วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 06:57  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 144 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2018, 15:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
คำพูด...สำคัญนะครับ ..เพื่อนๆสมาชิกทั้งหลาย...

แม้คำพูด...แม้ไม่ผิดศีล 5...แต่จะให้ดี...ให้อยู่ในกรรมบถ 10 กันพลาด...โดยเฉพาะ...การพูดกับคนศึกษาปฏิบัติธรรม...คนวัด..นักบวช...

คนพลาด..เคยมีมาแล้ว...

จำชื่อ...นางสิริมา....กันได้มั่ยครับ?

ถ้าวันโน้น...เปลี่ยนจากคำว่า " อีแพศยาคนไหนนะ..ถ่มน้ำหมาก.."...มาเป็น "ใครกันถ่มน้ำหมาก" ...ก็คงไม่ต้องมีกรรมไปบังคับให้เป็นโสเภณี..ตั้งหลายชาติ..ปานนั้น

เห็นมั้ยครับ...คำพูดนั้นสำคัญ...
..

:b32:
ไม่มีใครมองเห็นจิตได้ค่ะ
เพราะจิตเป็นธาตุรู้สภาพรู้
และมีธาตุรู้ที่เกิดจากจักขุปสาทะ
เพียง1รูปจาก28รูปที่เห็นได้อีก27รูปไม่เห็นค่ะ
เขามีตัวตนกันเนาะเลยบอกให้กันดูอวัยวะตรงนั้น
ไม่รู้ว่ารูปตรงปรมัตถ์เป็นแค่มหาภูตรูป4เป็นประธานและมีรูปประกอบคืออุปาทายรูป24รูป
จิตไม่ได้เห็นเพียงสีแค่1สีอย่างตถาคตเห็นดังนั้นคิดเอาเองตามเห็นผิดของตนเป็นมิจฉามรรคทุกขณะจิต
พึ่งพระรัตนตรัยตอนกำลังคิดถูกตามเสียงคำวาจาสัจจะตรงจริงที่ตนกำลังมีคืออุชุปะติปัตติ(ปเป็นบ.บัตติ)
อุชุปะติบัตติ...ปะติบัติถึงเฉพาะตรงลักษณะที่กำลังมีที่กายใจตนเองเดี๋ยวนี้ต้องคิดเสียงคำที่เข้าใจถูกนะ :b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2018, 16:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
คำพูด...สำคัญนะครับ ..เพื่อนๆสมาชิกทั้งหลาย...

แม้คำพูด...แม้ไม่ผิดศีล 5...แต่จะให้ดี...ให้อยู่ในกรรมบถ 10 กันพลาด...โดยเฉพาะ...การพูดกับคนศึกษาปฏิบัติธรรม...คนวัด..นักบวช...

คนพลาด..เคยมีมาแล้ว...

จำชื่อ...นางสิริมา....กันได้มั่ยครับ?

ถ้าวันโน้น...เปลี่ยนจากคำว่า " อีแพศยาคนไหนนะ..ถ่มน้ำหมาก.."...มาเป็น "ใครกันถ่มน้ำหมาก" ...ก็คงไม่ต้องมีกรรมไปบังคับให้เป็นโสเภณี..ตั้งหลายชาติ..ปานนั้น

เห็นมั้ยครับ...คำพูดนั้นสำคัญ...
..

:b32:
ไม่มีใครมองเห็นจิตได้ค่ะ
เพราะจิตเป็นธาตุรู้สภาพรู้
และมีธาตุรู้ที่เกิดจากจักขุปสาทะ
เพียง1รูปจาก28รูปที่เห็นได้อีก27รูปไม่เห็นค่ะ
เขามีตัวตนกันเนาะเลยบอกให้กันดูอวัยวะตรงนั้น
ไม่รู้ว่ารูปตรงปรมัตถ์เป็นแค่มหาภูตรูป4เป็นประธานและมีรูปประกอบคืออุปาทายรูป24รูป
จิตไม่ได้เห็นเพียงสีแค่1สีอย่างตถาคตเห็นดังนั้นคิดเอาเองตามเห็นผิดของตนเป็นมิจฉามรรคทุกขณะจิต
พึ่งพระรัตนตรัยตอนกำลังคิดถูกตามเสียงคำวาจาสัจจะตรงจริงที่ตนกำลังมีคืออุชุปะติปัตติ(ปเป็นบ.บัตติ)
อุชุปะติบัตติ...ปะติบัติถึงเฉพาะตรงลักษณะที่กำลังมีที่กายใจตนเองเดี๋ยวนี้ต้องคิดเสียงคำที่เข้าใจถูกนะ


คุณโรสนี่มั่วได้ใจจริงๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2018, 16:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
คำพูด...สำคัญนะครับ ..เพื่อนๆสมาชิกทั้งหลาย...

แม้คำพูด...แม้ไม่ผิดศีล 5...แต่จะให้ดี...ให้อยู่ในกรรมบถ 10 กันพลาด...โดยเฉพาะ...การพูดกับคนศึกษาปฏิบัติธรรม...คนวัด..นักบวช...

คนพลาด..เคยมีมาแล้ว...

จำชื่อ...นางสิริมา....กันได้มั่ยครับ?

ถ้าวันโน้น...เปลี่ยนจากคำว่า " อีแพศยาคนไหนนะ..ถ่มน้ำหมาก.."...มาเป็น "ใครกันถ่มน้ำหมาก" ...ก็คงไม่ต้องมีกรรมไปบังคับให้เป็นโสเภณี..ตั้งหลายชาติ..ปานนั้น

เห็นมั้ยครับ...คำพูดนั้นสำคัญ...
..

:b32:
ไม่มีใครมองเห็นจิตได้ค่ะ
เพราะจิตเป็นธาตุรู้สภาพรู้
และมีธาตุรู้ที่เกิดจากจักขุปสาทะ
เพียง1รูปจาก28รูปที่เห็นได้อีก27รูปไม่เห็นค่ะ
เขามีตัวตนกันเนาะเลยบอกให้กันดูอวัยวะตรงนั้น
ไม่รู้ว่ารูปตรงปรมัตถ์เป็นแค่มหาภูตรูป4เป็นประธานและมีรูปประกอบคืออุปาทายรูป24รูป
จิตไม่ได้เห็นเพียงสีแค่1สีอย่างตถาคตเห็นดังนั้นคิดเอาเองตามเห็นผิดของตนเป็นมิจฉามรรคทุกขณะจิต
พึ่งพระรัตนตรัยตอนกำลังคิดถูกตามเสียงคำวาจาสัจจะตรงจริงที่ตนกำลังมีคืออุชุปะติปัตติ(ปเป็นบ.บัตติ)
อุชุปะติบัตติ...ปะติบัติถึงเฉพาะตรงลักษณะที่กำลังมีที่กายใจตนเองเดี๋ยวนี้ต้องคิดเสียงคำที่เข้าใจถูกนะ


คุณโรสนี่มั่วได้ใจจริงๆ

ฟังเพื่อเข้าใจเท่านั้น
ทุกคนมีตาที่มาอ่านนี่นะ
และตาไม่บอดเทียบกันนะ
คนตาบอดก็มีลูกตาถูกไหมคะ
แต่ตาไม่เห็นค่ะแต่เป็นจิตเห็นสีสันวรรณะ
เป็นจักขุปสาทะรูปตรงกลางตากระทบรูปของสีที่มหาภูตรูปจึงเกิดเป็นจักขุวิญญาณ
คนตาบอดไม่เห็นเพราะผลกรรมทำให้ไม่มีจักขุปสาทะค่ะจักขุปสาทะรูปเป็นรูปที่เกิดจากกรรมนะคะ
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2018, 17:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ค. 2015, 23:32
โพสต์: 52

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
คำพูด...สำคัญนะครับ ..เพื่อนๆสมาชิกทั้งหลาย...

คำพูด...แม้ไม่ผิดศีล 5...แต่จะให้ดี...ให้อยู่ในกรรมบถ 10 กันพลาด...โดยเฉพาะ...การพูดกับคนศึกษาปฏิบัติธรรม...คนวัด..นักบวช...

คนพลาด..เคยมีมาแล้ว...

จำชื่อ...นางสิริมา....กันได้มั่ยครับ?

ถ้าวันโน้น...เปลี่ยนจากคำว่า " อีแพศยาคนไหนนะ..ถ่มน้ำหมาก.."...มาเป็น "ใครกันถ่มน้ำหมาก" ...ก็คงไม่ต้องมีกรรมไปบังคับให้เป็นโสเภณี..ตั้งหลายชาติ..ปานนั้น

เห็นมั้ยครับ...คำพูดนั้นสำคัญ...
..

นี้ก็..อีกอันที่...อยากบอก...



คุณกบฯพูดได้...น่าคิด...ดีมากๆๆๆ
:b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2018, 18:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
คำพูด...สำคัญนะครับ ..เพื่อนๆสมาชิกทั้งหลาย...

แม้คำพูด...แม้ไม่ผิดศีล 5...แต่จะให้ดี...ให้อยู่ในกรรมบถ 10 กันพลาด...โดยเฉพาะ...การพูดกับคนศึกษาปฏิบัติธรรม...คนวัด..นักบวช...

คนพลาด..เคยมีมาแล้ว...

จำชื่อ...นางสิริมา....กันได้มั่ยครับ?

ถ้าวันโน้น...เปลี่ยนจากคำว่า " อีแพศยาคนไหนนะ..ถ่มน้ำหมาก.."...มาเป็น "ใครกันถ่มน้ำหมาก" ...ก็คงไม่ต้องมีกรรมไปบังคับให้เป็นโสเภณี..ตั้งหลายชาติ..ปานนั้น

เห็นมั้ยครับ...คำพูดนั้นสำคัญ...
..

:b32:
ไม่มีใครมองเห็นจิตได้ค่ะ
เพราะจิตเป็นธาตุรู้สภาพรู้
และมีธาตุรู้ที่เกิดจากจักขุปสาทะ
เพียง1รูปจาก28รูปที่เห็นได้อีก27รูปไม่เห็นค่ะ
เขามีตัวตนกันเนาะเลยบอกให้กันดูอวัยวะตรงนั้น
ไม่รู้ว่ารูปตรงปรมัตถ์เป็นแค่มหาภูตรูป4เป็นประธานและมีรูปประกอบคืออุปาทายรูป24รูป
จิตไม่ได้เห็นเพียงสีแค่1สีอย่างตถาคตเห็นดังนั้นคิดเอาเองตามเห็นผิดของตนเป็นมิจฉามรรคทุกขณะจิต
พึ่งพระรัตนตรัยตอนกำลังคิดถูกตามเสียงคำวาจาสัจจะตรงจริงที่ตนกำลังมีคืออุชุปะติปัตติ(ปเป็นบ.บัตติ)
อุชุปะติบัตติ...ปะติบัติถึงเฉพาะตรงลักษณะที่กำลังมีที่กายใจตนเองเดี๋ยวนี้ต้องคิดเสียงคำที่เข้าใจถูกนะ


คุณโรสนี่มั่วได้ใจจริงๆ

ฟังเพื่อเข้าใจเท่านั้น
ทุกคนมีตาที่มาอ่านนี่นะ
และตาไม่บอดเทียบกันนะ
คนตาบอดก็มีลูกตาถูกไหมคะ
แต่ตาไม่เห็นค่ะแต่เป็นจิตเห็นสีสันวรรณะ
เป็นจักขุปสาทะรูปตรงกลางตากระทบรูปของสีที่มหาภูตรูปจึงเกิดเป็นจักขุวิญญาณ
คนตาบอดไม่เห็นเพราะผลกรรมทำให้ไม่มีจักขุปสาทะค่ะจักขุปสาทะรูปเป็นรูปที่เกิดจากกรรมนะคะ
:b4: :b4:

คุณยายโรสขา

คนตาบอดในความหมายในพระธรรม ไม่ใช่นัยตาเสีย หรือ มีลูกตา แต่มองไม่เห็น
แต่หมายถึงคนที่ไม่มีปัญญาจักษุค่ะ
และพระพุทธองค์ ทรงแสดง คนมีตาเดียว และสองตาไว้ชัดเจนค่ะ
ซึ่งจำแนกการเห็นธรรม เปรียบเช่นคนตาบอดสองตา ตาเดียว หรือเห็นธรรมสองตาค่ะ




โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2018, 18:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


< ตะวัน > เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
คำพูด...สำคัญนะครับ ..เพื่อนๆสมาชิกทั้งหลาย...

คำพูด...แม้ไม่ผิดศีล 5...แต่จะให้ดี...ให้อยู่ในกรรมบถ 10 กันพลาด...โดยเฉพาะ...การพูดกับคนศึกษาปฏิบัติธรรม...คนวัด..นักบวช...

คนพลาด..เคยมีมาแล้ว...

จำชื่อ...นางสิริมา....กันได้มั่ยครับ?

ถ้าวันโน้น...เปลี่ยนจากคำว่า " อีแพศยาคนไหนนะ..ถ่มน้ำหมาก.."...มาเป็น "ใครกันถ่มน้ำหมาก" ...ก็คงไม่ต้องมีกรรมไปบังคับให้เป็นโสเภณี..ตั้งหลายชาติ..ปานนั้น

เห็นมั้ยครับ...คำพูดนั้นสำคัญ...
..

นี้ก็..อีกอันที่...อยากบอก...



คุณกบฯพูดได้...น่าคิด...ดีมากๆๆๆ
:b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53:


ขอบพระคุณด้วยคน นะคะคุณพี่กบ

ดีนะ ที่หนูไม่บอกเกินกว่าที่สมควร ตามไปด้วยอภิชาและทุจริต จะลงไปบอกว่า มีปัญญาทรามแบบในพระไตรปิฎก ก็ว่าน่าจะหนักเกินไป
เรยบอกแค่ โง่ เขลา เบาปัญญา ตื้นเขิน



โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2018, 19:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
คำพูด...สำคัญนะครับ ..เพื่อนๆสมาชิกทั้งหลาย...

แม้คำพูด...แม้ไม่ผิดศีล 5...แต่จะให้ดี...ให้อยู่ในกรรมบถ 10 กันพลาด...โดยเฉพาะ...การพูดกับคนศึกษาปฏิบัติธรรม...คนวัด..นักบวช...

คนพลาด..เคยมีมาแล้ว...

จำชื่อ...นางสิริมา....กันได้มั่ยครับ?

ถ้าวันโน้น...เปลี่ยนจากคำว่า " อีแพศยาคนไหนนะ..ถ่มน้ำหมาก.."...มาเป็น "ใครกันถ่มน้ำหมาก" ...ก็คงไม่ต้องมีกรรมไปบังคับให้เป็นโสเภณี..ตั้งหลายชาติ..ปานนั้น

เห็นมั้ยครับ...คำพูดนั้นสำคัญ...
..

:b32:
ไม่มีใครมองเห็นจิตได้ค่ะ
เพราะจิตเป็นธาตุรู้สภาพรู้
และมีธาตุรู้ที่เกิดจากจักขุปสาทะ
เพียง1รูปจาก28รูปที่เห็นได้อีก27รูปไม่เห็นค่ะ
เขามีตัวตนกันเนาะเลยบอกให้กันดูอวัยวะตรงนั้น
ไม่รู้ว่ารูปตรงปรมัตถ์เป็นแค่มหาภูตรูป4เป็นประธานและมีรูปประกอบคืออุปาทายรูป24รูป
จิตไม่ได้เห็นเพียงสีแค่1สีอย่างตถาคตเห็นดังนั้นคิดเอาเองตามเห็นผิดของตนเป็นมิจฉามรรคทุกขณะจิต
พึ่งพระรัตนตรัยตอนกำลังคิดถูกตามเสียงคำวาจาสัจจะตรงจริงที่ตนกำลังมีคืออุชุปะติปัตติ(ปเป็นบ.บัตติ)
อุชุปะติบัตติ...ปะติบัติถึงเฉพาะตรงลักษณะที่กำลังมีที่กายใจตนเองเดี๋ยวนี้ต้องคิดเสียงคำที่เข้าใจถูกนะ


คุณโรสนี่มั่วได้ใจจริงๆ

ฟังเพื่อเข้าใจเท่านั้น
ทุกคนมีตาที่มาอ่านนี่นะ
และตาไม่บอดเทียบกันนะ
คนตาบอดก็มีลูกตาถูกไหมคะ
แต่ตาไม่เห็นค่ะแต่เป็นจิตเห็นสีสันวรรณะ
เป็นจักขุปสาทะรูปตรงกลางตากระทบรูปของสีที่มหาภูตรูปจึงเกิดเป็นจักขุวิญญาณ
คนตาบอดไม่เห็นเพราะผลกรรมทำให้ไม่มีจักขุปสาทะค่ะจักขุปสาทะรูปเป็นรูปที่เกิดจากกรรมนะคะ
:b4: :b4:

คุณยายโรสขา

คนตาบอดในความหมายในพระธรรม ไม่ใช่นัยตาเสีย หรือ มีลูกตา แต่มองไม่เห็น
แต่หมายถึงคนที่ไม่มีปัญญาจักษุค่ะ
และพระพุทธองค์ ทรงแสดง คนมีตาเดียว และสองตาไว้ชัดเจนค่ะ
ซึ่งจำแนกการเห็นธรรม เปรียบเช่นคนตาบอดสองตา ตาเดียว หรือเห็นธรรมสองตาค่ะ



cool
คำสอนคือความจริงตรงขณะ
เดี๋ยวนี้บอดสนิทเพราะไม่ได้เห็นสี
และคิดตามเห็นผิดโดยไม่ได้กำลังพึ่งคำจริง
ที่ทำให้เข้าใจความจริงที่กำลังเกิดดับรู้แต่สมมุติ
สัจจะคืออะไรทีละ1ตรงวิสยรูปไม่มีตัวตนมีแต่ธัมมะค่ะ
ตามที่ดูการสนทนาเมโลกสวยไม่รู้อะไรเลยอ้างไม่ตรงจริง
เพราะจริงของตนคือกำลังเห็นกิเลสตนเองอยู่และยกตนข่มท่าน
ธัมมะของตถาคตเป็นไปเพื่อรู้จักกิเลสตนเองจึงชี้ให้ผู้อื่นดูกิเลสถูกตัวตน
เมคะตัวตนไม่มีอยู่แล้วตามพระอภิธรรมแต่สิ่งที่เมมีคือคิดว่าคนอื่นผิดตัวเองถูก
แต่ตถาคตตรัสรู้ความจริงที่กำลังปรากฏตรงขณะที่ไม่มีใครรู้และไม่มีใครผิดเลยค่ะ
เพราะทุกคนทำถูกตรงตามคำตถาคตหมดแต่เป็นไป2แบบคือแบบมีกุศลและแบบมีอกุศล
ส่วนพระองค์รู้ทุกแบบและแสดงความจริงให้คิดถูกตอนมีตัวตนและมีตาไม่บอดหูไม่หนวกถึงจะฟังรู้เรื่องค่ะ
รู้จักตาบอดคลำช้างไหมคะทุกคนนั่นแหละกำลังเป็นไปตามนั้นถ้ายังไม่รู้จักฟังพระพุทธพจน์ทีละคำจร้าาาา
:b12:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2018, 20:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ค. 2015, 23:32
โพสต์: 52

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
< ตะวัน > เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
คำพูด...สำคัญนะครับ ..เพื่อนๆสมาชิกทั้งหลาย...

คำพูด...แม้ไม่ผิดศีล 5...แต่จะให้ดี...ให้อยู่ในกรรมบถ 10 กันพลาด...โดยเฉพาะ...การพูดกับคนศึกษาปฏิบัติธรรม...คนวัด..นักบวช...

คนพลาด..เคยมีมาแล้ว...

จำชื่อ...นางสิริมา....กันได้มั่ยครับ?

ถ้าวันโน้น...เปลี่ยนจากคำว่า " อีแพศยาคนไหนนะ..ถ่มน้ำหมาก.."...มาเป็น "ใครกันถ่มน้ำหมาก" ...ก็คงไม่ต้องมีกรรมไปบังคับให้เป็นโสเภณี..ตั้งหลายชาติ..ปานนั้น

เห็นมั้ยครับ...คำพูดนั้นสำคัญ...
..

นี้ก็..อีกอันที่...อยากบอก...



คุณกบฯพูดได้...น่าคิด...ดีมากๆๆๆ
:b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53:


ขอบพระคุณด้วยคน นะคะคุณพี่กบ

ดีนะ ที่หนูไม่บอกเกินกว่าที่สมควร ตามไปด้วยอภิชาและทุจริต จะลงไปบอกว่า มีปัญญาทรามแบบในพระไตรปิฎก ก็ว่าน่าจะหนักเกินไป
เรยบอกแค่ โง่ เขลา เบาปัญญา ตื้นเขิน



ฟังเอาไว้นะ...หนูโลกฯเอ๊ย...
คนสองแบบนี้ใครกันที่ถือว่าเป็น...คนมีปัญญาทรามแบบในพระไตรปิฎก...ท่านว่าไว้

1.คนที่แม้จะรู้ธรรมะสารพัดในพระอภิธรรม
..แต่ก็ไม่สามารถจะฝืนใจตัวเอง..ไม่คิดจะพยายามฝึกใจตัวเองให้สามารถรักษาศีลระดับสูงให้ได้
..เช่น..ไม่ไปดูหนังฟังเพลงไม่ไปเสพกามให้ได้

......................กับ...........................

2.คนที่อาจไม่ได้ไปอ่านไปศึกษาพระอภิธรรมแหละ..
แต่เขาก็ไปศึกษาคำสอนของพระอรหันต์หรือศึกษาอะไรในพระไตรปิฎกบ้างอยู่
จนทำให้เขา...เกิดปฏิเวธ..ในใจเขาเห็นภัยของติดข้องในกิเลสกาม
แล้วต้องได้มาเกิดแก่เจ็บตายในวัฎฎะสงสาร...ทำให้เขาพยายามฝึกตัวเขา...
ให้รักษาศีลระดับสูงให้ได้(แต่อาจจะยังรักษาได้บ้างไม่ได้บ้างแหละนะ)


คน 2 ประเภทนี้...ใครกันที่ถือว่า...เป็น..คนมีปัญญาทรามแบบในพระไตรปิฎก...ท่านว่าเอาไว้

ถ้าศึกษาธรรมะ..แล้ว...แต่ไม่คิดจะฝึกตัวเองให้...ละการติดข้องในกิเลสให้ได้จริง...
ด้วยการฝึกใจตัวเองให้ทรงศีลระดับสูงไม่ไปดูหนังฟังเพลงไม่ไปเสพกามให้ได้


จะจัดว่า...เป็นผู้มีปัญญาทรามแบบที่พระไตรปิฎกท่านว่าเอาไว้...ได้ไหม?????


แก้ไขล่าสุดโดย < ตะวัน > เมื่อ 27 ส.ค. 2018, 20:18, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2018, 20:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b20:
อยากบอกว่าเริ่มฟังพระพุทธพจน์เพื่อเพิ่มปัญญาเถอะนะหรือจะเป็นตาบอดคลำช้างไปเรื่อยๆ
อย่าได้หลงผิดว่าผู้อื่นไม่รู้ทุกคนรู้ค่ะแต่รู้ไม่ตรงถูกต้องไต่ตามคำสอนทีละคำไงคะ
:b12:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2018, 20:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


< ตะวัน > เขียน:
โลกสวย เขียน:
< ตะวัน > เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
คำพูด...สำคัญนะครับ ..เพื่อนๆสมาชิกทั้งหลาย...

คำพูด...แม้ไม่ผิดศีล 5...แต่จะให้ดี...ให้อยู่ในกรรมบถ 10 กันพลาด...โดยเฉพาะ...การพูดกับคนศึกษาปฏิบัติธรรม...คนวัด..นักบวช...

คนพลาด..เคยมีมาแล้ว...

จำชื่อ...นางสิริมา....กันได้มั่ยครับ?

ถ้าวันโน้น...เปลี่ยนจากคำว่า " อีแพศยาคนไหนนะ..ถ่มน้ำหมาก.."...มาเป็น "ใครกันถ่มน้ำหมาก" ...ก็คงไม่ต้องมีกรรมไปบังคับให้เป็นโสเภณี..ตั้งหลายชาติ..ปานนั้น

เห็นมั้ยครับ...คำพูดนั้นสำคัญ...
..

นี้ก็..อีกอันที่...อยากบอก...



คุณกบฯพูดได้...น่าคิด...ดีมากๆๆๆ
:b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53:


ขอบพระคุณด้วยคน นะคะคุณพี่กบ

ดีนะ ที่หนูไม่บอกเกินกว่าที่สมควร ตามไปด้วยอภิชาและทุจริต จะลงไปบอกว่า มีปัญญาทรามแบบในพระไตรปิฎก ก็ว่าน่าจะหนักเกินไป
เรยบอกแค่ โง่ เขลา เบาปัญญา ตื้นเขิน



ฟังเอาไว้นะ...หนูโลกฯเอ๊ย...
คนสองแบบนี้ใครกันที่ถือว่าเป็น...คนมีปัญญาทรามแบบในพระไตรปิฎก...ท่านว่าไว้

1.คนที่แม้จะรู้ธรรมะสารพัดในพระอภิธรรม
..แต่ก็ไม่สามารถจะฝืนใจตัวเอง..ไม่คิดจะพยายามฝึกใจตัวเองให้สามารถรักษาศีลระดับสูงให้ได้
..เช่น..ไม่ไปดูหนังฟังเพลงไม่ไปเสพกามให้ได้

......................กับ...........................

2.คนที่อาจไม่ได้ไปอ่านไปศึกษาพระอภิธรรมแหละ..
แต่เขาก็ไปศึกษาคำสอนของพระอรหันต์หรือศึกษาอะไรในพระไตรปิฎกบ้างอยู่
จนทำให้เขา...เกิดปฏิเวธ..ในใจเขาเห็นภัยของติดข้องในกิเลสกาม
แล้วต้องได้มาเกิดแก่เจ็บตายในวัฎฎะสงสาร...ทำให้เขาพยายามฝึกตัวเขา...
ให้รักษาศีลระดับสูงให้ได้(แต่อาจจะยังรักษาได้บ้างไม่ได้บ้างแหละนะ)

คน 2 ประเภทนี้...ใครกันที่ถือว่า...เป็น..คนมีปัญญาทรามแบบในพระไตรปิฎก...ท่านว่าเอาไว้

ถ้าศึกษาธรรมะ..แล้ว...แต่ไม่คิดจะฝึกตัวเองให้...ละการติดข้องในกิเลสให้ได้จริง...
ด้วยการฝึกใจตัวเองให้ทรงศีลระดับสูงไม่ไปดูหนังฟังเพลงไม่ไปเสพกามให้ได้
จะจัดว่า...เป็นผู้มีปัญญาทรามแบบที่พระไตรปิฎกท่านว่าเอาไว้...ได้ไหม?????

:b12:
สมมุติคือนิมิตหลอกตา
ไม่มีใครรู้จักพระอรหันต์
ต้องมีปัญญาถึงระดับจึงรู้ได้
พระโสดาบันก็ไม่รู้ของพระอรหันต์ค่ะ
แต่สาวกทุกคนรู้ความจริงตรงคำสอนตามปัญญาตนเองค่ะ
ตถาคตแสดงไว้ว่ายุคพันปีที่3ไม่มีใครถึงความเป็นพระอรหันต์ค่ะท่าน
ประมาทการฟังตายเปล่าที่ได้อัตภาพคนเพราะชาติใดไม่ฟังชาตินั้นไม่ได้สะสมปัญญาเลย
:b13:
:b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2018, 21:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


< ตะวัน > เขียน:
โลกสวย เขียน:
< ตะวัน > เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
คำพูด...สำคัญนะครับ ..เพื่อนๆสมาชิกทั้งหลาย...

คำพูด...แม้ไม่ผิดศีล 5...แต่จะให้ดี...ให้อยู่ในกรรมบถ 10 กันพลาด...โดยเฉพาะ...การพูดกับคนศึกษาปฏิบัติธรรม...คนวัด..นักบวช...

คนพลาด..เคยมีมาแล้ว...

จำชื่อ...นางสิริมา....กันได้มั่ยครับ?

ถ้าวันโน้น...เปลี่ยนจากคำว่า " อีแพศยาคนไหนนะ..ถ่มน้ำหมาก.."...มาเป็น "ใครกันถ่มน้ำหมาก" ...ก็คงไม่ต้องมีกรรมไปบังคับให้เป็นโสเภณี..ตั้งหลายชาติ..ปานนั้น

เห็นมั้ยครับ...คำพูดนั้นสำคัญ...
..

นี้ก็..อีกอันที่...อยากบอก...



คุณกบฯพูดได้...น่าคิด...ดีมากๆๆๆ
:b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53:


ขอบพระคุณด้วยคน นะคะคุณพี่กบ

ดีนะ ที่หนูไม่บอกเกินกว่าที่สมควร ตามไปด้วยอภิชาและทุจริต จะลงไปบอกว่า มีปัญญาทรามแบบในพระไตรปิฎก ก็ว่าน่าจะหนักเกินไป
เรยบอกแค่ โง่ เขลา เบาปัญญา ตื้นเขิน



ฟังเอาไว้นะ...หนูโลกฯเอ๊ย...
คนสองแบบนี้ใครกันที่ถือว่าเป็น...คนมีปัญญาทรามแบบในพระไตรปิฎก...ท่านว่าไว้

1.คนที่แม้จะรู้ธรรมะสารพัดในพระอภิธรรม
..แต่ก็ไม่สามารถจะฝืนใจตัวเอง..ไม่คิดจะพยายามฝึกใจตัวเองให้สามารถรักษาศีลระดับสูงให้ได้
..เช่น..ไม่ไปดูหนังฟังเพลงไม่ไปเสพกามให้ได้

......................กับ...........................

2.คนที่อาจไม่ได้ไปอ่านไปศึกษาพระอภิธรรมแหละ..
แต่เขาก็ไปศึกษาคำสอนของพระอรหันต์หรือศึกษาอะไรในพระไตรปิฎกบ้างอยู่
จนทำให้เขา...เกิดปฏิเวธ..ในใจเขาเห็นภัยของติดข้องในกิเลสกาม
แล้วต้องได้มาเกิดแก่เจ็บตายในวัฎฎะสงสาร...ทำให้เขาพยายามฝึกตัวเขา...
ให้รักษาศีลระดับสูงให้ได้(แต่อาจจะยังรักษาได้บ้างไม่ได้บ้างแหละนะ)


คน 2 ประเภทนี้...ใครกันที่ถือว่า...เป็น..คนมีปัญญาทรามแบบในพระไตรปิฎก...ท่านว่าเอาไว้

ถ้าศึกษาธรรมะ..แล้ว...แต่ไม่คิดจะฝึกตัวเองให้...ละการติดข้องในกิเลสให้ได้จริง...
ด้วยการฝึกใจตัวเองให้ทรงศีลระดับสูงไม่ไปดูหนังฟังเพลงไม่ไปเสพกามให้ได้


จะจัดว่า...เป็นผู้มีปัญญาทรามแบบที่พระไตรปิฎกท่านว่าเอาไว้...ได้ไหม?????


คริๆ

เมตอบให้นะคะ

แบบแรก แสดงชัดแล้ว ตามปฎิจจสมุบาทค่ะ เพราะไม่มีจิตสังขารความคิด มาปรุงแต่งจิต อวิชชาจึงดับไป


แบบที่สอง ที่รู้ปริยัติผิดเพี้ยน จำมาผิด ท่องมาผิด ปฎิบัติผิดๆ เทียบแล้วไม่ตรงตามคำสอนพระพุทธองค์ ปฎิบัตผิด เห็นผิด เข้าใจผิด รู้ผิด น่ะแหละค่ะ สามารถ จัดลงไปได้ต่ำลงไปเรื่อยๆ เป็นมิจฉาค่ะ
ไปพุทธันดรหน้าเรยค่ะ




โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2018, 21:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
< ตะวัน > เขียน:
โลกสวย เขียน:
< ตะวัน > เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
คำพูด...สำคัญนะครับ ..เพื่อนๆสมาชิกทั้งหลาย...

คำพูด...แม้ไม่ผิดศีล 5...แต่จะให้ดี...ให้อยู่ในกรรมบถ 10 กันพลาด...โดยเฉพาะ...การพูดกับคนศึกษาปฏิบัติธรรม...คนวัด..นักบวช...

คนพลาด..เคยมีมาแล้ว...

จำชื่อ...นางสิริมา....กันได้มั่ยครับ?

ถ้าวันโน้น...เปลี่ยนจากคำว่า " อีแพศยาคนไหนนะ..ถ่มน้ำหมาก.."...มาเป็น "ใครกันถ่มน้ำหมาก" ...ก็คงไม่ต้องมีกรรมไปบังคับให้เป็นโสเภณี..ตั้งหลายชาติ..ปานนั้น

เห็นมั้ยครับ...คำพูดนั้นสำคัญ...
..

นี้ก็..อีกอันที่...อยากบอก...



คุณกบฯพูดได้...น่าคิด...ดีมากๆๆๆ
:b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53:


ขอบพระคุณด้วยคน นะคะคุณพี่กบ

ดีนะ ที่หนูไม่บอกเกินกว่าที่สมควร ตามไปด้วยอภิชาและทุจริต จะลงไปบอกว่า มีปัญญาทรามแบบในพระไตรปิฎก ก็ว่าน่าจะหนักเกินไป
เรยบอกแค่ โง่ เขลา เบาปัญญา ตื้นเขิน



ฟังเอาไว้นะ...หนูโลกฯเอ๊ย...
คนสองแบบนี้ใครกันที่ถือว่าเป็น...คนมีปัญญาทรามแบบในพระไตรปิฎก...ท่านว่าไว้

1.คนที่แม้จะรู้ธรรมะสารพัดในพระอภิธรรม
..แต่ก็ไม่สามารถจะฝืนใจตัวเอง..ไม่คิดจะพยายามฝึกใจตัวเองให้สามารถรักษาศีลระดับสูงให้ได้
..เช่น..ไม่ไปดูหนังฟังเพลงไม่ไปเสพกามให้ได้

......................กับ...........................

2.คนที่อาจไม่ได้ไปอ่านไปศึกษาพระอภิธรรมแหละ..
แต่เขาก็ไปศึกษาคำสอนของพระอรหันต์หรือศึกษาอะไรในพระไตรปิฎกบ้างอยู่
จนทำให้เขา...เกิดปฏิเวธ..ในใจเขาเห็นภัยของติดข้องในกิเลสกาม
แล้วต้องได้มาเกิดแก่เจ็บตายในวัฎฎะสงสาร...ทำให้เขาพยายามฝึกตัวเขา...
ให้รักษาศีลระดับสูงให้ได้(แต่อาจจะยังรักษาได้บ้างไม่ได้บ้างแหละนะ)

คน 2 ประเภทนี้...ใครกันที่ถือว่า...เป็น..คนมีปัญญาทรามแบบในพระไตรปิฎก...ท่านว่าเอาไว้

ถ้าศึกษาธรรมะ..แล้ว...แต่ไม่คิดจะฝึกตัวเองให้...ละการติดข้องในกิเลสให้ได้จริง...
ด้วยการฝึกใจตัวเองให้ทรงศีลระดับสูงไม่ไปดูหนังฟังเพลงไม่ไปเสพกามให้ได้
จะจัดว่า...เป็นผู้มีปัญญาทรามแบบที่พระไตรปิฎกท่านว่าเอาไว้...ได้ไหม?????

:b12:
สมมุติคือนิมิตหลอกตา
ไม่มีใครรู้จักพระอรหันต์
ต้องมีปัญญาถึงระดับจึงรู้ได้
พระโสดาบันก็ไม่รู้ของพระอรหันต์ค่ะ
แต่สาวกทุกคนรู้ความจริงตรงคำสอนตามปัญญาตนเองค่ะ
ตถาคตแสดงไว้ว่ายุคพันปีที่3ไม่มีใครถึงความเป็นพระอรหันต์ค่ะท่าน
ประมาทการฟังตายเปล่าที่ได้อัตภาพคนเพราะชาติใดไม่ฟังชาตินั้นไม่ได้สะสมปัญญาเลย
:b13:
:b16: :b16:

ขอบพระคุณค่ะคุณยายโรส

ที่มาบอก ให้ฟังซ้ำๆชัดเจนอีกว่า

พันปีที่สามนี้ ไม่มีพระอรหันต์ค่ะ

แต่ก็คงต้องปล่อยให้ไปค้นคว้าหาเอาเอง หาหลักฐานมาแย้งเอง

จะได้ เห็นจริง ไม่มั่วส่งเดชกัน โดยไม่มีพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงไว้ค่ะ

การไปพยากรณ์เอาเองว่าท่านโน้นท่านนี้เป็นพระอรหันต์ ไม่เข้าท่าจริงๆน้อคะ






โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2018, 22:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตามกระทู้....อยากบอก :b8:


...อวิชชา...

ครูบาอาจารย์ท่านว่า...ฉันทะราคะ...เป็นรากของอวิชชา :b8:

บุคคลที่ต้องเพียรทำกิจละฉันทะราคะได้

ต้องเป็นบุคคลระดับอรหันต์มรรค :b8:
.
.
.
ฉะนั้น ถ้าเราจะไหลไปกับอดีตบ้าง ไหลไปในอนาคตบ้าง ในช่วงไม่ได้ฝึกปฎิบัติกรรมฐาน :b8:

มันจึงเป็นสภาวะของจิต ที่ปกติมากสำหรับบุคคลที่ไม่ได้ถึงอรหันต์มรรค :b8:
.
.
.
ปลดใจตัวเอง...

ธรรมดาที่เราจะคาดหวังในอนาคต มันเป็นธรรมดาที่เราจะไหลไปกับอดีตบ้าง

ในเมื่อเราละสังโยชน์ยังไม่ได้สักตัว หรือ เราละสังโยชน์ได้เพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น :b8:
.
.
.
มันเป็นธรรมดาที่สภาวะของจิต ที่จะไปติดใจในเรื่องอนาคต(เพราะความอยาก)

เป็นธรรมดาที่เราจะไหลไปในอดีต(เพราะความอยากของตัวเราเอง)
.
.
.
การเข้าใจตัวเอง การเข้าใจจุดยืนของตนเอง ว่ายืนอยู่ตรงจุดไหน

มันจะผ่อนความกังวล ในจิตของเราได้ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ส.ค. 2018, 11:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สายน้ำเมย เขียน:
ตามกระทู้....อยากบอก :b8:


...อวิชชา...

ครูบาอาจารย์ท่านว่า...ฉันทะราคะ...เป็นรากของอวิชชา :b8:

บุคคลที่ต้องเพียรทำกิจละฉันทะราคะได้

ต้องเป็นบุคคลระดับอรหันต์มรรค :b8:
.
.
.
ฉะนั้น ถ้าเราจะไหลไปกับอดีตบ้าง ไหลไปในอนาคตบ้าง ในช่วงไม่ได้ฝึกปฎิบัติกรรมฐาน :b8:

มันจึงเป็นสภาวะของจิต ที่ปกติมากสำหรับบุคคลที่ไม่ได้ถึงอรหันต์มรรค :b8:
.
.
.
ปลดใจตัวเอง...

ธรรมดาที่เราจะคาดหวังในอนาคต มันเป็นธรรมดาที่เราจะไหลไปกับอดีตบ้าง

ในเมื่อเราละสังโยชน์ยังไม่ได้สักตัว หรือ เราละสังโยชน์ได้เพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น :b8:
.
.
.
มันเป็นธรรมดาที่สภาวะของจิต ที่จะไปติดใจในเรื่องอนาคต(เพราะความอยาก)

เป็นธรรมดาที่เราจะไหลไปในอดีต(เพราะความอยากของตัวเราเอง)
.
.
.
การเข้าใจตัวเอง การเข้าใจจุดยืนของตนเอง ว่ายืนอยู่ตรงจุดไหน

มันจะผ่อนความกังวล ในจิตของเราได้ :b8:

:b1:
คำสอนตรงความจริงที่ปัจจุบันขณะ
มีกิจของปัญญาเกิดได้ตอนกำลังฟัง
เข้าใจถูกตามเกิดสัมมาตามคำสอนได้
ศรัทธาคือความเลื่อมใสในคำสอนจากการฟังแล้วเข้าใจยิ่งเข้าใจยิ่งรู้ว่าลึกซึ้ง
ศีลคือความประพฤติของจิตที่มีปกติจิตตรงตามที่กำลังสะสมตามปกติเป็นปกติ
สุตะคือฟังเพื่อ จาคะคือสละความติดใจติดข้องต้องการอยากรู้ตามบัญญัติคำ
ปัญญาคือรู้ชัดเพื่อขัดเกลาเอาความไม่ดีออกขณะกำลังฟังแล้วรู้ชัดดีทันทีเกิดปัญญาเพิ่มได้ทันที
:b12:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ส.ค. 2018, 12:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
สายน้ำเมย เขียน:
ตามกระทู้....อยากบอก :b8:


...อวิชชา...

ครูบาอาจารย์ท่านว่า...ฉันทะราคะ...เป็นรากของอวิชชา :b8:

บุคคลที่ต้องเพียรทำกิจละฉันทะราคะได้

ต้องเป็นบุคคลระดับอรหันต์มรรค :b8:
.
.
.
ฉะนั้น ถ้าเราจะไหลไปกับอดีตบ้าง ไหลไปในอนาคตบ้าง ในช่วงไม่ได้ฝึกปฎิบัติกรรมฐาน :b8:

มันจึงเป็นสภาวะของจิต ที่ปกติมากสำหรับบุคคลที่ไม่ได้ถึงอรหันต์มรรค :b8:
.
.
.
ปลดใจตัวเอง...

ธรรมดาที่เราจะคาดหวังในอนาคต มันเป็นธรรมดาที่เราจะไหลไปกับอดีตบ้าง

ในเมื่อเราละสังโยชน์ยังไม่ได้สักตัว หรือ เราละสังโยชน์ได้เพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น :b8:
.
.
.
มันเป็นธรรมดาที่สภาวะของจิต ที่จะไปติดใจในเรื่องอนาคต(เพราะความอยาก)

เป็นธรรมดาที่เราจะไหลไปในอดีต(เพราะความอยากของตัวเราเอง)
.
.
.
การเข้าใจตัวเอง การเข้าใจจุดยืนของตนเอง ว่ายืนอยู่ตรงจุดไหน

มันจะผ่อนความกังวล ในจิตของเราได้ :b8:

:b1:
คำสอนตรงความจริงที่ปัจจุบันขณะ
มีกิจของปัญญาเกิดได้ตอนกำลังฟัง
เข้าใจถูกตามเกิดสัมมาตามคำสอนได้
ศรัทธาคือความเลื่อมใสในคำสอนจากการฟังแล้วเข้าใจยิ่งเข้าใจยิ่งรู้ว่าลึกซึ้ง
ศีลคือความประพฤติของจิตที่มีปกติจิตตรงตามที่กำลังสะสมตามปกติเป็นปกติ
สุตะคือฟังเพื่อ จาคะคือสละความติดใจติดข้องต้องการอยากรู้ตามบัญญัติคำ
ปัญญาคือรู้ชัดเพื่อขัดเกลาเอาความไม่ดีออกขณะกำลังฟังแล้วรู้ชัดดีทันทีเกิดปัญญาเพิ่มได้ทันที
:b12:
:b4: :b4:


โพธิปัก 37 คะ :b8: การปฎิบัติถึงจะเดินตรงทาง :b8:

(ถ้าเดินตรงทาง มันจะครบ 37ตัวได้เองคะ..นับได้ครบ37 ตัวเลย) :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 144 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: รสมน และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร