ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
วิธีระงับเวทนา..จากการป่วยไข้ http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=20294 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | นัน555 [ 28 ม.ค. 2009, 01:05 ] |
หัวข้อกระทู้: | วิธีระงับเวทนา..จากการป่วยไข้ |
จำแนกโสตาปัตติยังคะ ๔ ด้วยอาการ ๑๐ ................ [๑๕๔๘] สาวัตถีนิทาน. ก็สมัยนั้น ท่านอนาถบิณฑิกหฤหบดีป่วย ได้รับทุกข์ เป็น ไข้หนัก ครั้งนั้น ท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดีเรียกบุรุษคนหนึ่งมาสั่งว่า ดูกรบุรุษผู้เจริญ ท่านจงไปเถิด จงเข้าไปหาท่านพระสารีบุตร ครั้นแล้ว จงไหว้เท้าทั้งสองของท่านพระสารีบุตรด้วยเศียรเกล้า ตามคำของเราว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อนาถบิณฑิกคฤหบดีป่วย ได้รับทุกข์ เป็นไข้หนัก เขาขอ กราบเท้าทั้งสองของท่านพระสารีบุตรด้วยเศียรเกล้า และท่านจงเรียนอย่างนี้ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ได้โปรดเถิด ขอท่านพระสารีบุตรจงอาศัยความอนุเคราะห์เข้าไปยังนิเวศน์ ของท่านอนาถบิณฑิก- *คฤหบดีเถิด บุรุษนั้นรับคำของท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดีแล้ว เข้าไปหาท่านพระสารีบุตรถึงที่อยู่ อภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้เรียนว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านอนาถบิณฑิก- *คฤหบดีป่วย ได้รับทุกข์ เป็นไข้หนัก ท่านขอกราบเท้าทั้งสองของท่านพระสารีบุตรด้วยเศียรเกล้า และท่านสั่งมาอย่างนี้ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ได้โปรดเถิด ขอท่านพระสารีบุตรจงอาศัยความ อนุเคราะห์เข้าไปยังนิเวศน์ของท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดีเถิด ท่านพระสารีบุตรรับนิมนต์ด้วย ดุษณีภาพ. [๑๕๔๙] ครั้งนั้น เวลาเช้า ท่านพระสารีบุตรนุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวร มีท่าน พระอานนท์เป็นปัจฉาสมณะ เข้าไปยังนิเวศน์ของท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดี แล้วนั่งบนอาสนะที่ เขาปูลาดไว้ ครั้นแล้วได้ถามท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดีว่า ดูกรคฤหบดี ท่านพออดทนได้หรือ พอยังอัตภาพให้เป็นไปได้หรือ ทุกขเวทนาคลายลง ไม่กำเริบขึ้นแลหรือ ความทุเลาย่อมปรากฏ ความกำเริบไม่ปรากฏแลหรือ ท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดีตอบว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ กระผมอดทน ไม่ได้ ยังอัตภาพให้เป็นไปไม่ได้ ทุกขเวทนาของกระผมกำเริบหนัก ไม่ทุเลาลงเลย ความกำเริบ ย่อมปรากฏ ความทุเลาไม่ปรากฏ. [๑๕๕๐] สา. ดูกรคฤหบดี ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ประกอบด้วยความไม่เลื่อมใสใน พระพุทธเจ้าเห็นปานใด เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ความไม่ เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าเห็นปานนั้น ย่อมไม่มีแก่ท่าน ส่วนท่านมีความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหว ในพระพุทธเจ้าว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ฯลฯ เป็นผู้จำแนกธรรม ก็ เมื่อท่านเห็นความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้านั้นอยู่ในตน เวทนาจะพึงสงบระงับ โดยพลัน. [๑๕๕๑] ดูกรคฤหบดี ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ประกอบด้วยความไม่เลื่อมใสในพระธรรม เห็นปานใด เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ความไม่เลื่อมใสใน พระธรรมเห็นปานนั้น ย่อมไม่มีแก่ท่าน ส่วนท่านมีความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระธรรมว่า ธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว ฯลฯ อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน ก็เมื่อท่านเห็นความเลื่อมใส อันไม่หวั่นไหวในพระธรรมนั้นอยู่ในตน เวทนาจะพึงสงบระงับโดยพลัน. [๑๕๕๒] ดูกรคฤหบดี ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ประกอบด้วยความไม่เลื่อมใสในพระสงฆ์ เห็นปานใด เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ความไม่เลื่อมใสใน พระสงฆ์เห็นปานนั้น ย่อมไม่มีแก่ท่าน ส่วนท่านมีความเลื่อมใสในพระสงฆ์ว่า พระสงฆ์สาวก ของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว ฯลฯ เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ก็เมื่อ ท่านเห็นความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์นั้นอยู่ในตน เวทนาจะพึงสงบระงับโดยพลัน. [๑๕๕๓] ดูกรคฤหบดี ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ประกอบด้วยความเป็นผู้ทุศีลเห็นปานใด เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ความเป็นผู้ทุศีลเห็นปานนั้น ย่อม ไม่มีแก่ท่าน ส่วนท่านมีศีลที่พระอริยเจ้าใคร่แล้ว ไม่ขาด ฯลฯ เป็นไปเพื่อสมาธิ ก็เมื่อท่านเห็น ศีลที่พระอริยเจ้าใคร่แล้วอยู่ในตน เวทนาจะพึงสงบระงับโดยพลัน. [๑๕๕๔] ดูกรคฤหบดี ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิเห็นปานใด เมื่อ แตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก มิจฉาทิฏฐิเห็นปานนั้น ย่อมไม่มีแก่ท่าน ส่วนท่านมีสัมมาทิฏฐิ ก็เมื่อท่านเห็นสัมมาทิฏฐินั้นอยู่ในตน เวทนาจะพึงสงบระงับโดยพลัน. [๑๕๕๕] ดูกรคฤหบดี ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ประกอบด้วยมิจฉาสังกัปปะเห็นปานใด เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก มิจฉาสังกัปปะเห็นปานนั้น ย่อม ไม่มีแก่ท่าน ส่วนท่านมีสัมมาสังกัปปะ ก็เมื่อท่านเห็นสัมมาสังกัปปะนั้นอยู่ในตน เวทนาจะพึง สงบระงับโดยพลัน. [๑๕๕๖] ดูกรคฤหบดี ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ประกอบด้วยมิจฉาวาจาเห็นปานใด เมื่อ แตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก มิจฉาวาจาเห็นปานนั้น ย่อมไม่มีแก่ท่าน ส่วนท่านมีสัมมาวาจา ก็เมื่อท่านเห็นสัมมาวาจานั้นอยู่ในตน เวทนาจะพึงสงบระงับโดยพลัน. [๑๕๕๗] ดูกรคฤหบดี ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ประกอบด้วยมิจฉากัมมันตะเห็นปานใด เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก มิจฉากัมมันตะเห็นปานนั้น ย่อม ไม่มีแก่ท่าน ส่วนท่านมีสัมมากัมมันตะ ก็เมื่อท่านเห็นสัมมากัมมันตะนั้นอยู่ในตน เวทนาจะ พึงสงบระงับโดยพลัน. [๑๕๕๘] ดูกรคฤหบดี ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ประกอบด้วยมิจฉาอาชีวะเห็นปานใด เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก มิจฉาอาชีวะเห็นปานนั้น ย่อมไม่มี แก่ท่าน ส่วนท่านมีสัมมาอาชีวะ ก็เมื่อท่านเห็นสัมมาอาชีวะนั้นอยู่ในตน เวทนาจะพึงสงบระงับ โดยพลัน. [๑๕๕๙] ดูกรคฤหบดี ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ประกอบด้วยมิจฉาวายามะเห็นปานใด เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก มิจฉาวายามะเห็นปานนั้น ย่อมไม่ มีแก่ท่าน ส่วนท่านมีสัมมาวายามะ ก็เมื่อท่านเห็นสัมมาวายามะนั้นอยู่ในตน เวทนาจะพึงสงบ ระงับโดยพลัน. [๑๕๖๐] ดูกรคฤหบดี ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ประกอบด้วยมิจฉาสติเห็นปานใด เมื่อ แตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก มิจฉาสติเห็นปานนั้น ย่อมไม่มีแก่ท่าน ส่วนท่านมีสัมมาสติ ก็เมื่อท่านเห็นสัมมาสตินั้นอยู่ในตน เวทนาจะพึงสงบระงับโดยพลัน. [๑๕๖๑] ดูกรคฤหบดี ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ประกอบด้วยมิจฉาสมาธิเห็นปานใด เมื่อ แตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก มิจฉาสมาธิเห็นปานนั้น ย่อมไม่มีแก่ ท่าน ส่วนท่านมีสัมมาสมาธิ ก็เมื่อท่านเห็นสัมมาสมาธินั้นอยู่ในตน เวทนาจะพึงสงบระงับโดย พลัน. [๑๕๖๒] ดูกรคฤหบดี ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ประกอบด้วยมิจฉาญาณะเห็นปานใด เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก มิจฉาญาณะเห็นปานนั้น ย่อมไม่มี แก่ท่าน ส่วนท่านมีสัมมาญาณะ ก็เมื่อท่านเห็นสัมมาญาณะนั้นอยู่ในตน เวทนาจะพึงสงบระงับ โดยพลัน. [๑๕๖๓] ดูกรคฤหบดี ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ประกอบด้วยมิจฉาวิมุติเห็นปานใด เมื่อ แตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก มิจฉาวิมุติเห็นปานนั้น ย่อมไม่มีแก่ท่าน ส่วนท่านมีสัมมาวิมุติ ก็เมื่อท่านเห็นสัมมาวิมุตินั้นอยู่ในตน เวทนาจะพึงสงบระงับโดยพลัน. [๑๕๖๔] ครั้งนั้น เวทนาของท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดีสงบระงับแล้วโดยพลัน ท่าน อนาถบิณฑิกคฤหบดีอังคาส ท่านพระสารีบุตรและท่านพระอานนท์ ด้วยอาหารที่เขาจัดมาเฉพาะ ตน ครั้งนั้น ท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดี เมื่อท่านพระสารีบุตรฉันเสร็จนำมือออกจากบาตรแล้ว จึงถือเอาอาสนะต่ำอันหนึ่ง นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ท่านพระสารีบุตรอนุโมทนาด้วยคาถา เหล่านี้ [๑๕๖๕] ผู้ใดมีศรัทธา ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว ในพระตถาคต มีศีลอันงาม ที่พระอริยเจ้าใคร่แล้ว สรรเสริญแล้ว มีความเลื่อมใสในพระสงฆ์ และมีความเห็นอันตรง บัณฑิตทั้งหลายเรียกผู้นั้นว่า เป็นคนไม่ขัดสน ชีวิตของผู้นั้นไม่เปล่าประโยชน์ เพราะฉะนั้น บุคคลผู้มีปัญญา เมื่อ ระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พึงประกอบตามซึ่งศรัทธา ศีล ความเลื่อมใสและความเห็นธรรม. [๑๕๖๖] ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตร ครั้นอนุโมทนาด้วยคาถาเหล่านี้แล้ว จึงลุกจาก อาสนะหลีกไป. [๑๕๖๗] ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวาย บังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วพระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามท่าน พระอานนท์ว่า ดูกรอานนท์ เธอมาจากไหนแต่ยังวัน ท่านพระอานนท์กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ ท่านพระสารีบุตรกล่าวสอนอนาถบิณฑิกคฤหบดีด้วยโอวาทข้อนี้ๆ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ สารีบุตรเป็นบัณฑิต สารีบุตรมีปัญญามาก ได้จำแนกโสตาปัตติยังคะ ๔ ด้วยอาการ ๑๐ อย่าง. จบ สูตรที่ ๖ http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=19&A=9064&Z=9160 |
เจ้าของ: | ว่างเปล่า [ 28 ม.ค. 2009, 10:19 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วิธีระงับเวทนา..จากการป่วยไข้ |
ไปหาหมอ ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | ฌาณ [ 28 ม.ค. 2009, 11:17 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วิธีระงับเวทนา..จากการป่วยไข้ |
โมทนาสาธุด้วยครับท่านัน 555 ![]() อีกพระสูตรก็ดีนะครับ.... คิริมานนทสูตร นับเป็นยอดพระสูตรๆหนึ่งที่มี สารัตถะสำหรับมนุษย์ผู้มีสังขารไม่เที่ยง ต้องทนทุกข์ต่อ โรคภัยไข้เจ็บที่คอยเบียดเบียนไม่ช่วงใดก็ช่วงหนึ่งของชีวิต พระพุทธองค์ตรัสพระสูตรนี้ แก่พระอานนท์เพื่อนำไป แสดงแก่พระคิริมานนท์ซึ่งกำลังอาพาธหนักจนไม่สามารถ มาเฝ้าพระพุทธเจ้าได้ พระคิริมานนท์จึงขอให้พระอานนท์ ช่วยกราบบังคมทูลให้พระพุทธเจ้าทรงทราบ เพื่อทรง พระกรุณาสงเคราะห์ให้ทุกขเวทนาเจ็บปวดซึ่งเบียดเบียนอยู่ ให้ระงับอันตรธานหายเถิด พระพุทธเจ้าทรงเมตตาแสดง สัญญา ๒ ประการ คือรูปสัญญา นามสัญญา และอื่นๆ เมื่อพระคิริมานนท์กำหนดตามพระธรรมเทศนา ก็ได้บรรลุ พระอรหัตผล ในขณะที่วางธุระในรูปนาม โรคภัยของ พระคิริมานนท์ที่เจ็บปวด เวทนาก็อันตรธานใน ขณะนั้นฯ คิริมานนทสูตรจึงเป็นสูตรสำเร็จที่ช่วยกล่อมเกลา จิตใจของผู้ที่กำลังเจ็บป่วยอยู่ แม้ว่าการเจ็บป่วยนั้นจะ ร้ายแรงถึงขั้นที่ไม่อาจรักษาจนหายได้ก็ตาม พระสูตรนี้ ยังช่วยให้บุคคลทั่วไปที่มีทุกข์ได้คลายความวิตกกังวลไป ได้บ้าง ถ้าผู้ตกอยู่ในทุกข์สามารถที่จะกำหนดตามว่าชีวิต เป็นอนิจจัง คงสภาพเดิมอยู่ไม่ได้จะต้องมีการเปลี่ยนแปลง และดับลงในที่สุด อันเป็นธรรมชาติ จึงช่วยให้ผู้เจ็บป่วย สามารถระงับจิตให้สงบวางเฉยลงได้ เมื่อวาระสุดท้าย ของชีวิตมาถึง วิญญาณก็จะละกายสังขารไปอย่างสงบ สู่สุคติภูมิ ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | อัญญาสิ [ 07 ก.พ. 2009, 02:17 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วิธีระงับเวทนา..จากการป่วยไข้ |
![]() เป็นอนิจจัง คงสภาพเดิมอยู่ไม่ได้จะต้องมีการเปลี่ยนแปลง และดับลงในที่สุด อันเป็นธรรมชาติ จึงช่วยให้ผู้เจ็บป่วย สามารถระงับจิตให้สงบวางเฉยลงได้ เมื่อวาระสุดท้าย ของชีวิตมาถึง วิญญาณก็จะละกายสังขารไปอย่างสงบ สู่สุคติภูมิ ![]() ![]() |
เจ้าของ: | walaiporn [ 09 ก.พ. 2009, 17:58 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วิธีระงับเวทนา..จากการป่วยไข้ |
ฌาณ เขียน: โมทนาสาธุด้วยครับท่านัน 555 ![]() อีกพระสูตรก็ดีนะครับ.... คิริมานนทสูตร นับเป็นยอดพระสูตรๆหนึ่งที่มี สารัตถะสำหรับมนุษย์ผู้มีสังขารไม่เที่ยง ต้องทนทุกข์ต่อ โรคภัยไข้เจ็บที่คอยเบียดเบียนไม่ช่วงใดก็ช่วงหนึ่งของชีวิต พระพุทธองค์ตรัสพระสูตรนี้ แก่พระอานนท์เพื่อนำไป แสดงแก่พระคิริมานนท์ซึ่งกำลังอาพาธหนักจนไม่สามารถ มาเฝ้าพระพุทธเจ้าได้ พระคิริมานนท์จึงขอให้พระอานนท์ ช่วยกราบบังคมทูลให้พระพุทธเจ้าทรงทราบ เพื่อทรง พระกรุณาสงเคราะห์ให้ทุกขเวทนาเจ็บปวดซึ่งเบียดเบียนอยู่ ให้ระงับอันตรธานหายเถิด พระพุทธเจ้าทรงเมตตาแสดง สัญญา ๒ ประการ คือรูปสัญญา นามสัญญา และอื่นๆ เมื่อพระคิริมานนท์กำหนดตามพระธรรมเทศนา ก็ได้บรรลุ พระอรหัตผล ในขณะที่วางธุระในรูปนาม โรคภัยของ พระคิริมานนท์ที่เจ็บปวด เวทนาก็อันตรธานใน ขณะนั้นฯ คิริมานนทสูตรจึงเป็นสูตรสำเร็จที่ช่วยกล่อมเกลา จิตใจของผู้ที่กำลังเจ็บป่วยอยู่ แม้ว่าการเจ็บป่วยนั้นจะ ร้ายแรงถึงขั้นที่ไม่อาจรักษาจนหายได้ก็ตาม พระสูตรนี้ ยังช่วยให้บุคคลทั่วไปที่มีทุกข์ได้คลายความวิตกกังวลไป ได้บ้าง ถ้าผู้ตกอยู่ในทุกข์สามารถที่จะกำหนดตามว่าชีวิต เป็นอนิจจัง คงสภาพเดิมอยู่ไม่ได้จะต้องมีการเปลี่ยนแปลง และดับลงในที่สุด อันเป็นธรรมชาติ จึงช่วยให้ผู้เจ็บป่วย สามารถระงับจิตให้สงบวางเฉยลงได้ เมื่อวาระสุดท้าย ของชีวิตมาถึง วิญญาณก็จะละกายสังขารไปอย่างสงบ สู่สุคติภูมิ ![]() ![]() ![]() ใกล้แล้วค่ะคุณฌาน ... อีกแค่ 2 ดวงเอง เอาใจช่วยค่ะ โพสเยอะๆค่ะ ขยันหน่อย เดี่ยวก็ได้ละ ดาว 10 ดวง ![]() |
เจ้าของ: | นัน555 [ 12 ก.พ. 2009, 22:26 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วิธีระงับเวทนา..จากการป่วยไข้ |
คิริมานนท์...........อาพาธสูตร สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล ท่านพระคิริมานนท์อาพาธ ได้รับทุกข์ เป็นไข้หนัก ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระคิริมานนท์อาพาธ ได้รับทุกข์ เป็นไข้หนัก ขอประทานพระวโรกาส ขอพระผู้มีพระภาค ได้โปรดอนุเคราะห์เสด็จเยี่ยมท่านพระคิริมานนท์ยังที่อยู่เถิด พระเจ้าข้า ฯ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ ถ้าเธอพึงเข้าไปหา แล้วกล่าว สัญญา ๑๐ ประการแก่คิริมานันทภิกษุไซร้ ข้อที่อาพาธของคิริมานันทภิกษุจะพึงสงบระงับโดยพลัน เพราะได้ฟังสัญญา ๑๐ ประการนั้น เป็นฐานะที่จะมีได้ สัญญา ๑๐ประการเป็นไฉน คือ อนิจจสัญญา ๑ อนัตตสัญญา ๑ อสุภสัญญา ๑ อาทีนวสัญญา ๑ ปหานสัญญา ๑ วิราคสัญญา ๑ นิโรธสัญญา ๑ สัพพโลเกอนภิรตสัญญา ๑ สัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญา ๑ อานาปานัสสติ .................. http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=24&A=2597&Z=2711 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |