วันเวลาปัจจุบัน 17 เม.ย. 2024, 03:30  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 27 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ม.ค. 2009, 15:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2009, 12:36
โพสต์: 91

สิ่งที่ชื่นชอบ: หนังสือธรรมะทุกเล่ม
ชื่อเล่น: ก้อย
อายุ: 28
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันเห็นด้วยกับทุกกระทู้ที่ตอบค่ะ และอยากบอกคุณชินว่าอย่าท้อแท้กับการทำความดี และขอชื่นชมคุณชินเจ้าของกระทู้ด้วยนะค่ะ ที่ตั้งใจทำบุญมาตลอด ดิฉันเคยได้ยินคนพูดกันมานะค่ะว่า ที่ทำบุญแล้วยังไม่เห็นผลบุญ เป็นเพราะกรรมเก่าที่ทำมาตั้งแต่เมื่อชาติก่อนมันยังไม่หมดค่ะ ถ้ากรรมเก่าหมดเมื่อใด บุญกุศลที่ทำความดีมันจะตามมาเองค่ะ อย่าพึ่งล้มเลิกความตั้งใจในการทำบุญนะค่ะ ตามที่ทุกท่านที่ตอบกระทู้แนะนำไป คือการทำบุญด้วยกันทั้งหมด ทำบุญต่อไปค่ะ ไม่ว่าจะทำบุญแบบไหน มันก็ได้ผลบุญเหมืนอนกันหมด แต่จะได้บุญมากบุญน้อย อยู่ที่ความตั้งใจค่ะ ไม่ว่าจะก่อนทำบุญ ขณะทำบุญ และหลังทำบุญค่ะ และการอนุโมทนา ก็ได้บุญเช่นกันนะค่ะ แต่จะมากหรือน้อย ไม่ทราบเหมือนกัน ท่านใดทราบช่วยตอบด้วยนะค่ะ ว่า การอนุโมทนา ได้บุญมากหรือน้อยค่ะ

ทำบุญต่อไปค่ะ อย่าย่อท้อ สักวันผลบุญผลกุศลจะตามคุณมาเองค่ะ ดิฉันขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ

.....................................................
"ใช้ใจมองคน" แล้วคุณจะรู้ว่า คนๆนั้นไม่ได้เป็นอย่างที่คุณเห็น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ม.ค. 2009, 15:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ม.ค. 2009, 13:11
โพสต์: 6


 ข้อมูลส่วนตัว


:b41: โลกต้องการคนดี มิไช่เพื่อให้มารับรางวัล แต่เพื่อมาช่วยทำชีวิตและสังคมให้ดีขึ้น
:b41: ไม่พึงทำความดีเพื่อเอาความดีมาเสริมตัวตน แต่พึงสละตนเพื่อเสริมความดี
:b41: คนทำดีอย่างแท้จริง เสียสละได้แม้กระทั้งการที่จะให้คนอื่นรู้ว่า ตนได้ทำความดี.. :b8:
(พระพรหมคุณาภรณ์ ป.อ.ปยุตฺโต)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ม.ค. 2009, 20:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ม.ค. 2009, 23:33
โพสต์: 6


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอขอบคุณทุกๆท่านครับ ที่ให้คำแนะนำและให้กำลังใจ :b8: :b8: แล้วผมจะนำไปปฎิบัติครับ แต่ผมอยากรู้ครับว่า การนั่งสมาธิได้บุญด้วยหรือครับ เพราะเราไม่ได้ช่วยเหลือหรือทำประโยชน์กับใคร แล้วการให้เงินขอทาน ถ้าเป็นคนยากจนจริงๆก็ให้ได้ด้วยความสบายใจ แต่เดี๋ยวนี้จะให้เงินขอทานก็กลัวจะเป็นการส่งเสริมคนที่ใช้คนพิการหรือคนแก่หากินครับ ทำให้คิดมากว่าควรจะให้ดีหรือไม่ ถ้าให้แล้วเราจะได้บุญรึเปล่าครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ม.ค. 2009, 20:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ชิน เขียน:
แต่ผมอยากรู้ครับว่า การนั่งสมาธิได้บุญด้วยหรือครับ เพราะเราไม่ได้ช่วยเหลือหรือทำประโยชน์กับใคร


เป็นบุญข้อที่ 3. ในบุญกริยาวัตถุ 10 ครับ
การทำสมาธิก็คือส่วนหนึ่งของการเจริญจิตภาวนา

บุญกริยาวัตถุ ๑๐ ได้แก่
๑. ทานมัย การให้สิ่งที่เป็นประโยชน์สุขแก่ผู้รับ ย่อมต้องได้รับอานิสงส์
๒. สีลมัย บุญที่สำเร็จได้ด้วยการรักษาศีล ย่อมต้องได้รับอานิสงส์
๓. ภาวนามัย บุญที่สำเร็จได้ด้วยการเจริญสมถภาวนา และวิปัสสนาภาวนา ย่อมต้องได้รับอานิสงส์
.............๓.๑- มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม
.............๓.๒- มีผิวพรรณผ่องใส
.............๓.๓- มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง
.............๓.๔- มีความจำดี และกำลังปัญญาว่องไว
.............๓.๕- เป็นคนใจคอเยือกเย็น
.............๓.๖- เป็นที่ชื่นชอบของผู้พบเห็น
.............๓.๗- มีบุคลิกอันน่าศรัทธา
.............๓.๘- เกิดในตระกูลดี
.............๓.๙- มีบุคลิกสง่างาม
.............๓.๑๐- มีมิตรสหายมาก
.............๓.๑๑- เป็นที่เคารพยำเกรงของคนทั่วไป
.............๓.๑๒- เป็นที่ชื่นชอบของบัณฑิต
.............๓.๑๓- สมบูรณ์ด้วยปัจจัย ๔
.............๓.๑๔- ปราศจากอกุศลทั้งปวง
.............๓.๑๕- ปลอดภัยจากศาสตราวุธ
.............๓.๑๖- มีอายุยืน
.............๓.๑๗- ตายแล้วเกิดในสุคติภูมิ


๔. อปจายนะ บุญที่สำเร็จได้ด้วยการอ่อนน้อมถ่อมตน ต่อผู้ที่ควรเคารพนบนอบ (คุณวุฒิ วัยวุฒิ ชาติวุฒิ)
๕. เวยยาวัจจะ บุญที่สำเร็จได้ด้วยการช่วยเหลือกิจการงานที่ชอบ
๖. ปัตติทานะ บุญที่สำเร็จได้ด้วยการอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้อื่น (การแผ่เมตตา)
๗. ปัตตานุโมทนา บุญที่สำเร็จได้ด้วยการอนุโมทนาส่วนบุญ
๘. ธัมมสวนะ บุญที่สำเร็จได้ด้วยการฟังธรรม
๙. ธัมมเทสนา บูญที่สำเร็จได้ด้วยการแสดงธรรม
๑๐.ทิฏฐุชุกรรม บุญที่สำเร็จได้ด้วยการทำความเห็นให้ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง

ลองหาศึกษาภาคละอียดเอาเองนะครับ

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ม.ค. 2009, 21:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ชิน เขียน:
แล้วการให้เงินขอทาน ถ้าเป็นคนยากจนจริงๆก็ให้ได้ด้วยความสบายใจ แต่เดี๋ยวนี้จะให้เงินขอทานก็กลัวจะเป็นการส่งเสริมคนที่ใช้คนพิการหรือคนแก่หากินครับ ทำให้คิดมากว่าควรจะให้ดีหรือไม่ ถ้าให้แล้วเราจะได้บุญรึเปล่าครับ

- ถ้ามีความลังเลสงสัยในการทำทาน อย่าทำครับ เราจะไม่ได้บุญครับ
ก็ลองสังเกตุใจเราดูว่าให้ไปแล้วรู้สึกดีหรือเปล่า ถ้ารู้สึกไม่ดี ก็แปลว่าไม่ได้บุญครับ (พูดแบบง่ายๆนะ)

เพราะบุญ คือ จิตฝ่ายกุศล
ส่วนความลังเลสงสัย เป็น จิตฝ่ายอกุศล


ทำบุญแล้วยังว้าๆแหว่ง งงๆ สงสัยอยู่ นี่คืออกุศลจิต เป็นบาปเสียด้วยซ้ำไปครับ

วิธีคือให้ไปทำบุญอย่างอื่นที่ไม่มีความลังเลสงสัย ที่เราศรัทธาเชื่อมั่น

ที่ทำแล้วช่วยให้จิตใจเกิดกุศล เบาสบาย ผ่องใส คล่องแคล่ว ไม่ขุ่นมัว
ก็แปลว่าได้บุญแน่ๆครับ รู้สึกถึงบุญได้ด้วยใจตัวเองเลยล่ะ

วิธีไหนสงสัย อย่าทำครับ
วิธีไหนมีแต่ความศรัทธา ปราศจากสงสัย ทำแล้วไม่มีโทษกับตนหรือคนอื่น ก็ทำไปเลย

หรือถ้าอยากรู้เรื่องการทำบุญทำทานให้เป็น
ให้ศึกษาเรื่องบุญกริยาวัตถุให้ละเอียด
จะได้ไม่เสียเวลาทั้งชาติเพื่อทำบุญที่ไม่ได้บุญ

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ม.ค. 2009, 21:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


บุญกริยาวัตถุ 10
(เอกสารแจก : วัดพระมหาธาตุ เมืองนครศรีธรรมราช)


๑. ทานมัย บุญสำเร็จได้ด้วยการให้ปันสิ่งของ
ทานมัย บุญสำเร็จได้ด้วยการให้ปันสิ่งของ

- "ทาน" คือการให้ การสละ การเผื่อแผยแบ่งปัน
- วัตถุที่ควรให้ ได้แก่ วัตถุ ๑๐ อย่าง คือ
ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พักอาศัย และประทีปโคมไฟ
- ให้ด้วยการบูชาคุณความดี คือถวายแก่สงฆ์
- หรือให้ด้วยเมตตาโดยอนุเคราะห์แก่ผู้ยากไร้ ขาดแคลน
- ด้วยเจตนาที่ดีทั้ง ๓ กาล คือ ก่อนจะให้ กำลังให้ และให้ไปแล้ว ก็ยังมีความชื่นชมยินดีในการให้นั้น
โดยไม่หวัง ผลตอบแทนใดๆ การให้เช่นนี้เป็นทานที่มีผลมากมีอานิสงส์มาก


ท่านแสดงอานิสงส์ของการให้ "วัตถุทาน" เหล่านี้ว่า
๑. การให้ ข้าว น้ำ ชื่อว่า ให้กำลังวังชาแก่ผู้รับ
๒. การให้ เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม ชื่อว่า ให้ผิวพรรณวรรณะ
๓. การให้ ยานพาหนะ ชื่อว่า ให้ความสุข
๔. การให้ ประทีปโคมไฟ ชื่อว่า ให้ดวงตา
๕. การให้ ที่อยู่อาศัย ชื่อว่า ให้ทุกอย่าง คือ
ให้ทั้งกำลังวังชา ผิวพรรณวรรณะ ความสุข และดวงตา

นอกจากการให้วัตถุสิ่งของเหล่านี้แล้ว การให้ความรู้ ศิลปวิทยาต่างๆ การให้คำแนะนำสั่งสอน
ให้แนวทางการดำเนินชีวิตที่ถูกที่ควร หรือแนะนำให้มีส่วนร่วมในการบำเพ็ญกิจที่ดีงาม
ก็นับว่าเป็นทานที่เรียกว่า "ธรรมทาน"
ตลอดจนการให้อภัยก็ชื่อ "อภัยทาน"

อานิสงส์ของทานมีมากมาย เพราะเพียงสาดภาชนะลงไปในบ่อน้ำคร่ำ
ด้วยหวังว่าจะให้สัตว์ที่อาศัยในบ่อน้ำครำได้รับเศษอาหารก็ยังได้รับ อานิสงส์ถึงร้อยชาติ
คือเป้นผู้มีวรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณถึงร้อยชาติ เป็นต้น

ทานนั้นนอกจากจะให้ความมั่นคงแก่ผู้ให้แล้ว
ยังจัดเป็นเครื่องขัดเกลากิเลส คือความตระหนี่ให้ออกไปจากจิตใจด้วย
หากมีจิตเลื่อมใสในที่ใด คือมีผู้รับในที่ใดแล้ว แม้สิ่งของที่จะให้นั้นเล็กน้อย ก็ยังมีผลมาก

มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ ทักขิณาวิภังคสูตรข้อ ๗๐๖-๗๑๙ และอรรถกถา
เอกสารแจก วัดพระมหาธาตุ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช




★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★



๒.ศีลมัย

บุญสำเร็จได้ด้วยการรักษาศีล
" ศีล " คือ ความ ประพฤติที่ดีงาม ความมีระเบียบวินัย และความมีมรรยาทงดงาม
การรักษากายวาจาให้เรียบร้อย การควบคุมตน ให้ตั้งอยู่ในความไม่เบียดเบียน เว้นจากความชั่วคือ
เว้นจากการฆ่า เว้นจากการใช้ผู้อื่นฆ่า

เว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้ เว้นจากการขโมย การละเมิดกรรมสิทธ์ และทำลายทรัพย์สิน
เว้นจากการประพฤติผิดในกาม เว้นจากการล่วงละเมิดในบุคคลที่ผู้อื่นรักใคร่ หวงแหน
เว้นจากการพูดเท็จ พูดไม่ตรงต่อความที่เป็นจริง
เว้นจากการดื่มน้ำเมา คือสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งของความประมาท เว้นจากสิ่งเสพติดทั้งปวง
การงดเว้นจากความชั่วเหล่านี้ ท่านเรียกว่า ศีล ๕ บ้าง สิกขาบท ๕ บ้าง เบญจศีลบ้าง หรือนิจศีลบ้าง เป็นศีลที่คฤหัสถ์ควรรักษาเป็นประจำ คำว่า ศีล มิใช่หมายเพียงความประพฤติที่ดีงาม ทางกาย และทางวาจาเท่านั้น แต่หมายถึง ว่าจะต้องมีอาชีพสุจริตด้วย

ศีลของบรรพชิต และศีลของคฤหัสถ์
- ศีลของบรรพชิต ได้แก่ ศีล ๒๒๗ หรือจตุปาริสุทธิศีล สำหรับภิกษุ
- ศีล ๑๐ .....สำหรับสามเณร
- ศีลของคฤหัสถ์ ได้แก่ ศีล ๘ หรืออุโบสถศีล สำหรับอุบาสก อุบาสิกา
ศีล ๕ หรือ เบญจศีล สำหรับบุคคลทั่วไป


" จตุปาริสุทธิศีล " เป็นศีลที่บริสุทธิ์ มี ๔ อย่าง คือ
๑. ปาฏิโมกขสังวรศีล การสำรวมในพระปาฏิโมกข์
๒. อินทริยสังวรศีล การสำรวมในอินทรีย์ ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
๓. อาชีวปาริสุทธิศีล การเลี้ยงชีพโดยทางที่ชอบ
๔. ปัจจยสันนิสิตศีล การพิจารณาก่อนจึงบริโภคปัจจัย ๔ คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และเภสัช

" ศีลอุโบสถ" คือ ศีล ๘ ที่อุบาสก อุบาสิกา รักษาในวันอุโบสถ คือ ขึ้นและแรม ๘, ๑๕ ค่ำ ศีล ๘ ไม่กำหนดวันรักษา คือ รักษาได้ทุกวัน

การรักษาศีล จะต้องมีเจตนาที่จะงดเว้น จากการทำความชั่วทั้งปวง จึงจะเป็น ศีล

ถ้าไม่มีเจตนาที่จะงดเว้น แม้ผู้นั้นมิได้ทำความชั่ว ก็ไม่ชื่อว่ามีศีล
เหมือนเด็กอ่อนที่นอนแบเบาะ แม้จะมิได้ทำความชั่วก็ไม่มีศีล เพราะเด็กไม่มีเจตนาที่จะงดเว้น
(ข้อความเพิ่มเติมใน อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต อุโบสถสูตร ข้อ ๕๑๐)



★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★



๓. ภาวนามัย
บุญสำเร็จด้วยการภาวนา

" ภาวนา " แปลว่า การทำให้มีขึ้น ทำให้เกิดขึ้น
ได้แก่ การฝึกอบรมจิตใจให้เกิดความสงบขั้นสมาธิและปัญญา
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงข้อปฏิบัติไว้ ๒ ประการ คือ สมถภาวนา และ วิปัสสนาภาวนา

สมถภาวนา คือ การฝึกอบรมจิตใจให้เกิดความสงบจนตั้งมั่นเป็นสมาธิ
อารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งการเจริญสมถภาวนาชื่อว่า กรรมฐาน มี ๔๐ ประเภท คือ
กสิณ ๑๐
อสุภะ๑๐
อนุสสติ ๑๐
พรหมวิหาร ๔
อรูป ๔
อาหาเรปฏิกูลสัญญา
และจตุธาตุววัฏฐาน(รายละเอียดในวิสุทิมรรคแปล ภาค ๑ ตอน ๒)

วิปัสสนาภาวนา คือ การฝึกอบรมเจริญปัญญาให้เกิดความรู้แจ้งในสภาพธรรมที่เป็นจริง
ตามสภาพของไตรลักษณ์ คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
กรรมฐานอันเป็นที่ตั้งของการเจริญวิปัสสนาภาวนา ได้แก่ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ อริยสัจจ ๔ และปฏิจจสมุปบาท ๑๒

พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงไว้ว่าหนทางปฏิบัติเพื่อการเข้าไปรู้แจ้งลักษณ์ของสภาพธรรมทั้ง ๖ ประการนี้มีเพียงทางเดียวที่จะนำไปสู่พระนิพพานได้ ทางสายเอกนั้นได้แก่ สติปัฏฐาน ๔

- กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน การพิจารณาเห็นกายในกาย มี ๑๔ ข้อ

- เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน การพิจารณาเห็นเวทนาในเสทนา มี ๙ ข้อ

- จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน การพิจารณาเห็นจิตในจิต มี ๑๖ ข้อ

- ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน การพิจารณาเห็นธรรมในธรรม มี ๕ ข้อ

สำหรับการเจริญภาวนาในขั้น บุญกิริยาวัตถุ นี้ โดยทั่วไป ท่านหมายเอาเพียง มหากุศลธรรมดา แต่หากว่าผู้ใด ได้ศึกษา ข้อปฏิยัติ ให้มีความเข้าใจ ก่อนลงมือปฏิบัติ แล้วพากเพียรปฏิบัติ ให้ถูกต้อง ตามแนวทาง ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงไว้ ก็สามารถเป็นบันได ให้ก้าวไปถึงฌาน หรือมรรคผลได้


(รายละเอียดในมัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ สติปัฏฐานสูตร ข้อ ๑๓๑ - ๑๕๒ และทีฆนิกาย มหาวรรค สติปัฏฐานสูตร ข้อ ๒๗๓ - ๓๐๐)

★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★




๔. อปจายนะ คือ ความอ่อนน้อม ไม่แข็งกระด้าง ผู้มีความประพฤติอ่อนน้อม ผู้ที่ขัดเกลาความมานะ และนิสัยกระด้างออกแล้ว รู้จักบุคคลที่ ควรจะ อ่อนน้อมด้วย ในฐานะใด ในสภาพใด

......สำหรับบุคคลที่ควรจะอ่อนน้อมด้วย มี ๓ ประเภท คือ
...... ๑. วัยวุฒิ ผู้ที่สูงกว่า ด้วย วัย
...... ๒. ชาติวุฒิ ผู้ที่สุงกว่า ด้วยชาติ ตระกูล
...... ๓. คุณวุฒิ ผู้ที่สูงกว่า ด้วยคุณธรรม

. . . . บุคคลผู้มีปกติอ่อนน้อมกราบไหว้ผู้ใหญ่ ย่อมได้รับอานิสงส์ ๔ ประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ในมงคลสูตร กล่าวว่า ผู้อ่อนน้อม ถ่อมตน กำจัดมานะ กำจัดความกระด้างได้ ทำตนให้เป็นเสมือนผ้าเช็ดเท้า เสมอด้วยโคอุสุภะเขาชาด หรือเสมอด้วยงูที่ถอนเขี้ยวแล้ว ท่านตรัสว่า เป็นมงคล

(เอกสารแจก: วัดพระมหาธาตุ เมืองนครศรีธรรมราช)
★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★




๕.เวยยาวัจจมัย
บุญสำเร็จด้วยการขวนขวายรับใช้

เวยยาวัจจมัย คือ การขวนขวาย ช่วยเหลือ ในธุระ กิจการงานของผู้อื่น ที่อยู่ในขอบข่ายของศีลและธรรม เช่น ช่วยเป็นธุระ จัดการในงานบุญ งานกุศล ของส่วนรวม ที่ก่อให้เกิดประโยชน์ แก่สังคม หรือ ขวนขวาย ทำกุศลต่างๆ ในชีวิตประจำวัน เช่นการพยาบาลผู้เจ็บไข้ การช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติภัยต่างๆ เป็นต้นว่า ไฟไหม้ ถูกรถชน ตกน้ำ หรือแม้แต่การชี้บอกทาง การช่วยพาคนข้ามถนน ให้ได้รับความปลอดภัย เป็นต้นเหล่านี้ ก็ชื่อว่าเป็นบุญที่ขวนขวายช่วยเหลือผู้อื่น

. . . . . การสนับสนุนช่วยเหลือในกิจการของส่วนรวม เช่นการสร้างสะพาน สร้างศาลา สร้างโรงเรียน สร้างโรงพยาบาล ขุดสระน้ำ ปลูกต้นไม้ ปลูกสวนป่า อันเป็นประโยชน์ ต่อส่วนรวมก็จัดเป็น เวยยาวัจจะ เช่นกัน ในคาถาธรรมบท มลวรรค แสดงตัวอย่างเรื่องบุญประเภทนี้ว่า

. . . . . พราหมณ์ผู้หนึ่ง ยืนดูภิกษุผู้ห่มจีวร ณ สถานที่อันเป็น ที่ห่มจีวร ของพระภิกษุ ก่อนที่จะไปบิณฑบาต พราหมณ์ ได้เห็น ชายจีวร ของภกษุเหล่านั้น เกลือกกลั้ว หญ้าที่เปียกน้ำค้าง เขาได้ไปถางหญ้าให้พื้นเรียบ วันรุ่งขึ้น เขาเห็น ชายจีวรของพวกภิกษุ ตกลงบน พื้นดินเกลือกกลั้วฝุ่น เขาก็ไปขนทรายมาเกลี่ยลงในที่เป็นฝุ่นนี้น ในเวลาท่พวกภิกษุ กลับจาก บิณฑบาต ก่อนจะฉัน ภัตตาหาร ณ ที่นั้น มีแสงแดดกล้า พราหมณ์ เห็นเหงื่อของภิกษุผู้ห่มจีวรแย่ เขาจึงสร้างมณฑป คือเรือนยอดที่เป็นรูปสี่เหลี่ยม เพื่อให้ร่มเงาแก่ภิกาเหล่านั้น รุ่งขึ้นอีก มีฝนตกพรำ พราหมณ์นั้นได้สร้างศาลาให้ท่านหลบฝน เขาเป็นผู้ฉลาดขวนขวายหากุศล นี้ชื่อว่าเป็นบุญในข้อ เวยยาวัจจะ

(เอกสารแจก: วัดมหาธาตุ เมืองนครศรีธรรมราช)

★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★



๗. ปัตตานุโมทนามัย
บุญสำเร็จด้วยการยินดี...

การอนุโมทนาในส่วนบุญ ที่ผู้อื่นแบ่งให้ หรือพลอยยินดีด้วยในส่วนบุญที่ผู้อื่นกระทำ
ชื่อว่า "ปัตตานุโมทนา"

การอนุโมทนาบุญที่มีผู้แบ่งให้

คาถาธรรมบท พราหมณวรรค เรื่องพระโชติกะเถระ แสดงไว้ว่า กฎุมพีสองพี่น้อง ในกรุงพาราณาสี ทำไร่อ้อยไว้เป็นอันมาก วันหนึ่งกฎุมพีผู้น้องไปไร่อ้อย ถือเอาอ้อยมาสองลำคิดจะให้พี่ชายด้วย ได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็มีจิตเลื่อมใสได้ถวายอ้อยในส่วนของตนลงในบาตร ตั้งความปรารถนาว่า "ด้วยผลแห่งรส (อ้อย) อันเลิศนี้ ข้าพเจ้าพึงได้เสวยสมบัติในเทวโลก และมนุษยโลก ในที่สุดพึงบรรลุธรรมที่ท่านบรรลุแล้วนั่นแล"

เมื่อท่านฉันแล้ว เขาจึงได้ถวายอ้อย ส่วนที่สอง อันเป็นส่วนของพี่ชายลงในบาตรอีก ด้วยคิดว่า เราจักให้มูลค่าหรือส่วนบุญแก่พี่ชาย พระปัจเจกพุทธเจ้าอนุโมทนาแล้ว เหาะไปสู่ภูเขาคันธมาทน์ ถวายน้ำอ้อยนั้นแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าอีก ๕๐๐ องค์ที่ภูเขานั้น กฎุมพีผู้น้องเห็นเหตุการณ์นั้นเกิดปีติ กลับไปเล่าให้พี่ชายฟัง ถึงเหตุนั้น ถามพี่ชายว่า "พี่จักรับเอามูลค่าอ้อยนั้น หรือจักรับเอาส่วนบุญ" พี่ชายมีจิตเลื่อมใส ไม่รับเอามูลค่า ขออนุโมทนาส่วนบุญจากกกฎุมพีผู้น้องด้วยใจโสมนัส ตั้งความปรารถนาว่า "ขอเราพึงได้บรรลุธรรมที่พระปัจเจกพุทธเจ้าเห็นนั้นเถิด"

นี่คือตัวอย่างของการที่มีผู้แบ่งบุญให้ที่ชื่อว่า "ปัตตานุโมทนา"

การพลอยยินดีด้วยในบุญที่ผู้อื่นกระทำ

ในขุททกนิกาย วิมานวัตถุ ความย่อมีว่า พระอนุรุทธะถามนางเทพธิดาว่า "ท่านมีวรรณะงามยิ่งนัก มีรัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศ เหมือนดาวประกายพรึก เมื่อท่านฟ้อนอยู่ เสียงอันเป็นทิพย์น่าฟังรื่นรมย์ใจ ย่อมเปล่งออกจากอวัยวะน้อยใหญ่ทุกส่วน ทั้งกลิ่นทิพย์อันหอมหวลก็ฟุ้งออกจากกายทุกส่วน เสียงของเครื่องประดับ ช้องผมที่ถูดรำเพยพัดก็กังวานไพเราะดุจเสียงดนตรี แม้พวงมาลัยบนเศียรเกล้าของท่าน ก็มีกลิ่นหอมชวนเบิกบานใจ หอมฟุ้งไปทั่วทุกทิศ ดูกร นางเทพธิดา อาตมาขอถามว่า นี้เป็นผลแห่งกรรมอะไร"

นางเทพธิดาตอบว่า "ข้าแต่พระคุณเจ้า นางวิสาขามหาอุบาสิกา ผู้สหายของดิฉัน ที่อยู่ในเมืองสาวัตถี ได้สร้างวิหารถวายสงฆ์ ดิฉันได้เห็นวิหารนั้น มีจิตเลื่อมใสอนุโมทนาพลอยยินดีด้วยในบุญนั้นของนาง ก็วิมานและสมบัติทุกอย่างที่ดิฉันได้แล้วนี้ เพราะการพลอยยินดีโมทนาบุญของสหายนั้น ด้วยจิตอันบริสุทธิ์อย่างเดียวเท่านั้น"

จากพระสูตรนี้จะเห็นได้ว่า เพียงจิตเลื่อมใสอนุโมทนาในบุญที่ผู้อื่นที่ได้กระทำแล้ว ยังให้ผลเห็นปานนี้ แม้ว่าจะยังไม่มีใครบอกบุญให้ก็อนุโมทนาเช่น เห็นคนกำลังใส่บาตร มีจิตยินดีอนุโมทนาด้วยในบุญนั้น ก็นับเป็นบุญที่ชื่อว่า "ปัตตานุโมทนา"


★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★




๘. ธัมมัสสวนมัย
บุญสำเร็จด้วยการฟังธรรม

การฟังธรรม เป็นการศึกษาหาความรู้ เพื่อให้เกิดปัญญา เข้าใจในหลักพระธรรมคำสอน ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งสามารถจะนำให้ผู้ประพฤติปฏิบัติตาม ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน พ้นจากทุกข์ในสังสารวัฏนี้ได้

การฟังธรรมมีอานิสงส์มากถึง ๕ ประการ คือ

๑. ได้ฟังในสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง
๒. เรื่องใดที่เคยได้ฟังแล้ว ได้ฟังซ้ำอีกย่อมมีความชัดเจนขึ้น
๓. บรรเทาความสงสัยเสียได้
๔. ทำความเห็นให้ถูกต้องได้
๕. จิตของผู้ฟังธรรมย่อมผ่องใส

การได้ฟังพระธรรม พึงทราบว่าเป็นมงคล เพราะเป็รเหตุให้ประสบผลวิเศษนาแระการ มีการละจากความชั่ว ประพฤติความดี และบรรลุธรรมอันเป็นที่สิ้นอาสวะได้ในที่สุด เป็นต้น

ในสังยุตตนิกาย สคาถวรรค ปิยังกรสูตร กล่าวไว้ว่า ในเวลา ใกล้รุ่งแห่งราตรีหนึ่ง ที่พระวิหารเชตวัน ท่านพระอนุรุทธะกำลังกล่าวธรรมอยู่ ครั้งนั้น นางยักษิณีผู้เป็นมารดาของปิยังกระ ได้กล่าวห้ามบุตรว่า “อย่า อึงไป ภิกษุกำลังกล่าวบธรรมอยู่ ให้ตั้งฟัง เมื่อเรารู้แจ้งบทธรรมนั้นแล้วปฏิบัติ ข้อนั้นจักมีประโยชน์เกื้อกูลแก่เรา หากเราศึกษา ทำตนให้เป็นผู้มีศีลดีนั่นแหละ จักพ้นจากกำเนิดปีศาจได้”

ด้วยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า การฟังด้วยดีย่อมได้ปัญญา คือเมื่อฟังแล้วย่อมเกิดความเข้าใจในธรรม ที่มีผู้ยกมาแสดง เมื่อเข้าใจในธรรมนั้นแล้ว น้อมนำคำสอนนั้นมาประพฤติปฏิบัติตามย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้

ในขณะที่ฟังธรรม แม้จะไม่รู้เรื่องราว ไม่เข้าใจในธรรมนั้น แต่ฟังด้วยความรู้สึกว่า “นั่นคือเสียงแห่งพระธรรม” เลื่อมใสในเสียงที่ได้ยินย่อมก่อให้เกิดบุญกุศลได้เช่นกัน ดังท่านเล่าไว้ว่า ค้างคาว กบ ได้ยินเสียงพระสวด ด้วยความตั้งใจฟัง และมีจิตเลื่อมใสในเสียงที่กล่าวธรรมนั้น ตายลงในขณะนั้น ทำให้ได้ไปเกิดในสวรรค์ พ้นจากความเป็นสัตว์เดรัจฉานได้

★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★




๙. ธัมมเทสนามัย
บุญสำเร็จด้วยการแสดงธรรม

การแสดงธรรม ด้วยใจที่หวังจะให้ผู้ฟังได้รับประโยชน์ โดยที่ตนมิได้มุ่งหวังในลาภสักการะใดๆ จัดเป็นบุญที่เรียกว่า “ธรรมทาน” เป็นบุญที่ให้ผลมากว่าทานทั้งปวง ดังที่พระพุทธองค์ตรัสวา “การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง”

การแสดงธรรมด้วยการแจกจ่ายธรรม

คือแจกแจงพระธรรม ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว เพื่ออนุเคราะห์ให้ผู้ได้รับฟังเกิดจิตเลื่อมใสในพระสัทธรรมของพระพุทธองค์ ที่ทรงพร่ำสอนอย่านี้ว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล ธรรมเหล่านี้เป็นอกุศล ธรรมเหล่านี้มีโทษ ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ เป็นต้น

การแสดงธรรมให้เลิกละ จากอกุศลธรรม ให้ตั้งอยู่ในกุศลธรรมทั้งหลายเช่น

การไม่ทำบาปทั้งปวง ๑
การทำกุศลให้ถึงพร้อม ๑
การทำจิตของตนให้ผ่องใส ๑
การไม่กล่าวร้าย ๑
การไม่ทำร้าย ๑
การสำรวมในพระปาฏิโมกข์ ๑
การรู้ประมาณในการบริโภค ๑
การนอนการนั่งในที่อันสงบสงัด ๑
ความเพียรประกอบในการทำจิตให้ยิ่ง ๑

ธรรมเหล่านี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย (ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาปทานสูตร โอวาทปาฏิโมกข์)

ในอังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต อุทายีสูตร พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า ภิกษุเมื่อจะแสดงธรรมแก่ผู้อื่น พึงตั้งธรรม ๕ ประการนี้ในใจก่อน แล้วจึงแสดงธรรม คือ

เราจักแสดงธรรมไปโดยลำดับ ๑
เราจักแสดงธรรมโดยอ้างเหตุผล ๑
เราจักแสดงธรรมโดยอาศัยความเอ็นดู ๑
เราจักไม่เป็นผู้เพ่งอามิสในการแสดงธรรม ๑
เราจักไม่แสดงธรรมให้กระทบตนและผู้อื่น ๑

ผู้ใดตั้งธรรม ๕ ประการนี้ ไว้ภายในใจแล้วแสดงธรรม อย่างนี้ชื่อว่าเป็น “ธรรมทาน” โดยแท้

อนึ่ง แม้บุคคลผู้แสดงธรรมเองก็ย่อมได้รับประโยชน์ คือ ได้ เข้าใจในความหมาย และความลึกซึ้งในธรรมที่ยกมาแสดงนั้น เพิ่มขึ้น ๑ เป็นที่พึงพอใจของพระบรมศาสดา ๑ อาจแทงตลอดเนื้อความอันลึกซึ้งของธรรมนั้น ได้ ๑ เป็นที่สรรเสริญของกัลยาณชน ๑

สำหรับการแสดงธรรมนี้มิได้หมายว่า ภิกษุเท่านั้นที่จะเป็นผู้แสดงธรรมได้ แม้ อุบาสกอุบาสิกา หรือฆราวาสผู้มีความรู้ ผู้ศึกษาธรรม ผู้ปฏิบัติ แม้แต่การอบรมเยาวชน หรือลูกหลานด้วยธรรมะ ก็ชื่อว่า “ธัมมเทสนา” เช่นกัน


★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★


๑๐. ทิฏฐุชุกัมม
บุญสำเร็จด้วยการทำความเห็นให้ตรง

“ทิฏฐิ” แปลว่าความเห็น เช่น “สัมมาทิฏฐิ” ความเห็นชอบ หรือ “มิจฉาทิฏฐิ” ความเห็นผิด ส่วนคนที่มีความอวดดื้อถือดี หรือยึดมั่นในอุดมการณ์ต่างๆ อย่างงมงาย โดยไม่ยอมรับฟังความเห็นของผู้อื่น คือมีความเชื่อมั่นในความเห็นของตนเองว่าอย่างนี้ถูก ถือเอาความเห็นของตนเป็นใหญ่แต่ประการเดียว โดยที่ยังมิได้พิจารณาด้วยเหตุและผลว่าสิ่งนั้นผิดหรือถูก บุคคลนั้นชื่อว่าผู้มีทิฏฐิ

ความเห็นที่ถูกต้องเป็นสัมมาทิฏฐิ มี ๑๐ ประการ

๑. เห็นว่า ทานที่ให้แล้วมีผล
๒. เห็นว่า การบูชาพระรัตนตรัยมีผล
๓. เห็นว่า การบวงสรวงเทวดามีผล
๔. เห็นว่า ผลของกรรมดี กรรมชั่ว มีอยู่
๕. เห็นว่า สัตว์ที่เกิดมาในโลกนี้มีอยู่ (โลกนี้มี)
๖. เห็นว่า สัตว์ในโลกนี้ตายแล้วเกิดในโลกอื่นมีอยู่ (โลกหน้ามี)
๗. เห็นว่า คุณของมารดา มีอยู่
๘. เห็นว่า คุณของบิดา มีอยู่
๙. เห็นว่า โอปปาติกะ คือสัตว์ที่เกิดขึ้น แล้วโตทันที มีอยู่
๑๐. เห็นว่า สมณพราหมณ์ ผู้รู้แจ้งโลกนี้ และโลกหน้าด้วยตนเองแล้วประกาศให้ผู้อื่นได้รู้ด้วย (พระพุทธเจ้า) มีอยู่ และสมณพราหมณ์ที่ถึงพร้อมด้วยความสามัคคี ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ (พระสงฆ์) มีอยู่

ในบุญกิริยาวัตถุทั้ง ๑๐ ประการ นี้ เป็นการทำบุญที่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ในพระพุทธศาสนา โดยไม่ต้องใช้จ่ายเงินทองมากมาย มีบุญกิริยาประการเดียวคือ การให้วัตถุทานเท่านั้นที่ต้องใช้เงินทอง บุญกิริยาที่เหลืออีก ๙ ประการ มิต้องใช้เงินทองเลย เพราะฉะนั้นทุกคนสามารถที่จะสั่งสมบุญได้มากขึ้นในชีวิตประจำวัน ถ้ามีความเข้าใจในขั้นตอนของการทำบุญเช่นนี้แล้ว

ในคาถาธรรมบท ท่านกล่าวว่า ไม่ควรประมาทในบุญเล็กๆ น้อยๆ ว่ายังไม่ควรทำ เพราะแม้บุญเล็กน้อยนั้น ถ้าได้สั่งสมบ่อยๆ ก็ยังมีผลให้เกิดความสุข เหมือนหม้อน้ำที่เปิดปากไส้ แม้น้ำหยดลงที่ละหยด ก็สามารถเต็มหม้อน้ำนั้นได้ ฉันใด บุญเล็กบุญน้อย ที่บุคคลทำบ่อยๆ ก็ย่อมจะพอกพูนให้เต็มเปี่ยมได้ เหมือนหยดน้ำที่หยดลงมาจนเต็มหม้อน้ำ ฉันนั้นแล


............ จบบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ............


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ม.ค. 2009, 23:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ม.ค. 2009, 02:20
โพสต์: 1387

ที่อยู่: สัพพะโลก

 ข้อมูลส่วนตัว


ทำบุญไม่หวังบุญ จะได้บุญมากที่สุดครับ :b8:
สู้ๆ นะครับ สร้างบุญต่อไปอย่าท้อถอย..

***ในชาตินี้หากเธอยังมีความทุกข์อยู่บ้าง ชาติหน้าจะดีกว่านี้
ในชาตินี้หากเธอเสวยสุขและสร้างปาบอยู่ ชาติหน้าก็ต้องลำเค็ญ
หากเธอไม่สามารถรักษาความสุขุม ไม่รู้จักพอ เมื่อเป็นเช่นนี้
ความทุกข์ก็จะติดตามเธอไป หากเธอศึกษาบำเพ็ญธรรม
ธรรมอยู่ในใจเธอตลอด ขจัดความมืดภายในใจเธอ
ความสว่างก็จะเกิดขึ้นภายในใจเธอ ให้เธอสามารถค้นพบตัวเธอตลอดไป
ค้นพบมโนธรรมสำนึกในตัวเธอ ค้นพบความเมตตาธรรมของเธอ
นับแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน พระพุทธะ พระโพธิสัตว์ ล้วนกล่าวแสดง
และปฏิบัติแต่สิ่งเหล่านี้***

.....................................................
ผู้มีจิตเมตตาจะไม่มีศัตรู ผู้มีสติปัญญาจะไม่เกิดทุกข์.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ม.ค. 2009, 23:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ม.ค. 2009, 23:33
โพสต์: 6


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณครับ :b8: คุณคามินธรรม คุณอมิตาพุทธ และทุกๆท่านครับ ที่ให้คำแนะนำหลักธรรมและให้กำลังใจผม ผมขอน้อมรับด้วยความเต็มใจครับ และขอให้อานิสงค์บุญจากการช่วยเหลือผู้ทุกข์ ได้กลับไปถึงทุกๆท่านด้วยนะครับ ผมรบกวนถามอีกครับ คือผมก็พยายามรักษาศีล 5 ให้ได้ครับ ซึ่งอีก 4 ข้อ ไม่ค่อยห่วง แต่เรื่องการฆ่าสัตว์มันเลี่ยงไม่ค่อยได้ครับ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นยุง มด แมลง ตะขาบ(มักเจอตอนปลูกต้นไม้) จะเป็นบาปมากรึเปล่าครับ แต่เวลากรวดน้ำผมก็อุทิศให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย แล้วก็ปล่อยปลาทุกเดือน จะชดเชยได้รึเปล่าครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ม.ค. 2009, 19:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ม.ค. 2009, 18:57
โพสต์: 159


 ข้อมูลส่วนตัว


ดูกรคฤหบดี คนให้ทานอันเศร้าหมองหรือประณีตก็ตาม แต่ให้ทานนั้นโดยไม่เคารพ ไม่ทำความนอบน้อมให้ ไม่ให้ด้วยมือตนเอง ให้ของที่เหลือไม่เชื่อกรรมและผลของกรรมให้ทาน ทานนั้นๆ ย่อมบังเกิดผลในตระกูลใดๆในตระกูลนั้นๆ จิตของผู้ให้ทานย่อมไม่น้อมไปเพื่อบริโภคอาหารอย่างดี ย่อมไม่น้อมไปเพื่อบริโภคผ้าอย่างดี ย่อมไม่น้อมไปเพื่อบริโภคยานอย่างดี ย่อมไม่น้อมไปเพื่อบริโภคกามคุณ ๕ อย่างดี แม้บริวารชนของผู้ให้ทานนั้น คือ บุตรภรรยา ทาส คนใช้ คนทำงาน ก็ไม่เชื่อฟัง ไม่เงี่ยหูฟัง ส่งจิตไปที่อื่นเสีย ข้อนั้นเพราะเหตุไร ทั้งนี้เป็นเพราะผลแห่งกรรมที่ตนกระทำโดยไม่เคารพ ฯ

ดูกรคฤหบดี เรื่องเคยมีมาแล้ว มีพราหมณ์ชื่อเวลามะ พราหมณ์ผู้นั้นได้ให้ทานเป็นมหาทานอย่างนี้ คือ ได้ให้ถาดทองเต็มด้วยรูปิยะ ๘๔,๐๐๐ ถาดถาดรูปิยะเต็มด้วยทอง ๘๔,๐๐๐ ถาด ถาดสำริดเต็มด้วยเงิน ๘๔,๐๐๐ ถาด ให้ช้าง ๘๔,๐๐๐ เชือก มีเครื่องประดับล้วนเป็นทอง มีธงทอง คลุมด้วยข่ายทองให้รถ ๘๔,๐๐๐ คัน หุ้มด้วยหนังราชสีห์ หนังเสือโคร่ง หนังเสือเหลือง ผ้ากัมพลเหลือง มีเครื่องประดับล้วนเป็นทอง มีธงทอง คลุมด้วยข่ายทอง ให้แม่โคนม๘๔,๐๐๐ ตัว มีน้ำนมไหลสะดวก ใช้ภาชนะเงินรองน้ำนม ให้หญิงสาว ๘๔,๐๐๐ คน ประดับด้วยแก้วมณีและแก้วกุณฑล ให้บัลลังก์ ๘๔,๐๐๐ ที่ ลาดด้วยผ้าโกเชาว์ ลาดด้วยขนแกะสีขาว เครื่องลาดมีสัณฐานเป็นช่อดอกไม้ มีเครื่องลาดอย่างดีทำด้วยหนังชมด มีเครื่องลาดเพดาน มีหมอนข้างแดงทั้งสอง ให้ผ้า๘๔,๐๐๐ โกฏิ เป็นผ้าเปลือกไม้ ผ้าแพร ผ้าฝ้าย เนื้อละเอียด จะป่วยกล่าวไปไยถึงข้าว น้ำ ของเคี้ยว ของบริโภค เครื่องลูบไล้ ที่นอน ไหลไปเหมือนแม่น้ำ
ดูกรคฤหบดี ก็ท่านพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า สมัยนั้น ผู้อื่นไม่ใช่เวลามพราหมณ์ผู้ที่ให้ทานเป็นมหาทานนั้น
ดูกรคฤหบดี แต่ท่านไม่ควรเห็นอย่างนี้ สมัยนั้น เราเป็นเวลามพราหมณ์ เราได้ให้ทานนั้นเป็นมหาทาน ก็ในทานนั้นไม่มีใครเป็นพระทักขิเณยยบุคคล ใครๆ ไม่ชำระทักขิณานั้นให้หมดจด
ดูกรคฤหบดี ทานที่บุคคลเชื้อเชิญท่านผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิผู้เดียวบริโภค มีผลมากกว่าทานที่เวลามะพราหมณ์ให้แล้ว
ทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้ท่านผู้ไม่ถึงพร้อมด้วยทิฐิร้อยทานบริโภค มีผลมากกว่าทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิผู้เดียวบริโภค
ทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้พระสกทาคามีผู้เดียวบริโภค มีผลมากกว่าทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิร้อยท่านบริโภค
ทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้พระอนาคามีผู้เดียวบริโภค มีผลมากกว่าทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้พระสกทาคามีร้อยท่านบริโภค
ทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันต์ผู้เดียวบริโภค มีผลมากกว่าทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้พระอนาคามีร้อยท่านบริโภค
ทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันต์ร้อยท่านบริโภค มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันต์ผู้เดียวบริโภค
ทานที่บุคคลถวายให้พระปัจเจกพุทธเจ้ารูปเดียวบริโภค มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันต์ร้อยรูปบริโภค
ทานที่บุคคลถวายให้พระปัจเจกพุทธเจ้าร้อยรูปบริโภค มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้พระปัจเจกพุทธเจ้ารูปเดียวบริโภค
ทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าบริโภค มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้พระปัจเจกพุทธเจ้าร้อยรูปบริโภค
ทานที่บุคคลถวายให้ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขบริโภคมีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าบริโภค
การที่บุคคลสร้างวิหารถวายสงฆ์ผู้มาจากจาตุรทิศ มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขบริโภค
การที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ มีผลมากกว่าทานที่บุคคลสร้างวิหารถวายสงฆ์อันมาจากจาตุรทิศ
การที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสสมาทานสิกขาบท คือ งดเว้นจากปาณาติบาต ฯลฯ จากการดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นฐานะแห่งความประมาท มีผลมากกว่าการที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ
การที่บุคคลเจริญเมตตาจิตโดยที่สุดแม้เพียงเวลาสูดดมของหอม มีผลมากกว่าการที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสสมาทานสิกขาบท คือ งดเว้นจากปาณาติบาต ฯลฯ

พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑๕ อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต - หน้าที่ 315


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ม.ค. 2009, 19:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2006, 20:52
โพสต์: 1210

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทำบุญอย่างไรให้ได้บุญ ทำบุญให้พร้อมด้วยกาย วาจา ใจ คือกายสำรวม วาจาสำรวม ใจก็สำรวม ไม่คิดอยากได้สิ่งใดๆ ตอบแทน ไม่ผูกโกรธ คับแค้นในชีวิต
รู้เท่าทันว่า สิ่งทั้งหลายมีความแปรปรวนไป ดับไปเป็นปกติ เป็นธรรมดา
สิ่งทั้งหลายเป็นทุกข์ ไม่น่ายึดถือ สิ่งใดมันจะเกิดก็ให้มันเกิด นี่เป็นบุญที่ได้รับทันที
การปล่อยปลาก็เป็นบุญกุศล ได้ช่วยเหลือสงเคราะห์ เพื่อนร่วมทุกข์ให้แคล้วคลาดจากเคราะห์กรรมของเขา หมั่นรักษาศีล สวดมนต์ และปล่อยวางความทุกข์

ขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ ขอให้คุณมีความสุข แมวขาวมณีขอส่งความสุขมาให้ขอท่านและผู้อ่านอยู่มีความสุข.... รู้เท่าทันกาย ใจของตน ๆ ค่ะ สาธุ

.....................................................
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ ธรรมา อนัตตา...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2009, 20:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ม.ค. 2009, 23:33
โพสต์: 6


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณทุกๆท่านครับ ที่ให้คำแนะนำหลักธรรมและให้กำลังใจผม ผมขอน้อมรับด้วยความเต็มใจครับ และขอให้อานิสงค์บุญจากการช่วยเหลือผู้ทุกข์ ได้กลับไปถึงทุกๆท่านด้วยนะครับ :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2009, 13:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b40: :b40: :b40: น้อมรับก็ต้องเอาไปปฏิบัติด้วยนะครับ......เพราะวิธีแก้ทุกข์ก็คือการทำให้ตัวเองหมดทุกข์ ไม่ว่าเรื่องใดๆ อนุโมทนาบุญกับเจ้าของกระทู้ล่วงหน้า.... " :b39: มีไรก้นำมาเล่าสู่กันฟังอีกนะ.." :b39: :b39: :b39:

.....................................................
"มีสติเป็นเรือนจิต ใช้ชีวิตเป็นเรือนใจ ใช้ปัญญาเป็นแสงสว่างส่องทางเดินไปเถิด จะได้ล้ำเลิศในชีวิตของท่าน มีความหมายอย่างแท้จริง"
ในการปฏิบัติธรรม หลวงพ่อท่านบอกว่า ให้ตัดปลิโพธกังวลใจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ลูก สามี ภรรยา ความวุ่นวายทั้งหลายทั้งปวง อย่าเอามาเป็นอารมณ์ จากหนังสือ: เจริญกรรมฐาน7วันได้ผลแน่นอน หัวข้อ12: ระงับเวรด้วยการแผ่เมตตา


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 27 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 25 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร