ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
เมื่อเจอสภาวะจิตเช่นนี้ ควรทำอย่างไรต่อไป.. http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=19488 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 2 |
เจ้าของ: | แมวขาวมณี [ 11 ธ.ค. 2008, 17:22 ] |
หัวข้อกระทู้: | เมื่อเจอสภาวะจิตเช่นนี้ ควรทำอย่างไรต่อไป.. |
...จิตมีอาการสงบ นิ่งๆ คล้ายตกภวังค์ มันหยุดคิด หยุดภาวนาไปเฉยๆ เป็นบ่อยขึ้นทั้งหลังจากสวดมนต์ หรือบางครั้งนั่งทำอะไรเพลินๆ อยู่ มันจะหยุดทำ หยุดคิด บางครั้งขับรถก็เป็นค่ะ แต่ไม่รู้สึกกลัวนะ รู้ว่าตัวเองกำลังขับรถ ก็ดึงความสนใจให้ลงมาที่ตัวตน ไม่เหมือนหลับใน (เพราะเคยหลับในค่ะ แค่ครั้งเดียวกลัวมากเลยตอนนั้น) เห็นทุกสิ่งกำลังดำเนินไปตามสภาพของมัน รู้สึกเพลินๆ สบายๆ กลัวติดในอารมณ์นี้นานไปเสียประโยชน์ที่พึงได้ พึงเจริญให้เกิดขึ้น ท่านใดเมตตาชี้แนะด้วยค่ะ ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | ร่มเย็นเป็นสุข [ 11 ธ.ค. 2008, 17:40 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เมื่อเจอสภาวะจิตเช่นนี้ ควรทำอย่างไรต่อไป.. |
หมั่นเจริญสติ ให้ต่อเนื่องในชีวิตประจำวัน การสวดมนต์ ก็ขอให้สวดมนต์เสียงดังๆ เปลี่ยนอิริยาบทจากนั่งสมาธิ เป็นเดินจงกรม สมาธิกับสติ ควรฝึกอย่างเกื้อหนุนกัน |
เจ้าของ: | jojam [ 11 ธ.ค. 2008, 18:28 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เมื่อเจอสภาวะจิตเช่นนี้ ควรทำอย่างไรต่อไป.. |
อย่าทิ้งคำบริกรรม ตามหา "พุทโธ" ปล.บ่อปลาที่มีตัวให้เห็น ย่อมดีกว่า .. บ่อที่ว่าง .. คล่องชำนาญ จากประสบการณ์ ที่มีมา.. ไม่ใช่หรือ? |
เจ้าของ: | ทางเดินที่พ้นทุกข์ [ 11 ธ.ค. 2008, 19:42 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เมื่อเจอสภาวะจิตเช่นนี้ ควรทำอย่างไรต่อไป.. |
ให้ดูไปตามความเป็นจริงว่าจิตเป็นอย่างไร เช่น จิตเฉยก็รู้ว่าเฉยจิตเป็นอย่างไรก็ให้รู้ไปตามความเป็นจริง โดยไม่ต้องไปแทรกแซง ก็จะเห็นสภาวะการเกิดดับของจิตว่าไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน ไม่สามารถบังคับได้ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของไม่เที่ยง จิตที่นิ่งเดี๋ยวมันก็หลงเดี๋ยวมันก็ไหลไปตามสิ่งที่มากระทบทางอายตนะ 6 เพียงแค่เราตามรู้ไปโดยไม่ไปหลงคิด หรือไปคิดทำอย่างไรให้จิตไม่เป็นอย่างนั้น ก็จะเห็นว่าจิตนั้นเป็นของไม่เที่ยง เดี๋ยวก็นิ่งเดี๋ยวก็หลงเดี๋ยวก็เผลอ ให้ตามดูตามรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริงไปจนจิตเห็นไตรลักษณ์ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของไม่เทียงไม่มีตัวตน สติ ความระลึกได้, นึกได้, ความไม่เผลอ, การคุมใจไว้กับกิจ หรือกุมจิตไว้กับสิ่งที่เกี่ยวข้อง, จำการที่ทำและคำที่พูดแล้ว แม้นานได้ (ข้อ ๑ ในธรรมมีอุปการะมาก ๒, ข้อ ๓ ในพละ ๕, ข้อ ๙ ในนาถกรณธรรม ๑๐, ข้อ ๑ ในโพชฌงค์ ๗, ข้อ ๖ ในสัทธรรม ๗) แสดงผลการค้น ลำดับที่ 16 / 28 สติปัฏฐาน ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งสติ, ข้อปฏิบัติมีสติเป็นประธาน, การตั้งสติกำหนดพิจารณาสิ่งทั้งหลายให้รู้เห็นเท่าทันตามความเป็นจริง, การมีสติกำกับดูสิ่งต่างๆ และความเป็นไปทั้งหลาย โดยรู้เท่าทันตามสภาวะของมัน ไม่ถูกครอบงำด้วยความยินดียินร้าย ที่ทำให้มองเห็นเพี้ยนไปตามอำนาจกิเลส มี ๔ อย่างคือ ๑. กายานุปัสสนา สติปัฏฐาน การตั้งสติกำหนดพิจารณากาย, การมีสติกำกับดูรู้เท่าทันกายและเรื่องทางกาย ๒. เวทนานุปัสสนา สติปัฏฐาน การตั้งสติกำหนดพิจารณาเวทนา, การมีสติกำกับดูรู้เท่าทันเวทนา ๓. จิตตานุปัสสนา สติปัฏฐาน การตั้งสติกำหนดพิจารณาจิต, การมีสติกำกับดูรู้เท่าทันจิตหรือสภาพและอาการของจิต ๔. ธัมมานุปัสสนา สติปัฏฐาน การตั้งสติกำหนดพิจารณาธรรม, การมีสติกำกับดูรู้เท่าทันธรรม; เรียกสั้นๆ ว่า กาย เวทนา จิต ธรรม; จาก พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต สภาวะใดเกิดขึ้นก็ให้รู้แล้วก็ไม่ต้องไปปรุงแต่งต่อไปก็จะพบกับคำว่าสติ |
เจ้าของ: | ชิโนะซึเกะ [ 11 ธ.ค. 2008, 20:00 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เมื่อเจอสภาวะจิตเช่นนี้ ควรทำอย่างไรต่อไป.. |
ตามคุณ puy อะครับ ![]() |
เจ้าของ: | แมวขาวมณี [ 11 ธ.ค. 2008, 20:33 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เมื่อเจอสภาวะจิตเช่นนี้ ควรทำอย่างไรต่อไป.. |
![]() ![]() ![]() อ่านทุกความคิดเห็น อ่านหลายๆเที่ยว แต่ไม่ทราบว่าปฏิบัติถูกต้องหรือไม่ เรียนรบกวนคุณ puyหน่อยค่ะ เพราะในขณะที่มันสงบๆสบาย มันเคยรู้สึกเบื่อหน่ายกายนี้มากมาสักระยะคือก่อนหน้านี้พิจารณากายว่าไม่มีส่วนไหนมันเที่ยงแท้ แยกดูลึกเข้าไปจนถึงกระดูกเอ็นและจากการมีเวทนามานานจึงปลงในความจ็บปวดที่มี และรู้สึกว่าเราเจ็บปวดน้อยลง การตามดูรู้จิตนี่เป็นอย่างไรคะ สภาวะของจิต มีการรู้ซึ่งอารมณ์แต่อย่างเดียว(พระอภิธรรมสังเขปและธรรมฯ :พระนิติเกษตรสุนทร: 2505) ถ้าจิตมีการรู้ซึ่งอารมณ์ คือเราตามรู้ว่าจิตขณะนั้นๆ มีอารมณ์อะไรเกิดขึ้นหรือเปล่าคะ ถ้าอามรณ์มันนิ่งๆไม่โกรธ ไม่คิดเอา แต่มันหลงแล้วเราไม่รู้ว่ามันหล่ะคะ คือโกรธเรารู้ โลภก็รู้ แต่หลงนี่อย่างไรค่ะ |
เจ้าของ: | ชาติสยาม [ 11 ธ.ค. 2008, 23:51 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เมื่อเจอสภาวะจิตเช่นนี้ ควรทำอย่างไรต่อไป.. |
ลองโพสต์ถามในบอร์ดดูจิต ลองดูนะครับ http://www.wimutti.net |
เจ้าของ: | อินทรีย์5 [ 12 ธ.ค. 2008, 13:10 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เมื่อเจอสภาวะจิตเช่นนี้ ควรทำอย่างไรต่อไป.. |
![]() ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | ขันธ์ [ 12 ธ.ค. 2008, 15:37 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เมื่อเจอสภาวะจิตเช่นนี้ ควรทำอย่างไรต่อไป.. |
ยังเป็นมิจฉาสมาธิ คือ เป็นสมาธิ ที่นิ่งเงียบ เมื่อรู้ตัวก็ให้เปลี่ยนอริยาบท ให้แคล่วคล่องว่องไว ไม่เช่นนั้น อีกหน่อยมันจะนิ่งทื่อ ให้หมั่นระลึกรูแล้ว เตือนตนว่า อาการแบบนี้ก็เป็นอาการหนึ่งของจิต ที่ยังนิ่งทื่อ ไม่ควรแก่การงาน จิตที่มีสมาธิดี ควรแคล่วคล่องว่องไว นิ่งในขณะเคลื่อนไหว อาการที่ว่านี้ จะนิ่งไปคิดอะไรก็ไม่ค่อยคิด คว้างๆ ตื้อๆ ในหัว แบบนี้ไม่ถูกต้องนะ |
เจ้าของ: | maw [ 12 ธ.ค. 2008, 16:09 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เมื่อเจอสภาวะจิตเช่นนี้ ควรทำอย่างไรต่อไป.. |
![]() ![]() |
เจ้าของ: | ทางเดินที่พ้นทุกข์ [ 14 ธ.ค. 2008, 01:43 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เมื่อเจอสภาวะจิตเช่นนี้ ควรทำอย่างไรต่อไป.. |
การตามรู้จิตคือเมื่อจิตเป็นอย่างไรก็ให้รู้ รู้แบบที่ไม่มีการปรุงแต่งไปในเรื่องที่เข้ามากระทบ ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ กายเป็นอย่างไรก็รู้ จิตเป็นอย่างไรก็รู้ รู้ทุกอย่างตามความเป็นจริงเมื่อรู้แล้วก็ไม่คิดหรือไม่ไปปรุงแต่ง เช่นเมื่อคุณเห็นเพื่อนคนหนึ่งทำกริยาอาการที่ไม่เหมาะสมแล้วคุณก็เกิดความรู้สึกว่าไม่ชอบ ก็ให้รู้ไปตามความเป็นจริงว่าเรามีความรู้สึกที่เป็นโทสะเกิดขึ้นในจิตและไม่ต้องไปปรุงแต่ง หรือหลงไปคิดต่อไปว่าทำไมต้องทำตัวแบบนี้หรือไม่มีอาการที่รู้ว่าใจที่คิดนั้นเป็นอย่างไร แต่รู้ว่าเรากำลังโกรธและไม่ชอบคนนี้มากแล้วไม่อยากที่จะไปพูดหรือทำท่าทางรังเกียจ อย่างนี้เรียกว่าจิตหลงปรุงแต่และทำให้จิตไหลไปตามความคิดที่เกิดแล้วทำให้เราเกิดภพเกิดชาติ และแสดงอาการทางกายออกมาอย่างนี้เรียกว่าเราไม่มีสติการที่เราดูกายดูจิตก็เป็นการที่เราดูว่า ขณะนี้กายเรากำลังทำอะไรจิตเป็นอย่างไรเมื่อมีสิ่งที่มากระทบทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ ทุกสิ่งที่เราทำไปนั้นส่วนมากเกิดขึ้นเพราะเราหลงไปคิดหลงไปปรุงแต่งต่อสิ่งที่มากระทบ เมื่อมีสิ่งที่มากระทบแล้วเราก็รู้ไม่ไปคิดไปกับสิ่งที่เห็นเมื่อเห็นแล้วก็ระลึกรู้ว่าจิตเป็นอย่างไรนี้ ก็เป็นการดูจิตแต่ในการปฏิบัตินั้นเราต้องมีทั้งการดูกายและดูจิตสลับกันไป ในขณะที่เรากำลังทำอะไรก็ให้มีสติอะไรที่เด่นในขณะนั้นให้ดู เช่นตอนนี้เรากำลังเดินก็ให้รู้สึกตัวว่าเดินกำลังนั้งก็รู้สึกว่านั้งแต่เมื่อไปเห็นอะไรที่เกิดความรู้สึกทางจิต ก็ให้ดูว่าจิตเป็นอย่างไรเช่นจิตเกิดโทสะ จิตหลงไปคิด จิตเป็นโลภะ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเพียงเราระลึกรู้แล้วไม่ไปปรุงแต่งต่อไปก็จะทำให้เราสามารถ ที่จะเห็นกายเห็นใจนี้เป็นทุกข์ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนเราไม่มีสิ่งที่เราควรจะยึดมั่นถือมั่น กายก็ส่วนหนึ่งใจก็ส่วนหนึ่งเราดูไปนานๆจิตก็จะเห็นไตรลักษณ์และจะปล่อยวาง ในสิ่งที่มากระทบสิ่งใดที่กระทบแล้วเราไม่หวั่นไหวนั้นแหละจิตที่ควรจะเป็นสำหรับผู้ที่ปฏิบัติธรรม ในการตามดูกายดูจิตนั้นมีสิ่งที่ต้องรู้และดูแต่การที่เราไปสนใจว่าทำแล้วมีความรู้สึกว่าเราจะต้องเกิดความเป็นผู้ที่มีความรู้สึกตัวอยู่นั้นคือการที่เรามีสติเมื่อมีสติก็จะไม่มีสิ่งใดทำให้เราต้องทุกข์ๆ คือการที่เราชอบไปหลงคิดหลงทำหลงรู้แล้วไปถลำกับสิ่งที่มากระทบทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ ใจเป็นผู้รับเมื่อรับแล้วเราไม่เกิดความรู้สึกที่เราจะต้องทำในสิ่งที่ตัวกิเลสหรือตัณหาหรืออุปทาน เป็นผู้บงการเราก็จะสามารถมีสติและสามารถตัดวงจรของปฏิจจสมุทบาทได้ เมื่อเราตัดวงจรของปฏิจจสมุทบาทได้ก็ทำให้เราไม่มีความรู้สึกทุกข์กับสิ่งที่มากระทบ หรือทำให้เราไม่ต้องไปคิดหรือทำในสิ่งที่ทำให้เราเป็นทุกข์ๆนั้นเกิดขึ้นจากจิตๆที่ชอบปรุง ชอบแต่งเม่อมีสิ่งมากระทบใจก็จะไปตามสิ่งที่เห็นนั้นคือจิตที่หลงคิดไปตามสิ่งมากระทบ ในการดูจิตนั้นให้ดูแบบสบายๆไม่ต้องไปเพ่งหรือไปจ้องเพียงแต่เรารู้ตัวเองว่าเรากำลังเดิน กำลังนั้งจิตเกิดโทสะ ฯลฯ จิตนิ่งจิตเฉย สภาวะเหล่านี้จะเป็นกับผู้ที่ฝึกสมาธิแล้วไปเพ่ง จนจิตเกิดความรู้สึกว่ากายนี้เป็นของไม่เที่ยงมันเป็นสิ่งที่เราไม่ควรที่จะยึดมั่นถือมั่นว่าตัวของเราเรา ไม่มีตัวตนเมื่เราไม่มีตัวตนเราก็จะเกิดความรู้สึกเบื่อและเห็นว่าทุกสิ่งเป็นของไม่เที่ยง เมื่อจิตเกิดความรู้สึกอย่างนี้เราก็ให้ตามรู้ไปว่าจิตเป็นอย่างไร ไม่ต้องไปคิดว่าทำไมจิตมันนิ่งจิตมันสงบ จิตก็เป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตนเราก็ไม่มีตัวตน ทุกสิ่งทุกอย่างเราเป็นผู้ที่ทำและปฏิบัติไปเมื่อทำไปจิตเป็นอย่างไรก็รู้เมื่อรู้ก็ไม่ต้องไปคิด หรือไปปรุงแต่งต่อไปกายเป็นอย่างไรก็รู้ไม่ต้องไปปรุงแต่งต่อไปกายก็ไม่มีตัวตน จิตก็เป็นสิ่งที่เราจะบังคับไม่ได้เดี๋ยวมันก็คิดเดี๋ยวมันก็นิ่งเมื่อเป็นอย่างนี้มันก็เห็นได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของไม่เที่ยงเราไม่ควรไปยึดถือกายยึดถือใจ ใจเป็นสิ่งที่ทำให้เราเกิดสิ่งที่มีเหตุมากระทบแล้วก็จะไปรับรู้ที่ใจ เมื่อใจรับรู้แล้วเราไม่ไปหลงไปตามสิ่งที่มากระทบ ก็จะไม่มีการเกิดที่จะเกิดขึ้นในกระแสของปฏิจจสมุทบาท เราเป็นผู้ที่จะทำในสิ่งที่เราคิดได้แต่สิ่งที่คิดต้องไม่เป็นการทำให้เราเกิดความทุกข์ใจ ใจที่ป็นกลางเท่านั้นคือใจที่ไม่ทำให้เราเกิดทุกข์ๆเกิดที่ไหนให้ดับที่นั้น กายกับใจเป็นของคู่กันเราต้องตามดูตามรู้ไปจนกว่าเราจะมีใจเป็นกลาง ไม่มีสิ่งใดที่มากระทบแล้วเราจะหวันไหวได้อีกเราก็จะไม่มีสิ่งที่เรียกว่าทุกข์ คำว่าจิตหลงคือจิตที่หลงไปทางรูปคือทางตาคือจิตหลงดูเมื่อดูแล้วเราเห็น เมื่อเห็นแล้วเราก็รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไรเมื่อรู้แล้วก็ไม่ไปปรุงแต่งต่ออย่างนี้เรียกว่าสติ แต่ถ้าเห็นรูปแล้วไปปรุงแต่งว่าแหมไม่มีอะไรที่เราชอบเลยอย่างนี้ก็เป็นความหลงคิด แต่เมื่อหลงถ้าหลงแล้วเราก็เกิดความรู้สึกตัวได้ก็ถือว่าเราก็เกิดสติที่เห็นว่าเราหลง นี้เป็นสิ่งที่เราทำได้แต่ในการที่จะทำอะไรนั้นเรามีความตั้งมั่นที่จะทำ เมื่อทำก็จะทำให้เราได้มีสติและสามารถรู้กายรู้ใจได้ สิ่งที่มาให้เราได้รับรู้นั้นมีหลายทางไม่ว่าจะเป็นหูตาจมูกลิ้นกายใจ ถ้าเราเกิดสิ่งกระทบทางไหนแล้วเราก็ไปคิดแล้วไปปรุงแต่งนั้นเรียกว่าหลงๆมีได้ทุกทาง ไม่ว่าจะเป็นตาหูจมูกลิ้นกายใจแต่ทุกทางถ้าเรามีความรู้สึกตัวเราก็จะไม่หลง ไม่เผลอไม่มีอะไรที่เราจะเป็นผู้ที่ทำให้เราเกิดความทุกข์ทุกข์อยู่ที่กายกับใจของเรา เราก็ต้องดูไปจนจิตเกิดความรู้สึกที่ปล่อยวางแล้วจิตก็จะพ้นจากคำว่าทุกข์ๆไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ เราต้องมีถ้าเรามีสติ |
เจ้าของ: | ทางเดินที่พ้นทุกข์ [ 15 ธ.ค. 2008, 00:06 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เมื่อเจอสภาวะจิตเช่นนี้ ควรทำอย่างไรต่อไป.. |
เอาธรรมะมาฝากคะ การปฏิบัติ สติปัฏฐาน๔ อย่างถูกต้อง การปฏิบัติสติปัฏฐาน๔ในขั้นต้นนั้น ต้องใช้สติเป็นบาทฐานในการปฏิบัติ เป็นการฝึกสติและสมาธิในขั้นแรกอย่างเข้มข้น เพื่อให้เกิดสมาธิ(ขณิกสมาธิ)แล้วน้อมจิตที่สงบดีอันย่อมมีกำลังแล้วนั้น ไปฝึกสติ หัดใช้สตินั้นพิจารณาสังเกตุศึกษาให้เห็นและรู้เท่าทันต่อธรรม(สิ่ง)ต่างๆตามความเป็นจริงอย่างปรมัตถ์ให้ชัดเจนขึ้น เช่นการเห็นกายอย่างปรมัตถ์ดังเช่นเห็นว่าเกิดแต่เหตุปัจจัยของธาตุ๔ อยู่ใต้อำนาจพระไตรลักษณ์ดังนี้เป็นตน แล้วดำเนินก้าวต่อไปโดยการใช้สติไปพิจารณาให้รู้เข้าใจอย่างปรมัตถ์และรู้เท่าทันในเวทนา และจิตสังขารต่างๆที่เกิดขึ้น ตลอดจนใช้พิจารณาและรู้เท่าทันธรรมต่างๆเพื่อให้เกิดภูมิรู้ภูมิญาณเข้าใจในสภาวะธรรมต่างๆอย่างปรมัตถ์ถูกต้อง เมื่อปฏิบัติดังกล่าวดีแล้วก็ต้องนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวันด้วยความเพียร จึงจักถูกต้องและบังเกิดผลสูงสุดขึ้นได้ การปฏิบัติสติปัฏฐาน๔ในสมาธิ หาที่สงัด ตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่นนั้น วัตถุประสงค์ก็เพื่อให้เกิดผลคือมีสติและสมาธิเพื่อพิจารณาให้เข้าใจใน กาย เวทนา จิต และธรรมอย่างถูกต้องตามความเป็นจริง(ปรมัตถ์) ก็เพื่อนำไปใช้ปฏิบัติจริงๆอีกครั้งในขณะดำรงชีวิตประจำวัน ไม่ใช่การเจริญสติปัฏฐาน๔ในสมาธิเท่านั้น คือต้องนำไปฝึกฝนอบรมอีกครั้งหนึ่งในการดำเนินชีวิตประจำวันจนเป็นมหาสติ หรือเป็นดังเช่นสังขาร(ในปฏิจจสมุปบาท)แต่มิได้เกิดแต่อวิชชา, กล่าวคือเมื่อปฏิบัติโดยถูกต้องและประจำสมํ่าเสมอ จิตจะเริ่มกระทำตามสังขารที่ได้สั่งสมอบรมไว้เองโดยอัติโนมัติในชีวิตประจำวัน นั่นแหละมหาสติหรือสังขารธรรมอันถูกต้อง เป็นจุดมุ่งหมายอันสูงสุดในการปฏิบัติสติปัฏฐาน๔ การปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ขณะดำเนินชีวิตประจำวันนั้น จะมีสิ่งต่างๆมากระทบผัสสะตลอดเวลา เมื่อธรรมใดมากระทบและรู้เท่าทันก่อนก็ให้ปฏิบัติธรรม(กาย เวทนา จิต ธรรม)นั้น เพราะธรรมหรือสิ่งที่มาผัสสะนั้นมีคุณสมบัติแตกต่างกันไป ตลอดจนจริตของนักปฏิบัติเอง จึงมีความชำนาญชํ่าชองในการเห็นการรู้ในธรรมทั้ง๔ที่แตกต่างกันออกไปตามจริตและสังขารที่ตนได้สั่งสมไว้นั่นเอง และธรรมทั้ง๔นั้นเมื่อเห็นและรู้เท่าทันก็ล้วนมีคุณอันยิ่งใหญ่ทั้งสิ้น ดังนั้นในการดำรงชีวิตประจำวันแล้วมีสติเห็นในธรรมใดก่อนก็ได้ เพราะล้วนเกิดคุณประโยชน์ในการดับทุกข์ทั้งสิ้น ดังเช่น รู้เท่าทันกาย เพื่อทำให้เกิดนิพพิทาคลายความยึดความอยากในกาย พิจารณาหรือรู้เท่าทันอย่างอื่นหรือจะสู้กายเราอันเป็นที่รักที่หวงแหนเป็นอย่างที่สุดแต่มักไม่รู้ตัวจนกว่าจะประสบภัยพิบัติหรือทุกข์ทางกายการเจ็บป่วยไข้มากระทบ, เมื่อระลึกรู้ตามความเป็นจริงอย่างปรมัตถ์ด้วยว่า ล้วนสักแต่ธาตุ๔ หรือสิ่งปฏิกูล ล้วนต้องเน่าเสีย คงทนอยู่ไม่ได้ ควบคุมบังคับไม่ได้ตามปรารถนา เป็นไปเพื่ออาพาธเจ็บป่วย ฯลฯ. เกิดการระลึกรู้หรือเห็นดังนี้จนชํ่าชอง เช่น ส่องกระจกก็รู้เท่าทัน ห่วงกายก็รู้เท่าทัน เห็นกายภายนอกเช่นเพศตรงข้ามที่ถูกใจก็รู้เท่าทัน ฯลฯ. ว่าสักแต่ว่ากายอันล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัย,ไม่เที่ยงดั่งนี้เป็นต้น แล้วอุเบกขาไม่แทรกแซงเข้าไปคิดนึกปรุงแต่ง ก็จะเห็นการดับในที่สุด รู้เท่าทันเวทนา เพื่อให้เกิดนิพพิทาคลายความยึดความอยากในเวทนาความรู้สึกรับรู้ในสิ่งที่กระทบสัมผัส เมื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า สักแต่เกิดแต่เหตุปัจจัย มันต้องเป็นเช่นนั้นเอง แล้วอุเบกขาไม่แทรกแซงเวทนาความรู้สึกรับรู้ที่เกิดขึ้นและไม่เข้าไปคิดนึกปรุงแต่ง ก็จะเห็นการเกิด การดับได้ด้วยตนเอง เช่น เห็นรูปที่ถูกใจหรือไม่ถูกใจ, ได้ยินเสียง(คำพูด)ที่ถูกใจหรือไม่ถูกใจ เห็นอาหารที่ถูกใจหรือไม่ถูกใจ ก็ย่อมต้องเกิดความรู้สึก(เวทนา)ต่อสิ่งนั้นๆเช่นนั้นเอง ฯลฯ. เมื่อเข้าใจว่าล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัยและรู้เท่าทันจนชำนาญ จิตเมื่อเห็นความจริงการเกิดการดับและเพราะเหตุปัจจัยเช่นนี้บ่อยๆและเร็วขึ้นว่า สักแต่ว่าเวทนาเป็นดังนี้เอง ก็จักเกิดนิพพิทาในเวทนาต่างๆเหล่านั้นในที่สุด รู้เท่าทันจิต เพื่อให้เกิดนิพพิทาคลายความยึดความอยากในจิตสังขาร(ความคิด ความนึก ความรู้สึกต่างๆ) เมื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า สักแต่เกิดแต่เหตุปัจจัยต่างๆตามความเป็นจริงอย่างปรมัตถ์ เป็นสังขารต่างๆทางใจเกิดขึ้นเช่น ความรู้สึกโทสะ(โกรธ) โลภ หลง หดหู่ ดีใจ เสียใจ ต่างๆ เมื่อเห็นว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัย มันต้องเป็นเช่นนั้นเอง แล้วอุเบกขาไม่แทรกแซงเข้าไปคิดนึกปรุงแต่ง ก็จะเห็นการเกิด การดับได้ด้วยตนเอง และเร็วขึ้นเป็นลำดับ จิตเมื่อเห็นความจริงเช่นนี้บ่อยๆสักว่าจิตเกิดเพราะเหตุปัจจัยเช่นนี้เอง ก็จักเกิดนิพพิทาในจิตสังขารความคิดปรุงแต่งเหล่านั้นในที่สุด รู้เท่าทันธรรม เพื่อให้เกิดนิพพิทาและภูมิรู้ภูมิญาณตลอดจนระลึกรู้เท่าทันความรู้ความเข้าใจในสิ่งต่างๆได้อย่างปรมัตถ์นั่นเอง เมื่อเกิดกาย เวทนา หรือจิตตามข้างต้น หรือเกิดเห็นธรรมะใดๆก็หยิบยกขึ้นมาพิจารณาหรือคิดนึกพิจารณาในสิ่งเหล่านั้นเพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างปรมัตถ์ การคิดนึกดังนี้ไม่ใช่การคิดนึกปรุงแต่งที่ก่อให้เกิดทุกข์ แต่เป็นคิดนึกที่จำเป็นในการดับทุกข์อย่างยิ่ง เช่นเห็นทุกข์หรือรู้ว่าเป็นทุกข์ก็รู้ว่าเกิดแต่เหตุปัจจัยใด(เห็นปฏิจจสมุปบาท), เห็นความไม่เที่ยง(เห็นพระไตรลักษณ์) ดังนี้เป็นต้น ดังมีพุทธพจน์ดำรัสไว้ในตอนท้ายของมหาสติปัฏฐานสูตรดังนี้ว่า ผู้ใดผู้หนึ่งพึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนี้ ด้วยความเพียร ตลอด ๗ วัน หรือ.......๗ปี เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือ เมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑ ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นที่ไปอันเอก เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์ เพื่อล่วงความโศกและปริเทวะ เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์ โทมนัส เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน หนทางนี้ คือ สติปัฏฐาน ๔ ประการ ฉะนี้แล คำที่เรากล่าวดังพรรณนามาฉะนี้ เราอาศัยเอกายนมรรคกล่าวแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้น ยินดี ชื่นชมภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้ว ฉะนี้แล ฯ |
เจ้าของ: | แมวขาวมณี [ 16 ธ.ค. 2008, 20:30 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เมื่อเจอสภาวะจิตเช่นนี้ ควรทำอย่างไรต่อไป.. |
สาธุค่ะ ข้าพเจ้าจะหมั่นฝึกการรู้เท่าทัน กาย, เวทนา,จิต, ธรรม ให้เจริญยิ่งๆให้ผลสืบต่อไปค่ะ พักนี้จิตจะนิ่งง่ายมากเมื่อน้อมจิตไปพิจารณากาย,เวทนาจะยิ่งลงลึกไปเลยคือรู้ไปที่อารมณ์ด้วยเลยพร้อมกัน คืออย่างที่บอก ว่ามันรู้สึกนิ่ง แต่มีสติรู้อยู่ว่ากายเคลื่อนไหวทำอะไรๆ ตา,หูรู้สิ่งมากระทบแต่จิตมันเฉยๆไม่มีชอบ/ไม่ชอบอะไรเลย(คิดว่าจิตมันไม่ได้ปรุงแต่งให้เกิดอารมณ์รักชอบเกลียดชังใด) ดีมากๆเลยกลัวว่าจะมัวเพลิดเพลินอยู่ ขอบคุณมากค่ะสำหรับธรรมปฏิบัติที่แนะนำ ขอบคุณสำหรับธรรมทานจากทุกท่านค่ะ |
เจ้าของ: | ตรงประเด็น [ 16 ธ.ค. 2008, 21:56 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เมื่อเจอสภาวะจิตเช่นนี้ ควรทำอย่างไรต่อไป.. |
ท่าน จขกท ครับ คุณมีนิสัยในทางที่อาจจะได้ประโยชน์จากการใช้สมาธิมาสนับสนุนการเจริญปัญญา แต่ ดูเหมือนจะยังไม่ตรงจุดนัก ลองอ่าน โอวาทธรรม หลวงพ่อพุธ ฐานิโย และมีอีกปัญหาหนึ่งที่ควรจะทำความเข้าใจสำหรับผู้ที่บริกรรมภาวนาแล้วจิตสงบเป็นสมาธิ นิ่ง ๆ ๆ ไม่เกิดความรู้ ความเห็นอะไร เมื่อท่านสามารถทำจิตสงบนิ่งเป็นอัปนาสมาธิขั้นละเอียดแล้ว เมื่อจิตของมันถอนออกมาจากสมาธิ พอมาสัมผัสรู้ว่ามีกาย ความคิดย่อมเกิดขึ้นทันที เมื่อเป็นเช่นนั้นท่านอย่าละโอกาส รีบทำสติตามรู้ความคิดมันไปโดยทันที กล่าวแล้ว เมื่อทำสติจดจ้องความคิดไป ถ้าสติตามทันความคิด ความคิดจะกลายเป็นองค์ปัญญา เป็นสิ่งรู้ของจิต เป็นสิ่งระลึกของสติ ความคิดย่อมมีความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เมื่อเรากำหนดเอาความคิดเป็นสิ่งรู้ของจิต สิ่งระลึกของสติ ความมีสติแก่กล้ามีพลังเข้มแข็งขึ้น กลายเป็นสตินทรีย์ แล้วจิตของเราจะเกิดอนิจจสัญญา คือความสำคัญมั่นหมาย ว่าความคิดก็ไม่เที่ยง เมื่อเป็นเช่นนั้น จิตก็จะดำเนินไปสู่ขั้นวิปัสสนากรรมฐานโดยอัตโนมัติ เมื่อทำจิตให้สงบนิ่งเป็นสมาธิได้ดี คือหากสมาธิถอนขึ้นมาแล้ว เข้าไปมัวดีใจกับความสงบ เลยจะไปนึกว่าเราทำความสงบนิ่งเป็นสมาธิได้ดีแล้ว ดีแล้ว พอใจแล้ว ไปพอใจแต่เพียงแค่นั้น เมื่อจิตถอนออกมาเพราะความดีใจจึงกระโดดโลดเต้นออกจากที่นั่งสมาธิ ไม่ชะลอเวลาอยู่สักพักก่อน เราก็ได้เพียงแค่ความสงบ แต่ถ้าเราชะลอเวลา ยังไม่รีบออกจากที่นั่งสมาธิ มาย้อนพิจารณาดูอีกทีตั้งแต่เริ่มต้น เราเริ่มนั่งสมาธิ เริ่มกำหนดอารมณ์พิจารณาดูว่าจิตของเราเป็นอย่างไร สงบหรือไม่สงบ เป็นอะไรเข้าไปบ้าง มีปีติ สุข เอกัคตา มั้ย เพียงแค่นี้ก็เป็นอุบายทำให้เราเกิดสติปัญญา เมื่อเราพิจารณาทบทวนจนจบเรื่องที่เราพิจารณาแล้ว มายับยั้งจิตให้เฉยอยู่สักพักแล้ว เมื่อความคิดเกิดขึ้น รีบทำสติตามรู้ เอาสิ่งรู้เป็นอารมณ์ของจิต ทำสติตามรู้ไปเป็นการพิจารณาอารมณ์ในขั้นแห่งวิปัสสนากรรมฐาน การปฏิบัติด้วยการบริกรรมภาวนาก็ดี การปฏิบัติด้วยการยกจิตขึ้นพิจารณาอะไรก็ดี พิจารณากายคตาสติ พิจารณารูปนามก็ดี หรือกำหนดจิตทำสติตามรู้ความคิดก็ดี การปฏิบัติตามแบบดังที่กล่าวมา จุดมุ่งก็เพื่อทำจิตให้เป็นสมาธิขั้นสมถะ เมื่อสมาธิขั้นสมถะไม่มี สมาธิไม่มี ฌานก็มีไม่ได้ ในเมื่อไม่มีฌานคือการเพ่งดูจิตและอารมณ์ ปัญญาก็มีไม่ได้ ปัญญาก็คือความคิด ถ้าเมื่อความคิดไม่มี สติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์ วิถีแห่งความรู้แจ้งก็มีไม่ได้ หรือวิปัสสนาก็มีไม่ได้ เพราะฉะนั้นความสงบของจิตในขั้นสมถะ จึงเป็นพื้นฐานให้เกิดวิปัสสนา ปัญญา ความคิด หรือสติปัญญาที่เราตั้งใจคิดเรียนรู้มาจากตำรับตำรา รู้มาจากการได้ยินได้ฟัง รู้มาจากการค้นการคิด อันนี้เป็นสติปัญญาธรรมดา ถ้าจิตสงบลงแล้วจิตผุดเป็นความรู้ขึ้นมา จะเป็นเรื่องอะไรก็ตามนั้นเรียกว่า สมาธิปัญญา แต่นักปฏิบัติทั้งหลายอย่าไปตั้งใจปฏิบัติเฉพาะเวลาเรานั่งหลับตาทำสมาธิหรือเดินจงกรม ให้พยายามทำสติกำหนดรู้ การยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำทุกลมหายใจ อันนี้เป็นจุดยืนของนักปฏิบัติ ถ้าหากเอาแต่เวลานั่งสมาธิเดินจงกรม เป็นการสำรวม หรือเป็นการภาวนาเท่านั้น เราอาจจะนั่งสมาธิภาวนาวันละ 3-4 ชั่วโมง แต่หากเวลาที่เราปล่อยจิตปล่อยใจให้เป็นไปตามกิเลสและอารมณ์มากกว่านั้น จิตของเราจะไม่สามารถสร้างพลังขึ้นมาต่อสู้ความรู้สึกฝ่ายข้างต่ำคือกิเลส แต่ถ้าเราทำสติตามรู้การยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูด คิด อยู่ตลอดเวลา หรือทุกลมหายใจ เราจะได้ปฏิบัติธรรมอยู่ทุกลมหายใจ ทำสมาธิอยู่ทุกลมหายใจ ปฏิบัติสมถะวิปัสสนาอยู่ทุกลมหายใจ เราจะมีศีล สมาธิ ปัญญา อยู่ทุกลมหายใจ การทำสติสังวรณ์ระวังคอยดูอยู่นั่นแหละคือวินัย ความมั่นใจต่อการที่จะกำหนดรู้กิเลสและอารมณ์ของตัวเองนั่นคือสมาธิ ความรู้ว่าอะไรเป็นอะไรเกิดขึ้น ดับไป ขณะที่กำหนดอยู่ นั่นคือตัวปัญญา มีสติปัญญาด้วยการทำสติตามรู้การยืน เดิน นั่ง นอน ดื่ม ทำ พูด คิด ในขั้นแรก ๆ เราอาจจะลำบากหน่อย แต่เมื่อเราฝึกหัดอบรมบ่อย ๆ เข้า ทำให้มาก ๆ จนเกิดการคล่องตัว ภายหลังเราจะไม่ได้ตั้งใจกำหนดรู้สิ่งต่าง ๆ แต่จิตของเราจะมีประสิทธิภาพ สติของเราจะมีประสิทธิภาพตามรู้ไปเองโดยอัตโนมัติ |
เจ้าของ: | natdanai [ 17 ธ.ค. 2008, 15:30 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เมื่อเจอสภาวะจิตเช่นนี้ ควรทำอย่างไรต่อไป.. |
อุเบกขาก็มีสังขาร....มันละยากมาก จริงๆครับ ![]() ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 2 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |