ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
การสวดมนต์ การแผ่ส่วนกุศล กับการรักษาโรค http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=19379 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | heungseong [ 04 ธ.ค. 2008, 21:03 ] |
หัวข้อกระทู้: | การสวดมนต์ การแผ่ส่วนกุศล กับการรักษาโรค |
ผมได้อ่านบทความของหลวงพ่อจรัญและจากหนังสือธรรมะอื่นๆ และได้ทราบว่า การสวดมนต์และการอุทิศส่วนกุศลให้ผู้อื่นสามารถรักษาโรคได้ของทั้งตัวเองและผู้ที่เราอุทิศให้ ยกเว้นโรคที่เกิดจากอุตินิยาม ผมเกิดข้อสงสัยขึ้นมาว่า หากเป็นเช่นนั้นจริง ทำไมผู้ติดเชื้อ HIV ที่วัดพระบาทน้ำพุจึงจบชีวิตลงทั้งๆ ที่อาจสามารถสวดมนต์หรือทำสมาธิได้ หรือพระที่วัดอาจช่วยอุทิศส่วนกุศลให้ได้ หรืออาจเป็นเพราะว่ามีกรรมหนักจนเกินไป ผมไม่ได้มีเจตนาลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์แต่อย่างใดนะครับ หากมีข้อความที่ไม่เหมาะสม ก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ และขอให้ผู้รู้ช่วยให้ความกระจ่างด้วยครับ |
เจ้าของ: | heungseong [ 05 ธ.ค. 2008, 20:37 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การสวดมนต์ การแผ่ส่วนกุศล กับการรักษาโรค |
ผมได้เข้าไปตั้งกระทู้ถามในเว็บไซต์หลวงพ่อจรัญด้วยครับ ยังไงลองเข้าไปดูคำตอบได้ที่ http://www.jarun.org/v6/board/viewtopic.php?t=11155 |
เจ้าของ: | -dd- [ 06 ธ.ค. 2008, 15:22 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การสวดมนต์ การแผ่ส่วนกุศล กับการรักษาโรค |
โรคบางอย่าง ก็เป็นโรคที่ต้องพึ่งยา..พึ่งหมอ พึ่งการผ่าตัด โรคบางอย่าง การใช้ยาก็ไม่ช่วยมาก ดีไม่ดี ก็พลอยย่ำแย่ไปด้วย โรคบางอย่าง ต้องใช้การออกกำลังกายช่วยด้วย โรคบางอย่าง ต้องใช้ใจที่ดี รักษา คำว่าโรคภัยนั้น พึงทราบว่า เกิดจากความบกพร่องเรื่องสมุฏฐานของรูป ได้แก่ กรรม จิต อุตุ และอาหาร (อาหารที่ใช้ดื่ม กิน และยา ก็จัดว่าเป็นอาหาร) หากป่วยเป็นไข้ อุตุภายในเสียหาย บกพร่อง การออกกำลังกายก็เป็นโทษมาก อาจจะถึงกับเสียชีวิต ในโรคที่เรียกว่า โรคร้ายบางอย่าง เช่นโรคมะเร็ง..ในบางระดับก็รักษาในแผนใหม่ได้ แต่คนที่เป็นมาก ก็เพียงแต่รักษาตามอาการเท่านั้น แล้วหันมาดูแลตนให้เหมาะควร ปรับปรุงสมุฏฐานเสียใหม่ ที่กล่าวในที่นี้ ไม่ได้คิดจะเพิกต่อการรักษาของแพทย์ แต่บางครั้งก็เป็นเรื่องที่อาจจะต้องพิจารณาประกอบกัน ไม่ได้มุ่งหมายปฏิเสธการแพทย์ปัจจุบันแต่ประการใด ในชีวิตได้พบคนที่เป็นมะเร็ง ๖ คน ที่เป็นคนรู้จักกัน... คุณป้าท่านหนึ่งอายุ ๘๓ ปี ลูกๆเป็นแพทย์สองถึงสามคน ตัวคุณป้าเป็นมะเร็งเต้านม ไม่ยอมรักษากับลูก ได้แต่หันมาดูแลเรื่องอาหารและการออกกำลังกาย คุณป้ามีความเสียใจ มากด้วยความทุกข์ที่ตนเก็บงำไว้มาตลอด แต่คุณป้าเปิดหน้าอกให้ดู ก็พบว่า เหมือนมะขามเน่าแห้ง ไม่กินฝักต่อ ค่อยๆแห้งไป ท่านก็อยู่มาหลายสิบปี คนที่ ๒ เพื่อนชาวเยอรมันท่านหนึ่ง เครียดมากในชีวิต ในที่สุดก็พบว่าเป็นมะเร็งลำใส้ขั้นต้น ผ่าตัดไปแล้วก็หายได้โดยไม่ต้องใช้เคมี แค่เพียงตัดส่วนที่เสียออกไปเท่านั้น คนที่ ๓.ต่อมานับถือเป็นญาติ สนิทกัน ดื่มสุรามาก ผิดศีล เป็นมะเร็งหลอดอาหาร ..ปกติแข็งแรงมากโดยพื้นฐาน รักษาในโรงพยาบาลเพียงแปดเดือนก็เสียชีวิต.. ก็เหมือนผลไม้ถูกสอยร่วงพื้นดินทีเดีย..เขาไม่ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตนเรื่องการกินเลย กินทุกอย่างที่อยากกิน ไม่สนใจว่าแสลงหรือไม่ เพราะบอกว่า หมอไม่ได้ห้าม.. คนที่๔.. ต่อมา ได้รู้จักกัน เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง คนนี้ไม่ยอมเข้ารักษาเคมีบำบัด หนีออกจากโรงพยาบาลขณะรอพบหมอ..บอกกะตนเองว่า ไม่รักษาก็ตาย รักษาก็ตาย เราจะรักษาตนเองนั่นแหละ อย่างน้อย ไม่เสียเงิน ไม่ทรมานเพราะยังช่วยเหลือตนเองได้..น้ำหนักของเขาหายไป ๒๔ กก. ลุกไม่ขึ้น ในที่สุดก็เลือกคั้นนำผลไม้ต่างๆรับประทาน จึงเพิ่มน้ำหนักได้ ๘ กก. มีกำลังใจแล้ว ก็เพิ่มเติมด้วยการฝึกสมาธิ เพื่อกำจัดความกลุ้มรุมของอกุศลในจิตใจ หมั่นเจริญกุศล กำจัดเรื่องที่กัดกร่อนกินใจไปเสียได้..พอเริ่มมีกำลังก็ออกกำลังกายเบาๆ และเพิ่มมากขึ้น... เดี๋ยวนี้ ตัวอย่างกับยักษ์ ผมถามว่า โรคของท่านหายดีแล้วหรือ?..เขาบอกว่า ก็อยู่กันคนละบ้านครับ เป็นเพื่อนบ้านกับมะเร็ง คือ หากผมกินอะไรผิด เขาก็โวยวายว่า เพื่อนบ้านทำความเดือดร้อน ...ผมก็เริ่มต้นสำรวมเรื่องการกินใหม่..เขาก็จะหยุดโวยวาย ก้อนมะเร็งก็ใหญ่ได้เล็กได้ตามพฤติกรรมการกินของผม..คนนี้ อยู่ได้ดีเพราะอาหารปัจจัย ...และอุตุคือการบริหารความเย็นความร้อนของกาย การออกกำลังกาย และจิตใจที่ดีเป็นปัจจัย เรียกว่า อะไรๆหากอยู่ในวิสัยที่แก้ได้ ก็แก้ให้ครบ..นับว่า เป็นคนป่วยที่แข็งแรงที่สุดในโลกเพราะโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองเรียกว่าหมดทางเยียวยา ตายสถานเดียวอยู่ได้ไม่เกิน ๔ เดือน..นี่อยู่มาเป็นสิบๆปีและแข็งแรงมากเท่าที่เคยเห็นทีเดียว คนที่ ๕ ป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร..พนักงานท่านหนึ่งหน้าเศร้า มาลากิจว่าจะต้องไปเยี่ยมแม่ที่หมอบอกว่า อาจจะต้องผ่าตัดเพราะเป็นมะเร็งที่กระเพาะอาหาร..ผมถามว่า ท่านอายุเท่าหรือหรือ? เขาก็บอกว่า ๗๕ ปี...ถามว่า คุณแม่ทราบไหมว่าเป็นโรคร้าย?.... เขาบอกว่าไม่ทราบ..ก็บอกว่า ปล่อยท่านเถอะ อายุมากแล้วท่านจะทานทนต่อการรักษาไม่ไหว ให้ใช้เปลี่ยนอาหาร ให้ขับถ่ายให้ได้ทุกวัน..ให้ท่านมีความชื่นบานตามปกติ..ปรากฏว่า อีกหนึ่งปีไปตรวจ ไม่พบโรคร้ายแต่อย่างใด เป็นปกติดีทุกอย่าง คนสุดท้าย เป็นมะเร็งลำใส้ ทานอาหารผิดๆ ทำงานมาก เพราะหมกมุ่นในการงาน ชอบทำงาน ทำไปเครียดไปไม่รู้ตัว กว่าจะรู้ก็เป็นมะเร็งลำใส้ พบแพทย์ผ่าตัด ฉายแสงให้คีโมครบเซ็ท อยู่มา ๓-๔ปี พบว่าลามไปที่ปอด ก็ผ่าปอดอีก ก็ไปไปกันเรื่อยๆราวกับเป็นกองคาราวารทีเดียว ท่องเที่ยวไปตามอวัยวะต่างๆ เพราะไม่ได้แก้ต้นเหตุหรือเปล่า ก็ไม่อาจจะวินิจฉัยได้ ดังนั้น ในบางคนในบางกรณี การรักษาก็ช่วยได้ ในบางคนรักษาแล้วก็ต้องตายอยู่ดี บางบุคคลไม่ได้รักษาแต่รักษาตนเองให้ถูกต้อง ก็ช่วยได้ ทั้งหลายขึ้นอยู่กับกรรม เพราะเหล่านี้ เป็นผลของกรรมโดยมีความเพียรผิดๆในปัจจุบันเป็นเหตุใกล้ เพียรผิดทางความคิด ทางจิตใจ เพียรผิดที่ละเลยการออกกำลังกาย เพียรผิดที่จะเสพอาหารอันเป็นของแสลง เช่นบุหรี่ หรือเหล้า เป็นต้น ดังนั้น หากปรารภว่า แม้โรคร้ายนี้ ก็นับว่าโอกาสรอดได้แสนยาก แม้จะเพียรรักษาหรือไม่ เราก็จักต้องตาย เพราะความตายเป็นของธรรมชาติเกิดแก่ทุกคน... บัดนี้ เราจะถือเอาเวลาที่เหลืออยู่ทำกุศล เลือกปฏิบัตตนให้เหมาะสม...ไม่เป็นทุกข์เดือดร้อน ดูแลกายให้เหมาะสมด้วย อาหาร การออกกำลัง หมั่นเจริญกุศลด้วยจิตใจมากด้วยเมตตาไม่เบียดเบียน รักษาศีลให้อุกฤษตลอดชีวิตของตน... ก็เวลาแห่งชีวิตที่เป็นไปในอาการอย่างนี้ บุคคลนั้นย่อมมีความสงบของใจ เกิดบุญมากมายโดยไม่เดือดร้อน..บางทีอายุยืนกว่าคนที่ประมาท ตายด้วยอุบัติเหตุบ้าง ตายเพราะทะเลาะวิวาทบ้าง..เห็นมีมากมาย ทั้งนี้ ข้อความทั้งหมด ไม่ได้เพ่งให้ท่านถือเอาว่า ไม่ควรรักษากับแพทย์ ท่าน จงพิจารณา ด้วยเหตุผลเอาก็แล้วกัน พึงปฏิบัติต่อตนอย่างผู้ที่พิจารณาเรื่องจิตใจและร่างกายที่สอดคล้องกันเป็นสำคัญ .ที่แน่ๆอย่าลืมเอาเวลาของชีวิตสร้างที่พึ่ง ที่เกาะสืบไป ..นี่นับเป็นโอกาสทองของท่าน อย่างแท้จริง..และหากกุศลที่ท่านเพียรเจริญนั้นมีกำลังเข้าอุปการะผลบุญที่เคยช่วยเหลือชีวิตใครต่อใครมาก่อน ย่อมเป็นปัจจัยเปิดโอกาสให้ผลบุญอย่างนั้นเข้าอุปถัมภ์ท่านเช่นกัน.. |
เจ้าของ: | ฌาณ [ 08 ธ.ค. 2008, 10:40 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การสวดมนต์ การแผ่ส่วนกุศล กับการรักษาโรค |
อ้างคำพูด: การสวดมนต์และการอุทิศส่วนกุศลให้ผู้อื่นสามารถรักษาโรคได้ของทั้งตัวเองและผู้ที่เราอุทิศให้ เราทุกคนต่างมีเจ้ากรรมนายเวรของเรามาแต่ชาติปางไหน ไม่รู้ในสังสารวัฏอันยาวนานเนี่ยต้องเคยประมาทล่วงเกินกันบ้าง จะโดยเจตนาก็ดี มิได้เจตนาก็ดี การขอขมาและอุทิศส่วนกุศลจึงเหมือนการขอโทษเจ้ากรรมนายเวร ผ่อนหนักกลายเป็นเบาได้ อ้างคำพูด: ผมเกิดข้อสงสัยขึ้นมาว่า หากเป็นเช่นนั้นจริง ทำไมผู้ติดเชื้อ HIV ที่วัดพระบาทน้ำพุจึงจบชีวิตลงทั้งๆ ที่อาจสามารถสวดมนต์หรือทำสมาธิได้ หรือพระที่วัดอาจช่วยอุทิศส่วนกุศลให้ได้ หรืออาจเป็นเพราะว่ามีกรรมหนักจนเกินไป กรรมนั่นเองครับ เราทุกคนก่อกรรมอะไรมามากมาย ยกตัวอย่างเราไปชกหน้าใครสักคน ........เราขอโทษเค้าครั้งเดียวบางคนก็ให้อภัย ....... บางคนก็ไม่ยกโทษให้ ........ บางคนต้องขอโทษหลายๆหนถึงจะยอม ..........บางคนยอมลดให้ครึ่งเดียว เรื่องกรรมละเอียดอ่อนมาก ยากที่จะสรุปอะไรได้ในสังสารวัฏอันยาวนาน(อจินตรัย) ![]() |
เจ้าของ: | บุญชัย [ 08 ธ.ค. 2008, 11:48 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การสวดมนต์ การแผ่ส่วนกุศล กับการรักษาโรค |
โรคบางอย่างเกิดจากเชื้อร้าย ทำสมาธิ สวดแผ่ให้ ยังไงเชื้อโรคคงไม่ยอมหรอกครับ |
เจ้าของ: | อินทรีย์5 [ 10 ธ.ค. 2008, 13:19 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การสวดมนต์ การแผ่ส่วนกุศล กับการรักษาโรค |
![]() และได้เห็นกำลังใจของน้องอาร์มที่ต่อสู้กับโรคร้ายจนถึงวินาทีสุดท้ายของความตายโดยอาศัยความเมตตาจากท่านเจ้าคุณพระอุดมประชาทร(หลวงพ่อวัดพระบาทน้ำพุ)เป็นกำลังใจเสมอมาหรือเทียบได้กับพ่อแม่คนหนึ่งก็ว่าได้ แล้วท่านยังให้โอกาสน้องอาร์มได้บวชเป็นสามเณรยึดถือเป็นที่พึ่งทางใจในช่วงเวลาหนึ่ง (เกริ่นมาซะยาวเรย) ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |