ลานธรรมจักร
http://dhammajak.net/forums/

ปี 2553 จุดจบประเทศไทย
http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=20325
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  บุญชัย [ 29 ม.ค. 2009, 17:09 ]
หัวข้อกระทู้:  ปี 2553 จุดจบประเทศไทย

ถ้ายังเป็นคนไทยอยู่ช่วยอ่านด้วย เรื่องนี้คนไทยทุกคนควรที่จะได้รู้
ประเทศต่าง ๆ ในโลกนี้มีเกิด มีดับ ตลอดเวลา .....ประเทศไทยก็ไม่พ้นวิถีนี้เช่นกัน

สืบเนื่องจากการบรรยายของคุณนิติภูมิ ซึ่งเป็นสื่อมวลชน จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยมอสโค
ซึ่งเป็นสถาบันที่สตาลินสร้างขึ้นเพื่อสร้างภูมิปัญญาหวังครองโลกในสมัยหนึ่ง
เมื่อหลายปีก่อนคุณนิติภูมิ ได้ทำนายไว้ว่า ประเทศอินโดนีเชียจะแตกเป็น 6-14ประเทศ
ซึ่งในตอนนั้น นักรัฐศาสตร์ในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ หัวเราะจนฟันกระเด็น
แต่ต่อมาพอปี 2542 เหตุการณ์เริ่มเป็นจริง! ประเทศอินโดฯได้เริ่มแตกเป็น ติมอร์
และตอนนี้ก็กำลังจะเกิดประเทศ อาเจะ และอีกหลายประเทศที่จะเกิดตามมา

ในวันที่ 11 ธันวาคม 2543 ที่ผ่านมาที่งานคนดีศรีสังคม ณ หอประชุมวัฒนธรรมฯ
คุณนิติภูมิได้บรรยายว่า ประเทศไทยจะต้องแตกเป็นประเทศใหม่อีก 4 - 6 ประเทศ แน่นอน !
ทั้งนี้ไม่ใช่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เกิดขึ้นอย่างมีกระบวนการ โดยสถานการณ์จะเริ่มชัดขึ้นในปี 2553
ซึ่งเป็นปีที่ข้อตกลง GATTs จะเริ่มมีผลสมบูรณ์ การค้าเสรีจะมีผลสมบูรณ์
สินค้าเกษตรต่าง ๆ จากต่างประเทศจะทะลักเข้ามาในประเทศไทยจำนวนมหาศาล

ในขณะที่เกษตรกรของไทยจะไม่กินสินค้าเกษตรของไทยด้วยกัน
และสินค้าเกษตรของไทยก็จะขายไม่ออก เนื่องจากมีต้นทุนที่สูงกว่าสินค้าเกษตรจากต่างประเทศ
ประกอบกับการที่การพัฒนาการเกษตรของไทยได้พัฒนาอย่างผิดทิศทาง
เป็นการพัฒนาแบบปลูกพืชเชิงเดี่ยว ทำให้คนปลูกลำใยไทยก็จะปลูกแต่ลำใย
จะกินข้าวก็ต้องซื้อข้าวเวียดนามมากิน คนปลูกข้าวไทยก็ต้องไปซื้อหอมกระเทียมจากจีนมากิน
คนปลูกหอม กระเทียมจะไม่ซื้อลำใยจากไทยแต่จะไปซื้อจากเกาหลีมากิน
เป็นวงจรอย่างนี้ ทำให้สินค้าเกษตรของไทยขายไม่ได้
เพราะแม้แต่เกษตรกรไทยด้วยกันก็ยังไม่ซื้อของเกษตรไทยด้วยกันมากิน
เนื่องจาก สินค้าของต่างประเทศมีต้นทุนถูกกว่าสินค้าเกษตรของไทยมีต้นทุนที่สูงกว่า
เพราะใช้ปัจจัยการผลิตปุ๊ยของต่างประเทศ พันธุ์พืชก็ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ

เนื่องจากในอีก 10 ปีข้างหน้าพันธุกรรมท้องถิ่นจะถูกทำลายจาก GMOs
และเมื่อเกษตรกรไทยซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ร้อยละ 80 ของประเทศอยู่ไม่ได้
วิกฤตที่มหาโหดสุดก็จะเกิดขึ้นกับประเทศไทย รัฐบาลไทยจะไม่มีปัญญาที่จะแก้ไขปัญหาได้
เพราะมาตรการทางการเงินก็จะใช้ไม่ได้ เนื่องจากธนาคารไทยกลายเป็นของต่างประเทศหมดแล้ว
ไฟฟ้าก็แพงขึ้น น้ำมันก็แพงขึ้น โทรศัพท์แพงขึ้นเนื่องจากวิสาหกิจเหล่านี้กลายเป็นของต่างชาติหมดแล้ว
เขาสามารถตั้งราคา ได้ตามใจชอบถ้ารัฐบาลไปขอให้ลดราคาก็จะได้รับคำตอบว่า เขาจะไม่มีกำไร
ธุรกิจจะอยู่ได้ด้วยกำไรเท่านั้น ถ้าเขาไม่มีกำไรเขาก็จะตัดน้ำ ตัดไฟ ตัดโทรศัพท์
คุณเลือกเอาว่าจะยอมจ่ายในราคาที่แพงหรือว่าจะยอมไม่มีใช้

ดังนั้น รัฐบาลในอนาคตจะได้แต่นั่งทำตาปริบ ๆ ๆ เมื่อเกษตรกรไทยอยู่ไม่ได้
การขายที่ดินราคาถูก ๆ และจำนวนมหาศาลจะตามมา คนที่มีกำลังซื้อก็คือชาวต่างชาติ
ซึ่งปัจจุบันก็ปรากฏแล้วว่าที่ดินบริเวณภาคตะวันออกได้ถูกต่างชาติกว้านซื้อไปเป็นจำนวนมากแล้ว
เกษตรกรไทยที่ขายที่ดินได้ ก็ไม่ามารถนำเงินที่ได้ไปลงทุนให้เกิดรายได้ได้
เพราะธุรกิจอื่นได้ตกอยู่ในกำมือของต่างชาติแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการค้าปลีกก็ตกอยู่ในมือของ Big C, Lotus,
Carrefour, ธุรกิจอาหารก็ตกอยู่ในมือของ KFC, Pizzahat, McDonal, สิ่งทอเสื้อผ้าก็ของพวกฝรั่งเศส ฯลฯ

ดังนั้น เงินตราของไทยก็มีแต่จะถูกดูดออก เหมือนกับคนที่เลือดไหลไม่หยุด...
เมื่อคนจนอยู่ไม่ได้ ...รัฐจะอยู่ได้ฤา ?

4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะเป็นแห่งแรกที่จะขอแยกตัวออกจากประเทศไทย
เนื่องจากความแตกต่างที่เห็นชัดเจนและความแตกต่างทางวัฒนธรรม ในปี 2553
คนไทยภาคใต้จะเห็นด้วยกับการแยกประเทศ เพราะเห็นความล้มเหลวของรัฐบาลไทย
การเมืองไทย การคัดค้านจะน้อยลง การสนับสนุนให้แยกจะทวีความรุนแรงขึ้น
จนรัฐบาลไทยไม่สามารถควบคุมได้ถ้ารัฐบาลใช้กำลังทหาร ก็จะถูกต่างชาติส่งทหารมาต่อต้านกองทัพไทย
ซึ่งแน่นอนกองทัพไทยไม่มีปัญญาไปต่อสู้อยู่แล้ว การแยกตัวจะสำเร็จได้ในไม่นาน

จากนั้น ภาคตะวันออก บริเวณจันทบุรี ตราด ระยอง ฉะเชิงเทรา จะขอแยกตัวตามมา
เนื่องจากที่ดินแถบนั้นกลายเป็นของต่างชาติหมดแล้ว
เนื่องจากที่ดินบริเวณดังกล่าวถูกใช้เป็นแหล่งพันธุกรรมของต่างชาติ ทั้งสมุนไพร อาหารต่าง ๆ
เมื่อรัฐบาลไทยเป็นอุปสรรคของต่างชาติ การขอแยกตัวก็จะทำได้ไม่ยาก
นั่นหมายถึง การซื้อประเทศไทย คล้ายกับที่สหรัฐอเมริกาซื้อรัฐ Alaska จาก Russia
ถ้าไทยต่อต้าน เจอทหารต่างชาติแน่

เราจะเตรียมรับมือกับวิกฤติในอนาคตอย่างไร ?

ผมติดตามงานเขียนคุณนิติภูมิ มาหลายปี และสิ่งที่เขียนในไทยรัฐหน้า 2 เกือบทุกวันนั้น
ไม่น่าเชื่อเลยว่า หนังสือพิมพ์ต่างประเทศจะเอาข้อมูลงานเขียนของนิติภูมิ
ไปแปลลงหนังสือพิมพ์ต่างประเทศ ในการวิเคราะห์
บ่อยครั้งที่นิติภูมิ มองการค้า การเมือง สังคมไปพร้อมกัน
รวมทั้งประวัติศาสตร์เขามอง อาเจนติน่า ก่อนล่มสลายทางเศรษฐกิจ
ก่อนล่มจริง... เขาทำนาย การเกิดสงคราม อเมริกากับอิรัค ข้อคิด รวมทั้งอนาคตชาวเชเชนไว้น่าสนใจ
ผมว่า สิ่งที่เขาพูดเป็นไปได้นิติภูมิ ทำให้ผมต้องกลับมาซื้อของโชห่วยของคนไทย
แทนที่ไปเดิน big-c, lotus, careflour, เพราะผมบอกแม่บ้านและลูก ๆ ว่า
เราซื้อของร้านโชห่วย ข้างบ้าน ไม่ต้องไปห้างใหญ่อีกเพราะอะไร
เพราะเราไป คาร์ฟู เงิน 100 บาทที่เราจ่ายไปจะไปสู่ฝรั่งเศส 86 บาท เหลือให้คนไทย 14 บาท
เพราะของต่างชาติเกือบ 100 เปอร์เซนต์ บิกซี โลตัสเหมือนกัน

นิติภูมิเคยเอาเปอร์เซนต์ที่ต่างชาติถือหุ้นมาลงให้ดู ของ 3 ห้างดัง
ผมตกใจมาก และตัดสินใจซื้อน้ำปลาข้างบ้านตั้งแต่วันนั้น
เพราะว่าต่างชาติถือหุ้นกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ แล้วบางห้าง 86 ปอร์เซ็นต์
สอนลูกว่ามันจะแพงกว่าห้าง 3 บาท ก็ซื้อที่นี่มันจะแพงกว่า 5 บาทก็ซื้อที่นี่
เพราะมันจะเป็นภาษีคนไทย กลับมาหาลูกเอง ผมคิดแบบนี้จริง ๆ ๆ
ถ้าซื้อจากห้าง 1,000บาท มันไหลไปต่างประเทศ 900บาท ที่เหลือ 100 บาท

ที่เห็นจ่ายค่ายามเฝ้าห้างไง มองอาเจนติน่าง่ายนิดเดียว
ห้างต่างชาติบุกไปตั้งมากกว่า 400 ห้าง ทั่วประเทศ
คนอาเจนติน่าจึงทำเงินส่ง คาร์ฟู ส่งห้างต่างชาติ เกือบ100 เปอร์เซ็นต์
เงินคนทั้งชาติของชาวอาเจน จึงไหลไปหมด ในประเทศจึงไม่เหลืออะไร
ทางสุดท้ายที่ไม่น่าเชื่อเลยว่าทำได้ ผมพาลูกผมหัดทานขนมกรอบให้น้อยลง
เลิกกิน kfc และพยายามทานให้ลดลง และจำนวนหน ต่อปีน้อยสุด

ผมอธิบาย วิธีสิ้นชาติแบบทางเศรษฐกิจตั้งแต่เริ่มจนจบให้เด็กที่บ้าน และลูกฟัง
หัดให้ลูกมาทานบัวลอย ขนมชั้น ข้าวเหนียวเปียกแทน ถั่วดำข้าวเหนียว ดีครับ
ได้ผล... ลูกเปลี่ยนวิธีกิน... วิธีคิดไปเลย ... เปลี่ยนไปได้มาก
พอเย็นสั่งผมซื้อเต้าส่วนบ้าง ขนมชั้นบ้าง ลูกเดือยบ้าง
ผมพูดนิดนึงที่เขาเข้าใจคือ ผมไปตลาดซื้อไก่ทอดแม่ค้ามา 3 ขาไก่ทอดแบบไทย ๆ
แล้วผมไป kfc ซื้อมา 3 ชิ้น เลือกน่องครับเหมือนกัน ราคาต่างกันลิบเลย
ผมก็อธิบายคำว่า license ( ค่าลิขสิทธิ) ให้ลูกฟัง
ผมบอกว่า ซื้อไก่ 35 บาท ค่าไก่ 15 บาท ที่เหลือเป็นค่าลิขสิทธ
ไก่แม่ค้าที่ถูกเพราะไม่มีค่าลิขสิทธิ ใบตองที่ห่อขนมไทย ไม่มีลิขสิทธิ
มันเป็นวัสดุธรรมชาติ ย่อยสลายได้ไม่ถึง 3 เดือน
ขนมต่างชาติ ห่อสวย แพง เพราะยี่ห้อมันมีลิขสิทธิ
เวลามันหล่นที่พื้น ไม่มีคนเก็บมันจะย่อยสลายภายใน 200 ปี
ผมสอนแบบนี้ ลูกผมเปลี่ยนวัฒนธรรมไปเลย ผมทำได้และได้ทำแล้ว

ปล. ใคร่จะขอกรุณาช่วยนำบทความไปเผยแพร่ต่อ จะเป็นพระคุณมากครับ
ยาวไปหน่อย แต่อยากให้อ่าน

สาธุขอให้พระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ช่วยดลบันดาล อย่าให้เป็นดังคำทำนายเทอะ

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 29 ม.ค. 2009, 17:30 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ปี 2553 จุดจบประเทศไทย


ก่อนถึงวันนั้น มีอะไรให้ดูก่อน 1 ก.พ.ข่าวขึ้นราคาน้ำมันอีกลิตรละ 1.55 บ.
ประชาชนทั้งประเทศแบกหนี้หลายแสนล้านครับท่าน

เจ้าของ:  guest [ 29 ม.ค. 2009, 18:47 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ปี 2553 จุดจบประเทศไทย

กรัชกาย เขียน:

ก่อนถึงวันนั้น มีอะไรให้ดูก่อน 1 ก.พ.ข่าวขึ้นราคาน้ำมันอีกลิตรละ 1.55 บ.
ประชาชนทั้งประเทศแบกหนี้หลายแสนล้านครับท่าน

ต้องออก พรบ. เอา ปตท. คืน มาเป็นของรัฐ
หรือ
ต้องมีกฎหมาย anti-dumping law
รับรองน้ำมันถูกกว่านี้อีก :b37:

เจ้าของ:  guest [ 29 ม.ค. 2009, 18:57 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ปี 2553 จุดจบประเทศไทย

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

หมวด ๑
บททั่วไป

มาตรา ๑ ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้

เจ้าของ:  แมวขาวมณี [ 29 ม.ค. 2009, 19:09 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ปี 2553 จุดจบประเทศไทย

วิถีพอเพียงจงเจริญโดยเร็ว ให้ทันกับวิกฤติที่จะเกิดด้วยเถิด

อีก 1 ครอบครัวที่ทำและปลูกฝังเด็ก ๆ แบบคุณบุญชัยค่ะ ทำมานาน และทำมาตลอด จนเป็นปกติ

เมื่อก่อนอยู่เทาว์เฮ้าส์ ยังสามารถขุดหลุมฝังเศษพืชผักจากครัว หลุมลึก 1 เมตร
ใส่ขยะกลบเป็นชั้นๆ ไป พอเต็มก็ขยับขุดตรงข้างๆ ไล่ไป
ขุดทีมือแตกระบมไปนานเลย แต่สนุกค่ะ 4-5 ปีต่อมา ได้ดินตรงนั้นปลูกต้นไม้งามมากๆ
(เดิมเป็นดินดาน+เค็มที่โครงการถมเพื่อสร้างหมู่บ้าน ปลูกไม้ใหญ่ไม่ได้เลยตายหมด)
เรื่องแยกขยะนี่ ทำมา 20 ปีแล้วค่ะ
พาเด็กๆไปแต่ไม่ซื้อของที่ห้าง..xx แบบว่ามันเย็นดีไม่ต้องเปิดแอร์ที่บ้านน่ะค่ะ
ตอนนี้เห็นเอาสินค้ายี่ห้อตัวเองมาลงขายแล้วกลัวจริงๆ...
เมื่อก่อนขายถูกกว่า เดี๋ยวนี้ราคาเท่ากัน บางตัวสูงกว่าแล้วด้วยโปรดสังเกต

:b10: :b10: :b10:

เจ้าของ:  kokorado [ 29 ม.ค. 2009, 19:28 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ปี 2553 จุดจบประเทศไทย

ข้อดีของห้างดังก็มีนะ เช่น ทำให้ผู้ผลิตสินค้าต่าง ๆ อยู่ได้ เช่น พวกมาม่า ผงซักฟอก กระดาษชำระ เป้นต้น ทำให้คนมีงานทำไม่ว่าจะในห้าง หรือ พวกผู้ผลิตสินค้า ทำให้ประเทศชาติเจริญขึ้น

เจ้าของ:  maw [ 30 ม.ค. 2009, 20:41 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ปี 2553 จุดจบประเทศไทย

:b7: โอ้ย อย่าพึ่งให้ถึงเช่นนั้นเลย เรายังมีบารมีพ่ออยู่หัวที่เปรียบล้นไปด้วยพระเมตตา และ บารมีของสิ่งศักดิ์สิทธเป็นคู่บ้านคู่เมืองอีก :b8:

เจ้าของ:  บุญชัย [ 02 ก.พ. 2009, 09:05 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ปี 2553 จุดจบประเทศไทย

น่าจะจริงครับท่าน สาธุๆๆๆให้เป็นเช่นนี้ครับ :b20: :b6:

เจ้าของ:  natdanai [ 02 ก.พ. 2009, 10:29 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ปี 2553 จุดจบประเทศไทย

maw เขียน:
:b7: โอ้ย อย่าพึ่งให้ถึงเช่นนั้นเลย เรายังมีบารมีพ่ออยู่หัวที่เปรียบล้นไปด้วยพระเมตตา และ บารมีของสิ่งศักดิ์สิทธเป็นคู่บ้านคู่เมืองอีก :b8:


ของมันอนิจจังนะครับ

เจ้าของ:  ช้างชูธง [ 02 ก.พ. 2009, 15:28 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ปี 2553 จุดจบประเทศไทย

แนบไฟล์:
kingpep11.jpg
kingpep11.jpg [ 66.51 KiB | เปิดดู 4129 ครั้ง ]


ฉลองพระบาททั้งสององค์ที่ทรงใช้อย่าง 'พอเพียง'


แนบไฟล์:
kingpep8.jpg
kingpep8.jpg [ 31.34 KiB | เปิดดู 4129 ครั้ง ]


พื้นด้านล่างฉลองพระบาท 'ในหลวง' ที่ทรงโปรดให้ซ่อมแล้วซ่อมอีก

**********

แนบไฟล์:
king000008441BWJCC.jpg
king000008441BWJCC.jpg [ 24.87 KiB | เปิดดู 4126 ครั้ง ]


ช่างซ่อมฉลองพระบาทที่เคยซ่อมแซมและตัดฉลองพระบาท ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้มีโอกาสถวายการรับใช้ในหลวงอีกครั้ง ด้วยการซ่อมแซมรัดพระองค์ (เข็มขัด) ที่สึกหรอของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

โดยเป็นรัดพระองค์หนังจระเข้จำนวน 7 เส้น แยกเป็นสีน้ำตาล 3 เส้น สีดำ 4 เส้น สภาพรัดพระองค์บางเส้น เป็นรอยปริแตกตามแนวตะเข็บ บางเส้นหนังจระเข้ของเดิมหลุดล่อน จนมีสภาพเก่า แต่พระองค์ไม่ทรงทิ้ง แสดงถึงความประหยัด ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง ที่พระองค์ เป็นต้นแบบให้แก่ประชาชน ซึ่งรัดพระองค์หนังจระเข้ทั้งหมด ตนจะรีบซ่อมแซม โดยขั้นตอนการซ่อมแซมจะนำหนังจระเข้ชิ้นใหม่มาปะซ่อมส่วนที่สึกหรอ หากรัด พระองค์เส้นไหนมีรอยหลุดล่อนเยอะ จะดึงหนังบริเวณนั้นออก แล้วนำหนังจระเข้แผ่นใหม่ประกบเข้าไปแทนที่ ส่วนรัดพระองค์เส้นที่มีรอยปริแตกบริเวณแนวตะเข็บ จะใช้กาวทาลงไป แล้วเย็บประกบของเดิมอย่างประณีตอีกครั้ง เพื่อให้แลดูสวยงาม

*******************

นี่เป็นกุศโลบายอันชาญฉลาดของในหลวง
เพราะว่าการซื้อใหม่ เงินก็ตกไปอยู่กับเจ้าของห้าง(ต่างชาติ)
แต่การซ่อมแซม เงินตกกับคนไทย ช่างไทย 100 เปอร์เซ็นต์

ถ้าเราพากันเอาอย่างพระเจ้าอยู่หัว ช่างคนไทยก็จะมีรายได้ เงินก็อยู่ในประเทศ
ดังนั้น ก่อนจะซื้อเครื่องหนังครั้งต่อไป โปรดไตร่ตรองดูอีกทีก่อน

ด้วยความปรารถนาดีครับผม

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/