วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 08:46  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ต.ค. 2008, 05:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


.
.
.
เป็นอันว่าเราทราบโดยสุตมัยปัญญาและจินตมัยปัญญากันแล้วว่า
สรรพสัตว์ทั้งหลาย ก็เหมือนคนนั่นแหละ ที่มี"จิตเดิม" อยู่
เป็นจิตเดิมอันประกอบด้วยอวิชชา เพียงแต่กำเนิดใน"รูป"ต่างๆกัน


มีคำถามที่น่าสงสัยอยู่ว่า
บรรดาแบคทีเรีย ไวรัส พืช
สิ่งเหล่านี้เป็น"จิตเดิม"ที่กำเนิดอยู่ใน"รูปต่างๆ" หรือเปล่า


พวกเขาพร้อมจะไปจุติเป็นสรรพสัตว์อื่น อาทิ เปรต คน เทวดา.. ได้หรือไม่


มีพระไตรปิฏกหรือมีคำอธิบายสิ่งเหล่านี้ว่าอย่างไร

:b8: :b8: :b8: :b4:
โย่ว!

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ต.ค. 2008, 07:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


แบคทีเรีย และน่าจะรวมไวรัส ในทางธรรม ท่านผู้รู้ท่านประมวลว่า เป็นพืช

"ชีวิตระดับนี้ ถ้าเป็นแบคทีเรีย ก็เป็นพืช การฆ่าเชื้อโรคประเภทนี้ ก็เป็นการทำลายชีวิตพืชหรือเหมือนตัดต้นไม้ "

ท่านเจ้าคุณ พระพรหมคุณาภรณ์




เรื่อง แบคทีเรีย ไวรัส พืข จะมาเกิดใหม่เป็นสัตว์ได้นั้น.... คงไม่มี

ที่มีวินัยบัญญัติไม่ให้ตัดต้นไม้นั้น มีปรากฏในพระไตรปิฎกดังนี้

พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า พวกเธอตัดเองบ้าง ให้คนอื่นตัดบ้าง ซึ่งต้นไม้ จริงหรือ?
ภิกษุชาวรัฐอาฬวีทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉน พวกเธอจึงได้ตัดเองบ้าง ให้คนอื่นตัดบ้าง ซึ่งต้นไม้? เพราะคนทั้งหลายสำคัญในต้นไม้ว่ามีชีวะ การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว-.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

พระบัญญัติ เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะพรากภูตคาม


และ มีอีกเรื่องหนึ่ง ไม่แน่ใจว่าอยู่ในพระไตรปิฎก หรือ ว่าคัมภีร์รุ่นหลัง ....กรณี ที่มีภิกษุไปตัดต้นไม้ที่มีรุกขเทวาอาศัยอยู่เข้า เทวดามาทูลฟ้องพระพุทธองค์



ส่วนสัตว์ชั้นต่ำ เช่น เล็นนั้นสามารถเกิดใหม่เป็นพรหมได้จริง
มีหลักฐานอยู่ในพระไตรปิฎก

http://84000.org/tipitaka/attha/index25b.php

๓. เรื่องพระติสสเถระ [๑๘๔]

พระเถระห่วงใยในจีวร ตายแล้วเกิดเป็นเล็น
ลำดับนั้น พี่สาวของท่านจัดแจงวัตถุมียาคูและภัตเป็นต้น เพื่อประโยชน์แก่ภิกษุสามเณรผู้ทำจีวรของพระติสสะนั้น. ก็ในวันที่จีวรเสร็จ พี่สาวให้ทำสักการะมากมาย.
ท่านแลดูจีวรแล้ว เกิดความเยื่อใยในจีวรนั้น คิดว่า "ในวันพรุ่งนี้ เราจักห่มจีวรนั้น" แล้วพับพาดไว้ที่สายระเดียง, ในราตรีนั้น ไม่สามารถให้อาหารที่ฉันแล้วย่อยไปได้ มรณภาพแล้ว เกิดเป็นเล็นที่จีวรนั้นนั่นเอง.

พระศาสดารับสั่งไม่ให้แจกจีวร
ฝ่ายพี่สาวสดับการมรณภาพของท่านแล้ว ร้องไห้กลิ้งเกลือกใกล้เท้าของพวกภิกษุ. พวกภิกษุทำสรีรกิจ (เผาศพ) ของท่านแล้วพูดกันว่า "จีวรนั้นถึงแก่สงฆ์ทีเดียว เพราะไม่มีคิลานุปัฏฐาก พวกเราจักแบ่งจีวรนั้น" แล้วให้นำจีวรนั้นออกมา.
เล็นวิ่งร้องไปข้างโน้นและข้างนี้ว่า "ภิกษุพวกนี้แย่งจีวรอันเป็นของเรา."
พระศาสดาประทับนั่งในพระคันธกุฎีเทียว ทรงสดับเสียงนั้นด้วยโสตธาตุเพียงดังทิพย์ ตรัสว่า "อานนท์ เธอจงบอก อย่าให้พวกภิกษุแบ่งจีวรของติสสะ แล้วเก็บไว้ ๗ วัน."
พระเถระให้ทำอย่างนั้นแล้ว.

พระศาสดารับสั่งให้แจกจีวรของพระติสสเถระ
แม้เล็นนั้นทำกาละในวันที่ ๗ เกิดในวิมานชั้นดุสิตแล้ว ในวันที่ ๘ พระศาสดารับสั่งว่า "ภิกษุทั้งหลาย จงแบ่งจีวรของติสสะแล้วถือเอา." พวกภิกษุทำอย่างนั้นแล้ว.
พวกภิกษุสนทนากันในธรรมสภาว่า "เหตุไรหนอแล พระศาสดาจึงให้เก็บจีวรของพระติสสะไว้สิ้น ๗ วัน แล้วทรงอนุญาตเพื่อถือเอาในวันที่ ๘."

ตัณหาทำให้สัตว์ถึงความพินาศ
พระศาสดาเสด็จมาแล้ว ตรัสถามว่า "ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ?" เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า "ด้วยเรื่องชื่อนี้"
ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ติสสะเกิดเป็นเล็นที่จีวรของตน เมื่อพวกเธอจะแบ่งจีวรนั้น วิ่งร้องไปข้างโน้นและข้างนี้ว่า "ภิกษุพวกนี้แย่งจีวรอันเป็นของเรา" เมื่อพวกเธอถือเอาจีวรอยู่. เขาขัดใจในพวกเธอแล้วพึงเกิดในนรก เพราะเหตุนั้น เราจึงให้เก็บจีวรไว้. ก็บัดนี้เขาเกิดในวิมานชั้นดุสิตแล้ว เพราะเหตุนั้น เราจึงอนุญาตการถือเอาจีวรแก่พวกเธอ"
เมื่อภิกษุพวกนั้นกราบทูลอีกว่า "พระเจ้าข้า ขึ้นชื่อว่าตัณหานี้หยาบหนอ"
จึงตรัสว่า "อย่างนั้นภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าตัณหาของสัตว์เหล่านี้หยาบ สนิมตั้งขึ้นแต่เหล็ก ย่อมกัดเหล็กนั่นเอง ย่อมให้เหล็กพินาศไป ทำให้เป็นของใช้สอยไม่ได้ ฉันใด. ตัณหานี้ (ก็) ฉันนั้นเหมือนกัน เกิดขึ้นภายในของสัตว์เหล่านี้แล้ว ย่อมให้สัตว์เหล่านั้นเกิดในอบายมีนรกเป็นต้น ให้ถึงความพินาศ."
ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-
๓. อยสา ว มลํ สมุฏฺฐิตํ
ตทุฏฺฐาย ตเมว ขาทติ
เอวํ อติโธนจารินํ
สานิ กมฺมานิ นยนฺติ ทุคฺคตึ.
สนิมตั้งขึ้นแต่เหล็ก ครั้นตั้งขึ้นแต่เหล็กแล้วย่อมกัดเหล็ก
นั่นเอง ฉันใด; กรรมทั้งหลายของตนย่อมนำบุคคลผู้มัก
ประพฤติล่วงปัญญาชื่อว่าโธนา ไปสู่ทุคติ ฉันนั้น.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ต.ค. 2008, 09:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
แบคทีเรีย และน่าจะรวมไวรัส ในทางธรรม ท่านผู้รู้ท่านประมวลว่า เป็นพืช

"ชีวิตระดับนี้ ถ้าเป็นแบคทีเรีย ก็เป็นพืช การฆ่าเชื้อโรคประเภทนี้ ก็เป็นการทำลายชีวิตพืชหรือเหมือนตัดต้นไม้ "

ท่านเจ้าคุณ พระพรหมคุณาภรณ์


กระผมว่าแบคทีเรียและไวรัสนั้นเป็นสัตว์จำพวก สังเสฑชะ (ไม่รุเขียนถูกป่าวนะ) คือพวกกำเนิดจากเหงื่อ ไคล ฯส่วนพืชนั้นไม่แน่ใจว่ามีชีวิตด้วยรึป่าว แต่ที่แน่ใจคือเป็นที่อาศัยและเป็นอาหารของสิ่งมีชีวิตอีกมากมาย ดังนั้นการตัดต้นไม้หรือการทำลายพืชจึงเป็นการเบียดเบียนสัตว์อย่างหนึ่ง จึงมีการกำหนดเป็นข้อห้ามไว้

เหมือนกับร่างกายที่จิตวิญญาณของเราอาศัยอยู่นี้ ก็ยังเป็นที่อยู่อาศัยชองพวกมะเร็งและเชื้อโรคต่างๆอีกมากมาย เราจึงต้องกินอาหารเพื่อให้ร่างกายนี้ยังมีความสด สมบูรณ์อยู่ เพื่อให้สิ่งมีชีวิตต่างๆที่อาศัยอยู่ได้มีอาหาร และเสนาสนะ ที่บริบูรณ์อยู่ การไม่ดูแลสุขภาพตัวเอง หรือการบริโภคสิ่งอันเป็นพิษต่อร่างกายจึงถือเป็นการเบียดเบียนสัตว์ เปรียบเหมือนกับการตัดต้นไม้ :b12: :b12:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ต.ค. 2008, 09:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 09:55
โพสต์: 405


 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุๆ คำตอบของท่านตรงประเด็น #1 ครับ

ผมอ่านพระสูตรแล้วครับ เห็นว่าเล็นไปเกิดในชั้นดุสติได้จริงดังกล่าวครับ
จึงอยากจะทราบความหมายของ "เล็น" คืออะไรครับ ช่วยกรุณาอธิบายเป็นความรู้ด้วยครับ

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ต.ค. 2008, 11:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)


โยนิ กำเนิดของสัตว์มี ๔ จำพวก คือ
๑. ชลาพุชะ เกิดในครรภ์ เช่น คน แมว
๒. อัณฑชะ เกิดในไข่ เช่น นก ไก่
๓. สังเสทชะ เกิดในไคล คือที่ชื้นและสกปรก เช่น หนอนบางอย่าง
๔. โอปปาติกะ เกิดผุดขึ้น เช่น เทวดา สัตว์นรก


สังเสทชะ สัตว์เกิดในของชื้นแฉะโสโครก เช่น หมู่หนอน
(ข้อ ๓ ในโยนิ ๔)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ต.ค. 2008, 11:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


ศิรัสพล เขียน:
สาธุๆ คำตอบของท่านตรงประเด็น #1 ครับ

ผมอ่านพระสูตรแล้วครับ เห็นว่าเล็นไปเกิดในชั้นดุสติได้จริงดังกล่าวครับ
จึงอยากจะทราบความหมายของ "เล็น" คืออะไรครับ ช่วยกรุณาอธิบายเป็นความรู้ด้วยครับ

:b8:



เล็น
ความหมาย

น. ชื่อแมลงหรือสัตว์ขนาดเล็กมาก ที่กัดหรือทําให้เกิดความระคายเคืองต่อร่างกาย ซึ่งอาจหมายถึงพวกไร เหา เห็บ หมัด หรือมด ก็ได้.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ต.ค. 2008, 12:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 09:55
โพสต์: 405


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

ขอบคุณท่านตรงประเด็นครับ ที่ตอบคำถามครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ต.ค. 2008, 13:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุครับสาธุ
:b8: :b8: :b8:
คุณตรงประเด็น

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ต.ค. 2008, 11:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


จิตทุกจิตนั้นเหมือนกันหมดครับ

ต่างกันที่ขันธ์

ในขันธ์ที่เป็นโอปติกะ พรหม เทพ เทวดดา มนุษย์ เปรต สัตวเดรฉาน

ตามหลักที่ว่า ขันธ์คือกรรมเก่า คือตัวกำหนดสภาวะ

เท่านั้น

จิตที่ไม่ถูกกำหนดด้วยขันธ์คือจิตประภัสสรน์

หวังว่าท่านผู้รู้ทั้งหลายคงไม่ทนดูหากผมตอบผิดครับ

กรุณาอย่าอุเบกขา ช่วยผมด้วย

สาธุ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 109 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร