละทางเกิดตรงไหนก็ดับตรงทางตรงขณะตรงที่กระทบทันทีไม่มีตัวเราไงคะ ไม่เคยจำว่าไม่มีเรา...มีแต่คิดอยากจะไปทำตามสัญญาที่ไปอ่านแล้วท่องมาเอาสัญญามาวางแผนทำ บอกแล้วบอกอีกว่าไม่ต้องทำเพราะจิตมีแล้วเกิดแล้วตรงทีละ1ทางเป็นแต่ละ1ทางไม่ปนกันไม่ได้ทำ เพราะจิตกำลังเกิดดับสืบต่อไม่ขาดสายตรงตามที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นปัจจุบันธรรมตรงทุกคำมีแล้ว |
เจ้าของ: | Rosarin [ 21 ส.ค. 2019, 20:39 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระพุทธศาสนาเถรวาท |
บอกว่าให้ฟังให้เข้าใจตรงปัจจุบันตามปกติทุกวันก่อนไม่มีจิตครองร่างกายนี้ https://youtu.be/0XTusmCiw5A |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 31 ส.ค. 2019, 19:03 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระพุทธศาสนาเถรวาท |
รวมกันเราอยู่แยกหมู่เราตาย ใน ปทท.ก็ด้วย แยกกันตายเดี่ยว |
เจ้าของ: | โลกสวย [ 01 ก.ย. 2019, 02:42 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระพุทธศาสนาเถรวาท |
กรัชกาย เขียน: รวมกันเราอยู่แยกหมู่เราตาย ใน ปทท.ก็ด้วย แยกกันตายเดี่ยว คริคริ ต่างคนต่างมา ต่างคนต่างไป จะรวมหมู่ หรือฉายเดี่ยว ก็ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 08 ต.ค. 2019, 21:44 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระพุทธศาสนาเถรวาท |
เป็นความเห็นแง่มุมหนึ่ง https://www.facebook.com/photo.php?fbid ... =3&theater … ยุคนี้ เป็นการยากที่วิถีนักบวชที่เป็นไปเพื่อการถอยห่างจากกามราคะ ฯลฯ อย่างพระภิกษุในพระพุทธศาสนาจะดำรงอยู่ได้โดยง่าย เหมือนยุคก่อน ! … พุทธเถรวาทแท้ๆ เป็นเป้าหมายอ่อนไหว เสื่อมสลายได้ง่าย มากกว่าที่หลายคนรู้! ... เทียนขี้ผึ้งแท้ 100 % มีข้อเด่นและข้อด้อย ต่างจากเทียนไขชนิดอื่น ๆ อย่างไร? พุทธธรรมแท้ ๆ ที่บริสุทธิ์ ก็ฉันนั้นแล.. ส่งกลิ่นหอมขจรขจายไปได้ไกล แต่กลับละลายอย่างรวดเร็ว เมื่อโดนไฟและแรงลม เสมอๆ ... ไฟ = ถูกต่างศาสนาและกลุ่มอิทธพลที่ไม่เอาศาสนา..เบียดเบียน ... ลม = ลาภสักการะ ..เพราะธรรมชาติของศาสนาพุทธไม่สอนให้ข่มเหง ตอบโต้ใคร และไม่บังคับใครให้ต้องละกิเลส (แม้แต่ผู้นั้นบวชเป็นพระภิกษุเข้ามาแล้วก็ตาม!) ... อนึ่ง. ในเรื่องนี้. หลายคนยังเข้าใจผิดว่า. ลมแรง (ลาภสักการะ). จะช่วยทำให้ไฟมอดลงได้บ้าง. แต่ความจริงแล้ว. ในกรณีของเทียนขี้ผึ้งแท้ๆ. กลับตรงกันข้าม. แรงลมยิ่งกลับทำให้ไฟเผาไหม้เนื้อเทียนเร็วยิ่งขึ้น อีกต่างหาก..! .. ... ที่ผ่านมา กล่าวได้ว่า พระสงฆ์และองค์กรพระพุทธศาสนา..เป็นเป้าหมายอ่อนแอในทางการเมือง และขี้ปากชาวบ้าน (สำนักข่าว!) มาโดยตลอด แต่! อยู่รอดมาถึงปัจจุบันได้ ก็เพราะการคุ้มครองของพระมหากษัตริย์ .... แต่ยุคนี้ พระมหากษัตริย์ ทรงอยู่ใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ. ไม่เหมือนยุคก่อน ๆ อีกแล้ว.. .. ... ในประวัติศาสตร์ศาสนาพุทธ มียุคใดบ้างพระสงฆ์ล้างอลัชชีกันเองได้? ... มีการสังฆายนาครั้งใดบ้างที่พระสงฆ์สามารถจัดขึ้นกันเองได้? ... มีเมืองใดบ้างเป็นเมืองพุทธเพราะการจัดการของพระสงฆ์? ... มีเมืองใดบ้างหากผู้นำสูงสุด ไม่สนับสนุน..ศาสนาพุทธรุ่งเรืองขึ้นได้ ... คำตอบคือ "ไม่เคยมี" ... ที่ผ่านมา กล่าวได้ว่า พระสงฆ์และองค์กรพุทธศาสนา..เป็นเป้าหมายอ่อนแอในทางการเมือง และขี้ปากชาวบ้าน (สำนักข่าว!) มาโดยตลอด แต่! อยู่รอดมาถึงปัจจุบันได้ ก็เพราะการคุ้มครองของพระมหากษัตริย์ .... แต่ยุคนี้ พระมหากษัตริย์ ทรงอยู่ใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ. ไม่เหมือนยุคก่อน ๆ อีกแล้ว.. .... ที่จริง. วิถีชาวบ้าน (การทำมาหากิน) กับศีล ๕ ยากที่จะไปด้วยกันได้ มาตั้งแต่ต้นนั่นแหละ. ... แต่ด้วยอำนาจของพระมหากษัตริย์ ที่คอยส่งเสริม ตักเตือน และบีบบังคับเป็นครั้งคราว ทำให้ศาสนา กลุ่มการเมืองและชาวบ้านไม่ออกห่างกันมากนัก. แต่ ปัจจุบันนี้ พระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ ! ....เมื่อเป็นเช่นนี้ ศาสนาพุทธจะอยู่คู่วิถีชีวิตคนไทย ไปได้อีกซักกี่เพลาหนอ? .... ข้าพเจ้า มีข้อสงสัยต่อสังคมพุทธในเมืองไทย ในขณะนี้ว่า .... "ทำไมเราไม่จัดระเบียบสังคมพุทธ ให้เป็นสังคมคุณธรรมแบบอิสลามบ้าง และ ขณะนี้ สิ่งที่ชาวพุทธควรเรียกร้อง ให้มากกว่าการเรียกร้องให้บัญญัติพระพุทธศาสนาลงในธรรมนูญ ก็คือ..การเรียกร้องให้สังคมคุณธรรมได้เกิดขึ้นจริงๆ ในสังคมชาวพุทธ เสียที ..เช่น คนพุทธ ต้องสวดมนต์ไหว้พระก่อนเข้าทำงานทุกเช้า ผู้บริหารราชการทุกส่วน ต้องไปฟังธรรมทุกๆ วันพระ เป็นต้น .... ในประเด็นนี้ หากศึกษาจากประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาแล้ว จะพบว่า การจัดการให้สังคมพุทธ เป็นสังคมคุณธรรมแบบเข็มข้นนั้น พระไม่เคยทำได้ แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่เคยทำ มีผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถทำได้ คือ "พระมหากษัตริย์ " เช่น พระเจ้าอโศกมหาราช พ่อขุนรามคำแหงมหาราช เป็นต้น .... แต่ปัจจุบันอำนาจพระมหากษัตริย์ลดลงอยู่ใต้รัฐธรมนูญ จึงเป็นคำตอบว่า ในยุคนี้ จะฟื้นฟูสังคมคุณธรรมแบบพุทธขึ้นมาได้อีกครั้ง ก็ด้วยการบัญญัติลงไปในรัฐธรรมนูญ...เพียงเท่านั้น..ไม่มีหนทางอื่นอีกแล้ว... แม้แต่นายก ก็พึ่งพาไม่ได้ มาแล้วก็ไป..! … เพราะเหตุใด ขณะที่สื่อต่างๆ ทั่วโลกพากันโหมกระแสต่อต้านอิสลาม แต่วิถีชีวิตแบบอิสลามกลับได้รับความสนใจจากชาวบ้านชาวเมือง ..แผ่ขยายไปทั่วโลก ยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง! ... นั่นเพราะโลกปัจจุบัน เป็นโลกแห่งการต่อสู้ ดิ้นรน แข่งขัน แย่งชิง เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนปรารถนา อันเป็นวิถีของผู้ครองเรือนที่ยังประกอบอยู่ด้วยความโลภ โกรธ หลง. ... ซึ่งกล่าวได้ว่า ในโลกปัจจุบันนี้ วิถีชีวิตแบบอิสลามเป็นวิถีชีวิตที่มีหลักการในพระคัมภีร์สอดคล้องกับโลกปัจจุบันที่สุด คืออยู่กันด้วยความโลภ โกรธ หลง ตามวิถีชาวบ้าน เช่น การทำสงคราม การเชือดสัตว์ทำอาหาร อนุญาติให้มีภรรยา 4 คน เป็นต้น ... มีหลักการดำเนินชีวิตตามวิถีผู้ครองเรือน..อย่างมีแบบแผนที่เคร่งครัด ที่คนทั้งชุมชนนำมาสู่การปฏิบัติกันจริง ๆ เป็นไปในแนวทางเดียวกัน..และมีการช่วยเหลือ สนับสนุนพวกพ้องเดียวกัน มากที่สุดที่สุด! ... เช่น ในชุมชนมุสลิม จะไม่มีภาพพ่อแม่ดื่มเหล้าให้ลูกหลานเห็น อย่างเด็ดขาด! ในขณะเดียวกันเด็กหญิงเมื่อมีระดู เกิดกามราคะ ก็อนุญาติให้แต่งงานได้ ฯลฯ เป็นต้น.. ... ฉะนั้น ยุคนี้ เป็นการยากที่วิถีนักบวชที่เป็นไปเพื่อการถอยห่างจากกามราคะ ฯลฯ อย่างพระภิกษุในพระพุทธศาสนาจะดำรงอยู่ได้โดยง่าย เหมือนยุคก่อน ! ... ซ้ำร้าย..ลูกหลานชาวพุทธที่ยังไม่เข้าใจในสถานการณ์มากพอ. ใช้อารมณ์เป็นใหญ่ตามแรงปลุกเร้าของสื่อที่ตนยึดถือ (ที่ถือทิฏฐิว่าตนได้เรียนตำรามามากกว่าคนยุคก่อน) เที่ยวไล่ด่าทอ เสียดสีนักบวชผู้พยายามประพฤติดีปฏิบัตชอบ หนักเข้าไปทุกวัน... ... ยุคนี้..ไม่ง่ายสำหรับผู้ครองสมณเพศในพระพุทธศาสนา อีกต่อไป ... เมื่อเป็นเช่นนี้ หากพระพุทธศาสนาไม่ได้รับการปกป้องและสนับสนุนจากรัฐฯ. และความเข้าใจจากชาวพุทธด้วยกันเองมากพอ วิถีนักบวช (พระภิกษุ) อาจต้องสูญสิ้นภายใน 100 ปีนี้ ก็เป็นได้ 5252 |
เจ้าของ: | โลกสวย [ 08 ต.ค. 2019, 21:48 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระพุทธศาสนาเถรวาท |
กรัชกาย เขียน: เป็นความเห็นแง่มุมหนึ่ง https://www.facebook.com/photo.php?fbid ... =3&theater … ยุคนี้ เป็นการยากที่วิถีนักบวชที่เป็นไปเพื่อการถอยห่างจากกามราคะ ฯลฯ อย่างพระภิกษุในพระพุทธศาสนาจะดำรงอยู่ได้โดยง่าย เหมือนยุคก่อน ! … พุทธเถรวาทแท้ๆ เป็นเป้าหมายอ่อนไหว เสื่อมสลายได้ง่าย มากกว่าที่หลายคนรู้! ... เทียนขี้ผึ้งแท้ 100 % มีข้อเด่นและข้อด้อย ต่างจากเทียนไขชนิดอื่น ๆ อย่างไร? พุทธธรรมแท้ ๆ ที่บริสุทธิ์ ก็ฉันนั้นแล.. ส่งกลิ่นหอมขจรขจายไปได้ไกล แต่กลับละลายอย่างรวดเร็ว เมื่อโดนไฟและแรงลม เสมอๆ ... ไฟ = ถูกต่างศาสนาและกลุ่มอิทธพลที่ไม่เอาศาสนา..เบียดเบียน ... ลม = ลาภสักการะ ..เพราะธรรมชาติของศาสนาพุทธไม่สอนให้ข่มเหง ตอบโต้ใคร และไม่บังคับใครให้ต้องละกิเลส (แม้แต่ผู้นั้นบวชเป็นพระภิกษุเข้ามาแล้วก็ตาม!) ... อนึ่ง. ในเรื่องนี้. หลายคนยังเข้าใจผิดว่า. ลมแรง (ลาภสักการะ). จะช่วยทำให้ไฟมอดลงได้บ้าง. แต่ความจริงแล้ว. ในกรณีของเทียนขี้ผึ้งแท้ๆ. กลับตรงกันข้าม. แรงลมยิ่งกลับทำให้ไฟเผาไหม้เนื้อเทียนเร็วยิ่งขึ้น อีกต่างหาก..! .. ... ที่ผ่านมา กล่าวได้ว่า พระสงฆ์และองค์กรพระพุทธศาสนา..เป็นเป้าหมายอ่อนแอในทางการเมือง และขี้ปากชาวบ้าน (สำนักข่าว!) มาโดยตลอด แต่! อยู่รอดมาถึงปัจจุบันได้ ก็เพราะการคุ้มครองของพระมหากษัตริย์ .... แต่ยุคนี้ พระมหากษัตริย์ ทรงอยู่ใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ. ไม่เหมือนยุคก่อน ๆ อีกแล้ว.. .. ... ในประวัติศาสตร์ศาสนาพุทธ มียุคใดบ้างพระสงฆ์ล้างอลัชชีกันเองได้? ... มีการสังฆายนาครั้งใดบ้างที่พระสงฆ์สามารถจัดขึ้นกันเองได้? ... มีเมืองใดบ้างเป็นเมืองพุทธเพราะการจัดการของพระสงฆ์? ... มีเมืองใดบ้างหากผู้นำสูงสุด ไม่สนับสนุน..ศาสนาพุทธรุ่งเรืองขึ้นได้ ... คำตอบคือ "ไม่เคยมี" ... ที่ผ่านมา กล่าวได้ว่า พระสงฆ์และองค์กรพุทธศาสนา..เป็นเป้าหมายอ่อนแอในทางการเมือง และขี้ปากชาวบ้าน (สำนักข่าว!) มาโดยตลอด แต่! อยู่รอดมาถึงปัจจุบันได้ ก็เพราะการคุ้มครองของพระมหากษัตริย์ .... แต่ยุคนี้ พระมหากษัตริย์ ทรงอยู่ใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ. ไม่เหมือนยุคก่อน ๆ อีกแล้ว.. .... ที่จริง. วิถีชาวบ้าน (การทำมาหากิน) กับศีล ๕ ยากที่จะไปด้วยกันได้ มาตั้งแต่ต้นนั่นแหละ. ... แต่ด้วยอำนาจของพระมหากษัตริย์ ที่คอยส่งเสริม ตักเตือน และบีบบังคับเป็นครั้งคราว ทำให้ศาสนา กลุ่มการเมืองและชาวบ้านไม่ออกห่างกันมากนัก. แต่ ปัจจุบันนี้ พระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ ! ....เมื่อเป็นเช่นนี้ ศาสนาพุทธจะอยู่คู่วิถีชีวิตคนไทย ไปได้อีกซักกี่เพลาหนอ? .... ข้าพเจ้า มีข้อสงสัยต่อสังคมพุทธในเมืองไทย ในขณะนี้ว่า .... "ทำไมเราไม่จัดระเบียบสังคมพุทธ ให้เป็นสังคมคุณธรรมแบบอิสลามบ้าง และ ขณะนี้ สิ่งที่ชาวพุทธควรเรียกร้อง ให้มากกว่าการเรียกร้องให้บัญญัติพระพุทธศาสนาลงในธรรมนูญ ก็คือ..การเรียกร้องให้สังคมคุณธรรมได้เกิดขึ้นจริงๆ ในสังคมชาวพุทธ เสียที ..เช่น คนพุทธ ต้องสวดมนต์ไหว้พระก่อนเข้าทำงานทุกเช้า ผู้บริหารราชการทุกส่วน ต้องไปฟังธรรมทุกๆ วันพระ เป็นต้น .... ในประเด็นนี้ หากศึกษาจากประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาแล้ว จะพบว่า การจัดการให้สังคมพุทธ เป็นสังคมคุณธรรมแบบเข็มข้นนั้น พระไม่เคยทำได้ แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่เคยทำ มีผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถทำได้ คือ "พระมหากษัตริย์ " เช่น พระเจ้าอโศกมหาราช พ่อขุนรามคำแหงมหาราช เป็นต้น .... แต่ปัจจุบันอำนาจพระมหากษัตริย์ลดลงอยู่ใต้รัฐธรมนูญ จึงเป็นคำตอบว่า ในยุคนี้ จะฟื้นฟูสังคมคุณธรรมแบบพุทธขึ้นมาได้อีกครั้ง ก็ด้วยการบัญญัติลงไปในรัฐธรรมนูญ...เพียงเท่านั้น..ไม่มีหนทางอื่นอีกแล้ว... แม้แต่นายก ก็พึ่งพาไม่ได้ มาแล้วก็ไป..! … เพราะเหตุใด ขณะที่สื่อต่างๆ ทั่วโลกพากันโหมกระแสต่อต้านอิสลาม แต่วิถีชีวิตแบบอิสลามกลับได้รับความสนใจจากชาวบ้านชาวเมือง ..แผ่ขยายไปทั่วโลก ยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง! ... นั่นเพราะโลกปัจจุบัน เป็นโลกแห่งการต่อสู้ ดิ้นรน แข่งขัน แย่งชิง เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนปรารถนา อันเป็นวิถีของผู้ครองเรือนที่ยังประกอบอยู่ด้วยความโลภ โกรธ หลง. ... ซึ่งกล่าวได้ว่า ในโลกปัจจุบันนี้ วิถีชีวิตแบบอิสลามเป็นวิถีชีวิตที่มีหลักการในพระคัมภีร์สอดคล้องกับโลกปัจจุบันที่สุด คืออยู่กันด้วยความโลภ โกรธ หลง ตามวิถีชาวบ้าน เช่น การทำสงคราม การเชือดสัตว์ทำอาหาร อนุญาติให้มีภรรยา 4 คน เป็นต้น ... มีหลักการดำเนินชีวิตตามวิถีผู้ครองเรือน..อย่างมีแบบแผนที่เคร่งครัด ที่คนทั้งชุมชนนำมาสู่การปฏิบัติกันจริง ๆ เป็นไปในแนวทางเดียวกัน..และมีการช่วยเหลือ สนับสนุนพวกพ้องเดียวกัน มากที่สุดที่สุด! ... เช่น ในชุมชนมุสลิม จะไม่มีภาพพ่อแม่ดื่มเหล้าให้ลูกหลานเห็น อย่างเด็ดขาด! ในขณะเดียวกันเด็กหญิงเมื่อมีระดู เกิดกามราคะ ก็อนุญาติให้แต่งงานได้ ฯลฯ เป็นต้น.. ... ฉะนั้น ยุคนี้ เป็นการยากที่วิถีนักบวชที่เป็นไปเพื่อการถอยห่างจากกามราคะ ฯลฯ อย่างพระภิกษุในพระพุทธศาสนาจะดำรงอยู่ได้โดยง่าย เหมือนยุคก่อน ! ... ซ้ำร้าย..ลูกหลานชาวพุทธที่ยังไม่เข้าใจในสถานการณ์มากพอ. ใช้อารมณ์เป็นใหญ่ตามแรงปลุกเร้าของสื่อที่ตนยึดถือ (ที่ถือทิฏฐิว่าตนได้เรียนตำรามามากกว่าคนยุคก่อน) เที่ยวไล่ด่าทอ เสียดสีนักบวชผู้พยายามประพฤติดีปฏิบัตชอบ หนักเข้าไปทุกวัน... ... ยุคนี้..ไม่ง่ายสำหรับผู้ครองสมณเพศในพระพุทธศาสนา อีกต่อไป ... เมื่อเป็นเช่นนี้ หากพระพุทธศาสนาไม่ได้รับการปกป้องและสนับสนุนจากรัฐฯ. และความเข้าใจจากชาวพุทธด้วยกันเองมากพอ วิถีนักบวช (พระภิกษุ) อาจต้องสูญสิ้นภายใน 100 ปีนี้ ก็เป็นได้ 5252 คุณภาพ ไม่ใช่ปริมาณค่ะ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 09 ต.ค. 2019, 11:16 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระพุทธศาสนาเถรวาท |
โลกสวย เขียน: กรัชกาย เขียน: เป็นความเห็นแง่มุมหนึ่ง https://www.facebook.com/photo.php?fbid ... =3&theater … ยุคนี้ เป็นการยากที่วิถีนักบวชที่เป็นไปเพื่อการถอยห่างจากกามราคะ ฯลฯ อย่างพระภิกษุในพระพุทธศาสนาจะดำรงอยู่ได้โดยง่าย เหมือนยุคก่อน ! … พุทธเถรวาทแท้ๆ เป็นเป้าหมายอ่อนไหว เสื่อมสลายได้ง่าย มากกว่าที่หลายคนรู้! ... เทียนขี้ผึ้งแท้ 100 % มีข้อเด่นและข้อด้อย ต่างจากเทียนไขชนิดอื่น ๆ อย่างไร? พุทธธรรมแท้ ๆ ที่บริสุทธิ์ ก็ฉันนั้นแล.. ส่งกลิ่นหอมขจรขจายไปได้ไกล แต่กลับละลายอย่างรวดเร็ว เมื่อโดนไฟและแรงลม เสมอๆ ... ไฟ = ถูกต่างศาสนาและกลุ่มอิทธพลที่ไม่เอาศาสนา..เบียดเบียน ... ลม = ลาภสักการะ ..เพราะธรรมชาติของศาสนาพุทธไม่สอนให้ข่มเหง ตอบโต้ใคร และไม่บังคับใครให้ต้องละกิเลส (แม้แต่ผู้นั้นบวชเป็นพระภิกษุเข้ามาแล้วก็ตาม!) ... อนึ่ง. ในเรื่องนี้. หลายคนยังเข้าใจผิดว่า. ลมแรง (ลาภสักการะ). จะช่วยทำให้ไฟมอดลงได้บ้าง. แต่ความจริงแล้ว. ในกรณีของเทียนขี้ผึ้งแท้ๆ. กลับตรงกันข้าม. แรงลมยิ่งกลับทำให้ไฟเผาไหม้เนื้อเทียนเร็วยิ่งขึ้น อีกต่างหาก..! .. ... ที่ผ่านมา กล่าวได้ว่า พระสงฆ์และองค์กรพระพุทธศาสนา..เป็นเป้าหมายอ่อนแอในทางการเมือง และขี้ปากชาวบ้าน (สำนักข่าว!) มาโดยตลอด แต่! อยู่รอดมาถึงปัจจุบันได้ ก็เพราะการคุ้มครองของพระมหากษัตริย์ .... แต่ยุคนี้ พระมหากษัตริย์ ทรงอยู่ใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ. ไม่เหมือนยุคก่อน ๆ อีกแล้ว.. .. ... ในประวัติศาสตร์ศาสนาพุทธ มียุคใดบ้างพระสงฆ์ล้างอลัชชีกันเองได้? ... มีการสังฆายนาครั้งใดบ้างที่พระสงฆ์สามารถจัดขึ้นกันเองได้? ... มีเมืองใดบ้างเป็นเมืองพุทธเพราะการจัดการของพระสงฆ์? ... มีเมืองใดบ้างหากผู้นำสูงสุด ไม่สนับสนุน..ศาสนาพุทธรุ่งเรืองขึ้นได้ ... คำตอบคือ "ไม่เคยมี" ... ที่ผ่านมา กล่าวได้ว่า พระสงฆ์และองค์กรพุทธศาสนา..เป็นเป้าหมายอ่อนแอในทางการเมือง และขี้ปากชาวบ้าน (สำนักข่าว!) มาโดยตลอด แต่! อยู่รอดมาถึงปัจจุบันได้ ก็เพราะการคุ้มครองของพระมหากษัตริย์ .... แต่ยุคนี้ พระมหากษัตริย์ ทรงอยู่ใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ. ไม่เหมือนยุคก่อน ๆ อีกแล้ว.. .... ที่จริง. วิถีชาวบ้าน (การทำมาหากิน) กับศีล ๕ ยากที่จะไปด้วยกันได้ มาตั้งแต่ต้นนั่นแหละ. ... แต่ด้วยอำนาจของพระมหากษัตริย์ ที่คอยส่งเสริม ตักเตือน และบีบบังคับเป็นครั้งคราว ทำให้ศาสนา กลุ่มการเมืองและชาวบ้านไม่ออกห่างกันมากนัก. แต่ ปัจจุบันนี้ พระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ ! ....เมื่อเป็นเช่นนี้ ศาสนาพุทธจะอยู่คู่วิถีชีวิตคนไทย ไปได้อีกซักกี่เพลาหนอ? .... ข้าพเจ้า มีข้อสงสัยต่อสังคมพุทธในเมืองไทย ในขณะนี้ว่า .... "ทำไมเราไม่จัดระเบียบสังคมพุทธ ให้เป็นสังคมคุณธรรมแบบอิสลามบ้าง และ ขณะนี้ สิ่งที่ชาวพุทธควรเรียกร้อง ให้มากกว่าการเรียกร้องให้บัญญัติพระพุทธศาสนาลงในธรรมนูญ ก็คือ..การเรียกร้องให้สังคมคุณธรรมได้เกิดขึ้นจริงๆ ในสังคมชาวพุทธ เสียที ..เช่น คนพุทธ ต้องสวดมนต์ไหว้พระก่อนเข้าทำงานทุกเช้า ผู้บริหารราชการทุกส่วน ต้องไปฟังธรรมทุกๆ วันพระ เป็นต้น .... ในประเด็นนี้ หากศึกษาจากประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาแล้ว จะพบว่า การจัดการให้สังคมพุทธ เป็นสังคมคุณธรรมแบบเข็มข้นนั้น พระไม่เคยทำได้ แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่เคยทำ มีผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถทำได้ คือ "พระมหากษัตริย์ " เช่น พระเจ้าอโศกมหาราช พ่อขุนรามคำแหงมหาราช เป็นต้น .... แต่ปัจจุบันอำนาจพระมหากษัตริย์ลดลงอยู่ใต้รัฐธรมนูญ จึงเป็นคำตอบว่า ในยุคนี้ จะฟื้นฟูสังคมคุณธรรมแบบพุทธขึ้นมาได้อีกครั้ง ก็ด้วยการบัญญัติลงไปในรัฐธรรมนูญ...เพียงเท่านั้น..ไม่มีหนทางอื่นอีกแล้ว... แม้แต่นายก ก็พึ่งพาไม่ได้ มาแล้วก็ไป..! … เพราะเหตุใด ขณะที่สื่อต่างๆ ทั่วโลกพากันโหมกระแสต่อต้านอิสลาม แต่วิถีชีวิตแบบอิสลามกลับได้รับความสนใจจากชาวบ้านชาวเมือง ..แผ่ขยายไปทั่วโลก ยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง! ... นั่นเพราะโลกปัจจุบัน เป็นโลกแห่งการต่อสู้ ดิ้นรน แข่งขัน แย่งชิง เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนปรารถนา อันเป็นวิถีของผู้ครองเรือนที่ยังประกอบอยู่ด้วยความโลภ โกรธ หลง. ... ซึ่งกล่าวได้ว่า ในโลกปัจจุบันนี้ วิถีชีวิตแบบอิสลามเป็นวิถีชีวิตที่มีหลักการในพระคัมภีร์สอดคล้องกับโลกปัจจุบันที่สุด คืออยู่กันด้วยความโลภ โกรธ หลง ตามวิถีชาวบ้าน เช่น การทำสงคราม การเชือดสัตว์ทำอาหาร อนุญาติให้มีภรรยา 4 คน เป็นต้น ... มีหลักการดำเนินชีวิตตามวิถีผู้ครองเรือน..อย่างมีแบบแผนที่เคร่งครัด ที่คนทั้งชุมชนนำมาสู่การปฏิบัติกันจริง ๆ เป็นไปในแนวทางเดียวกัน..และมีการช่วยเหลือ สนับสนุนพวกพ้องเดียวกัน มากที่สุดที่สุด! ... เช่น ในชุมชนมุสลิม จะไม่มีภาพพ่อแม่ดื่มเหล้าให้ลูกหลานเห็น อย่างเด็ดขาด! ในขณะเดียวกันเด็กหญิงเมื่อมีระดู เกิดกามราคะ ก็อนุญาติให้แต่งงานได้ ฯลฯ เป็นต้น.. ... ฉะนั้น ยุคนี้ เป็นการยากที่วิถีนักบวชที่เป็นไปเพื่อการถอยห่างจากกามราคะ ฯลฯ อย่างพระภิกษุในพระพุทธศาสนาจะดำรงอยู่ได้โดยง่าย เหมือนยุคก่อน ! ... ซ้ำร้าย..ลูกหลานชาวพุทธที่ยังไม่เข้าใจในสถานการณ์มากพอ. ใช้อารมณ์เป็นใหญ่ตามแรงปลุกเร้าของสื่อที่ตนยึดถือ (ที่ถือทิฏฐิว่าตนได้เรียนตำรามามากกว่าคนยุคก่อน) เที่ยวไล่ด่าทอ เสียดสีนักบวชผู้พยายามประพฤติดีปฏิบัตชอบ หนักเข้าไปทุกวัน... ... ยุคนี้..ไม่ง่ายสำหรับผู้ครองสมณเพศในพระพุทธศาสนา อีกต่อไป ... เมื่อเป็นเช่นนี้ หากพระพุทธศาสนาไม่ได้รับการปกป้องและสนับสนุนจากรัฐฯ. และความเข้าใจจากชาวพุทธด้วยกันเองมากพอ วิถีนักบวช (พระภิกษุ) อาจต้องสูญสิ้นภายใน 100 ปีนี้ ก็เป็นได้ 5252 คุณภาพ ไม่ใช่ปริมาณค่ะ พ่ะน่ะ ดูอินเดียเป็นตัวอย่าง คนรุ่นหลังต้องมาฟื้นฟูกันขึ้นมาใหม่ เพราะพังพาบหมด |
หน้า 3 จากทั้งหมด 12 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |