วันเวลาปัจจุบัน 16 ส.ค. 2025, 13:13  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 155 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 ... 11  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2012, 20:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กำลังจะไปดูบอล....

คุณว่า...ดูบอลไปวิปัสสนาไปได้รึเปล่า???

เดียวกลับมาชม :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2012, 22:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


วิริยะ เขียน:
ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
ผมตอบปัญหาไม่ได้หรอกครับ ผมปฏิบัติไปอีกแนวทางหนึ่ง ผมรู้ และเห็นได้เฉพาะในสิ่งที่ศึกษา และปฏิบัติมาเท่านั้น คลื่นสัญญาณไม่ตรงกันจูนไม่เข้ากันหรอกครับ

คุณ "ไม่เที่ยง เกิดดับ" ปฏิบัติตามแนวทางไหนครับ? ตามแนวทาง "มรรคมีองค์แปด" หรือเปล่าครับ :b10: :b12:



เจริญปัญญา หรือ วิปัสสนาภาวนา
เอาปัญญาที่ได้มาดับความเชื่อ หรือ อวิชชา
มรรค 8 คือผลของการดับเหตุแห่งทุกข์ได้ ถ้าดับไม่ได้ มรรค 8 ไม่เกิด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2012, 22:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กำลังจะไปดูบอล....

คุณว่า...ดูบอลไปวิปัสสนาไปได้รึเปล่า???

เดียวกลับมาชม :b32: :b32:


วิปัสสนาเมื่อมีอะไรมากระทบ เห็นลูกฟุตบอล ฟุตบอลไม่เที่ยง เกิดดับ กรรมการไม่เที่ยง เกิดดับ
คนเตะฟุตบอล ไม่เที่ยง เกิดดับ คนเชียร์ไม่เที่ยง เกิดดับ เสียงเชียร์ ไม่เที่ยง เกิดดับ
ใจคิดลึกไม่เที่ยง เกิดดับ ได้กลิ่นควัน กลิ่นไม่เที่ยง เกิดดับ
ปวดหลัง ปวดก้น ไม่เที่ยง เกิดดับ ลมเย็นไม่เที่ยงเกิดดับ กินน้ำอัดลม รสไม่เที่ยง เกิดดับ
การวิปัสสนาภาวนาอย่างนี้เพื่อเติมความจริงในความจำให้มากที่สุด สะสมทุกวัน
เพื่อให้เกิดปัญญา เอามาดับความเชื่อ เพื่อไม่ให้เกิด โลภ โกรธ หลง
ถ้าไม่วิปัสสนาอย่างนี้ความไม่พอใจ พอใจ เกิดขึ้นอย่างแน่นอน โกรธคนเตะฟุตบอล โกรธกรรมการตัดสินว่าไม่ยุติธรรม ไปทำร้ายกัน กองเชียร์ชกต่อยกัน เป็นเรื่องใหญ่สุดท้ายทุกข์ตามมา แค่เกมส์กีฬามีแพ้ชนะเป็นธรรมดา ที่ชนะหรือแพ้ตามเหตุปัจจัย ไปหลงกับเกมส์กีฬา

วิปัสสนา คือ การสร้างภูมิทางธรรมก่อนเพื่อให้เกิดปัญญา แล้วจะเข้าใจ และอธิบายสิ่งต่างๆ ได้เอง

เพิ่มเติมอีกนิดครับ
"เมื่อฝึกวิปัสสนา ตอนพิจารณาสิ่งรอบตัวเรา ต้องย้อนกลับมาพิจารณาตัวเราด้วยทุกครั้ง" เราก็ไม่เที่ยง เกิดดับ "
การพิจารณาสิ่งรอบตัวเรา คือพิจารณาเพื่อไม่ให้เกิดความพอใจ ไม่พอใจ ไม่หลงกับสิ่งที่มากระทบตัวเรา เพื่อดับทุกข์สะสม หรือทุกข์ที่เกิดจากอายตนะทั้ง 6
ส่วนการพิจารณาตัวเรา คือการพิจารณขันธ์ 5 เพื่อฆ่าตัวตนของเรา ไม่ให้ยึดติดว่านี่คือตัวเรา เราไม่มีตัวตน ไม่มีเรา เพื่อดับทุกข์ธรรมชาติ หรือทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย


แก้ไขล่าสุดโดย ไม่เที่ยง เกิดดับ เมื่อ 09 ม.ค. 2012, 09:34, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2012, 23:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เราต้องบอกกะมันว่า...มันเกิดดับ

รึว่า...มองจนเห็นมันเกิดดับ :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2012, 23:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
วิริยะ เขียน:
ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
ผมตอบปัญหาไม่ได้หรอกครับ ผมปฏิบัติไปอีกแนวทางหนึ่ง ผมรู้ และเห็นได้เฉพาะในสิ่งที่ศึกษา และปฏิบัติมาเท่านั้น คลื่นสัญญาณไม่ตรงกันจูนไม่เข้ากันหรอกครับ

คุณ "ไม่เที่ยง เกิดดับ" ปฏิบัติตามแนวทางไหนครับ? ตามแนวทาง "มรรคมีองค์แปด" หรือเปล่าครับ :b10: :b12:



เจริญปัญญา หรือ วิปัสสนาภาวนา
เอาปัญญาที่ได้มาดับความเชื่อ หรือ อวิชชา
มรรค 8 คือผลของการดับเหตุแห่งทุกข์ได้ ถ้าดับไม่ได้ มรรค 8 ไม่เกิด


ลองหาข้อมูลดูใหม่นะครับว่า มรรค 8 เป็น แนวทางปฎิบัติ เพื่อการดับทุกข์ หรือ ผลที่ได้จากการดับทุกข์นะครับ ส่วนท่านผู้รู้ท่านอื่นโปรดแนะนำด้วยครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2012, 00:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


murano เขียน:
ขึ้นอยู่กับว่า อาจารย์นั้นกำลังสอนธรรมที่ตนเองยังละเมิดอยู่หรือไม่
แบบซดเหล้าเอื๊อกๆ แล้วสอนว่า อย่ากินเหล้า... กำลังย่างหมูหัน แล้วบอกว่า กินเนื้อสัตว์ให้น้อยเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความเมตตา
กำลังตอแหลอย่างเมามัน แล้วสอนว่าอย่าตอแหล...


สอนธรรมเรื่อง ดับทุกข์
แต่ได้แสดงการละเมิด ศีลข้อ 3
โดยมีสติ รู้ตัว และเจตนา
ทั้งทางกาย วาจา ใจ
ไม่เท่าทันผัสสะที่ปรากฎ ไม่เท่าทันกิเลสตัณหา

อ้างคำพูด:
หรือคนฝึกฌาณพร่ำสอนว่า อย่าส่งจิตออกนอก แต่ตัวเองแส่ไปหมด...

อยากบอกนะว่า คนส่งจิตออกนอกเป็นประจำ ไม่ใช่คนบรรลุธรรม และไม่สามารถบรรลุธรรมได้
สติปัฎฐาน มีนัยยะที่ซ่อนอยู่หลายอย่าง รวมถึงมีกลไกเบื้องหลังบางอย่างด้วย (แต่เรายังรวบรวมความคิดให้อธิบายอย่างแจ่มชัดไม่ได้)
นัยยะหนึ่งที่สำคัญมากคือ ไม่ส่งจิตออกนอก

ที่ eragon ว่าถึงมองเห็นนั่นเห็นนี่ ถ้าจะว่าในเชิงสังโยชน์ มันก็เป็นกิเลสอันดับต้นแหล่ะ คือ สักกายทิฎฐิ คนที่ละสังโยชน์ข้อนี้แล้ว จะส่งจิตออกนอกเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ถ้าสงสัยก็ถามได้จะอธิบายเพิ่ม...

วิปัสสนา คือการพิจารณา คือการปฏิบัติในแนวทางสติปัฎฐาน


:b1:

ไม่รู้สิ่คะ
เท่าที่เห็นแสดงคำสอน แนวทาง และผล
เมื่อเปรียบกับสิ่งที่ปรากฎ มันมีภาพที่เป็นแง่มุมที่ขัดแย้งกันอยู่

อย่างถ้าหากว่า ท่านมูมีวิชาที่สามารถเที่ยวไปส่องดูผู้อื่นพร่องในศีลได้
แล้วเอามาเป็นข้อวิจารณ์ได้
ตัวผู้กระทำการวิจารณ์นั้น น่าจะเป็นผู้ที่มีปกติสำรวมในศีลข้อนั้นแล้วเป็นอย่างดี
ไม่ใช่หรือคะ
หรือว่า ตน เห็นว่า ตน เป็นผู้ที่มีข้อยกเว้น

:b6: :b10:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 09 ม.ค. 2012, 00:33, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2012, 00:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
ผมตอบปัญหาไม่ได้หรอกครับ ผมปฏิบัติไปอีกแนวทางหนึ่ง ผมรู้ และเห็นได้เฉพาะในสิ่งที่ศึกษา และปฏิบัติมาเท่านั้น คลื่นสัญญาณไม่ตรงกันจูนไม่เข้ากันหรอกครับ


ใช่ เพราะสิ่งที่เรามีโอกาสรู้ และเห็น
เป็นสิ่งที่คุณยังไม่มีโอกาสได้รู้ และเห็น

มันก็เลยเป็นความผิดของเราที่มีความเห็นขัดแย้งกับคุณ
และสิ่งที่มีความเห็นตรงข้ามกับความเข้าใจ การรับรู้ในทางธรรมของคุณ
มันเป็น มิจฉาทิฐิ

แต่ คุณยังคงเป็น สัมมาทิฐิ

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2012, 00:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
เจริญปัญญา หรือ วิปัสสนาภาวนา
เอาปัญญาที่ได้มาดับความเชื่อ หรือ อวิชชา
มรรค 8 คือผลของการดับเหตุแห่งทุกข์ได้ ถ้าดับไม่ได้ มรรค 8 ไม่เกิด


เรื่องอาจารย์ที่เอกอนตั้งประเด็นไว้ข้างต้น
อยู่ในข่าย
เป็นผู้ที่ได้เจริญปัญญา หรือ วิปัสสนาภาวนา จนบรรลุผลแล้ว หรือไม่
อยู่ในข่าย
เป็นผู้ที่ได้เอาปัญญาที่ได้มาดับความเชื่อ หรือ อวิชชา จนบรรลุผลแล้ว หรือไม่
และอยู่ในข่าย
เป็นผู้ที่ดับเหตุแห่งทุกข์ได้ จนบรรลุผลแล้ว หรือไม่

และดังนั้น มรรค 8 เขาเกิดหรือยัง

:b1:

ถ้าอาจารย์ท่านนั้น กล่าวว่าตนบรรลุธรรม
คุณพอจะแสดงความเห็นได้ป่าว
ธรรมที่ท่านบรรลุ คือ ธรรมอะไร

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2012, 01:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


สมถะและวิปัสสนา ควรเจริญด้วยปัญญาอันยิ่ง เป็นมรรคาที่ทำให้ถึงซึ่งนิพพานอันเป็นอสังขตะ
สมถะและวิปัสสนา ย่อมเป็นปัจจัยอนุเคราะห์แก่สัมมาทิฏฐิ
และสัมมาทิฏฐิ เองย่อมมีเจโตวิมุติเป็นผล มีเจโตวิมุติเป็นอานิสงส์
มีปัญญาวิมุติเป็นผล มีปัญญาวิมุติเป็นอานิสงส์

จะเจริญวิปัสสนาก่อนสมถะมีภายหลัง
เจริญสมถะและวิปัสสนาคู่กันไป
หรือเจริญสมถะก่อนวิปัสสนามีภายหลัง ก็ตาม

เมื่อเจริญสมถะวิปัสสนาอยู่อย่างนี้
มรรคย่อมเกิด เมื่อเสพ เจริญให้มากซึ่งมรรคนั้นๆ ย่อมละสังโยชน์และอนุสัยต่างๆให้สิ้นสุดลงได้

สมถะและวิปัสสนาก็เป็นไปเพื่อความสิ้นกิเลสอนุสัยต่างๆที่นอนเนื่องอยู่ เพื่อความหลุดพ้น และนิพพานเป็นที่สุด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2012, 09:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
...ดูบอลไปวิปัสสนาไปได้รึเปล่า???


ไม่ได้หรอกฮะ สติปัฎฐาน เขาให้พิจารณาตนเอง ไปเพ่งพิจารณาสิ่งอื่นผู้อื่น มันไม่ใช่สติปัฎฐานนะฮะ
แล้วดูท่าจะไม่เกิดประโยชน์อันใด (ในแง่มุมของการฝึกจิต)

eragon_joe เขียน:
อย่างถ้าหากว่า ท่านมูมีวิชาที่สามารถเที่ยวไปส่องดูผู้อื่นพร่องในศีลได้
แล้วเอามาเป็นข้อวิจารณ์ได้
ตัวผู้กระทำการวิจารณ์นั้น น่าจะเป็นผู้ที่มีปกติสำรวมในศีลข้อนั้นแล้วเป็นอย่างดี
ไม่ใช่หรือคะ
หรือว่า ตน เห็นว่า ตน เป็นผู้ที่มีข้อยกเว้น

:b6: :b10:


เรื่องการตรวจสอบคน มันมีแง่มุมที่ต้องคำนึงอยู่ แต่ตามตำรามักไม่ให้ทำ เพราะมันมีแนวโน้มที่จะเพิ่มพูน มานะ ในตน
แต่ถ้าพิจารณาแล้ว เห็นควรว่าจะตรวจสอบ มันก็เป็นเรื่องของผู้ตรวจสอบนั้นเอง

ตรวจสอบไม่ใช่ทดสอบ การทดสอบเป็นเรื่องที่ต้องระวัง และโดยมากจะให้ผลที่ไม่เป็นจริง โดยเฉพาะเมื่อทดสอบบุคคลที่เข้าถึงความเป็นอริยะ
จริงๆ การทดสอบเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ โดยไม่มีข้อยกเว้น เพราะไม่เพียงแต่จะหาความจริงไม่ได้ จากปัจจัยและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละขณะ (คนไม่ใช่เครื่องจักร สภาพแวดล้อมเปลี่ยน การตอบสนองก็เปลี่ยน) มันยังเป็นการเพิ่ม มานะ ในตน อย่างมากมาย

โดยส่วนตัว เราเห็นด้วยกับการ ตรวจสอบ ในโลกจริง คือตรวจสอบที่ กายกรรม อันเป็นกรรมที่เกิดขึ้นจริงในสภาพของมนุษย์

และ... การวิจารณ์สิ่งใด ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้สำรวมในสิ่งนั้น มีเยอะแยะไปที่เมื่อถึงคราวตน ก็จะมีเหตุผล (ข้ออ้าง) ต่างๆ นานา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2012, 09:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้อ... ผู้ที่บรรลุธรรมนั้น แม้ไม่รู้กฎไม่รู้วินัย แต่จะ ทำทุกสิ่ง ไม่ผิดต่อสิ่งใดเลย
ประเภทอวดอ้างว่าบรรลุ แต่ศีลขาดกระจาย อันนั้นมันจอมปลอม

คนที่บรรลุธรรมนั้น แม้ไม่ใช่พระสงฆ์ ไม่รู้วินัยสงฆ์ หรือแม้ไม่รู้จักศาสนาพุทธ แต่หากเอาวินัยสงฆ์ไปจับ บุคคลผู้นั้นจะไม่ผิดวินัยสงฆ์เลย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2012, 09:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


murano เขียน:
เรื่องการตรวจสอบคน ...

และ... การวิจารณ์สิ่งใด ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้สำรวมในสิ่งนั้น มีเยอะแยะไปที่เมื่อถึงคราวตน ก็จะมีเหตุผล (ข้ออ้าง) ต่างๆ นานา


ค่ะ มีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันค่ะ

smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2012, 09:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เราต้องบอกกะมันว่า...มันเกิดดับ

รึว่า...มองจนเห็นมันเกิดดับ :b9:


ไม่ต้องมองให้เห็นมันดับหรอกครับ บางอย่างมันไม่ดับง่ายๆ ต้องใช้ระยะเวลา
บางอย่างก็เกิด และดับเร็วมาก ยกตัวอย่าง จิตของเรา
ให้รู้ว่าสิ่งที่เราเห็น แม้แต่ตัวเรามันต้องดับ หรือสลาย อยู่แล้ว ไม่ต้องพิสูจน์ว่ามันจะดับจริงหรือป่าว
เหมือนเรามองตัวเรา ไม่ต้องรอให้เราตายถึงจะรู้ เราตายอยู่แล้ว มันเป็นธรรมชาติ ไม่มีสิ่งไหนหนีพ้นความดับ ความแก่ ความเสื่อม เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่คงทน ไม่เที่ยง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2012, 10:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านเคยสงสัย เกี่ยวกับ มรรคมีองค์ 8 หรือไม่

ยกตัวอย่าง
ข้อแรก สัมมาทิฐิ หรือ ความเห็นชอบ/ไม่เห็นผิด ข้อสัย แล้วเราจะเห็นชอบได้อย่างไร "อย่างไร" "ทำอย่างไร" แน่นอนต้องหาเหตุใช่ไหมครับเหมือนเรียนวิทยาศาสตร์
ส่วนผลออกมา คือ มีสัมมาทิฐิ
แล้วอย่างนี้ท่านผู้รู้จะเห็นมรรคมีองค์ 8 เป็นแนวปฏิบัติได้อย่างไรครับ มรรค คือ ผล
เคยได้ยินคำว่า มรรคผล ไหมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2012, 11:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่

มรรคตามคำสอนพระพุทธองค์
ที่เราศึกษาถือปฏิบัตินั้นไม่มีอะไรที่จะเป็นเรื่องน่าสงสัย

ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
ยกตัวอย่าง
ข้อแรก สัมมาทิฐิ หรือ ความเห็นชอบ/ไม่เห็นผิด ข้อสัย แล้วเราจะเห็นชอบได้อย่างไร "อย่างไร" "ทำอย่างไร" แน่นอนต้องหาเหตุใช่ไหมครับเหมือนเรียนวิทยาศาสตร์
ส่วนผลออกมา คือ มีสัมมาทิฐิ
แล้วอย่างนี้ท่านผู้รู้จะเห็นมรรคมีองค์ 8 เป็นแนวปฏิบัติได้อย่างไรครับ มรรค คือ ผล
เคยได้ยินคำว่า มรรคผล ไหมครับ

ส่วนตัวอย่างที่คุณยกมา
เป็น การมองเห็นในมุมมองของคุณน่ะ
เราไม่ได้มีความเห็นอย่างนั้น
เราไม่ได้เดินมรรคในลักษณะนั้น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 155 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 ... 11  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร