ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
ใครแน่เข้ามา....ท้าประลองอาจารย์ทั้งหลาย http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=18931 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 2 |
เจ้าของ: | ฌาณ [ 04 พ.ย. 2008, 15:36 ] |
หัวข้อกระทู้: | ใครแน่เข้ามา....ท้าประลองอาจารย์ทั้งหลาย |
ลองอ่านดูก่อนนะครับพี่ๆ และอาจารย์ทุกท่าน แล้วค่อยดูเฉลย...ว่าด้วยอัฏฐธรรมปัญหา เมื่อปี พ.ศ. 2233 พระราชสมภารเจ้านิมนต์ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ให้เฉลยปัญหาปฤษณาธรรม 8 ประการ ว่า (1) ทางใหญ่อย่าเที่ยวจร (2) ลูกอ่อนอย่าอุ้มรัด (3) หลวงเจ้าวัดอย่าให้อาหาร (4) ไม้โกงอย่าทำกงวาน (5) ช้างสารอย่าผูกกลางเมือง (6) ถ้าจะให้เปนลูกให้เอาไฟสุมต้น (7) ถ้าจะให้ล่มบรรทุกแต่เบา (8) ถ้าจะเรียนโหราให้ฆ่าอาจารย์ทั้ง 4 เสีย เชิญคิดกันดูก่อนครับ |
เจ้าของ: | ฌาณ [ 04 พ.ย. 2008, 15:46 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ใครแน่เข้ามา....ท้าประลองอาจารย์ทั้งหลาย |
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ถวายวิสัชนา (ความย่อ) (1) ทางใหญ่อย่าเที่ยวจร หมายถึง ทาง 2 ทาง คือ กามสุขัลลิกานุโยค ประกอบด้วยกามสุขในเบญจกามคุณทั้งหลาย 1 อัตตกิลลมถานุโยค ประกอบด้วยวัตรปฎิบัติ อันให้เกิดทุกข์ลำบากแก่ตน 1 ทั้งสองนี้นับเป็นทางใหญ่อย่าเที่ยวจรไป (2) ลูกอ่อนอย่าอุ้มรัด หมายความว่า ลูกอ่อนนั้นได้แก่วงศาคณาญาติ และอุ้มนั้นมี 2 อย่าง อุ้มแล้วรัดอย่างหนึ่ง อุ้มแต่มิให้รัดอย่างหนึ่ง อุ้มหมายความว่าอุปการอุดหนุน แต่อย่าอุ้มรัด คืออุปการบำรุงด้วยตัณหาอุปาทานให้เปนแต่อุปการรักษาญาติวงศ์ทั้งหลาย แต่ตามประเพณีอันมีเมตตาจิต อย่าขัดให้ติดตัวด้วย สามารถละตัณหา อุปาทาน ดุจดังบุคคลอุ้มลูกอ่อน และมิได้รัดเข้าให้ติดตัวฉะนั้น (3) หลวงเจ้าวัดอย่าให้อาหาร หมายความว่า หลวงเจ้าวัดได้แก่จิต อันเป็นประธานเป็นใหญ่แก่เจตสิกทั้งปวง เช่นเดียวกับหลวงเจ้าวัด อันเป็นประธานแก่ภิกษุลูกวัด ที่ว่าอย่าให้อาหารนั้นคือ อย่าให้จิตยินดีต่ออาหารทั้ง 4 คือ กวรึการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร และวิญญาณาหาร เพราะว่าอาหารทั้ง 4 นี้ กอร์ปด้วยภัย 4 ประการ คือ นิกันติภัย อุปคมนภัย อุปปัตติภัย และปฎิสนธิภัย (4) ไม้โกงอย่าทำกงวาน หมายความว่า กงวานทั้งปวงเป็นอุปการแก่สำเภาให้แข็งแรงมั่นคง สำเภาที่ไม่มีกงวาน มิอาจทนทานกำลังระลอกในท้องทะเลได้ ก็จะอับปางลง มิอาจข้ามทะเลได้ กงวานนั้นให้เอาไม้ตรงทำอย่าเอาไม้โกงมาทำฉันใด พระโยคาวจร ผู้ปราถนาจะข้ามทะเลคือ สังสารวัฏ ให้ถึง นฤพาน ก็ฉันนั้น อย่าส้องเสพด้วยคนอันคดอันโกง อันเป็นอสัตบุรุษ ให้ส้องเสพด้วยคนอันซื่อตรง เป็นสัตบุรุษจึงจะข้ามสงสารถึงนฤพานได้ตามปราถนา อันว่ากัลยาณมิตร อำมาตย์ ทาสกรรมกรนั้น เปรียบด้วยกงวานสำเภา จิตแห่งโยคาวจรนั้น ดุจพานิชนายสำเภาแล (5) ช้างสารอย่าผูกกลางเมือง หมายความว่า ช้างทั้งหลายมิได้ยินดีจะอยู่ในเมือง ย่อมยินดีจะอยู่แต่ในป่าอย่างเดียวฉันใด พระโยคาวจรผู้เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ก็ฉันนั้น มิได้ยินดีในสังขารธรรมทั้งปวง แต่ยินดีอยู่ในนฤพานอันระงับกิเลสธรรมนี้ ให้เดือดร้อนกระวนกระวาย ช้างสารคือพระโยคาวจรอย่าผูกนั้นคือ นิพพิทานุปัสสนา กลางเมืองนั้นคือสังขารธรรม (6) ถ้าจะให้เป็นลูกให้เอาไฟสุมต้น หมายความว่า ลูกนั้นได้แก่ผลทั้ง 4 คือ โสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล และอรหัตตผล ไฟนั้นได้แก่มรรคญาณทั้ง 4 คือ โสดาปัตติมรรค สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค และอรหัตตมรรค ต้นนั้นคือกิเสสธรรมอันมีอวิชชาตัณหาเป็นมูล พระโยคาวจรผู้ปราถนาผลทั้ง 4 นั้น ให้ฟังเจริญวิปัสสนากรรมฐาน เผาเสียซึ่งกิเลสธรรมอันเป็นสัญโยชน์อันเป็นมูลเสีย ดุจเอาไฟสุมต้น ฉะนั้น (7) ถ้าจะให้ล่มให้บรรทุกแต่เบา หมายความว่าสำเภาอันบรรทุกสินค้าเบา มีฝ้ายและผ้าแพรไหม เป็นต้น หาศิลากดท้องอันเป็นอับเฉามิได้นั้น พอชักใบกระโดงขึ้นให้เต็มกำลัง ครั้นลมแรงพัดต้องใบนั้น สำเภาก็จะหกคว่ำลงฉันพลัน ถ้ามีศิลาหรือของหนักเป็นอับเฉาแล้ว สำเภานั้นก็มิได้ล่ม และจะท่องเที่ยวไปมาอยู่ในท้องทะเลสิ้นกาลช้านาน อันพระโยคาวจรผู้ปราถนาจะให้ถึง อนุปาพิเสสนิพพานธาตุ มิให้บังเกิดในวัฏสงสารสืบไปนั้น พึงบรรทุกแต่ของเบา คือกุศลธรรมทั้งหลายจึงจะพลันถึงนฤพาน มิได้ท่องเที่ยวไปในวัฏสงสาร ดุจสำเภาอันบรรทุกแต่เบาและพลันล่มลงฉะนั้น (8) ถ้าจะเรียนโหราให้ฆ่าอาจารย์ทั้ง 4 เสีย หมายความว่า คัมภีร์ในโหรานั้น ได้แก่วิชชา 3 คือ ทิพพจักษุญาณ บุพเพนิวาสญาณ และอาสวักขยญาณ อาจารย์ทั้ง 4 นั้นได้แก่ อุกศลธรรมทั้ง 4 คือ โลภะ โทสะ โมหะ และมานะ พระโยคาวรผู้ปราถนาวิชชา 3 ประการนั้น ก็พึงฆ่าอาจารย์คือ อกุศลธรรมทั้ง 4 นั้นเสีย ไปไงครับอาจารย์ทุกท่าน |
เจ้าของ: | natdanai [ 05 พ.ย. 2008, 09:25 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ใครแน่เข้ามา....ท้าประลองอาจารย์ทั้งหลาย |
ประเทืองปัญญาอย่างมากครับท่านฌาณ.... |
เจ้าของ: | จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ [ 05 พ.ย. 2008, 09:49 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ใครแน่เข้ามา....ท้าประลองอาจารย์ทั้งหลาย |
ถ้าหากท่านทั้งหลายคิดว่า มันมีประโยชน์ ท่านทั้งหลายก็พิจารณาไปเถิด สำหรับข้าพเจ้าคิดว่า ไร้สาระขอรับ ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย เอาที่อ่านแล้วบรรลุธรรมได้เลยมีไหมขอรับ |
เจ้าของ: | ฌาณ [ 05 พ.ย. 2008, 15:23 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ใครแน่เข้ามา....ท้าประลองอาจารย์ทั้งหลาย |
อ้างคำพูด: ถ้าหากท่านทั้งหลายคิดว่า มันมีประโยชน์ ท่านทั้งหลายก็พิจารณาไปเถิด สำหรับข้าพเจ้าคิดว่า ไร้สาระขอรับไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย เอาที่อ่านแล้วบรรลุธรรมได้เลยมีไหมขอรับ ได้เลยครับ....อันนี้เลยครับอาจารย์.....
|
เจ้าของ: | natdanai [ 05 พ.ย. 2008, 15:50 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ใครแน่เข้ามา....ท้าประลองอาจารย์ทั้งหลาย |
ท่านฌาณอ่านจบรึยังครับ....แล้วเริ่มปฏิบัติตามมากี่เดือนแล้วครับ.. |
เจ้าของ: | ฌาณ [ 05 พ.ย. 2008, 16:09 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ใครแน่เข้ามา....ท้าประลองอาจารย์ทั้งหลาย |
สวัสดีครับพี่ ผมอ่านจบมา 3 ปีแย้วครับ แต่.....ไม่ได้ปฏิบัติเลย....อะครับ สงสัยต้องเป็น 7 อสงไขยบรรลุธรรมเป็นแน่แท้ เอาที่อ่านแล้วบรรลุธรรมเลยก็มี....ลองดูครับ ธรรมที่ทำให้บรรลุเร็ว เมื่อพระสัมมาสัมพุทธะเจ้าทรงพระชนม์อยู่ พระองค์ก็ได้เทศนาสอนหมู่ภิกษุทั้งหลายตามพระบาลีในพระไตรปิฏกมีอยู่ว่า “อิเมหิ ฉะหิภิกขะเว ธัมเมหิ สนันนาคะโต นะ จิรัสเสวะ มะหันตัง เวปุลลัง ปาปุณาติ ธัมเมสุ” แปลว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายผู้เห็นภัยในวัฏฏะสงสาร ธรรม 6 ประการอันภิกษุทั้งหลายได้ปฏิบัติแล้วย่อมถึงความไพบูลย์อันยิ่งใหญ่ในธรรมอย่างรวดเร็ว 1.อาโลกะพาหุโล มากไปด้วยแสงสว่าง คือ ปัญญาคือการศึกษา 2.โยคะพะหุโล มากไปด้วยความเพียร ให้หมั่นปฏิบัติอย่าเกียจคร้าน คือ อย่าคุยกันมากอย่าทำการงานต่างๆ โดยไม่มีการการกำหนด อย่าสังคมกันมาก อย่ากินมาก จงเป็นผู้สำรวมอินทรีย์ 6 ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จงมีฉันทะในการปฏิบัติ จงกำหนดอารมณ์ที่เกิดขึ้น และอารมณ์ที่หายไป สิ่งเหล่านี้จะทำให้บรรลุเป้าหมายอย่างรวดเร็ว 3.ปีติพะหุโล คือ มากไปด้วยปีติ ความอิ่มใจ ความเบิกบานใจต่อการศึกษาต่อการปฏิบัติ 4.อะสันตุฏฐีพะหุโล คือไม่อิ่ม ไม่พอในการทำความดี เช่น เณรบางคนท่องปาฏิโมกข์ได้ บางคนควบประโยค 1 – 2 5.อนิหิตะทุโล ไม่ทอดธุระในกุศลธรรมทั้งหลาย คือ ยินดีในกุศลทั้งหลายอันใด เป็นกุศลทำทุกครั้งเมื่อมีโอกาส 6.อุตตะลินจะปัตตาเลติ เป็นผู้ไม่ถอย ก้าวไปเรื่องในการทำความดีในการศึกษา ในการปฏิบัติ ก้าวไปไม่ถอยหลังเพื่อจะให้ถึงฝั่งจะเป็นผู้บรรลุธรรมเร็ว ผู้ประกอบด้วยธรรม 6 ประการนี้จะถึงซึ่งความสำเร็จ |
เจ้าของ: | natdanai [ 05 พ.ย. 2008, 16:19 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ใครแน่เข้ามา....ท้าประลองอาจารย์ทั้งหลาย |
ฌาณ เขียน: สวัสดีครับพี่ ผมอ่านจบมา 3 ปีแย้วครับ แต่.....ไม่ได้ปฏิบัติเลย....อะครับ สงสัยต้องเป็น 7 อสงไขยบรรลุธรรมเป็นแน่แท้ อย่าให้ถึงขนาดนั้นเลยครับท่านฌาณ |
เจ้าของ: | สุนันท์ [ 05 พ.ย. 2008, 19:51 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ใครแน่เข้ามา....ท้าประลองอาจารย์ทั้งหลาย |
เจ้าของ: | ผ้าขี้ริ้ว [ 06 พ.ย. 2008, 08:16 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ใครแน่เข้ามา....ท้าประลองอาจารย์ทั้งหลาย |
เจ้าของ: | อินทรีย์5 [ 06 พ.ย. 2008, 12:52 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ใครแน่เข้ามา....ท้าประลองอาจารย์ทั้งหลาย |
นิยาย 7 เดือน บรรลุธรรม อ่านแล้วเป็นนิยายที่จรรโลงใจ แต่จะทำตาม คงไม่ได้ อ่านไว้เป็น ข้อคิดเฉยๆ เพราะพอปฏิบัติจริงต้องเห็นแก่นแท้ของสมถะและแก่นแท้ของวิปัสสนาจึงจะประคับ ประคอง ให้เดินทางไปสู่โมกขธรรมได้ ผมว่าอย่างเก่ง 7 ปีน่าจะทำได้สำหรับคนในยุคนี้ แต่7เดื่อน ผมว่าทำได้ยาก ยากมากๆ 7เดือนได้ก้คงเป็นเทวดา หรือพรหมชั้นสูงๆเท่านั้น เป็นบุญในระดับกลาง ยังไม่ใช่บุญระดับพอจะตัด/ประหารสังโยชน์หรือนิวรณ์ธรรมได้ ปล. อ่านแล้วสนุกดีครับ แต่นิยายก็คือนิยาย ใช่เปนแนวปฏิบัติคงเอาไปใช้ไม่ได้มาก |
เจ้าของ: | เสฏฐวุฒิ [ 09 พ.ย. 2008, 19:51 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ใครแน่เข้ามา....ท้าประลองอาจารย์ทั้งหลาย |
ฟังเรื่องราวของครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้ว ทำให้เห็นว่าธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ใครได้ปฏิบัติให้ถึงที่สุดแล้วจะพบกับความอัศจรรย์จริงๆ |
เจ้าของ: | บุญชัย [ 14 พ.ย. 2008, 10:18 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ใครแน่เข้ามา....ท้าประลองอาจารย์ทั้งหลาย |
รัก โลภ โกรธ หลง |
เจ้าของ: | โปเต้ [ 15 พ.ย. 2008, 09:23 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ใครแน่เข้ามา....ท้าประลองอาจารย์ทั้งหลาย |
สาธุค่ะ คุณฌาณ ที่นำของดีๆมาฝากกัน ได้ข้อคิด แง่คิดตามลำดับขั้น ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คงมองข้าม ประมาณว่าเหมือนจะรู้เรื่อง แต่ตอนนี้สะดุดกึก ... กำลัง feed หลวงเจ้าวัดอย่างหนุกหนาน โดยมีข้ออ้างสารพัน ทางสายกลางนี่เดินลำบากจริงๆ ผิดนิดผิดหน่อยก็จะเข้าสู่ทางสายใหญ่ง่ายๆเลย ขอน้อมนำไปไว้พิจารณาค่ะ |
เจ้าของ: | student [ 14 พ.ค. 2010, 00:02 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ใครแน่เข้ามา....ท้าประลองอาจารย์ทั้งหลาย |
เทวดาต้องการรู้ว่าพระพุทธเจ้าบรรลุธรรมจริงหรือไม่ ยืนพนมมืออยู่ห่างห่างแล้วสร้างคำถาม ท่านข้ามห้วงโอฆะนี้ได้อย่างไร? เทวดามีมุมมองต่อมนุษย์ว่าสกปรกมีกลิ่นเหม็นแต่เพราะกลิ่นศีลของพระพุทธเจ้าจึงปรากฏตัวออกมา ด้วยความรู้สึกไม่ค่อยเชื่อแต่ต้องการรู้ พระพุทธเจ้าทรงตอบว่า เราไม่หยุด และเราไม่พยายามเราข้ามห้วงโอฆะนี้ได้ เทวดาได้รับคำตอบ อนุโมทนา แล้วกล่าวสัญเสริญพระพุทธเจ้าว่านานแล้วหนอไม่ได้เจอ คนที่ข้ามห้วงโอฆะอันหมู่ชนข้ามยาก แล้วจากไป ความหมายของพระพุทธเจ้าคือต้องการลดความถือตัวของเทวดาองค์นี้เสียก่อนด้วยการตอบคำถาม โดยให้ได้คิดตาม ไม่หยุดคือไม่หยุดทำความเพียร อันความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส ไม่พยายามคือไม่สร้างตัญหาพอกพูนขึ้นไปเรื่อยเรื่อยเหมือนดินพอกหางหมู อ้างอิงจาก พระสุตตันตปิฏก สังยุตตนิกาย วัดบวรนิเวศวิหาร โดย พระราชธรรมนิเทศ 2/2533 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 2 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |