วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 12:43  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ต.ค. 2008, 19:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ต.ค. 2008, 23:01
โพสต์: 1


 ข้อมูลส่วนตัว


อุปกิเลส 10 อิทธิพลของกิเลสกับความประพฤติของมนุษย์ผู้โง่งม
--------------------------------------------------------------

จิตของคนเรานี้สำคัญมาก หากจิตเต็มไปด้วยกิเลสฝ่ายชั่วหยาบ ย่อมนำให้คนนั้นสร้างกรรมอันชั่วหยาบ จิตทุกดวงมีธรรมชาติบริสุทธิ์ประภัสสร คือจิตทุกดวงมีความบริสุทธิ์เกิดขึ้นเองตามวิสัยของโลก แต่เศร้าหมองไปเพราะอุปกิเลสจรมาบัง ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นเครื่องกั้นอุปกิเลสให้พ้นจากจิตได้ ยังความบริสุทธิ์ประภัสสรอันเป็นธรรมชาติของจิตให้ปรากฏได้ ธรรมของพระพุทธเจ้าจึงวิเศษแท้ ไม่มีอื่นเสมอ

อุปกิเลสคือโทษเครื่องเศร้าหมอง ที่เกาะกุมจิตใจของคนนั้น ทำให้จิตของเรามัวหมองหม่นเศร้า เป็นทุกข์อยู่ไม่สร่างหาย ดวงจิตที่ประกอบด้วยเครื่องเศร้าหมองนั้นยอมมีวิถีของจิตมุ่งไปสู่ทุกข์ มีความเพ่งเล็งสิ่งใดเป็นที่ชอบใจก็เกิดความละโมบในสิ่งนั้นและก็เกิดความเพ่งเล็งเรื่อยไป มิได้เพ่งเล็งเฉพาะสิ่งใดสิ่งหนึ่งเท่านั้น ความละโมบจึงเกิดได้เรื่อยไป เปลี่ยนแปลงสิ่งที่ละโมบอยากได้เรื่อยไป ไม่สม่ำเสมออยู่ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงอย่างเดียว

อันความคิดปรุงแต่งว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้สวยงามน่าใคร่น่าปรารถนา จนถึงเกิดเป็นความเพ่งเล็งละโมบเรื่อยไป เป็นความเศร้าหมองบดบังความบริสุทธิ์ประภัสสรของจิต เพราะเมื่อความคิดปรุงแต่งดังกล่าวนั้นเกิดขึ้น ความสงบอันเป็นกิริยาของจิต ย่อมไม่มี

เมื่อมีความโลภอยากได้ขึ้นมาอย่างหนักหน่วง ย่อมทำให้คนเรานั้นแสวงหาวิทีการที่จะให้ได้มาซึงสิ่งที่ตนเองอยากได้นั้น เมื่อได้มาดั่งใจหมายก็เป็นอันสงบได้ชั่วละยะ แต่หากไม่ได้มาดั่งใจแล้ว จะกลายเป็นเหตุทำให้เกิดความฉุนเฉียว เกิดความไม่พอใจขึ้นมา นั่งนึกปรงแต่งเพิ่มความรุนแรงของความไม่พอใจนั้นขึ้น จนกลายเป็นโทสะขึ้นมา เมื่อโทสะเกิด ความมืดมิดย่อมเกิด ดังที่ท่านกล่าวว่าโกรธจนหน้ามืดก็คือโทสะนี้เอง ทำให้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น เห็นผิดเป็นถูกเห็นถูกเป็นผิด

เมื่อได้เกิดโทสะขึ้นมาแล้วย่อมมีการผูกโกรธ อันเป็นสาเหตุของการจองล้างจองผลาญกันไม่รู้จักจบสิ้น เช่นคนบางคนทำดีแต่หวังผล คือหวังความรักความเมตตาจากเจ้านายของตนเอง แต่เจ้านายกลับเฉยไม่ได้ยกยอปอปั้นดั่งใจหวังไว้ แถมไปยกย่องคนอื่นในเรื่องความดีของเขาแทน ใจของคนผู้นั้นแทนที่จะมองเห็นโทษของตนเองว่า เจ้านายอาจจะรู้ว่าเราทำดีเพียงเพื่อหวังคำสรรเสริญยกย่อง เขากลับคิดเลยเถิดไปไกลแสนไกลว่าคนที่เจ้านายยกย่องนั้นอาจจะประจบสอพลอมากกว่าตนเอง ไปมองคนผู้นั้นว่าเป็นคนที่ทำลายตนเองไปเสียอีก ไฟสุมขอนมีความร้อนกรุ่นอยู่ตลอดเวลาเป็นเช่นไร ความผูกโกรธไว้ก็เป็นเช่นนั้น เผารุมร้อนกรุ่นอยู่เช่นนั้นความโกรธและความผูกโกรธคือความมืด ความมืดมากเพียงไรแสงสว่างก็จะถูกกีดกั้นมากเพียงนั้น

เมื่อความผูกโกรธหรือความผูกโกรธนั้นได้เกิดขึ้นมา ภายในจิใจแล้วยังเป็นบ่อเกิดของความชั่วช้าอีกมากมายหลายประการ หนึ่งในนั้นก็คือการถือเอาความเป็นพาลเข้ามาสู่จิตใจ จนหน้ามืดตามัวลบหลู่คุณท่าน เช่น เมื่อตนเองไม่ได้รับคำชมหรือคำสรรเสริญจากเจ้านายแล้ว มีจิตคิดชั่วต่อไปพาลไปสู่เจ้านายตนและคนอื่นๆ ใครๆจะห้ามปรามเพียงไรก็มิใคร่อยากจะฟังแถมยังด่าแหลกไม้เว้นผู้มีคุณ หรือ สมณะชีพราหมณ์ แม่คุณท่านเคยอุปถัมภ์มากมายก็ไม่แลเห็น เพียงเพราะตนไม่สมเจตนาดังหมายมั่นปั้นใจรอ กลายเป็นพาลชนไปโดยปริยาย บัณฑิตเพ่งโทษตนเองไม่เพ่งโทษคนอื่น บัณฑิตจึงเป็นผู้ไม่ลบหลู่คุณท่าน

แม้กระนั้นยังไม่พอ ยังยกตนเองเสมอท่านเพียงเพื่ออวดศักดาแห่งตนเอง บางคนไม่ใช่เพียงนั้น มีท่านผู้เป็น ปราชญ์ท่านทำท่าทางใจดีมอบไมตรีจิตให้ เพราะนั่นเป็นนิสัยของบัณฑิตชนพึงกระทำต่อเพื่อนร่วมโลก คนผู้เป็นพาลแทนที่จะเข้าใจสภาวะแห่งตนเอง กลับเห็นไปว่าท่านผู้นั้นคงหวั่นเกรงตน จึงถือโอกาสยกนข่มท่านอย่างอาจหาญไม่เกรงใจฟ้าดิน ไม่รู้ว่าใครคือเจ้า ใครคือบ่าว ไม่รู้แม้สมณะ เณร เถรชี

ผู้เป็นบัณฑิตแท้ย่อมไม่หลงใหล ไม่หวั่นไหว รู้ตนเอง รู้เหตุอันเหมาะสมที่ควรกระทำ ซึ่งผิดกับวิสัยแห่งพาลชนโดยสิ้นเชิง ขึ้นชื่อว่ากิเลสฝ่ายชั่วย่อมชักนำจิตของคนผู้กอยู่ใต้อำนาจแหงความมืดมล ให้ก่อกรรมอันลามก ไม่รู้จบสิ้น กลายเป็นพาลชนไปในสายตามหาชนทุกถ้วนทั่ว

เมื่อความเป็นพาล ได้เกาะจิตติดไว้ ไม่ยอมปล่อย คนผู้นั้นก็ไม่มีแสงสว่างนำทางมีแต่ความมืดมิดสนิทแนบทุกวี่วัน และราตรีกาล ความเป็นพาล ยิ่งจะทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อเขาได้ประสบพบเจอกับเหตุการณ์ ด้วยสายตาตนเองก็ดี หรือแม้เพียงการได้ยินคำบอกเล่าเรื่องราวจากผู้อื่นก็ดี อันเกี่ยวกับความเจริญ ความรุ่งเรื่องเปรื่องด้วยสติปัญญา หรือลาภยศ ของผู้อื่น แทนที่คนผู้นั้นจะพลอยยินดีกับเขาผู้ได้ดีนั้น กลักลายเป็นว่าเดือดดาน รุกรี้รุกรน ไม่เป็นสุข กระวนกระวายกระสับกระส่าย ใครอยากจะกล่าวว่าต่อว่าให้ฉิบหายไปเสียเดี๋ยวนั้นนั่นเอง หาเหตุผลต่างๆยกขึ้นมาอ้างหาทางบิดเบือน เพราะใจไม่ยอมอนุโมทนาตาม อาการอย่างนั้นคืออาการของความอิสสาริษยา นั่นเอง ความรู้สึกริษยาจนทนไม่ได้ ต้องให้ความร้อนอย่างยิ่ง และผู้ที่ได้รับความร้อนอย่างยิ่งนั้นก็มิใช่ผู้อื่น เป็นเจ้าตัวผู้มีความริษยาเอง

เมื่อความเป็นพาลชนได้เกิดขึ้นมาอย่างเติมตัวเต็มหัวใจ มันย่อมนำพาให้พาลต่อไปไม่รู้จบสิ้น เมตตาธรรมหดหาย กรุณาธรรมจืดจาง มุทิตาธรรมร้างลาจาก แล้วจะเหลืออะไรอีกที่ได้ชื่อว่าเป็นเหตุแห่งความดี การที่เคยให้ความอนุเคราะห์ต่อกันมาก็พลันหายไปด้วย ความตระหนี่ถี่เหนียวย่อมรักรึงดวงจิตไว้ ใจหนึ่งอยากจะอนุเคราะห์ช่วยเหลือเจือจาร แต่อีกใจกลับร้องบอกว่าอย่าเลย ทำไปก็ไม่มีประโยชน์ นั่นคือเสียงแห่งความชั่วร้าย ความตระหนี่ที่มีอยู่ในจิตใจแห่งพาลชน

เมื่อความตระหนี่ได้เกิดขึ้นมาสู่จิต ย่อมนำพาในคนผู้นั้นแสวงหาเพียงเพื่อกอบโกยมาเพื่อตนเอง ไม่มีการแบ่งปันเพื่อใครๆ เกิดมารยา เจ้าเล่ห์ คิดค้นหาอุบายต่างๆ เพื่อการให้ได้มาเพื่อตอบสนองความอยากของตนเอง บางครั้งแม้รู้ทั้งรู้ว่าการกระทำนั้นๆ จะเป็นสาเหตุทำให้ผู้อื่นวิบัติ ก็มาสนใจขอให้ข้าพเจ้าได้ก็พอ

ความฉ้อฉลย่อมเกิดขึ้นมา การคดโกง การว่าร้ายให้โทษผู้อื่นย่อมเกิดขึ้นมา นั่นเป็นธรรมดาของคนพาลแท้ หาใช่ทางแห่งบัณฑิตเลย ความเจ้าเล่ห์ ความเป็นคนเจ้ามายา ย่อมนำพาให้เขากล้าทำทุกๆอย่างได้แม้ว่ามันจะผิด การโอ้อวด เป็นผู้มักอวดอ้าง เอาความดีของผู้อื่นมาเป็นของตนเองย่อมเกิดขึ้น เพราะนั่นไม่ใช่เรื่องยากเลยสำหรับคนพาลเห็นปานนั้น เข้าข่าย ดีข้าเอา ชั่วข้าไม่เอา ทับถมความดีของผู้อื่น ยกตนเองให้เหนือผู้อื่นเสมอ

คนผู้สามารถกระทำได้ถึงปานนั้น จะมีใครๆอีกหละที่จะว่ากล่าวตักเตือนได้ เขามีความเมาในอารมณ์ชั่วเป็นเจ้าเรือนแล้ว เขาเป็นผู้แบกหามไว้แล้วซึงทิฐิอันชั่วช้า ความไม่ยอมฟังผู้อื่น ไม่ใช่แค่เรื่องไม่เป็นเรื่อง แม้ผู้อื่นจะมีเหตุผลมากมาย เขาจะไม่ยอมรับฟังแม้แต่นิดเลย ความหัวดือของเขานั้นเต็มหัวใจเสียแล้ว ทางสว่างก็ยิ่งริบหรี่ลง

การแข่งดี ย่อมมีในจิตของพาลชนไม่ว่างเว้น เขาได้แบกไว้แล้วซึ่งพาระอันหนักหน่วงด้วยความเต็มใจเอง ไม่มีใครๆ ในโลกนี้จะดีเท่าเขาอีก หาหนทางจะดีเด่นกว่าผู้ใดไม่ว่าเว้น เมื่อมีคนทำดีถึงคนผู้นี้จะรู้เขาก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ จะเอาดีให้ได้ แต่ไม่เคยคลายความชั่วช้าในใจตนเองจะต้องสำคัญกว่า ใหญ่กว่า ดังกว่าให้ได้ และความคิดปรุงแต่งเช่นนี้ จะประกอบพร้อมด้วยความขุ่นเคืองขัดใจ หมายมั่นจะต้องกดอีกฝ่ายหนึ่งให้ต่ำลงกว่าตนให้จงได้ นี่คือความแข่งดี ที่ไม่ใช่ความดี ความแข่งดีนี้ ไม่ใช่วิสัยของนักปราชญ์จะกระทำกันเลย

ความยึดถือในชาติวงศ์ตระกูล ความยึดมั่นว่าตนเองประเสริฐกว่าผู้ใด แม้ในเรื่องของการยึดพระวินัยอย่างแน่นเหนียว แต่ขาดธรรมก็ถือเป็น ความถือตัวเช่นกัน เพราะการถือตัวเป็นเหตุทำให้เกิดการแตกแยก แบ่งพรรคแบ่งพวกออกไป ไม่ลงรอยกัน ต่างคนต่างยึดว่าตนเอง เลิศประเสริฐแท้กว่าอีกฝ่าย นั่นก็ไม่ใช่วิสัยแห่งปราชญ์จะกระทำ

การวางตัวอย่างถูกต้องบางทีจะเหมือนเป็นถือตัว แต่ความจริงไม่เหมือนกัน ความไม่ถือตัวมิได้หมายถึงอะไรก็ได้ ใครจะปฏิบัติต่อตนผิดอย่างไรก็ได้ หรือตนจะปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไรก็ได้ ไม่เช่นนั้น สมมติบัญญัติยังมีอยู่ ความถูกต้องตามสมมติบัญญัติต้องรักษาไว้ ต้องระวังให้ถูกต้อง ไม่ใช่ว่าจะถือว่าเป็นผู้ไม่มีมานะความถือตัว คือผู้ต้องยอมให้ผู้น้อย ไม่มีสัมมาคารวะต่อผู้ใหญ่ หรือไม่ใช่จะถือว่าผู้ไม่มีมานะความถือตัวก็คือ แม้ตนจะเป็นผู้ใหญ่ก็นอบน้อมต่อผู้น้อย ราวกับเป็นผู้น้อยยิ่งกว่า

มานะความถือตัวเป็นเรื่องของใจ ใจที่อบรมแล้วอย่างถูกต้องตามธรรมของพระพุทธศาสนานั่นแหละที่ไม่มีมานะถือตัว ส่วนการแสดงเป็นไปอย่างเหมาะสมกับสมมติบัญญัติ ที่ผู้เข้าใจไม่ถูกเพียงพออาจเห็นเป็นมานะได้ จึงเป็นเรื่องเฉพาะตนอย่างแท้จริงและต้องเป็นความรู้สึกอย่างจริงใจของตนเองด้วยว่า ตนเองมีมานะเพียงไร ไม่ใช่ว่าปฏิบัติอย่างหนึ่งและปกปิดความจริงใจบอกว่าใจไม่มีมานะ ปฏิบัติเพื่อความเหมาะสมเท่านั้น การยอมรับกับตนเองอย่างถูกต้องอย่างจริงใจนั่นแหละสำคัญ

เมื่อความหยิ่งยโสโอหังได้เกิดขึ้นแก่จิตของผู้ใดแล้ว ก็ยากยิ่งที่ผู้นั้นจะแลเห็นคุณของผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นคุณด้านคุณวุฒิ หรือ วัยวุฒิก็ตาม คนผู้นั้นจะมีการหมิ่นหยามต่อผู้อื่น ด้วยเพราะความหยิ่งโอหังนั้นนั่นเอง ความอหังการ ความโอหัง ได้เกิดขึ้นในจิตของผู้ใด ผู้นั้นยอมเป็นพาลชน ความหลงคือความเมาอย่างหนัก เมามัวในอัตตาตัวตนนี้ไม่ปล่อยวางลงได้ ความเมาได้เกิดขึ้นกับผู้ใด ผู้นั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้หยุดแล้วซึ่งความเจริญ ความเมามัวเป็นเหตุแห่งความพินาศ

เมื่อเมามัวแล้วย่อมเป็นเหตุของความประมาท ความเลินเล่อทั้งปวง อันเป็นเหตุทำให้ไม่สามารถไปสู่ความเจริญอันสูงสุดได้ เหมือนดังแมลงเม่าหลงมัวเมากับแสงแห่งไฟ ฉันนั้น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 22 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron