วันเวลาปัจจุบัน 13 ต.ค. 2025, 13:40  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 178 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 ... 12  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2016, 19:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:

แต่หากอโสกะคิดว่า...มันคนละเรื่อง...
ผมว่า..อโสกะ..ตลกมากเลย..
ที..คุณstudent พูดคำว่าอนัตตา...อโสกะว่าตรงใจ
พอผมว่า..วิปัสสนาญาณ9 อโสกะว่า..ไม่ตรงประเด็น..
555...


แสดงว่าอโสกะ..ไม่รู้เรื่องอะไรเลย...ไม่เคยผ่านความรู้สึกอะไรเลย...
จะนิ่งเฉย..เป็นหัวตอ...อีกนานมั้ยท่าน


:b13: :b13: :b13:

ยังไม่หายตลก....เรย..

อโสกะ...ยังไม่เห็น..อีกรึคับ?

s004
วิปัสสนาญาณ 9 ที่กบเอามาแทรกนั้นนะ มันชี้ให้เห็นทางสายกลางตรงไหน อธิบายและแจกแจงให้ฟังหน่อยสิ แสดงภูมิรู้ของกบมาให้ฟังหน่อยสิ อย่าไปลอกใครมาแปะอีกล่ะมันน่าเบื่อมากกว่า แล้วมาย้ำเรื่องหัวหลักหัวตออะไรก็ไม่รู้ ถ้ายังเป็นอย่างนี้คงคุยกับกบไม่ค่อยจะรู้เรื่องกันแล้ว พักคุยกันไปอีกสักระยะหนึ่งท่าจะดีนะครับ
:b7:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2016, 20:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
onion
คุณเอก้อนเคยลองนั่งให้มันเฉยได้เป็นชั่วโมงๆหรือยังล่ะครับ ถ้ายังก็ขอให้ทดลองพิสูจน์ดูก่อนแล้วจะเข้าใจลึกซึ้งในเรื่องที่อโศกะตั้งขึ้นมาเป็นกระทู้นี้
:b38:


แล้วคนที่นั่งได้เป็นชั่วโมง ๆ อย่างอโศกะ
ทำให้จิตไม่ก้าวล่วงเข้าสู่วิถีอีกเลยได้มั๊ยล่ะ

...

:b1:

ถ้ายังไม่พบหนทางที่จะทำได้

เอกอนก็ไม่เห็นความจำเป็นว่าจะต้องไปพยายามทำนั่งให้เฉยเป็นชั่วโมงเพื่อค้นหาสิ่งที่อโศกะหมายถึง...

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2016, 20:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
asoka เขียน:
onion
คุณเอก้อนเคยลองนั่งให้มันเฉยได้เป็นชั่วโมงๆหรือยังล่ะครับ ถ้ายังก็ขอให้ทดลองพิสูจน์ดูก่อนแล้วจะเข้าใจลึกซึ้งในเรื่องที่อโศกะตั้งขึ้นมาเป็นกระทู้นี้
:b38:


แล้วคนที่นั่งได้เป็นชั่วโมง ๆ อย่างอโศกะ
ทำให้จิตไม่ก้าวล่วงเข้าสู่วิถีอีกเลยได้มั๊ยล่ะ

...

:b1:

ถ้ายังไม่พบหนทางที่จะทำได้

เอกอนก็ไม่เห็นความจำเป็นว่าจะต้องไปพยายามทำนั่งให้เฉยเป็นชั่วโมงเพื่อค้นหาสิ่งที่อโศกะหมายถึง...

:b1:

s006
อ้าว!......

นี่แสดงว่าคุณเอก้อนยังไม่เข้าใจเลยว่า การพยายามนั่งให้เฉยนั้น เป็นอีกชื่อหนึ่งของสติปัฏฐาน 4 ดังที่ผมได้สาธยายขยายความมาให้ฟังทั้งหมดตั้งแต่ต้น
คุณเอก้อนลองกลับไปสังเกต พิจารณา วิเคราะห์ ไต่ตรองดูความหมายของสติปัฏฐาน 4 ท่อนรวมที่เหมือนกันหมดทั้ง 4 ฐานที่ว่า

"วิเนยยะ โลเกอภิชฌา โทมนัสสัง"

"เอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลก"


ถ้าเอายินดียินร้ายออกได้แล้วมันจะเหลืออะไรก่อนและลึกลงไปตามลำดับจนไม่มีอะไรเหลือ
onion
ส่วนเรื่อง ทำให้จิตไม่ก้าวล่วงเข้าสู่วิถีอีกเลย นั้นมันเป็นเรื่องปัจจัตตังดังที่เคยถกกันมานานแล้ว

การจะไม่ก้าวล่วงเข้าสู่วิถีอีกเลยนั้นมันใช่เกิดขึ้นได้ปุ๊ปปั๊ปทันทีทั้งหมด มันต้องค่อยๆเป็นไปตามลำดับขั้น ตามผลการปฏิบัติอย่างสมำเสมอต่อเนื่อง อโศกะอาจกำลังเสวยผลเบื้องต้นอะไรอยู่สัก 20 - 25 % แล้วค่อยๆเพิ่มมากขึ้นๆไปตามลำดับ พูดอย่างนี้แล้วใครจะเชื่อ มีแต่จะทำให้คนที่ขี้สงสัยทั้งหลายอิจฉากระแนะกระแหน เพราะมีใครล่ะที่จะมาเป็นผู้พิสูจน์ตัดสินชี้ชัดและพยากรณ์ได้อย่างพระพุทธเจ้าในสมัยพุทธกาล

การจะมาดูเพียงคำพูด ข้อเขียน ความคิดเห็นหรือบุคคลิกลักษณะที่ได้ประสบพบเห็นกันแล้วจะมาวินิจฉัยตัดสินเอาตามใจตามกำลังสติปัญญาของแต่ละคน ซึ่งมากคนอาจจะยังมีอัตตามานะอยู่เต็มๆมันจะวินิจฉัยได้ถูกต้องหรือครับ มันมีโอกาสพลาดได้เยอะเลยเชียว

ดูกันไปนานๆ ศึกษากันไปนานๆ มันจะค่อยๆชัดเจนเด่นขึ้นมาเองว่าใครเป็นอย่างไร ถ้าตนเองยังไม่บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์เสียเองก็ยังคงไม่ควรวินิจฉัยตัดสินใครว่าเป็นอะไร ถึงที่ไหนอย่างไรนะครับ


"ทองแท้ย่อมไม่กลัวการพิสูจน์"
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2016, 20:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
s006
อ้าว!......

นี่แสดงว่าคุณเอก้อนยังไม่เข้าใจเลยว่า การพยายามนั่งให้เฉยนั้น เป็นอีกชื่อหนึ่งของสติปัฏฐาน 4 ดังที่ผมได้สาธยายขยายความมาให้ฟังทั้งหมดตั้งแต่ต้น
คุณเอก้อนลองกลับไปสังเกต พิจารณา วิเคราะห์ ไต่ตรองดูความหมายของสติปัฏฐาน 4 ท่อนรวมที่เหมือนกันหมดทั้ง 4 ฐานที่ว่า

"วิเนยยะ โลเกอภิชฌา โทมนัสสัง"

"เอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลก"


ถ้าเอายินดียินร้ายออกได้แล้วมันจะเหลืออะไรก่อนและลึกลงไปตามลำดับจนไม่มีอะไรเหลือ
onion



ไม่เคยได้ยินใครประกาศอะไรทำนองนั้นนะ

:b1:

นั่งเฉย ๆ ... เป็นจิตตานุปัสสนา เป็น ธรรมานุปัสสนายังไง ...

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2016, 20:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
ส่วนเรื่อง ทำให้จิตไม่ก้าวล่วงเข้าสู่วิถีอีกเลย นั้นมันเป็นเรื่องปัจจัตตังดังที่เคยถกกันมานานแล้ว

การจะไม่ก้าวล่วงเข้าสู่วิถีอีกเลยนั้นมันใช่เกิดขึ้นได้ปุ๊ปปั๊ปทันทีทั้งหมด มันต้องค่อยๆเป็นไปตามลำดับขั้น ตามผลการปฏิบัติอย่างสมำเสมอต่อเนื่อง อโศกะอาจกำลังเสวยผลเบื้องต้นอะไรอยู่สัก 20 - 25 % แล้วค่อยๆเพิ่มมากขึ้นๆไปตามลำดับ พูดอย่างนี้แล้วใครจะเชื่อ มีแต่จะทำให้คนที่ขี้สงสัยทั้งหลายอิจฉากระแนะกระแหน เพราะมีใครล่ะที่จะมาเป็นผู้พิสูจน์ตัดสินชี้ชัดและพยากรณ์ได้อย่างพระพุทธเจ้าในสมัยพุทธกาล

การจะมาดูเพียงคำพูด ข้อเขียน ความคิดเห็นหรือบุคคลิกลักษณะที่ได้ประสบพบเห็นกันแล้วจะมาวินิจฉัยตัดสินเอาตามใจตามกำลังสติปัญญาของแต่ละคน ซึ่งมากคนอาจจะยังมีอัตตามานะอยู่เต็มๆมันจะวินิจฉัยได้ถูกต้องหรือครับ มันมีโอกาสพลาดได้เยอะเลยเชียว

ดูกันไปนานๆ ศึกษากันไปนานๆ มันจะค่อยๆชัดเจนเด่นขึ้นมาเองว่าใครเป็นอย่างไร ถ้าตนเองยังไม่บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์เสียเองก็ยังคงไม่ควรวินิจฉัยตัดสินใครว่าเป็นอะไร ถึงที่ไหนอย่างไรนะครับ


"ทองแท้ย่อมไม่กลัวการพิสูจน์"
onion


ก็ถ้าอโศกะถ่อมตัวเองว่าตนนั้นแค่ 20 - 25 %
ดังนั้น การนำเสนอโชว์ธรรมอะไร ก็ถ่อม ๆ ลงมาหน่อยจะดีมั๊ย

เพราะ ยังไงอโศกะก็รู้อยู่แล้วนี้ว่า โอกาสที่ตนจะพลาดก็ยังตั้ง 75 - 80 % น่ะ

:b1:

ส่วนเรื่องการกระแนะกระแหน๋ในการสนทนา ...

ก็...ยอมเขาได้มั๊ยล่ะ
ถ้ายอมได้ ก็ยอม
ถ้ายังยอมกันไม่ได้ ก็...เออ...ก็ว่ากันไปตามเรื่องตามราว

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2016, 20:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:

แต่หากอโสกะคิดว่า...มันคนละเรื่อง...
ผมว่า..อโสกะ..ตลกมากเลย..
ที..คุณstudent พูดคำว่าอนัตตา...อโสกะว่าตรงใจ
พอผมว่า..วิปัสสนาญาณ9 อโสกะว่า..ไม่ตรงประเด็น..
555...


แสดงว่าอโสกะ..ไม่รู้เรื่องอะไรเลย...ไม่เคยผ่านความรู้สึกอะไรเลย...
จะนิ่งเฉย..เป็นหัวตอ...อีกนานมั้ยท่าน


:b13: :b13: :b13:

ยังไม่หายตลก....เรย..

อโสกะ...ยังไม่เห็น..อีกรึคับ?


asoka เขียน:
s004
วิปัสสนาญาณ 9 ที่กบเอามาแทรกนั้นนะ มันชี้ให้เห็นทางสายกลางตรงไหน อธิบายและแจกแจงให้ฟังหน่อยสิ แสดงภูมิรู้ของกบมาให้ฟังหน่อยสิ อย่าไปลอกใครมาแปะอีกล่ะมันน่าเบื่อมากกว่า แล้วมาย้ำเรื่องหัวหลักหัวตออะไรก็ไม่รู้ ถ้ายังเป็นอย่างนี้คงคุยกับกบไม่ค่อยจะรู้เรื่องกันแล้ว พักคุยกันไปอีกสักระยะหนึ่งท่าจะดีนะครับ
:b7:


ความเก่า..ยังไม่ทำความเข้าใจ..นี้จะเอาความใหม่มาขายตน..ซะแล้วหรือ?

ความเก่า..ที่ตลก...เพราะอโสกะ...ไม่เข้าใจว่าอนัตตา..ก็เป็นหนึ่งในญาณ 9 เพียงแต่ชื่อเขาไม่ได้เขียนเหมือนกันเท่านั้น...แต่เหมือนกันโดยธรรม..ครับ..

ตลก...ความใหม่
วิปัสสนาญาณ 9 ที่กบเอามาแทรกนั้นนะ มันชี้ให้เห็นทางสายกลางตรงไหน

วิปัสสนาญาณ 9 เป็นอาการ...เป็นผล...เรียงลำดับจากต้นไปหาปลาย...ที่แสดงว่า...สิ่งคุณปฏิบัติมานั้น...ทำถูกทางแล้ว..จ่อประตูที่จะข้ามไปอีกฝั่งหนึ่งแล้ว...พวกที่ใช้การโยนิโสจะปรากฏชัด

อโสกะไม่เคยมีอาการอย่างในญาณ 9 บ้างหรอกหรือ? :b10: :b10:

นี้ก็เป็นสัญญาณอย่างหนึ่ง..ว่า..นิ่ง..สังเกตของอโสกะ...เป็น..นิ่งแบบตอไม้


(ไม่ได้ดูที่บุคคลิก..นะเนี้ย..55)

ตอบของเอกอน..ไปนะ

ของผม...ไม่ต้อง...แต่ให้เก็บไปคิดเงียบ ๆ คนเดียวนะ..อิอิ :b13:


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 04 ก.พ. 2016, 21:04, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2016, 21:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

ถ้าเอายินดียินร้ายออกได้แล้วมันจะเหลืออะไรก่อนและลึกลงไปตามลำดับจนไม่มีอะไรเหลือ
onion


:b6: ...

ถ้าไปจนถึงไม่เหลืออะไรให้รู้

เมื่อกลับมารู้ ก็จะรู้ทันทีว่า ปัจจัยที่ทำให้รู้ คือ อะไร... :b41: :b41: ...น่ะสิ่

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2016, 21:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




กระบวนการทำงานของมรรค 8_100.1 Kb (2).jpg
กระบวนการทำงานของมรรค 8_100.1 Kb (2).jpg [ 69.17 KiB | เปิดดู 1427 ครั้ง ]
กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:

แต่หากอโสกะคิดว่า...มันคนละเรื่อง...
ผมว่า..อโสกะ..ตลกมากเลย..
ที..คุณstudent พูดคำว่าอนัตตา...อโสกะว่าตรงใจ
พอผมว่า..วิปัสสนาญาณ9 อโสกะว่า..ไม่ตรงประเด็น..
555...


แสดงว่าอโสกะ..ไม่รู้เรื่องอะไรเลย...ไม่เคยผ่านความรู้สึกอะไรเลย...
จะนิ่งเฉย..เป็นหัวตอ...อีกนานมั้ยท่าน


:b13: :b13: :b13:

ยังไม่หายตลก....เรย..

อโสกะ...ยังไม่เห็น..อีกรึคับ?


asoka เขียน:
s004
วิปัสสนาญาณ 9 ที่กบเอามาแทรกนั้นนะ มันชี้ให้เห็นทางสายกลางตรงไหน อธิบายและแจกแจงให้ฟังหน่อยสิ แสดงภูมิรู้ของกบมาให้ฟังหน่อยสิ อย่าไปลอกใครมาแปะอีกล่ะมันน่าเบื่อมากกว่า แล้วมาย้ำเรื่องหัวหลักหัวตออะไรก็ไม่รู้ ถ้ายังเป็นอย่างนี้คงคุยกับกบไม่ค่อยจะรู้เรื่องกันแล้ว พักคุยกันไปอีกสักระยะหนึ่งท่าจะดีนะครับ
:b7:


ความเก่า..ยังไม่ทำความเข้าใจ..นี้จะเอาความใหม่มาขายตน..ซะแล้วหรือ?

ความเก่า..ที่ตลก...เพราะอโสกะ...ไม่เข้าใจว่าอนัตตา..ก็เป็นหนึ่งในญาณ 9 เพียงแต่ชื่อเขาไม่ได้เขียนเหมือนกันเท่านั้น...แต่เหมือนกันโดยธรรม..ครับ..

ตลก...ความใหม่
วิปัสสนาญาณ 9 ที่กบเอามาแทรกนั้นนะ มันชี้ให้เห็นทางสายกลางตรงไหน

วิปัสสนาญาณ 9 เป็นอาการ...เป็นผล...เรียงลำดับจากต้นไปหาปลาย...ที่แสดงว่า...สิ่งคุณปฏิบัติมานั้น...ทำถูกทางแล้ว..จ่อประตูที่จะข้ามไปอีกฝั่งหนึ่งแล้ว...พวกที่ใช้การโยนิโสจะปรากฏชัด

อโสกะไม่เคยมีอาการอย่างในญาณ 9 บ้างหรอกหรือ? :b10: :b10:

นี้ก็เป็นสัญญาณอย่างหนึ่ง..ว่า..นิ่ง..สังเกตของอโสกะ...เป็น..นิ่งแบบตอไม้


ตอบของเอกอน..ไปนะ

ของผม...ไม่ต้อง...แต่ให้เก็บไปคิดเงียบ ๆ คนเดียวนะ..อิอิ :b13:

:b34:
ผมถามว่ามันชี้กลางตรงไหน?

อธิบายไดไหมครับ

อาการอย่างในญาณ 9 นั้นมันยังอธิบายแยกย่อยได้ไม่มากเท่าญาณ 16 ซึ่งผมก็เคยสัมผัสสภาวะมาบ้างแล้วจึงเข้าใจ พูด และอธิบายให้ฟังได้ ดูรูปทีแปะให้ข้างบนนะครับ นี่เอามาประยุกต์เขียนให้เข้ากับมรรค 8 ซึ่งกบจะตีความหมายออกและรู้เรื่องไหมเนี้ยะ
:b11:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2016, 21:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
asoka เขียน:

ถ้าเอายินดียินร้ายออกได้แล้วมันจะเหลืออะไรก่อนและลึกลงไปตามลำดับจนไม่มีอะไรเหลือ
onion


:b6: ...

ถ้าไปจนถึงไม่เหลืออะไรให้รู้

เมื่อกลับมารู้ ก็จะรู้ทันทีว่า ปัจจัยที่ทำให้รู้ คือ อะไร... :b41: :b41: ...น่ะสิ่

:b1:

:b27:
ที่คุณเอก้อนสรุปและถามมานี่แหละคือ ปัจเวกขณะญาณ มันเป็นญาณสูงสุดของการเกิดธรรมหรือบรรลุธรรมโดยสมบูรณ์
onion
เคยชิมกันมาบ้างหรือยังล่ะครับ คุณเอก้อน คุณกบ และทุกๆท่านทีติดตามอ่านกระทู้

ถ้ายังไม่เคย ต้องเคยให้ไดเสียนะครับชาตินี้ จึงจะไม่เสียทีที่ได้โอกาสมาเกิดเป็นคน

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2016, 21:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อย่า..ตลก..ซ้ำซากเลยคับ..เวียนหัว.. :b23: :b23: :b23:

asoka เขียน:

วิปัสสนาญาณ 9 ที่กบเอามาแทรกนั้นนะ มันชี้ให้เห็นทางสายกลางตรงไหน อธิบายและแจกแจงให้ฟังหน่อยสิ แสดงภูมิรู้ของกบมาให้ฟังหน่อยสิ อย่าไปลอกใครมาแปะอีกล่ะมันน่าเบื่อมากกว่า แล้วมาย้ำเรื่องหัวหลักหัวตออะไรก็ไม่รู้ ถ้ายังเป็นอย่างนี้คงคุยกับกบไม่ค่อยจะรู้เรื่องกันแล้ว พักคุยกันไปอีกสักระยะหนึ่งท่าจะดีนะครับ
:b7:



asoka เขียน:

อาการอย่างในญาณ 9 นั้นมันยังอธิบายแยกย่อยได้ไม่มากเท่าญาณ 16 ซึ่งผมก็เคยสัมผัสสภาวะมาบ้างแล้วจึงเข้าใจ พูด และอธิบายให้ฟังได้ ดูรูปทีแปะให้ข้างบนนะครับ นี่เอามาประยุกต์เขียนให้เข้ากับมรรค 8 ซึ่งกบจะตีความหมายออกและรู้เรื่องไหมเนี้ยะ
:b11:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2016, 21:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
อย่า..ตลก..ซ้ำซากเลยคับ..เวียนหัว.. :b23: :b23: :b23:

asoka เขียน:

วิปัสสนาญาณ 9 ที่กบเอามาแทรกนั้นนะ มันชี้ให้เห็นทางสายกลางตรงไหน อธิบายและแจกแจงให้ฟังหน่อยสิ แสดงภูมิรู้ของกบมาให้ฟังหน่อยสิ อย่าไปลอกใครมาแปะอีกล่ะมันน่าเบื่อมากกว่า แล้วมาย้ำเรื่องหัวหลักหัวตออะไรก็ไม่รู้ ถ้ายังเป็นอย่างนี้คงคุยกับกบไม่ค่อยจะรู้เรื่องกันแล้ว พักคุยกันไปอีกสักระยะหนึ่งท่าจะดีนะครับ
:b7:



asoka เขียน:

อาการอย่างในญาณ 9 นั้นมันยังอธิบายแยกย่อยได้ไม่มากเท่าญาณ 16 ซึ่งผมก็เคยสัมผัสสภาวะมาบ้างแล้วจึงเข้าใจ พูด และอธิบายให้ฟังได้ ดูรูปทีแปะให้ข้างบนนะครับ นี่เอามาประยุกต์เขียนให้เข้ากับมรรค 8 ซึ่งกบจะตีความหมายออกและรู้เรื่องไหมเนี้ยะ
:b11:

:b7:
คนเห็นธรรมระดับญาณ 9 ญาณ 16 เป็นเรื่องตลกและบอกชี้ไม่ได้ว่ามันเป็นการเดินทางสายกลางตรงไหนนี่ ผมว่า ท่าจะเพี้ยนแล้วนะครับ กบ
:b3:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2016, 22:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b27:
ที่คุณเอก้อนสรุปและถามมานี่แหละคือ ปัจเวกขณะญาณ มันเป็นญาณสูงสุดของการเกิดธรรมหรือบรรลุธรรมโดยสมบูรณ์
onion
เคยชิมกันมาบ้างหรือยังล่ะครับ คุณเอก้อน คุณกบ และทุกๆท่านทีติดตามอ่านกระทู้

ถ้ายังไม่เคย ต้องเคยให้ไดเสียนะครับชาตินี้ จึงจะไม่เสียทีที่ได้โอกาสมาเกิดเป็นคน

:b8:


อโศกะก็เป็นคนที่ตั้งคำถามได้แปลกดีเน๊อะ
ใช้คำพูดได้วกวนจนเอกอนคิดว่าเอกอนไม่ได้เป็นคนตอบมันออกมาเอง... :b6: :b32:

:b1:

มันเป็นสภาวะธรรมดา ธรรมดานะ ไม่ใช่ของสูงอะไร
ไม่เชื่อไปถามคนที่เขาเคยสิ่ ...
ไปถามคนที่เขาเคยน่ะ เขาจะตอบได้ว่ามันเป็นสภาวะธรรม ธรรมดา ๆ นี่ล่ะ

... :b13: :b13: :b13: ...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2016, 06:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
asoka เขียน:
:b27:
ที่คุณเอก้อนสรุปและถามมานี่แหละคือ ปัจเวกขณะญาณ มันเป็นญาณสูงสุดของการเกิดธรรมหรือบรรลุธรรมโดยสมบูรณ์
onion
เคยชิมกันมาบ้างหรือยังล่ะครับ คุณเอก้อน คุณกบ และทุกๆท่านทีติดตามอ่านกระทู้

ถ้ายังไม่เคย ต้องเคยให้ไดเสียนะครับชาตินี้ จึงจะไม่เสียทีที่ได้โอกาสมาเกิดเป็นคน

:b8:


อโศกะก็เป็นคนที่ตั้งคำถามได้แปลกดีเน๊อะ
ใช้คำพูดได้วกวนจนเอกอนคิดว่าเอกอนไม่ได้เป็นคนตอบมันออกมาเอง... :b6: :b32:

:b1:

มันเป็นสภาวะธรรมดา ธรรมดานะ ไม่ใช่ของสูงอะไร
ไม่เชื่อไปถามคนที่เขาเคยสิ่ ...
ไปถามคนที่เขาเคยน่ะ เขาจะตอบได้ว่ามันเป็นสภาวะธรรม ธรรมดา ๆ นี่ล่ะ

... :b13: :b13: :b13: ...

:b12: :b12:
คนไม่เคยได้รับผลจึงไม่เห็นคุณค่าของธรรม ประมาทว่าธรรมนั้นต่ำต้อยน้อยค่า
:b7:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2016, 07:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
eragon_joe เขียน:
asoka เขียน:
:b27:
ที่คุณเอก้อนสรุปและถามมานี่แหละคือ ปัจเวกขณะญาณ มันเป็นญาณสูงสุดของการเกิดธรรมหรือบรรลุธรรมโดยสมบูรณ์
onion
เคยชิมกันมาบ้างหรือยังล่ะครับ คุณเอก้อน คุณกบ และทุกๆท่านทีติดตามอ่านกระทู้

ถ้ายังไม่เคย ต้องเคยให้ไดเสียนะครับชาตินี้ จึงจะไม่เสียทีที่ได้โอกาสมาเกิดเป็นคน

:b8:


อโศกะก็เป็นคนที่ตั้งคำถามได้แปลกดีเน๊อะ
ใช้คำพูดได้วกวนจนเอกอนคิดว่าเอกอนไม่ได้เป็นคนตอบมันออกมาเอง... :b6: :b32:

:b1:

มันเป็นสภาวะธรรมดา ธรรมดานะ ไม่ใช่ของสูงอะไร
ไม่เชื่อไปถามคนที่เขาเคยสิ่ ...
ไปถามคนที่เขาเคยน่ะ เขาจะตอบได้ว่ามันเป็นสภาวะธรรม ธรรมดา ๆ นี่ล่ะ

... :b13: :b13: :b13: ...

:b12: :b12:
คนไม่เคยได้รับผลจึงไม่เห็นคุณค่าของธรรม ประมาทว่าธรรมนั้นต่ำต้อยน้อยค่า
:b7:


เปล่า...มันก็แค่ไม่ได้อาลัยอาวรณ์ในสิ่งเหล่านั้น( ในอารมณ์เหล่านั้น)...

ซึ่งคนที่ได้ผ่านอารมณ์ธรรมเหล่านั้นมาแล้ว
และยังมัวมานั่งอาลัยในอารมณ์เดิม ๆ มีด้วยหรือ

มันเป็นธรรม...ธรรมดา
มันเป็นธรรมดาของธรรมที่มีปรากฏเกิดและมีปรากฏดับ
ถ้าไม่หลงในสิ่งที่ปรากฏว่าวิเศษก็จะเห็นเป็นธรรมดา

วางจิตให้เป็นกลางต่ออารมณ์...ได้มั๊ยล่ะ

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2016, 16:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


นี่เป็นลำดับลักษณะแห่ง ปัจจเวกขณญาณ

:b1: ...บรรยายได้อย่างเป็นลำดับและงาม...ชัดเจน...ตรงประเด็น...ครอบคลุม

Quote Tipitaka:
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๓
ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค


[๑๕๓] อุปกิเลสแห่งจิตของตน คือ กามราคสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์
กามราคานุสัย ปฏิฆานุสัย ส่วนหยาบๆ เป็นกิเลสอันสกทาคามิมรรคตัดขาด
ดีแล้ว จิตที่หลุดพ้นจากอุปกิเลส ๔ ประการนี้ พร้อมด้วยปริยุฏฐานกิเลส เป็น
อันพ้นแล้วด้วยดี ชื่อว่าญาณ เพราะอรรถว่ารู้วิมุตตินั้น ชื่อว่าปัญญา เพราะอรรถ
ว่ารู้ชัด เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาในการพิจารณาเห็นอุปกิเลสนั้นๆ
อันอริยมรรคนั้นๆ ตัดเสียแล้ว เป็นวิมุติญาณ ฯ

[๑๕๔] อุปกิเลสแห่งจิตของตน คือ กามราคสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์
กามราคานุสัย ปฏิฆานุสัย ส่วนละเอียดๆ เป็นกิเลสอันอนาคามิมรรคตัดขาด
ดีแล้ว จิตที่หลุดพ้นจากอุปกิเลส ๔ ประการนี้ พร้อมด้วยปริยุฏฐานกิเลส
เป็นอันพ้นแล้วด้วยดี ชื่อว่าญาณ เพราะอรรถว่ารู้วิมุตตินั้น ชื่อว่าปัญญา เพราะ
อรรถว่ารู้ชัด เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาในการพิจารณาเห็นอุปกิเลส
นั้นๆ อันอริยมรรคนั้นๆ ตัดเสียแล้ว เป็นวิมุติญาณ ฯ

[๑๕๕] อุปกิเลสแห่งจิตของตน คือ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ
อุทธัจจะ อวิชชา มานานุสัย ภวราคานุสัย อวิชชานุสัยเป็นกิเลสอันอรหัตมรรค
ตัดขาดดีแล้ว จิตที่หลุดพ้นจากอุปกิเลส ๘ ประการนี้ พร้อมด้วยปริยุฏฐานกิเลส
เป็นอันพ้นแล้วด้วยดี ชื่อว่าญาณ เพราะอรรถว่ารู้วิมุตตินั้น ชื่อว่าปัญญา เพราะ
อรรถว่าผู้ชัด เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาในการพิจารณาเห็นอุปกิเลสนั้นๆ
อันอริยมรรคนั้นๆ ตัดเสียแล้ว เป็นวิมุติญาณ ฯ

[๑๕๖] ปัญญาในการพิจารณาเห็นธรรมที่เข้ามาประชุมในขณะนั้น
เป็นปัจจเวกขณญาณอย่างไร ฯ

ในขณะแห่งโสดาปัตติมรรค ญาณชื่อว่าสัมมาทิฐิ เพราะอรรถว่าเห็น
ชื่อว่าสัมมาสังกัปปะ เพราะอรรถว่าดำริออก ชื่อว่าสัมมาวาจา เพราะอรรถว่า
กำหนดเอา ชื่อว่าสัมมากัมมันตะ เพราะอรรถว่าเป็นสมุฏฐาน ชื่อว่าสัมมาอาชีวะ
เพราะอรรถว่าขาวผ่อง ชื่อว่าสัมมาวายามะ เพราะอรรถว่าประคองไว้ ชื่อว่า
สัมมาสติ เพราะอรรถว่าตั้งมั่น ชื่อว่าสัมมาสมาธิ เพราะอรรถว่าไม่ฟุ้งซ่าน
ชื่อว่าสติสัมโพชฌงค์ เพราะอรรถว่าตั้งมั่น ชื่อว่าธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ เพราะ
อรรถว่าเลือกเฟ้น ชื่อว่าวิริยสัมโพชฌงค์ เพราะอรรถว่าประคองไว้ ชื่อว่าปีติ-
*สัมโพชฌงค์ เพราะอรรถว่าแผ่ซ่านไป ชื่อว่าปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ เพราะอรรถว่า
สงบระงับ ชื่อว่าสมาธิสัมโพชฌงค์ เพราะอรรถว่าไม่ฟุ้งซ่าน ชื่อว่าอุเบกขา-
*สัมโพชฌงค์ เพราะอรรถว่าพิจารณาหาทาง ชื่อว่าสัทธาพละ เพราะอรรถว่าไม่
หวั่นไหวเพราะความไม่มีศรัทธา ชื่อว่าวิริยพละ เพราะอรรถว่าไม่หวั่นไหวเพราะ
ความเกียจคร้าน ชื่อว่าสติพละ เพราะอรรถว่าไม่หวั่นไหวเพราะความประมาท
ชื่อว่าสมาธิพละ เพราะอรรถว่าไม่หวั่นไหวเพราะความฟุ้งซ่าน ชื่อว่าปัญญาพละ
เพราะอรรถว่าไม่หวั่นไหวเพราะอวิชชา ชื่อว่าสัทธินทรีย์ เพราะอรรถว่าน้อมใจเชื่อ
ชื่อว่าวิริยินทรีย์ เพราะอรรถว่าประคองไว้ ชื่อว่าสตินทรีย์ เพราะอรรถว่าตั้งมั่น
ชื่อว่าสมาธินทรีย์ เพราะอรรถว่าไม่ฟุ้งซ่าน ชื่อว่าปัญญินทรีย์ เพราะอรรถว่าเห็น
ชื่อว่าอินทรีย์ เพราะอรรถว่าเป็นใหญ่ ชื่อว่าพละ เพราะอรรถว่าไม่หวั่นไหว
ชื่อว่าสัมโพชฌงค์ เพราะอรรถว่านำออก ชื่อว่ามรรค เพราะอรรถว่าเป็นเหตุ
ชื่อว่าสติปัฏฐาน เพราะอรรถว่าตั้งมั่น ชื่อว่าสัมมัปปธาน เพราะอรรถว่าตั้งไว้
ชื่อว่าอิทธิบาท เพราะอรรถว่าสำเร็จ ชื่อว่าสัจจะ เพราะอรรถว่าจริงแท้ ชื่อว่า
สมถะ เพราะอรรถว่าไม่ฟุ้งซ่าน ชื่อว่าวิปัสสนา เพราะอรรถว่าพิจารณาเห็น
ชื่อว่าสมถวิปัสสนา เพราะอรรถว่ามีกิจอย่างเดียวกัน ชื่อว่าเป็นคู่ เพราะอรรถว่า
ไม่ล่วงเกินกัน ชื่อว่าสีลวิสุทธิ เพราะอรรถว่าสำรวม ชื่อว่าจิตตวิสุทธิ เพราะ
อรรถว่าไม่ฟุ้งซ่าน ชื่อว่าทิฐิวิสุทธิ เพราะอรรถว่าเห็น ชื่อว่าวิโมกข์เพราะอรรถ
ว่าหลุดพ้น ชื่อว่าวิชชา เพราะอรรถว่าแทงตลอด ชื่อว่าวิมุติ เพราะอรรถว่าปล่อย
ชื่อว่าขยญาณ เพราะอรรถว่าตัดขาด ชื่อว่าฉันทะ เพราะอรรถว่าเป็นมูล ชื่อว่า
มนสิการ เพราะอรรถว่าเป็นสมุฏฐาน ชื่อว่าผัสสะ เพราะอรรถว่าเป็นที่รวม
ชื่อว่าเวทนา เพราะอรรถว่าเป็นที่ประชุม ชื่อว่าสมาธิ เพราะอรรถว่าเป็นประธาน
ชื่อว่าสติ เพราะอรรถว่าเป็นใหญ่ ชื่อว่าปัญญา เพราะอรรถว่ายิ่งกว่าธรรมนั้นๆ
ชื่อว่าวิมุติ เพราะอรรถว่าเป็นแก่นสาร ชื่อว่านิพพานอันหยั่งลงในอมตะ เพราะ
อรรถว่าเป็นที่สุด (ธรรมเหล่านี้) เข้ามาประชุมกันในขณะนั้น พระโยคาวจร
ออกจากสมาบัติแล้ว ย่อมพิจารณาเห็นว่าธรรมเหล่านี้เข้ามาประชุมกันในขณะนั้น ฯ

[๑๕๗] ในขณะแห่งโสดาปัตติผล ญาณชื่อว่าสัมมาทิฐิ เพราะอรรถ
ว่าเห็น ชื่อว่าสัมมาสังกัปปะ เพราะอรรถว่าดำริออก ฯลฯ ชื่อว่าอนุปปาทญาณ
(ญาณในความไม่เกิดขึ้น) เพราะอรรถว่าระงับ ชื่อว่าฉันทะ เพราะอรรถว่าเป็นมูล
ชื่อว่ามนสิการ เพราะอรรถว่าเป็นสมุฏฐาน ... ชื่อว่าวิมุติ เพราะอรรถว่าเป็น
แก่นสาร ชื่อว่านิพพานอันหยั่งลงในอมตะ เพราะอรรถว่าเป็นที่สุด (ธรรมเหล่านี้)
เข้ามาประชุมกันในขณะนั้น พระโยคาวจรออกจากสมาบัติแล้ว ย่อมพิจารณา
เห็นว่า ธรรมเหล่านี้เข้ามาประชุมกันในขณะนั้น ฯ

[๑๕๘] ในขณะแห่งสกทาคามิมรรค ฯลฯ ในขณะแห่งสกทาคามิผล
ฯลฯ ในขณะแห่งอนาคามิมรรค ฯลฯ ในขณะแห่งอนาคามิผล ฯลฯ ในขณะ
แห่งอรหัตมรรค ญาณชื่อว่าสัมมาทิฐิเพราะอรรถว่าเห็น ฯลฯ ชื่อว่าขยญาณ
เพราะอรรถว่าตัดขาด ชื่อว่าฉันทะ เพราะอรรถว่าเป็นมูล ฯลฯ ชื่อว่านิพพาน
อันหยั่งลงในอมตะ เพราะอรรถว่าเป็นที่สุด (ธรรมเหล่านี้) เข้ามาประชุมกัน
ในขณะนั้น พระโยคาวจรออกจากสมาบัติแล้ว ย่อมพิจารณาเห็นว่า ธรรมเหล่านี้
เข้ามาประชุมกันในขณะนั้น ฯ

[๑๕๙] ในขณะแห่งอรหัตผล ญาณชื่อว่าสัมมาทิฐิ เพราะอรรถว่าเห็น
ฯลฯ ชื่อว่าอนุปปาทญาณ เพราะอรรถว่าระงับ ชื่อว่าฉันทะ เพราะอรรถว่าเป็น
มูล ฯลฯ ชื่อว่านิพพานอันหยั่งลงในอมตะ เพราะอรรถว่าเป็นที่สุด (ธรรมเหล่า
นี้) เข้ามาประชุมกันในขณะนั้น พระโยคาวจรออกจากสมาบัติแล้ว ย่อมพิจารณา
เห็นว่า ธรรมเหล่านี้เข้ามาประชุมกันในขณะนั้น ฯ

ชื่อว่าญาณ เพราะอรรถว่ารู้ธรรมนั้น ชื่อว่าปัญญา เพราะอรรถว่ารู้ชัด
เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาในการพิจารณาเห็นธรรมที่มาประชุมกันใน
ขณะนั้น เป็นปัจจเวกขณญาณ ฯ


คือถ้า ปัจจเวกขณญาณ เป็นมาโดยลำดับข้างต้น

ปัญญาอันรู้ชัด ... ย่อมรู้ชัดในธรรมที่ปรากฎ

ซึ่งการปฏิบัติธรรม มันต่างจากเวทีประกวดนางสาวไทย
ที่ว่าผู้ประกวดจะต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ตำแหน่ง
เมื่อได้แหน่งก็ลิงโลดเอร็ดอร่อยกับอารมณ์ของการเป็นผู้ชนะที่ไปถึงเป้าหมายระดับนั้นระดับนี้
เพราะมันเป็นการก้าวไปสู่ตัวตนทางโลกที่...ชาวโลกยกย่อง

ส่วนการก้าวไปสู่สัจจะธรรม
การเข้าถึงอารมณ์บางอย่างทางธรรม มันสวนทางกันกับทัศนะแบบโลก ๆ
เพราะ กิเลสที่อารมณ์ทางโลกมี แต่ทางธรรมกิเลศเหล่านั้นที่เคยมีมันได้ค่อย ๆ เบาบางลง
คือ...เมื่อท่านจะเข้าถึงอารมณ์อัน สงบ สันติ ระงับ อิ่มเอิบ
แต่...ทว่าธรรมที่ส่งท่านมาเป็นการค่อย ๆ สลัดกิเลสฯ ทิฐิมานะ ฯลฯ ต่าง ๆ ลงไป
ดังนั้น แม้จะเป็นธรรมอันเลิศ ท่านก็จะรับรู้อารมณ์อยู่
แต่ท่านก็ไม่มีตัวตนที่จะเข้าไปหมายได้ยินดีปรีดา ลิงโลดใจอะไรไปกับธรรมมากนัก

คนเรามักคุ้นเคยว่า เมื่อผู้ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติได้ตามเป้าแต่ละเป้า
จิตจะต้องมีอาการลิงโลดเหมือนอย่างประกวดนางสาวไทย ...

ซึ่งจิตของผู้ที่เข้าสู่วิถีสลัดคืนสู่สามัญ เมื่อเข้าถึงสภาวะ ไอ้ตัวที่เคยลิงโลด
มันได้ค่อย ๆ ตายลงไป จะเอาอะไรมาหมายมั่น
ธรรมอันประเสริฐ ก็คือ ธรรมอันเป็นสามัญ

...

ดังนั้น อารมณ์ธรรมบางอย่างที่ผู้หนึ่งมองว่าสูง
แต่อีกผู้หนึ่งจะมองว่าเป็น ธรรมดา ... ก็เป็นเรื่องธรรมดา

...

:b13:

คือ มันเป็นการก้าวไปถึงเป้าหมายเหมือนกัน
แต่ความสำเร็จหนึ่ง มีตัวตนรองรับ
แต่อีกความสำเร็จหนึ่ง ตัวตนที่มารองรับค่อย ๆ เบาบางลง

...

:b1: :b1: :b1:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 178 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 ... 12  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร