วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 03:18  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 35 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ม.ค. 2009, 17:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2006, 20:52
โพสต์: 1210

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก

เศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้น ท่านพระสารีบุตรเรียกภิกษุทั้งหลายแล้ว ภิกษุพวกนั้น

รับคำท่านพระสารีบุตรแล้ว ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวคำนี้ว่า ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ที่เรียกว่า

สัมมาทิฏฐิๆ ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอ อริยสาวกจึงจะชื่อว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นดำเนินไป

ตรงแล้ว ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันแน่วแน่ในธรรม มาสู่พระสัทธรรมนี้ พวกภิกษุกล่าวว่า

ดูกรท่านผู้มีอายุ พวกกระผมมาจากที่ไกล ก็เพื่อจะรู้ทั่วถึงเนื้อความแห่งภาษิตนี้ ในสำนักของท่าน

พระสารีบุตร ดังพวกกระผมขอโอกาส เนื้อความแห่งภาษิตนี้ จงแจ่มแจ้งกะท่านพระสารีบุตรเถิด

ภิกษุทั้งหลายได้ฟังต่อท่านพระสารีบุตรแล้ว จักทรงจำไว้ ท่านพระสารีบุตรตอบว่า ถ้าอย่างนั้น

จงฟังเถิด ท่านผู้มีอายุ จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุพวกนั้นรับคำท่านพระสารีบุตรแล้ว.

ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวคำนี้ว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ เมื่อใดอริยสาวกรู้ชัดซึ่ง

อกุศลและรากเง่าอกุศล รู้ชัดซึ่งกุศลและรากเง่าของกุศล แม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ อริยสาวกชื่อว่า

เป็นสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นดำเนินไปตรงแล้วประกอบด้วยความเลื่อมใสอันแน่วแน่ในธรรม มาสู่

พระสัทธรรมนี้ ก็อกุศลเป็นไฉน? ได้แก่ ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ

พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ อยากได้ของผู้อื่น ปองร้ายเขา เห็นผิด อันนี้เรียกว่า

อกุศลแต่ละอย่างๆ รากเง่าของอกุศลเป็นไฉน? ได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ อันนี้เรียกว่ารากเง่า

ของอกุศลแต่ละอย่างๆ กุศลเป็นไฉน? ได้แก่ ความเว้นจากฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิด

ในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ ไม่อยากได้ของผู้อื่น ไม่ปองร้ายเขา

เห็นชอบ อันนี้เรียกว่า กุศลแต่ละอย่างๆ รากเง่าของกุศลเป็นไฉน? ได้แก่ อโลภะ อโทสะ

อโมหะ อันนี้เรียกว่า รากเง่าของกุศลแต่ละอย่างๆ ดูกรท่านผู้มีอายุ เมื่อใด อริยสาวกรู้ชัด

ซึ่งอกุศลและรากเง่าของอกุศลอย่างนี้ๆ รู้ชัดซึ่งกุศลและรากเง่าของกุศลอย่างนี้ๆ เมื่อนั้น ท่านละ

ราคานุสัย บรรเทาปฏิฆานุสัย ถอนทิฏฐานุสัย และมานานุสัยว่า เรามีอยู่โดยประการทั้งปวง

ละอวิชชา ยังวิชชาให้เกิด ย่อมกระทำที่สุดแห่งทุกข์ในปัจจุบันนี้เทียว แม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้

อริยสาวกชื่อว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นดำเนินไปตรงแล้ว ประกอบด้วยความเลื่อมใสอัน

แน่วแน่ในธรรม มาสู่พระสัทธรรมนี้

ภิกษุเหล่านั้นชื่นชม อนุโมทนาภาษิตของท่านพระสารีบุตรว่า สาธุ ท่านผู้มีอายุ



มูลปริยายวรรค - ๙. สัมมาทิฏฐิสูตร ว่าด้วยความเห็นชอบ [พระไตรปิฎก ฉบับธรรมทาน]

.....................................................
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ ธรรมา อนัตตา...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2009, 18:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2006, 20:52
โพสต์: 1210

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อกุศล ได้แก่

1. ฆ่าสัตว์
2. ลักทรัพย์
3. ประพฤติผิดในกาม
4. พูดเท็จ
5. พูดส่อเสียด
6. พูดคำหยาบ
7. พูดเพ้อเจ้อ
8. อยากได้ของผู้อื่น
9. ปองร้ายเขา
10. เห็นผิด

รากเง่าของอกุศล ได้แก่

1. โลภะ
2. โทสะ
3. โมหะ

.....................................................
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ ธรรมา อนัตตา...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2009, 18:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2006, 20:52
โพสต์: 1210

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กุศล ได้แก่

1. ความเว้นจากฆ่าสัตว์
2. ความเว้นจากลักทรัพย์
3. ความเว้นจากประพฤติผิดในกาม
4. ความเว้นจากพูดเท็จ
5. ความเว้นจากพูดส่อเสียด
6. ความเว้นจากพูดคำหยาบ
7. ความเว้นจากพูดเพ้อเจ้อ
8. ความเว้นจากไม่อยากได้ของผู้อื่น
9. ความเว้นจากไม่ปองร้ายเขา
10. เห็นชอบ

รากเง่าของกุศล ได้แก่

1. อโลภะ
2. อโทสะ
3. อโมหะ

.....................................................
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ ธรรมา อนัตตา...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2009, 17:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2006, 20:52
โพสต์: 1210

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณคุณพลศักดิ์ ที่กรุณาเข้ามาชี้แนะ เพิ่มเติมมุมมองนะคะ

การอ่านแล้ว ตีความสิ่งที่ได้อ่านมา ได้ตื้น - ลึก, หยาบ - ละเอียด คงขึ้นอยู่ปัจจัยหลายๆ อย่างของผู้อ่านในแต่ละวัยวุฒิ, คุณวุฒิ และวุฒิภาวะ

สิ่งที่คุณถาม(แม้ในกระทู้อื่นๆ) บางทีแมวฯเองยังต้องเอาไปคิดตามหาคำตอบ ซึ่งก็ได้พยายามศึกษา หาอ่านจากในหลายๆ source นับว่าคุณพลศักดิ์มีคุณูปการแก่ตัวเองยิ่ง และถ้ามีสิ่งใดประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินคุณก็โปรดอโหสิด้วยค่ะ แต่ในใจเป็นกุศลและปรารถนาดีต่อคุณเช่นกัน

คำตอบของแมวฯตัวนึงคงไม่เกิดประโยชน์แก่คุณพลศักดิ์ และท่านผู้เจริญในธรรมแล้ว

ส่วนผู้ศึกษาใหม่ ผู้เพิ่งเริ่มต้นขอให้อ่านอย่างใช้สติปัญญาแบบโลกๆ
แบบธรรมดาๆ แบบพื้นๆ ค่อยๆ ทำความเข้าใจไปทีละน้อยๆ

และอย่างหนึ่งที่ขอฝากคือ ขึ้นชื่อว่าความชั่วแล้วอย่าทำเลยจะดีกว่า
แม้อยู่ในสถานการณ์ที่กดดัน เร่งเร้าเพียงไหน ก็จงปล่อยวางว่า
ทุกสิ่งทุกชีวิต มีเกิด แก่ และตาย (อนิจจัง)เป็นธรรมดา
เป็นทุกข์ เป็นสิ่งไม่ควรยึดมั่นถือมั่น บังคับควบคุมไม่ได้ ไม่ใช่ตัวตนบุคคล เราเขา(อนัตตา)
อะไรจะเกิดแก่สิ่งไรหรือใคร ก็ย่อมเกิดแต่กรรมของสิ่งนั้น ผู้นั้น
ถ้าคิดได้อย่างนี้ ก็พอเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่กดดันนั้นๆ ได้ โดยไม่มีคำถามว่าเราได้ ทำ บาป ลงไปหรือเปล่า ในภายหลังค่ะ


:b41: :b41: :b41:

.....................................................
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ ธรรมา อนัตตา...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2009, 19:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


เหตุการณ์ต่างๆที่คุณพลศักดิ์ยกเอามานั้น

ในชั่วเวลาลัดนิ้วมือที่คุณพลศักดิ์เขาพยามจะวิเคราะห์นั้น
จิต(เจตสิก)ที่เกิดดับนั้นมีเป็นแสนโกฐ

และที่เกิดๆดับๆนั้น เป็นไปได้ทั้ง
- ฝ่ายกุศล (โสภนเจตสิก)
- อกุศล (อกุศลเจตสิก-)
- อัพยากฤต (อัญญสมานาเจตสิก)

เราปุถุชนไม่มีทางทราบกันหรอกครับว่าจิตจำนวนแสนโกฐนั้นมีอะไรบ้าง
เป้นฝ่ายไหน จิตอันไหนผสมกับอันไหนแล้วให้ผลอย่างไร

ผู้จะทราบได้ว่าใครมีจิตอย่างไรอยู่ เป็นกุศล หรืออกุศล หรืออัพยากฤต
แล้วจิตให้ผลอย่างไร ย่อมมีแต่คนที่ทรงอภิญญาที่ชื่อว่าเจโตปริยาญาน
สามารถทราบวาระจิตคนสัตว์ได้
แต่ถ้าผู้ทรงอภิญญาไม่ได้แผ่ญานนี้ออกไปทราบวาระจิต ท่านก็จะไม่ทราบ
ยิ่งอยู่ห่างไกล ยิ่งต้องใช้กำลังมาก ซึ่งก็แล้วแต่บารมีของผู้ทรงอภิญญาจะทำได้

เราได้แต่ดูอากัปกริยาภายนอก ประเมินเหตุการณ์
คาดเดากันไปเองว่าเหตุการณ์นั้นคนนั้นน่าจะบุญน่าจะบาปอย่างนั้นอย่างนี้
คุณพลศักดิ์ก็เป็นเหมือนพวกเรานี่แหละครับ เดาไปเองต่างๆนาๆ
แต่อาจจะวิจิตรพิศดารขึ้นมาหน่อย เอาสาระเชื่อถือไม่ได้หรอกครับ
ลงท้ายแล้วแค่คาดๆเดาๆไปตามหลักการ และความน่าจะเป็นเท่านั้นเอง


ผู้อ่านพึงทราบว่าหลักการคือใจเป็นผู้ก่อกรรม ก็พอ
ทำกรรมดี ย่อมได้ดี กรรมชั่ว ย่อมได้ชั่ว


ไม่จำเป็นต้องลงลึกรายละเอียดแบบคุณพลศักดิ์ที่ออกมาเป็นฉากๆขนาดนั้น
รังแต่จะทำให้เกิดความสงสัยอยากรู้ในเรื่องที่ตัวเองไม่มีทางจะรู้แจ้งได้เองไม่จบไม่สิ้น
รู้เรื่องบาปชาวบ้านดีนัก แต่ไม่รู้ว่าตัวเองขุดคนตายขึ้นมาด่า ปรามาสคนเป้นไปทั่วนี้เป็นบาป ผิดศีล

หากสงสัยแล้วสังเกตุทันว่ากำลังสงสัย
นั่นแหละครับ จิตบุญ จิตมีสติ เป็นมหากุศลจิต
ไม่ต้องขบคิดอะไรบ้าๆบอๆก็บำเพ็ญบุญได้


๕) มา ตักกะเหตุ อย่าเชื่อถือเพราะคาดคะเนเอา
๖) มานะยะเหตุ อย่าเชื่อถือเพราะมีนัยเทียบเคียงกันได้
๗) มา อาการะปริวิตักเกนะ อย่าเชื่อถือเพียงเพราะคิดไปตามอาการที่ได้เห็น
๘) มา ทิฏฐินิชฌานักขันติยา อย่าเชื่อถือเพียงเพราะเข้ากันได้กับทฤษฎี
๙) มา ภัพพะรูปะตายะ อย่าเชื่อถือเพียงเพราะคนพูดน่าเชื่อถือ
๑๐) มา สะมะโณ โนคะรูติ อย่าเชื่อถือเพียงเพราะผู้พูดเป็นสมณะหรือครูอาจารย์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2009, 11:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


คามินธรรม เขียน:
เหตุการณ์ต่างๆที่คุณพลศักดิ์ยกเอามานั้น

ในชั่วเวลาลัดนิ้วมือที่คุณพลศักดิ์เขาพยามจะวิเคราะห์นั้น
จิต(เจตสิก)ที่เกิดดับนั้นมีเป็นแสนโกฐ

และที่เกิดๆดับๆนั้น เป็นไปได้ทั้ง
- ฝ่ายกุศล (โสภนเจตสิก)
- อกุศล (อกุศลเจตสิก-)
- อัพยากฤต (อัญญสมานาเจตสิก)

เราปุถุชนไม่มีทางทราบกันหรอกครับว่าจิตจำนวนแสนโกฐนั้นมีอะไรบ้าง
เป้นฝ่ายไหน จิตอันไหนผสมกับอันไหนแล้วให้ผลอย่างไร



คุณคามินธรรมกำลังพูดถึงจุดหนึ่งของเวลา คนที่ทำเรื่องนั้นเป็นคนเดียวที่รู้ว่า จิตของเขาตอนนั้นเป็น
- ฝ่ายกุศล (โสภนเจตสิก)
- อกุศล (อกุศลเจตสิก-)
- อัพยากฤต (อัญญสมานาเจตสิก)

แต่กรณีตัวอย่างที่ผมยกมา เช่น 1.พระเวสสันดร ยกเมียและลูกให้เป็นทาสคนอื่น 2. เมียยอดรัก ให้หมอถอดเครื่องช่วยหายใจยอดรักออก 3. พระที่โดดน้ำลงไปช่วยผู้หญิงขึ้นจากน้ำ

กรณีเหล่านี้ผู้ทำกรรมลงไปตอนนั้น มีช่วงเวลาแห่งเจตนาแจ่มชัด เมียยอดรักก็มีเวลาคิดเป็นวัน พระเวสสันดรก็มีช่วงเวลาคุยกับลูกและเมีย พระก็มีเวลาเตรียมการ แลตอนอยู่ในน้ำ ก็มีเวลาคิดว่าจะทำผิดวินัย แตะตัวหญิงสาวหรือไม่

ด้วยเหตุนี้คุณจะอ้างเหตุผลว่า จิตเกิดดับอยู่ทุกวินาทีมาใช้หักล้างไม่ได้ เพราะผู้กระทำเขามีเวลาเตรียมการทั้งนั้น แต่พวกเขาตัดสินใจแห็นแก่ความกรุณา มากกว่าเห็นแก่ตัว การกระทำเหล่านี้จึงเป็นบุญอย่างเห็นได้ชัด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2009, 14:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2009, 22:30
โพสต์: 61


 ข้อมูลส่วนตัว


พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เขียน:
คามินธรรม เขียน:
เหตุการณ์ต่างๆที่คุณพลศักดิ์ยกเอามานั้น

ในชั่วเวลาลัดนิ้วมือที่คุณพลศักดิ์เขาพยามจะวิเคราะห์นั้น
จิต(เจตสิก)ที่เกิดดับนั้นมีเป็นแสนโกฐ

และที่เกิดๆดับๆนั้น เป็นไปได้ทั้ง
- ฝ่ายกุศล (โสภนเจตสิก)
- อกุศล (อกุศลเจตสิก-)
- อัพยากฤต (อัญญสมานาเจตสิก)

เราปุถุชนไม่มีทางทราบกันหรอกครับว่าจิตจำนวนแสนโกฐนั้นมีอะไรบ้าง
เป้นฝ่ายไหน จิตอันไหนผสมกับอันไหนแล้วให้ผลอย่างไร



คุณคามินธรรมกำลังพูดถึงจุดหนึ่งของเวลา คนที่ทำเรื่องนั้นเป็นคนเดียวที่รู้ว่า จิตของเขาตอนนั้นเป็น
- ฝ่ายกุศล (โสภนเจตสิก)
- อกุศล (อกุศลเจตสิก-)
- อัพยากฤต (อัญญสมานาเจตสิก)

แต่กรณีตัวอย่างที่ผมยกมา เช่น 1.พระเวสสันดร ยกเมียและลูกให้เป็นทาสคนอื่น 2. เมียยอดรัก ให้หมอถอดเครื่องช่วยหายใจยอดรักออก 3. พระที่โดดน้ำลงไปช่วยผู้หญิงขึ้นจากน้ำ

กรณีเหล่านี้ผู้ทำกรรมลงไปตอนนั้น มีช่วงเวลาแห่งเจตนาแจ่มชัด เมียยอดรักก็มีเวลาคิดเป็นวัน พระเวสสันดรก็มีช่วงเวลาคุยกับลูกและเมีย พระก็มีเวลาเตรียมการ แลตอนอยู่ในน้ำ ก็มีเวลาคิดว่าจะทำผิดวินัย แตะตัวหญิงสาวหรือไม่

ด้วยเหตุนี้คุณจะอ้างเหตุผลว่า จิตเกิดดับอยู่ทุกวินาทีมาใช้หักล้างไม่ได้ เพราะผู้กระทำเขามีเวลาเตรียมการทั้งนั้น แต่พวกเขาตัดสินใจแห็นแก่ความกรุณา มากกว่าเห็นแก่ตัว การกระทำเหล่านี้จึงเป็นบุญอย่างเห็นได้ชัด





คุณพลศักดิ์ ยังต้องศึกษาพระอภิธรรมอีกมาก

อย่าด่วนสรุปด้วยตัวเองอย่างนี้


ถ้าผมถามคุณว่า


ในการที่พระเวสสันดร ให้ลูกไปแก่ชูชก

มีกุศลจิต เกิดขึ้นกี่ดวง มีชื่ออะไรบ้าง แล้วกศลจิตนั้น ดำรงอยู่หรือเปลี่ยนไปเป็นอย่างไร
แล้วในขณะที่พระเวสสันดรให้ลูกนั้น มีอกุศลจิตเกิดขึ้นหรือไม่ ถ้าเกิด ๆ ขึ้นกี่ดวง


คุณจะรู้วาระจิต หรือไม่ว่าขณะไหนเป็นกุศลจิต หรืออกุศลจิต


ขณะใดที่เป็นกุศลจิต ก็เป็นส่วนบุญ
ขณะใดที่เป็นอกุศลจิต ก็เป็นส่วนบาป

ต้องวิเคราะห์ไปตาม ดวงจิต แต่ละขณะที่เกิดขึ้นแล้วดับไป จึงจะรู้ว่า ขณะใดที่มีกุศลจิต นั่นแหละเป็นบุญ และขณะใดที่มีอกุศลจิต นั่นแหละเป็นบาป


ไม่ได้ หมายความ หรือตีความโดยองค์รวม ภาพลักษณ์ทั้งหมด ว่าเป็นอย่างนั้นหรืออย่างนี้

ตามที่คุณพลศักดิ์คิดนั้น คิดโดยภาพรวม ไม่ได้ศึกษาพระอภิธรรมให้ลึกซึ้งลงไปอีก

ตรงนี้ผมขอ ให้คุณทบทวนบทบาทคุณเองอีกครั้ง ก่อนที่จะมาโต้แย้ง


ผมขอย้ำว่า ให้วิเคราะห์เอาขณะดวงจิตที่เกิดขึ้น ในขณะที่กระทำ ปัจจุบัน เป็นเกณฑ์
ที่จะบอก ว่าเป็น บุญกุศล หรือ บาปอกุศล ดีกว่า ที่จะเหมารวม เอาทั้งหมด
แล้วจะมาเป็นข้อแย้งกันเองภายหลัง อย่างที่คุณพลศักดิ์ ตีความหมายแล้วเข้าใจอย่างนั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2009, 16:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 พ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1051

งานอดิเรก: อ่านหนังสือธรรมะ
อายุ: 0
ที่อยู่: Bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


:b17: :b10: :b23: ส่วนผู้ศึกษาใหม่ ผู้เพิ่งเริ่มต้นขอให้อ่านอย่างใช้สติปัญญาแบบโลกๆ
แบบธรรมดาๆ แบบพื้นๆ ค่อยๆ ทำความเข้าใจไปทีละน้อยๆ :b41: :b42: :b41: :b42:
ขึ้นชื่อว่าความชั่วแล้วอย่าทำเลยจะดีกว่า
แม้อยู่ในสถานการณ์ที่กดดัน เร่งเร้าเพียงไหน ก็จงปล่อยวางว่า
ทุกสิ่งทุกชีวิต มีเกิด แก่ และตาย (อนิจจัง)เป็นธรรมดา
เป็นทุกข์ เป็นสิ่งไม่ควรยึดมั่นถือมั่น บังคับควบคุมไม่ได้ ไม่ใช่ตัวตนบุคคล เราเขา(อนัตตา)
อะไรจะเกิดแก่สิ่งไรหรือใคร ก็ย่อมเกิดแต่กรรมของสิ่งนั้น ผู้นั้น
ถ้าคิดได้อย่างนี้ ก็พอเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่กดดันนั้นๆ ได้ โดยไม่มีคำถามว่าเราได้ ทำ บาป ลงไปหรือเปล่า ในภายหลังค่ะ
:b16: :b10: :b14: :b5:
เราก็เห็นด้วยนะคะ เพราะเราก็เป็นคนหนึ่งที่เริ่มศึกษา :b5: พอเจอคำตอบที่ยากๆ มันก็เกิดท้อคะ
รู้ทำไมมันช่างเข้าใจยากนัก ถ้าอ่านง่าย เข้าใจง่าย ใจมันก็สู้ต่อน่ะค่ะ
:b39: ขอแสดงความคิดเห็นแค่นั้นนะคะ :b8: :b39: :b8: :b39: :b8: :b39:

.....................................................
    มีสิ่งใด น่าโกรธ อย่าโทษเขา.... ต้องโทษเรา ที่ใจ ไม่เข้มแข็ง
    เรื่องน่าโกรธ แม้ว่า จะมาแรง ....ถ้าใจแข็ง เหนือกว่า ชนะมัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2009, 17:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เขียน:

คุณคามินธรรมกำลังพูดถึงจุดหนึ่งของเวลา คนที่ทำเรื่องนั้นเป็นคนเดียวที่รู้ว่า จิตของเขาตอนนั้นเป็น
- ฝ่ายกุศล (โสภนเจตสิก)
- อกุศล (อกุศลเจตสิก-)
- อัพยากฤต (อัญญสมานาเจตสิก)

แต่กรณีตัวอย่างที่ผมยกมา เช่น 1.พระเวสสันดร ยกเมียและลูกให้เป็นทาสคนอื่น 2. เมียยอดรัก ให้หมอถอดเครื่องช่วยหายใจยอดรักออก 3. พระที่โดดน้ำลงไปช่วยผู้หญิงขึ้นจากน้ำ

กรณีเหล่านี้ผู้ทำกรรมลงไปตอนนั้น มีช่วงเวลาแห่งเจตนาแจ่มชัด เมียยอดรักก็มีเวลาคิดเป็นวัน พระเวสสันดรก็มีช่วงเวลาคุยกับลูกและเมีย พระก็มีเวลาเตรียมการ แลตอนอยู่ในน้ำ ก็มีเวลาคิดว่าจะทำผิดวินัย แตะตัวหญิงสาวหรือไม่

ด้วยเหตุนี้คุณจะอ้างเหตุผลว่า จิตเกิดดับอยู่ทุกวินาทีมาใช้หักล้างไม่ได้ เพราะผู้กระทำเขามีเวลาเตรียมการทั้งนั้น แต่พวกเขาตัดสินใจแห็นแก่ความกรุณา มากกว่าเห็นแก่ตัว การกระทำเหล่านี้จึงเป็นบุญอย่างเห็นได้ชัด


ทำไมจะหักล้างไม่ได้ล่ะครับ

จิตทุกดวงมีวิบากเป็นของตน
ที่คุณพูดว่า "จุดหนึ่งของเวลา" นั่นแหละครับ มันมีวิบากเกือบทุกๆครั้งที่มีจุดหนึ่งเกิดขึ้น

จิตกุศล มีวิบากเป็นกุศล กล่าวคือบุญ
จิตอกุศล มีวิบากเป็นอกุศล กล่าวคือบาป
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ผู้ทำคือใจ กายเป็นแค่เครื่องมือ
ใจเป็นใหญ่ เป็นผู้ทำกรรม ก็หมายจึงใจแต่ละดวงนั่นแหละครับเป็นผู้ทำกรรม

คุณพลศักดิ์เหมาว่าการกระทำนั้นน่าเป็นบุญหรือบาป โดยเหมาเอาทั้งเหตุการณ์
ไม่ได้มองตามสภาพความเป็นจริงโดยปรมัตถ์ที่จิตเกิดดับสืบเนื่องตลอดเวลา


มันไม่ใช่ว่าเหตุการณ์นั้นเกิดกุศลจิตมากกว่า เลยปฏิเสธอกุศลจิตที่เกิดร่วมด้วย
หากมีอกุศลจิตเกิดร่วมด้วย ย่อมมีวิบากของอกุศลจิตเกิดร่วมด้วย



เหตุการณ์ที่คุณพลศักดิ์ยกมาทั้งหลาย จะเป็นจริงได้กรณีเดียวคือเป็นกุศลจิตล้วนๆ
ซึ่งอาจจะเป็นกรณีพระเวสสันดรชาดก เพราะท่านบำเพ็ญบารมีมาเพื่อเป็นพระพุทธเจ้าโดยตรง
แต่ผมไม่สามารถจะไปหยั่งรู้หรอกครับว่าพระเวสสันดรท่านมีจิตอย่างไรเวลาทำกรรม


ผมยังสงสัยอยู่ว่าเหตุการณ์ที่ยกมา เหตุการณืที่เป็นปุถุชนเป็นผู้ทำกรรมนั้น
จะเป็นกุศลจิตล้วนๆได้จริงๆหรือ

และสำคัญที่สุดคือคุณพลศักดิ์ไปรู้ได้อย่างไรว่าใครมีจิตอย่างไร
และตอนนี้เสวยวิบากอย่างไร


คุณพลศักดิ์จะรู้ได้ก็ต่อเมื่อมี
1. ญานหยุ่งรู้กำเนิดของสัตว์ - ถึงจะสามารถบอกได้ว่า คนนั้นเกิดเป้นอย่างนี้ คนนี้เกิดเป็นอย่างนั้น
2. ญานหยั่งรู้วาระจิตของสัตว์ ขณะที่ทำกรรม - ถึงจะสามารถบอกได้ว่าใครมีวาระจิตอย่างไร กุศล หรืออกุศล
3. ญานหยั่งรู้ระลึกชาติได้ - ถึงจะรู้ว่าวิบากที่เห็นอยู่นี้ เกิดจากชาติไหน ทำอะไรอย่างไร


คุณพลศักดิ์มีญานเช่นนี้หรือครับ
หรือว่าแค่เดาๆเทียบเคียงเอา


ถ้ารู้แจ้งเห็นจริงในเรื่องที่พูดนั้นโดยอภิญญา ก็ไม่มีใครว่าหรอกครับ
หรือถ้าเดาๆเทียบเคียงเอาตามเหตุผล วิชา หลักการ ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายหรอกครับ
แต่ถ้าเดาๆเอาแล้วทำเสมือนว่ารู้แจ้งเห็นจริงด้วยอภิญญานี้สิครับ น่าเป็นห่วงทั้งคนพูดและคนฟัง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.พ. 2009, 10:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เราก็เห็นด้วยนะคะ เพราะเราก็เป็นคนหนึ่งที่เริ่มศึกษา พอเจอคำตอบที่ยากๆ มันก็เกิดท้อคะ
รู้ทำไมมันช่างเข้าใจยากนัก ถ้าอ่านง่าย เข้าใจง่าย ใจมันก็สู้ต่อน่ะค่ะ


:b44: K.Owan อย่าไปติดกับคำศัพท์ยากๆเลยครับ พุทธเจ้าสอนให้รู้เรื่องกายกับใจเท่านั้น กายคือสังขารรูปร่างที่มีตัวตนใช้ชีวิตอยู่ได้ ส่วนใจหรือจิตทีเป็นของกลางๆสะสมสิ่งไม่ดี คิดไม่ดีไว้เป็นอกุศลจิต แต่ถ้าสะสมความดี คิดดีในใจเป็นกุศลจิตหรือเรียกชัดๆว่านามธรรม(จิตใจที่มีธรรมะ มีสติ มีสมาธิ ในใจเรา ถ้ามีแต่ใจเฉยๆ ไม่มีธรรมะหรือความดี ยังไม่ใช่นามธรรมจะเรียกว่านามเฉยๆครับ) :b39:

ผมจึงอยากให้รู้เพียง 2 คำนี้เน้นให้มากๆ เพราะกายกับใจ เป็นบ่อบุญบ่อบาปของคนที่เกิดมาบนโลกแห่งนี้ ในฐานะมีมนุษย์สมบัติติดตัวมาด้วย ส่วนศัพท์อื่นๆ ที่เยอะแยะมากมาก ก็เหมือนdict ภาษาอังกฤษ ครับมีมากมายไปหมด แต่นำมาใช้ในการติดต่อสื่อสารมีไม่กี่คำหรอกน่ะครับ
เหนคุณowan ไปนั่งกรรมฐาน7 วันที่วัดราชโอรสและให้ลูกสาวตัวเองไปนั่งกรรมฐานแต่เป็นอีกวัดหนึ่ง(เพราะเป็นเรื่องที่ยากแท้แต่ไม่เคย.. จัดว่าเป็นมหากุศลเลยน่ะ) ผมอนุโมนาบุญด้วยจริงๆครับ....จากใจจริง :b41: แค่คำว่า."สมาธิ" คำเดียวก็เกี่ยวข้องกับมรรค8ถึง 3ข้อแล้วนะครับ ได้แก่ สัมมาวายามะ(เพียรชอบ), สัมมาสมาธิ(จิตตั้งมั่นแน่วแน่ชอบเป็นฐานของการเจริญวิปัสสนาอย่างมาก) และสัมมาสติ(มีสติชอบ,ระลึกได้ด้วยปัญญา ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี อะไรที่มีประโยชน์ อะไรไม่มีประโยชน์ อะไรที่ควรทำ อะไรที่ไม่ควรทำ จะบอกตัวเราเองได้หมด แยกแยะว่าอะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศลด้วยตัวเราเองได้ ถึงแม้ไม่มีใครมาบอก) :b40: :b39: :b40: :b39: :b40: :b39: :b8:

ปัญญาของคนเราจัดไว้ 3 อย่าง คือปัญญาระดับศีล(เกิดจากการรักษา) ปัญญาจากสมาธิ(จากการทำสมาธิหรือก็คือภาวนามยปัญญา) และปัญญาที่อบรมไปเรื่อยๆจนรู้แจ้งในปัญญา(ปัญญาวิมุตติ หรือโลกุตรปัญญา) ซึ่งได้จาก ศีล สมาธิ ปัญญา จะเห็นได้ว่าขาดสิ่งใด ในสามสิ่งนี้ไม่ได้ จะไม่บริบูรณ์ ฉะนั้นการรักษาศีลห้า เป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับชาวพุทธเรา .... :b42:

.....................................................
"มีสติเป็นเรือนจิต ใช้ชีวิตเป็นเรือนใจ ใช้ปัญญาเป็นแสงสว่างส่องทางเดินไปเถิด จะได้ล้ำเลิศในชีวิตของท่าน มีความหมายอย่างแท้จริง"
ในการปฏิบัติธรรม หลวงพ่อท่านบอกว่า ให้ตัดปลิโพธกังวลใจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ลูก สามี ภรรยา ความวุ่นวายทั้งหลายทั้งปวง อย่าเอามาเป็นอารมณ์ จากหนังสือ: เจริญกรรมฐาน7วันได้ผลแน่นอน หัวข้อ12: ระงับเวรด้วยการแผ่เมตตา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.พ. 2009, 00:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


ทุกท่านครับ



ผมว่าพวกท่านหลงกลมารจนตีความเรื่องจิตไม่ออกแล้วครับ พระอภิธรรมเป็นเพียงภาคทฤษฎีที่มารเขาสิงใจและใช้สมมุติสงฆ์ที่เข้าไม่ถึงธรรมตีความ พวกคุณต้องหัดปฏิบัติมากกว่านี้อีก ผมจะสอนพวกคุณนะครับ

1. จิตเกิดดับ นั้นมี 89 ดวง(เท่าที่รู้นะครับ) แต่ที่เห็นจิตเกิดดับนั้นเป็นแค่อาการหรืออารมณ์ของจิตเท่านั้น ตัวจิตเองไม่ได้เกิดดับแต่อย่างใด ไม่อย่างนั้นมันสืบต่อกรรมไม่ได้

2. การทำบุญกุศลหรือบาปอกุศล ไม่ใช่ไปนับว่า 89 ดวงนั้น มีดวงไหนที่เป็นกุศลเป็นอกุศลบ้าง แต่ต้องนับว่าในช่วงเวลาขณะกระทำการนั้นเจตนาของจิตเป็นกุศลหรืออกุศล

เรื่องนี้ไว้ผมไปค้นหาบทความเก่าๆของผมที่อธิบายความอย่างละเอียดมาลงดีกว่า สอนพวกบ้าตำราแต่ปฏิบัติไม่ได้เรื่อง สอนยากครับ เพราะพวกนี้หลงอยู่ในพุทธศาสนาของปลอม(สัทธรรมปฏิรูป)ของมารมานานแสนนานแล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.พ. 2009, 01:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


คามินธรรม เขียน:
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เขียน:

และสำคัญที่สุดคือคุณพลศักดิ์ไปรู้ได้อย่างไรว่าใครมีจิตอย่างไร
และตอนนี้เสวยวิบากอย่างไร


คุณพลศักดิ์จะรู้ได้ก็ต่อเมื่อมี
1. ญานหยุ่งรู้กำเนิดของสัตว์ - ถึงจะสามารถบอกได้ว่า คนนั้นเกิดเป้นอย่างนี้ คนนี้เกิดเป็นอย่างนั้น
2. ญานหยั่งรู้วาระจิตของสัตว์ ขณะที่ทำกรรม - ถึงจะสามารถบอกได้ว่าใครมีวาระจิตอย่างไร กุศล หรืออกุศล
3. ญานหยั่งรู้ระลึกชาติได้ - ถึงจะรู้ว่าวิบากที่เห็นอยู่นี้ เกิดจากชาติไหน ทำอะไรอย่างไร


คุณพลศักดิ์มีญานเช่นนี้หรือครับ

แต่ถ้าเดาๆเอาแล้วทำเสมือนว่ารู้แจ้งเห็นจริงด้วยอภิญญานี้สิครับ น่าเป็นห่วงทั้งคนพูดและคนฟัง


ผมได้ญานทั้ง 3 มานานแล้วครับ ตัวอย่าง

1. ญานหยั่งรู้กำเนิดของสัตว์ .....แม่เลี้ยงผมตาย ผมยังรู้เลยว่าเขเกิดมาเป็นหลายชายของผม มีหลักฐานพิสูจน์ด้วย จนคนในครอบควังผมหมดสงสัย เจ้าของโรงแรมแชงกริล่าเขายังไม่ตาย แต่ผมเห็นในจิตเลยว่า เมื่อเขาตายไปจะไปเกิดเป็นนางฟ้าที่สวยมากในสวรรค์ขั้นดาวดึงส์ ด้วยบุญที่เขาให้บ้านของเขาที่เชียงรายเป็นที่ฝึกกรรมฐานของชาวต่างชาติช่วงหนึ่ง

2. ญานหยั่งรู้วาระจิตของสัตว์ ขณะที่ทำกรรม.....ผมรู้มากกว่านี้อีก เช่น หญิงคนหนึ่งเอาเงินให้ผม 200 บาท ผมเห็นในจิตเลยว่า เขาจะเกิดเป็นมหาเศรษฐีในชาติหนึ่ง เพราะกรรมที่ทำกับพระอริยะบุคคลเป็นกรรมที่มีผลแรงมาก หญิงอีกคนหนึ่งไปซื้อยามาให้ผมฆ่าเชื้อท้องเสีย ยาธรรมดาไม่ยอมซื้อมา เพราะใจเธอมีจิตเสน่หากับผม ผมอ่านจิตเธอออก รู้ในจิตเลยว่า อีก 500 ปีผมจะลงมาเกิดอีกครั้งเพราะเธอคนนี้ และจะได้เธอเป็นภรรยา

3. ญานหยั่งรู้ระลึกชาติได้.....นี่ก็ธรรมดาครับ ผมรู้ไปถึงว่า ก่อนผมลงมาเกิด ไปทำผิดกฎสวรรค์ เลยโดนผลักลงมาเกิด ยังจำภาพตอนที่ทหารสวรรค์ผลักผมลงมาได้เลย ผมยังรู้เลยว่า ชาติหนึ่งผมเคยเกิดเป็นแมว หิวมาก มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเอาเศษอาหารมาให้ผมกิน และเห็นในจิตด้วยว่า ชาตินี้เขาเป็นเด็กอ้วนในออฟฟิซผม ชอบมาพูดหวานๆถูกเนื้อต้องตัวและขอเงินผม แล้วผมก็ต้องให้เงินเธอทุกครั้ง และผมเห็นภาพตอนนที่ผมเป็นแมว เค้าแข้งเค้ามาเขาเพื่อขอเศษอาหาร

อีกชาติหนึ่ง ผมเกิดเป็นหญิง วันหนึ่งผมลองทดสอบดูว่า เราเกิดมาหลายภพหลายชาติจริงไหม ผมก็เลยทำกรรมฐานแผ่เมตตาให้คู่ชีวิตผม 1 วัน ให้ลูกผม 1วัน (ชาตินี้ผมไม่มีเมียมีลูกนะครับ) ปรากฏว่าทั้งเมีย ผัว และลูกๆผมมาเต็มไปหมด มีตั้งแต่เทวดา นางฟ้า เปรต และบางส่วนอยู่ในนรก


แต่เรื่องเหล่านี้เป็นปัจจัตตัง ทำเอง รู้เอง เห็นเอง อย่างที่พวกคุณบางคนรู้เห็นในจิตว่า คุณยุติธรรมเป็นอวตารในเว็บของผมนั่นแหละ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.พ. 2009, 06:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5975

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณพลศักดิ์

ระลึกย้อนได้กี่ชาติล่ะคะ :b1:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.พ. 2009, 07:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5975

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เขียน:
คามินธรรม เขียน:
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เขียน:

และสำคัญที่สุดคือคุณพลศักดิ์ไปรู้ได้อย่างไรว่าใครมีจิตอย่างไร
และตอนนี้เสวยวิบากอย่างไร


คุณพลศักดิ์จะรู้ได้ก็ต่อเมื่อมี
1. ญานหยุ่งรู้กำเนิดของสัตว์ - ถึงจะสามารถบอกได้ว่า คนนั้นเกิดเป้นอย่างนี้ คนนี้เกิดเป็นอย่างนั้น
2. ญานหยั่งรู้วาระจิตของสัตว์ ขณะที่ทำกรรม - ถึงจะสามารถบอกได้ว่าใครมีวาระจิตอย่างไร กุศล หรืออกุศล
3. ญานหยั่งรู้ระลึกชาติได้ - ถึงจะรู้ว่าวิบากที่เห็นอยู่นี้ เกิดจากชาติไหน ทำอะไรอย่างไร


คุณพลศักดิ์มีญานเช่นนี้หรือครับ

แต่ถ้าเดาๆเอาแล้วทำเสมือนว่ารู้แจ้งเห็นจริงด้วยอภิญญานี้สิครับ น่าเป็นห่วงทั้งคนพูดและคนฟัง


ผมได้ญานทั้ง 3 มานานแล้วครับ ตัวอย่าง

1. ญานหยั่งรู้กำเนิดของสัตว์ .....แม่เลี้ยงผมตาย ผมยังรู้เลยว่าเขเกิดมาเป็นหลายชายของผม มีหลักฐานพิสูจน์ด้วย จนคนในครอบควังผมหมดสงสัย เจ้าของโรงแรมแชงกริล่าเขายังไม่ตาย แต่ผมเห็นในจิตเลยว่า เมื่อเขาตายไปจะไปเกิดเป็นนางฟ้าที่สวยมากในสวรรค์ขั้นดาวดึงส์ ด้วยบุญที่เขาให้บ้านของเขาที่เชียงรายเป็นที่ฝึกกรรมฐานของชาวต่างชาติช่วงหนึ่ง

2. ญานหยั่งรู้วาระจิตของสัตว์ ขณะที่ทำกรรม.....ผมรู้มากกว่านี้อีก เช่น หญิงคนหนึ่งเอาเงินให้ผม 200 บาท ผมเห็นในจิตเลยว่า เขาจะเกิดเป็นมหาเศรษฐีในชาติหนึ่ง เพราะกรรมที่ทำกับพระอริยะบุคคลเป็นกรรมที่มีผลแรงมาก หญิงอีกคนหนึ่งไปซื้อยามาให้ผมฆ่าเชื้อท้องเสีย ยาธรรมดาไม่ยอมซื้อมา เพราะใจเธอมีจิตเสน่หากับผม ผมอ่านจิตเธอออก รู้ในจิตเลยว่า อีก 500 ปีผมจะลงมาเกิดอีกครั้งเพราะเธอคนนี้ และจะได้เธอเป็นภรรยา

3. ญานหยั่งรู้ระลึกชาติได้.....นี่ก็ธรรมดาครับ ผมรู้ไปถึงว่า ก่อนผมลงมาเกิด ไปทำผิดกฎสวรรค์ เลยโดนผลักลงมาเกิด ยังจำภาพตอนที่ทหารสวรรค์ผลักผมลงมาได้เลย ผมยังรู้เลยว่า ชาติหนึ่งผมเคยเกิดเป็นแมว หิวมาก มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเอาเศษอาหารมาให้ผมกิน และเห็นในจิตด้วยว่า ชาตินี้เขาเป็นเด็กอ้วนในออฟฟิซผม ชอบมาพูดหวานๆถูกเนื้อต้องตัวและขอเงินผม แล้วผมก็ต้องให้เงินเธอทุกครั้ง และผมเห็นภาพตอนนที่ผมเป็นแมว เค้าแข้งเค้ามาเขาเพื่อขอเศษอาหาร

อีกชาติหนึ่ง ผมเกิดเป็นหญิง วันหนึ่งผมลองทดสอบดูว่า เราเกิดมาหลายภพหลายชาติจริงไหม ผมก็เลยทำกรรมฐานแผ่เมตตาให้คู่ชีวิตผม 1 วัน ให้ลูกผม 1วัน (ชาตินี้ผมไม่มีเมียมีลูกนะครับ) ปรากฏว่าทั้งเมีย ผัว และลูกๆผมมาเต็มไปหมด มีตั้งแต่เทวดา นางฟ้า เปรต และบางส่วนอยู่ในนรก


แต่เรื่องเหล่านี้เป็นปัจจัตตัง ทำเอง รู้เอง เห็นเอง อย่างที่พวกคุณบางคนรู้เห็นในจิตว่า คุณยุติธรรมเป็นอวตารในเว็บของผมนั่นแหละ



ทำไมคุณพลศักดิ์ ถึงเรียกว่า ญาณหยั่งรู้ล่ะคะ เช่น

1. ญานหยั่งรู้กำเนิดของสัตว์ คุณยกตัวมามาแค่นิดเดียวเอง อันนี้มันก็เป็นเพียงแค่ผลพลอยได้จากการทำสมาธิ ( ฌาน ) เท่านั้นเอง แล้วไหงมาเรียกว่า ญานหยั่งรู้

2.ญานหยั่งรู้วาระจิตของสัตว์ ขณะที่ทำกรรม นี่ก็เหมือนกัน คุณก็มาใช้ภาษาสมมุติเล่นคำ

3.ญานหยั่งรู้ระลึกชาติได้ ย้อนไปได้กี่ชาติล่ะคะ ถ้าแค่ไม่กี่ชาติ เขาเรียกว่า ผลพลอยได้ของการทำสมาธิเท่านั้นเอง

ที่คุณพูดมาทั้งหมดนี่ เขาไม่เรียกว่า ญานหยั่งรู้หรอกค่ะ แต่มันเป็นเพียงแค่ ยาน ( พาหนะ ) ซึ่งเป็นเพียงผลพลอยได้จากการทำสมาธิ เท่านั้นเอง

สมถะ เป็นเพียงแค่ ยาน( พาหนะ ) ให้อาศัยเดินทาง แต่ยังหาใช่ ญาน ที่แท้จริงไม่


" แต่เรื่องเหล่านี้เป็นปัจจัตตัง ทำเอง รู้เอง เห็นเอง อย่างที่พวกคุณบางคนรู้เห็นในจิตว่า คุณยุติธรรมเป็นอวตารในเว็บของผมนั่นแหละ[/quote] "


ดิฉันเองก็ได้อ่านเหมือนกันนะ แต่ไม่แปลกใจหรอก เพราะคนแบบประเภทเดียวกับคุณที่หลงไหลใน ยาน ( พาหนะ ) มีเยอะแยะมาก เพราะดิฉันเองก็ เกือบจะ เป็นหนึ่งในนั้น เฉกเช่นเดียวกับคุณ แต่เพราะกุศลเก่ามีประกอบกับได้สร้างเหตุที่ดีในปัจจุบัน จึงได้เจอครูบาฯที่มีกุศลจิต ดิฉันจึงหลุดออกจาก ยาน ( พาหนะ ) มาได้

วิธีแก้คือ หมั่นเจริญสติปัฏฐาน 4 เท่านั้น ที่จะพาคุณหลุดออกมาจาก ยาน ( พาหนะ ) ได้

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.พ. 2009, 11:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
คุณพลศักดิ์

ระลึกย้อนได้กี่ชาติล่ะคะ :b1:


4 ชาติครับ ชาติที่สำคัญที่สุดคือ ชาติที่ผมเกิดในสมัยพระพุทธเจ้า ผมเป็นพราหมณ์ในเมืองหนึ่ง เรียนกับอาจารย์ฝ่ายเถรวาท แม้หลักธรรมของท่านที่สอนผมดี แต่ผมก็ไม่เชื่อท่าน เพราะท่านตอบคำถามเรื่องพระเจ้า(พระศิวะ)ที่ผมเชื่อและนับถือไม่ได้

มีอยู่วันหนึ่ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาที่เมืองผม พระองค์บิณฑบาตรอยู่ ผมนั่งอยู่ด้านหน้าปะปนกับชาวเมืองคนอื่น ขณะนั้นผมกำลังคิดว่า ถ้าอาจารย์ผู้นี้ตอบผมได้หมดเปลือกเรื่องพระเจ้า ผมจะนับถือศาสนาพุทธเลย ท่านอ่านจิตผมออกมั้ง เลยมองมาที่ผม แล้วยิ้ม

ตอนนั้นจู่ๆ ผมนึกอธิษฐานจิตขอรู้เรื่องพระเจ้า และเรื่องที่พระองค์ไม่สอนให้ใครเลย (ใบไม้นอกกำมือ) การอธิษฐานต่อหน้าพระพุทธเจ้า ทำให้ผมต้องเกิดมาในชาตินี้ และสัมผัสพระนิพพานโดยบังเอิญ โดยไปยกผลบุญทั้งหมดให้สรรพวิญญาณต่างๆ ยกเงินทองทรัพย์สินทางโลกของผมให้คนอื่นหมด และขอเกษียณอายุ ยุติการทำงานทางโลกในวัย 45 ซึ่งยุคที่ชีวิตผมรุ่งเรืองสุดขีด มีรายได้ปีละ 3 ล้านบาท หยุดเพื่อว่า ตลอดชีวิตของผมต้องทำกรรมฐานแผ่เเมตตาให้สรรพวิญญาณในปรโลกที่อยู่ในอบายภูมิ

"พระกวนอิมโปรดเฉพาะคนเป็น พระตี่จั้ง(พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์)โปรดเพาะคนตาย"

พระโพธิสัตว์กวนอิมเรียกผมว่าเพื่อน ผมอาจจะเป็นอวตารปางหนึ่งของพระตี่จั้ง(พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์)ก็เป็นได้ คนอื่นกลัวผี กลัวปีศาจ กลัวเปรต แต่ผมกลับเป็นมิตรกับพวกผี ปีศาจ และเปรต พวกนี้น่าสงสารมาก จิตของเขาในตอนเป็นมนุษย์ไม่ประกอบกรรมดี ตายไปพอตกนรกแล้วพ้นมา ก็ยังต้องรับกรรมอีก

เอ้า! โม้อีกแล้ว เข้าเรื่องต่อ กฎที่พวกเราเหล่าพุทธะ(พระเจ้า)ตั้งไว้ คือ ผู้ที่จะรู้เรื่องใบไม้นอกกำมือของพระพุทธเจ้า ฯลฯ ต้องเคยสัมผัสนิพพาน ต้องบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ หรือไม่ก็ต้องเคยอธิษฐานจิตขอรู้เรื่องนี้ต่อหน้าพระพุทธเจ้า จึงจะเข้าถึงธรรมเรืองนี้ได้ เมื่อผมเข้าถึงความจริงสูงสุดนี้แล้ว นิสัยสันดานของผม เก็บความลับไม่ได้ ต้องเผยแพร่อย่างเดียว ใครจะด่าว่าตำหนิติเตียนผม ผมไม่สนอยู่แล้ว

หลักธรรมที่ผมพบจะถูกบึนทึกเก็บไว้ แต่น้อยคนจะเชื่อถือ เพราะมันเป็นความลับของฟ้าทั้งสิ้น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 35 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 30 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร