ลานธรรมจักร
http://dhammajak.net/forums/

ตอบปัญหาธรรมแบบผิดๆ
http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=19956
หน้า 1 จากทั้งหมด 2

เจ้าของ:  หล่อ ลูกแม่อ้วน [ 08 ม.ค. 2009, 06:36 ]
หัวข้อกระทู้:  ตอบปัญหาธรรมแบบผิดๆ

สงสัยว่าถ้าตอบปัญหาธรรมะผิด เมื่อมีคนมาถาม แล้วเค้าเชื่อและปฏิบัติตามนั้น
บาปมากไหมครับ.... :b5:

เจ้าของ:  ชาติสยาม [ 08 ม.ค. 2009, 11:45 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ตอบปัญหาธรรมแบบผิดๆ

ใครทำกรรมอะไร ย่อมได้รับผลของกรรมครับ
สอนคนอื่นผิด เขาย่อมหลงผิด เขาเดือดร้อน
จะโดยสุจริตใจหรือไม่เขาก็เดือดร้อน
ส่วนตัวเองก็เดือดร้อน เพราะหลงผิดเหมือนกัน

มิจฉาทิฐิ หรือความหลงผิดไปจากสัจจะธรรม
มันก็เป็นโทษอยู่ในตัวอยู่แล้ว คือเราเข้าใจผิด ย่อมทำผิด
พระพุทธเจ้ายกให้มิจฉาทิฐิมีโทษมากที่สุด



คนสอนผิด มีอยู่ทั่วไป
ชอบหรือไม่ก็ห้ามไม่ได้ ไล่เขาไม่ได้ หนีจากเขาก็ไม่ได้

ถ้าเราไม่มองแค่เว็บบอร์ดธรรมะ
เรามองออกไปทั่วไปในสังคมของเรา ก็มีแต่คนสอนกันผิดๆทั้งนั้น
บางทีไม่ใช่เรื่องธรรมะหรอก
อย่างโฆษณาที่ปลูกฝังความเชื่อในผลิตภัณฑ์ต่างๆหรือบริการต่างๆ
นี่ก็สอนให้เราหลงติดกับผลิตภัณฑ์นั้น เช่นสร้างความเชื่อว่าดื่มผลิตภัณฑ์ของเขาแล้วฉลาด เป้นคนรุ่นใหม่ เป็นต้น นี่ก็ไม่ใช่แค่สอน แค่พยามจะปลูกฝังความคิดความเชื่อให้เรา

ดังนั้น เราอย่าไปกังวลเลย เรื่องของคนสอนช่างเขา
สอนผิดสอนถูกช่างเขา เราห้ามใครไม่ได้หรอก จัดการใครไม่ได้
คนที่เราจัดการได้คือตัวเราใจเรา อันนี้แน่นอนที่สุด

จัดการอย่างไร?
พระพุทธเจ้าไม่สอนให้เชื่อ ไม่ฝากชีวิตเอาไว้กับความเชื่อ
เมื่อพิจารณาหลักที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสต่อชาวกาลามะทั้งหลาย
ให้ใช้หลักวินิจฉัยด้วยตนเองโดยมิให้ปลงใจเชื่อถือ ด้วยเหตุ ๑๐ ประการ ดังต่อไปนี้

๑) มา อนุสสะเวนะ อย่าเชื่อถือเพียงเพราะได้ยินได้ฟังอยู่เนือง ๆ
๒) มา ปรัมปรายะ อย่าเชื่อถือเพียงเพราะเป็นไปตามประเพณีสืบ ๆ กันมา
๓) มา อิติกิรายะ อย่าเชื่อถือตามคำที่เขาเล่าลือกัน
๔) มา ปิฏะกะสัมปะทาเนนะ อย่าเชื่อถือเพียงเพราะตรงกับตำรา
๕) มา ตักกะเหตุ อย่าเชื่อถือเพราะคาดคะเนเอา
๖) มานะยะเหตุ อย่าเชื่อถือเพราะมีนัยเทียบเคียงกันได้
๗) มา อาการะปริวิตักเกนะ อย่าเชื่อถือเพียงเพราะคิดไปตามอาการที่ได้เห็น
๘) มา ทิฏฐินิชฌานักขันติยา อย่าเชื่อถือเพียงเพราะเข้ากันได้กับทฤษฎี
๙) มา ภัพพะรูปะตายะ อย่าเชื่อถือเพียงเพราะคนพูดน่าเชื่อถือ
๑๐) มา สะมะโณ โนคะรูติ อย่าเชื่อถือเพียงเพราะผู้พูดเป็นสมณะหรือครูอาจารย์


ถ้าเราอ่านกาลามะสูตรเสร็จแล้วก็คงจะเกิดคำถามขึ้นทันทีว่า ตกลงจะให้เชื่ออะไร?!?!?!
คำตอบคือ ไม่ให้เชื่ออะไร แต่ให้พิสูจน์รู้ จนเห็นจริง


ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าเราไม่เคยไปกรุงเทพ
แต่รู้ว่ามีกรุงเทพอยู่จริง เพราะ.... เราได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่านมา
แล้วเราก็หยั่งรู้ว่ากรุงเทพนี้มีอยู่จริงๆ
แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เชื่อในวิธีแบบนี้

แต่สอนให้ไปกรุงเทพเอง ไปดูด้วยตัวเอง ไปพิสูจน์รู้ด้วยตัวเอง (สันทิฏฐิโก/เอหิปัสสิโก)
ไปดูจนเห็นเอง ดูให้รู้แจ้ง .... ความรู้แจ้งเห็นจริง .... จึงจะใช้ได้
ซึ่งจะเห็นว่าไม่เกี่ยวกับความเชื่อ เชื่อคือโง่


ถ้าเราไปเชื่อเขา เชื่อตำรา เชื่อสารคดี เชื่อทีวี เชื่อหนังสือ เชื่อครู หรือแม้แต่เชื่อคนที่อยู่กรุงเทพ ก็ไม่ได้ทั้งนั้น

อย่างเช่นถ้าเราเชื่อคนที่อยู่กรุงเทพ
คนพระประแดงเขาก้จะบอกว่ากรุงเทพเป็นอย่างหนึ่ง
คนแถวสีลมพัฒน์พงศ์ก็จะบอกว่าเป้นอย่างหนึ่ง
คนแถวปทุมรังสิตก็จะบอกว่าเป้นอีกแบบหนึ่ง
ทั้งนี้เพราะถ้าเขาคุ้นเคยกับอะไร เขาก็จะพูดไปในทางที่เขาคุ้นเคย
พูดอย่างที่เขาเห็น

จะว่าเขาโกหกก็ไม่ได้ จะว่าเขาหลอกก็ไม่ได้ จะว่าเขาเข้าใจผิดก็ไม่ได้
เขาพูดในขอบเขตที่เขาเห็น

ดังนั้น การที่เราจะเอาชีวิต ความคิด จิตใจ ของเราไปฝากไว้กับคนอื่น
จึงเป็นความประมาท , เป็นความโง่อยู่ไม่ใช่น้อย
พระพุทธเจ้าถึงสอนว่า อย่าเชื่อ อย่าประมาท

เจ้าของกระทู้คงพอจะมองออกแล้วว่า
การที่เราเฝ้าสงสัยว่าใครจะสอนผิดหรือถูกหรือไม่ ควรจะเชื่อใครดี
มันก็เหมือนกับการที่เราพยามจะจินตนาการว่ากรุงเทพเป็นอย่างไร เราอยากจะได้คำตอบที่แน่นอน
เราเลยพยามควานหาจากหนังสือบ้าง คนพูดบ้าง ทีวีบ้าง แล้วเราก็อาศัยเชื่อไปเพราะมั่นใจ
แต่พอมีคนสีลมพูดอย่างหนึ่ง คนฝั่งธนพูดอย่างหนึ่ง ขัดกัน เราก็เริ่มโลเลสงสัยว่าจะเชื่อใครดี
เราไปถามคนกรุงเทพสัก 10 คน ว่ากรุงเทพเป็นอย่างไร เราก้จะได้คำตอบแตกต่างกันไป

ดังนั้น อย่าไปสนใจเลยครับว่ากรุงเทพเป็นอย่างไร
รู้แค่ว่ากรุงเทพมีจริงก็พอ เมื่อไหร่เรามีความสามารถจะพิสูจน์รู้ได้ (ไปดูกรุงเทพเอง) เราก็จะทราบเอง
เอาเข้าจริง พอไปกรุงเทพแล้ว มันก็ยังขึ้นอยู่กับ ว่าเรามีปัญญาจะไปดูได้กว้างขวางตื้นลึกหนาบางแค่ไหน


เหมือนการที่พระพุทธเจ้าบอกว่า นิพพานมีจริง สวรรค์จริง นรกมีจริง จิตมีอยู่จริง อริยะสัจมีอยู่จริง
เราอย่าไปเสียเวลาขบคิดว่ามันเป็นอย่างไร
เรายังโชคดีที่พระพุทธเจ้าไม่ได้พูดลอยๆว่ามีจริง แล้วสั่งสอนให้เชื่อ
แต่ท่านบอกว่าอย่าเชื่อ แล้วแถมท่านยังบอกวิธีพิสูจน์เอาไว้ละเอียดยิบ

ถ้าอยากรู้ว่าใครพูดถูกพูดผิด สอนถูกสอนผิด หรือไม่อย่างไร ก็อย่าไปเสียเวลาขบคิด
ก็ให้พิสูจน์ให้มันรู้แจ้งเห็นจริงเอาเองเลย


ตัวอย่างเรื่องกรุงเทพ เป็นการจำลองรูปแบบความคิดเพื่ออธิบายเท่านั้นนะครับ
ผมแค่จำลองให้ดูเข้าใจง่ายๆเฉยๆ

เรื่องกรุงเทพเป็นอย่างไรมันเป้นแค่"ตันหาอยากรู้"ว่ากรุงเทพเป็นอย่างไร
ความอยากรู้ธรรมดาๆของเราๆท่านเท่านั้นเอง ไม่ใช่ใจความสำคัญของพุทธ
รู้หรือไม่รู้ มันก็ไม่ช่วยให้พ้นทุกข์
เป้าหมายของพุทธ คือ รู้แล้วพ้นจากทุกข์
ถ้ารู้อะไรแล้วพ้นจากทุกข์ได้ อันนั้นเป็นพุทธ
อะไรที่รู้แล้วไม่ช่วยให้พ้นจากทุกข์ อันนั้นไม่ใช่้พุทธ

ขอบเขตของพุทธคือ?
พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้พิสูจน์เรื่องนอกตัว
ขอบเขตของพุทธอยู่แค่ใน “กายของเรา” + “ใจของเรา” เท่านั้นเอง
ใครพยามอธิบายเรื่องอะไรก็ตาม ช่างเขา เราไม่ต้องไปเชื่ออะไร
ใครพยามจะพูดให้เชื่อ ก็ให้รู้ว่าเขาประมาท เราไม่ต้องประมาทตามเขา
แม้พระพุทธเจ้ายังบอกว่าอย่าเชื่อพระองค์

ใครพูดอะไรมันเป็นแค่ความรู้ที่พูดๆฟังๆเล่าๆเท่านั้นเอง (ปริยัติ)
ยังคลาดเคลื่อนได้ เปลี่ยนแปลงได้

ต้องลงมือพิสูจน์ จนกว่ารู้แจ้งเห็นจริง (ปฏิบัติ)

ความรู้แจ้งเห็นจริงนั่นแหละ จึงจะเป็นความรู้ที่ใช้ได้
(ปฏิเวธ)
ไม่คลาดเคลื่อนเปลี่ยนแปลง
ไม่ต้องพึ่งพาอาศัยความเชื่ออีกต่อไป

เจ้าของ:  อินทรีย์5 [ 08 ม.ค. 2009, 12:31 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ตอบปัญหาธรรมแบบผิดๆ

** :b39: :b40: ถ้ารู้สึกว่าบอกคนอื่นผิดไปแล้ว มาร้สึกตัวว่าตัวเองพูดผิดไปจากความจริงหรือหลักธรรม ก็น่าจะบาปนะ แต่เป็นบาปที่เกิดจากตัวเราบอกในสิ่งที่ผิดไปแล้วขุ่นหมองใจและทำให้ผู้ที่ถูกบอกอาจเอาไปปฏิบัติผิดๆได้ :b41:

:b40: :b43: แต่ไม่ต้องคิดมากเลย ถึงจะบาปก้ไม่น่ากลัวสักนิด ขั้นแรกให้อภัยตัวเองซะก่อนทำใจรับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ ขั้นสองก็ไปบอกคนๆนั้นว่าที่จริงแล้วที่ถูกต้องคืออะไร(ไปบอกเขาใหม่ที่เป็นสิ่งที่ถุกต้องชัดเจน สามารถปฏิบัติได้ถูกทาง เหนผล) เพื่อที่คุณและคนที่คุณบอกจะได้สบายใจทั้งสองฝ่าย คุนก้ไม่ต้องคิดมาก และไม่ต้องกังวลกลัวบาปเล็กๆน้อยๆที่เกิดขึ้น(ในจิตใจ) ดีไหม๊...... :b39: :b13:

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 08 ม.ค. 2009, 13:07 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ตอบปัญหาธรรมแบบผิดๆ

ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ
ขั้นแรกศึกษาจากตำราที่เขาใช้เรียนใช้สอนตามสำนักเรียนทั่วไปเทศ ถึงผิดก็ผิดน้อยกว่าที่ไปจำๆจากปากสู่ปาก แล้วมาทดลองทำดูปฏิบัติดู ปฏิบัติถูกก็ถูก เป็นสัมมาปฏิปทา ก็เป็นปฏิเวธที่ถูกต้อง
หากปฏิบัติผิด ก็เป็นมิจฉาปฏิปทา เข้าป่าเข้าดง ซึ่งเป็นอีกขั้นตอนหนึ่ง


เรื่องที่บอกเค้าผิดก็ต้องดูว่าผิดอะไร เช่น สอนจริยะเค้าผิด อะภิวาเทมิ แต่บอกกะเค้าว่า
อะภิวาเทม อย่างนี้ก็ไม่เท่าไหร่

เจ้าของ:  บุญชัย [ 12 ม.ค. 2009, 11:59 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ตอบปัญหาธรรมแบบผิดๆ

ผมวา บาป แค่2หน่วย ไม่ตกนรก หรอก

เจ้าของ:  อมิตาพุทธ [ 24 มี.ค. 2009, 12:33 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ตอบปัญหาธรรมแบบผิดๆ

สมัยราชวงศ์ถัง พระอาจารย์ไป่จั้งฉันซือ เจ้าอาวาสวัดไป่จั้งซัน เป็นที่เคารพเลื่อมใสของศานุศิษย์มากมายในสมัยนั้น ทุกครั้งที่ท่านแสดงธรรม ศานุศิษย์จะคับคั่งเต็มธรรมศาลา
วันหนึ่ง เมื่อแสดงธรรมจบแล้ว ชายชราผู้หนึ่งซึ่งมาร่วมฟังธรรมด้วยทุกครั้งยังคงยืนนิ่งไม่ยอมจากไป
ท่านจึงเอ่ยถามว่า :
"คนที่ยังไม่กลับไปนั้นเป็นใคร"
ชายชราตอบว่า :
"ข้าพเจ้าไม่ใช่คน แต่เป็นสุนัขจิ้งจอก นานมาแล้ว ในธรรมวาระของพระกัสสปะพุทธเจ้า ข้าพเจ้าเคยแสดงธรรมอยู่บนบรรพตนี้ มีผู้บำเพ็ญธรรมท่านหนึ่งถามข้าพเจ้าว่า :"
"ผู้บำเพ็ญเพียรขั้นสูงยังตกอยู่ในกฏแห่งกรรมหรือไม่?"
ข้าพเจ้าตอบว่า :
"ไม่ตกอยู่ในกฏแห่งกรรม"
คำตอบนี้ ทำให้ข้าพเจ้าต้องตกอยู่ในร่างของสุนัขจิ้งจอกถึง 500 ชาติ ได้รับทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง วันนี้ใคร่ขออาจารย์ให้ความกระจ่าง ข้าพเจ้าจะได้หลุดพ้นกลับชาติไปเกิดเป็นคนเสียที
พระอาจารย์จึงย้ำว่า :
"ท่านจงถามอีกครั้งเถิด"
ชายชราถามซ้ำว่า :
"ผู้บำเพ็ญเพียรขั้นสูงยังตกอยู่ในกฏแห่งกรรมหรือไม่?"
พระอาจารย์ตอบชัดเจนว่า :
"ไม่มืดมัวในกฏแห่งกรรม"
ชายชราแจ้งใจในบัดดล กราบคารวะขอบพระคุณแล้วกล่าวว่า :
"ข้าพเจ้าอาศัยอยู่ในถ้ำหลังเขานี้ เมื่อหลุดพ้นจากร่างของสุนัขจิ้งจอกแล้ว ขอท่านอาจารย์ได้โปรดปลงศพของข้าพเจ้าตามพิธีปลงศพสมณะสงฆ์ด้วย" ว่าแล้วชายชราก็ลาจากไป
วันรุ่งขึ้น พระอาจารย์ไป่จั้งนำลูกศิษย์น้อยใหญ่ในวัดไปที่ถ้ำหลังเขา ก็ได้พบศพสุนัขจิ้งจอกที่เพิ่งตายศพหนึ่ง จึงได้จัดการเผาศพตามพิธีปลงศพของสมณะสงฆ์ไปให้.

เจ้าของ:  บุญชัย [ 24 มี.ค. 2009, 13:14 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ตอบปัญหาธรรมแบบผิดๆ

อามิตพุทธ :b4:

เจ้าของ:  อมิตาพุทธ [ 25 มี.ค. 2009, 19:46 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ตอบปัญหาธรรมแบบผิดๆ

ครับ k.บุญชัย :b4:
ช่วงนี้ไม่ค่อยเห็นเลยนะครับ

เจ้าของ:  บุญชัย [ 26 มี.ค. 2009, 10:52 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ตอบปัญหาธรรมแบบผิดๆ

ฝึกวิชาขั้น ญานให้ สำเร็จ อยู่ ท่านจอมยุทธ อามิตตาพุทธ
เรื่องเตือนใจท่านไม่ประพฤติมังสวิรัส.ซูชิปลาดิบ!ระวังให้ดี!!ภาพค่อนข้างน่ากลัวนะ
> > แต่ดูไว้ก็ดีระวังเรื่องอาหารการกินกัน ดี ๆ นะ*- ซูชิปลาดิบ!!!!!ระวัง ให้
> > ดี!!ภาพน่ากลัวที่นำมาเสนอนี้ไม่ได้หวังให้ท่านผู้ อ่านตกใจ
> > หากเป็นภาพที่ส่งต่อมา จากแพทย์ญี่ปุ่นซึ่งอ้างว่าได้ทำการ ผ่าตัด
> > สมองของผู้ป่วยรายหนึ่งเข้าโรงพยาบาลด้วยอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงผู้ป่วยคนนี้ชื่อ
> > โชตะ ฟูจิวารา อยู่ใน เมือง กิฟู
> > ประเทศญี่ปุ่นเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลมาอย่างต่อเนื่องด้วยอาการ
> > ปวดศีรษะอย่างรุนแรง และต่อเนื่องมานับ
> > กว่า 3 ปีจากการสอบประวัติในเบื้องต้นพบว่าคนไข้เป็นนักกินปลาดิบ
> > ตัวยงไม่ว่าจะเป็นการกินแบบมื้อหลักหรือมื้อรองกระทั่ง
> > มื้อทานเล่นคนไข้รายนี้กิน ปลาดิบไป ก็ปวดหัวแม้จะพยายามหายากินเอง
> > หรือไปหาหมอพบเเพทย์ก็ยังไม่หาย ปวดหัวเสียทีและยิ่งหนักขึ้น
> > เรื่อยๆแม้แต่อาการปวดหัวข้างเดียวที่เรียกกันว่าไมเกรนหลังสุดคุณหมอที่ให้การรักษา
> > ชักจะงงหนักเข้าไปทุกทีไม่ว่าจะให้ยาชนิดไหนแบบใดก็ไม่หาย ซะที
> > จับนายฟูจิวาราเข้าไป เอ็กซ์เรย์อย่างเป็นเรื่องเป็นราวแต่ก็ไม่เห็นผลอะไรได้
> > ชัดเจน คุณหมอก็ยิ่งงงหนักเข้าไป อีกอาจด้วยไหวพริบของคุณหมอเอง
> > ไปสังเกตเห็นการเคลื่อนไหว อะไรแบบขะหยุกขะหยิกอยู่ที่ผิวหนังบนศีรษะของคนไข้
> > นั่น แหละที่ทำให้คุณจับคุณฟูจิวาราเข้าห้องผ่าตัดให้ยาสลบ
> > เเล้วก็ผ่ากะโหลกตรวจสอบตอนนี้ที่ เกือบทำให้ คุณหมอพลอยสลบตามคุณฟูจิวาราไป
> > ด้วยเพราะไปเจอกับเจ้าพยาธิกอง
> > เบ้อเริ่มคลานกันยั้วเยี้ยอยู่ตามเนื้อสมองพร้อมกับไข่ที่เกลื่อนเต็มไป
> > หมดถึงภาพแล ะเรื่อง นี้จะยังไม่ได้รับการยืนยัน
> > ชัดเจนจากหน่วยงานทางการแพทย์ของ
> > ญี่ปุ่นเเต่ภาพที่คณะแพทย์ได้ทำการถ่ายทำไว้พร้อมกับส่งผ่านมาถึงเพื่อนๆ
> > แพทย์ในเมืองไทยนั้นทำให้
> > ชวนวิตกกับนักกินปลาดิบชาวไทยยิ่งนักเพราะอาการกับภาพ
> > ถ่ายที่ปรากฎนี้ไม่ได้ต่าง
> > กับที่เคยพบจากคนไข้จำนวนมากในเขตภาคอิสานซึ่งมักนิยม รัประทานปลาดิบ ปลาร้า
> > หรืออาหารดิบ อื่นๆซึ่งมีผลที่ไม่แตกต่างกัน ก็ยิ่งน่าวิตกหนักขึ้นไปอีก
> > แค่อยากบอกอาการกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นส่วน รายละเอียดกับทางแก้ไข
> > ไว้ว่ากันต่อไปในอนาคต ป.ล.กรุณาส่งต่อให้กับเพื่อนและคนที่คุณรักด้วย นะ

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ธรรมย่อมรักษา ผู้ประฟฤติ ศีล เจ ทาน สมาธิ ปัญญา ข้าน้อยขอคารวะ ลา

เจ้าของ:  อมิตาพุทธ [ 26 มี.ค. 2009, 12:13 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ตอบปัญหาธรรมแบบผิดๆ

อ่านะ ยังไงก็ขอให้ k.บุญชัย ปฏิบัติสำเร็จ ตามที่ตั้งใจไว้นะครับ
มีอะไรดีๆ ก็มาถ่ายทอดให้ผู้น้อยบ้างนะครับ :b8:

เจ้าของ:  ชาติสยาม [ 26 มี.ค. 2009, 12:38 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ตอบปัญหาธรรมแบบผิดๆ

เรื่องซุชินี้เป้นเรื่องจริงนะครับ

เคยดูรายการเขาบอกว่ากินซูชิปลาดิบที่เมืองไทย ระวังให้ดี


ธรรมชาติปลาดิบที่ทะเลญี่ปุ่น มันจะมีอุณภูมิที่เย็น น้ำมันเย็น
ไม่ค่อยมีพยาธิ (คือไม่มีเลยล่ะ)

แต่ต่างจากทะเลเขตร้อน ในน้ำทะเลจะมีพยาธิ
รวมถึงความสะอาดจากกระบวนการผลิตด้วย

ให้ระวังซุชิปลาดิบราคาถูกจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ หนือแม้แต่ร้านชื่อดังก็ไม่เว้น
เพราะเขาอาจจะใช้ปลาท้องถิ่นมาแทนปลาต้นตำรับ เพื่อทำราคาให้ถูก
ผลที่ได้คือกินปลาดิบ เอาพยาธิใบไม้แถมไปด้วย

----------------------------------------

อีกอันหนึ่งคือ ร้านอาหารเวียตนามก็เมือนกัน
ความจริงไม่ใช่พูดถึงอาหารเวียดนามนะครับ ผมพูดถึงผักสด
เพราะผักสดนั้น จะมีไข่พยาธิอยู่
เพราะใช้ปุ๋ยคอก และไข่พยาธิในดิน น้ำ

วิธีที่จะรับประทานผักให้ปลอดภัยนั้น ต้องเอาด่างทับทิม ซึ่งถูกมาก
เอามาละลายน้ำให้ได้สีชมพูอมแดงเข้ม แล้วแช่ผักไว้ 15 นาที
จากนั้นล้างในน้ำไหลให้สะอาด กะว่าล้างด่างทับทิมออกไปให้หมด


มีคนหนึ่งเคยออกรายการอะไรไม่รู้จำไม่ได้
เป็นเศรษฐีนะ แต่เป็นโรคพยาธิในสมอง เธอเชื่อว่าเธอได้รับพยาธิจากร้านอาหารเวียตนาม หรือไม่ก็อาหารญี่ปุ่นขึ้นห้างชื่อดัง
รักษาหมดไป 20 ล้าน
รักษาไว้ได้แต่ชีวิตเฉยๆ แค่ไม่ครบแบบเดิม
นี่ขนาดเศรษฐีนะ ยังแค่รักษาชีวิตไว้ได้

กินผักก้ต้องระวังนะคับ

เจ้าของ:  อมิตาพุทธ [ 26 มี.ค. 2009, 13:00 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ตอบปัญหาธรรมแบบผิดๆ

ทำอาหารทานเองดีที่สุด ครับ อิอิอิ
ปลอดภัยดี อย่างผักเนี่ย เวลาแม่ผมทำกับข้าว จะแช่น้ำไว้สักพักก่อน แล้วค่อยล้างให้สะอาด
ร้านอาหารเนี่ยก็ไม่ค่อยปลอดภัย เพราะเราไม่เห็นกระบวนการผลิต
สมัยนี้ต้องระวังเรื่องอาหารการกินให้มากๆครับ

เจ้าของ:  O.wan [ 28 มี.ค. 2009, 07:49 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ตอบปัญหาธรรมแบบผิดๆ

:b20: ใช่ค่ะ ขอบอกเลย เพราะลูกสาวคนโตเคยเป็น วัณโรคที่ต่อมน้ำเหลือง บริเวณรอบๆคอ :b14:
มาสังเกตุ ตอนรู้สึกว่าคอบวม พอไปหาคุณหมอให้เรามาคลำรอบคอลูก มันเป็นตุ่มคล้ายเม็ดบัวลอย
รอบคอเลยนะคะ มองด้วยตาแทบไม่เห็นแต่พอคำดูเป็นร้อยเม็ดเลยค่ะ คุณหมอถามว่าหนูเคยกินอาหาร
ที่สุกๆดิบ ไม๊ เพราะโรคของลูกสาวนี้ติดต่อโดยการกินเข้าไป อาหารคำนั้นมันมีเชื้อนี้อยู่ มันก็ไปฝังตัวที่
ต่อมน้ำเหลือง :b2: เลยบอกว่าลูกสาว วันรุ่นชอบค่ะอาหารญี่ปุ่น สเต็กสุกๆดิบๆน่ะค่ะ :b5: :b5:
คุณหมอบอกโอกาสที่จะเจอ 1/100,000 คนนะคะที่จะเจอ แต่ลูกสาวก็เป็น โชคดีที่ไม่ขึ้นสมอง
:b6: ต้องรักษาโดยทานยาวันละ 11 เม็ด เป็นเวลา 8 เดือนนะคะ ตอนนี้หายแล้ว :b35:
และอาหารพวกนี้ต่อให้ร้านดีแค่ไหน แพงแค่ไหน ก็ไม่มีโอกาสได้เงินจากครอบครัวเราอีกเลยค่ะ :b22:

เจ้าของ:  walaiporn [ 28 มี.ค. 2009, 19:35 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ตอบปัญหาธรรมแบบผิดๆ

หล่อ ลูกแม่อ้วน เขียน:
สงสัยว่าถ้าตอบปัญหาธรรมะผิด เมื่อมีคนมาถาม แล้วเค้าเชื่อและปฏิบัติตามนั้น
บาปมากไหมครับ.... :b5:



พูดเรื่องบาป-บุญ นี่ถกกันไม่รู้จบ แบบนี้ดีกว่าไหม ดูที่เจตนาค่ะ กรรม ( การกระทำคือเหตุ ) ผลที่ได้รับก็ย่อมเป็นไปตามเจตนาค่ะ ( วิบากกรรม )

ส่วนที่ว่าใครเชื่อใคร เมื่อมาแนะนำกันนี่ เนื่องจากเคยสร้างเหตุร่วมกันมาก่อนค่ะ ผล ( วิบาก ) เลยมาเชื่อกัน ลองทบทวนดูสิคะ เวลาเราพูดอะไรออกไป ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเชื่อเราหมด ไม่ว่าจะสร้างเหตุดี หรือเหตุไม่ดี ล้วนส่งผลทุกอย่างค่ะ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม พระพุทธองค์จึงทรงตรัสไว้ว่า ให้หมั่นสำรวมอายตนะให้ดีๆ สำรวม + สังวร = ระวัง คือ สติ สัมปชัญญะนี่แหละค่ะ ที่จะทำให้เรารู้จักคิดพิจรณาก่อนที่จะก่อให้เกิดการกระทำลงไป

เจ้าของ:  nene [ 31 มี.ค. 2009, 09:00 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ตอบปัญหาธรรมแบบผิดๆ

อ้างคำพูด:
หล่อ ลูกแม่อ้วน เขียน:
สงสัยว่าถ้าตอบปัญหาธรรมะผิด เมื่อมีคนมาถาม แล้วเค้าเชื่อและปฏิบัติตามนั้น
บาปมากไหมครับ....
อ้างคำพูด:
กินผักก้ต้องระวังนะคับ


ตกลงเขาคุยกันเรื่องอะไร ธรรมะ หรือการเสพกาม :b8:

หน้า 1 จากทั้งหมด 2 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/