วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 11:47  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2009, 18:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


พอดีมีน้องทางธรรม เขาได้นำเรื่องดีๆ มาให้อ่าน ก็เลยนำมาแบ่งปันให้ทุกคนได้อ่านกันค่ะ

เอาธรรมะมาฝากจากหลวงปู่ดูลย์คะเห็นเนื้อหาเกี่ยวกับโอภาสจึงนำมาฝากคะ
น้องทำบล็อกเสร็จแล้วพี่ลองเข้าดูนะคะ

วิปัสสนูปกิเลส หลวงปู่ดูลย์ อตุโล

ในการปฏิบัติพระกัมมัฏฐานนั้น ในบางครั้งก็มีอุปสรรคขัดข้องต่างๆ รวมทั้งเกิดการหลงผิดบ้างก็มี ซึ่งหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ก็ได้ให้ความช่วยเหลือแนะนำและช่วยแก้ไขแก่ลูกศิษย์ลูกหาได้ทันท่วงที ดังตัวอย่างที่ยกมานี้

มีอยู่ครั้งหนึ่งเกิดปัญหาเกี่ยวกับ ?วิปัสสนูปกิเลส? ซึ่งหลวงปู่เคยอธิบายเรื่องนี้ว่า เมื่อได้ทำสมาธิจนสมาธิเกิดขึ้น และได้รับความสุขอันเกิดแต่ความสงบพอสมควรแล้ว จิตก็ค่อยๆ หยั่งลงสู่สมาธิส่วนลึก นักปฏิบัติบางคนจะพบอุปสรรคสำคัญอย่างหนึ่ง เรียกว่า วิปัสสนูปกิเลส ซึ่งมี ๑๖ อย่าง มี ?โอภาส? คือ แสงสว่าง และ ?อธิโมกข์? คือ ความน้อมใจเชื่อ เป็นต้น

พลังแห่งโอภาสนั้นสามารถนำจิตไปสู่สภาวะต่างๆได้อย่างน่าพิศวง เช่น จิตอยากรู้อยากเห็นอะไรก็ได้เห็นได้รู้ในสิ่งนั้น แม้แต่กระทั่งได้กราบได้สนทนากับพระพุทธเจ้าก็มี

เจ้าวิปัสสนูปกิเลสนี้มีอิทธิพลและอำนาจ จะทำให้เกิดความน้อมใจเชื่ออย่างรุนแรง โดยไม่รู้เท่าทันว่าเป็นการสำคัญผิด ซึ่งเป็นการสำคัญผิดอย่างสนิทสนมแนบเนียน และเกิดความภูมิใจในตัวเองอยู่เงียบๆ บางคน ถึงกับสำคัญตนว่าเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งด้วยซ้ำ บางรายสำคัญผิด อย่างมีจิตกำเริบยโสโอหังถึงขนาดที่เรียกว่าเป็นบ้าวิกลจริตก็มี

อย่างไรก็ตาม วิปัสสนูปกิเลสไม่ได้เป็นการวิกลจริต แม้บางครั้งจะมีอาการคล้ายคลึงคนบ้าก็ตาม แต่คงเป็นเพียงสติวิกล อันเนื่องจากการที่จิตตั้งมั่นอยู่กับอารมณ์ภายนอก แล้วสติตามควบคุมไม่ทัน ไม่ได้สัด ไม่ได้ส่วนกันเท่านั้น ถ้าสติตั้งไว้ได้สัดส่วนกัน จิตก็จะสงบเป็นสมาธิลึกลงไปอีก โดยยังคงมีสิ่งอันเป็นภายนอกเป็นอารมณ์อยู่นั่นเอง

เช่นเดียวกับการฝึกสมาธิของพวกฤาษีชีไพรที่ใช้วิธีเพ่งกสิณ เพื่อให้เกิดสมาธิ ในขณะแห่งสมาธิเช่นนี้ เราเรียกอารมณ์นั้นว่า ปฏิภาคนิมิต และเมื่อเพิกอารมณ์นั้นออกโดยการย้อนกลับไปสู่ ?ผู้เห็นนิมิต? นั้น นั่นคือย้อนสู่ต้นตอคือ จิต นั่นเอง จิตก็จะบรรลุถึงสมาธิขั้นอัปปนาสมาธิ อันเป็นสมาธิจิตขั้นสูงสุดได้ทันที

ในทางปฏิบัติที่มั่นคงและปลอดภัยนั้น หลวงปู่ดูลย์ท่านแนะนำว่า ?การปฏิบัติแบบจิตเห็นจิต เป็นแนวทางปฏิบัติที่ลัดสั้น และบรรลุเป้าหมายได้ฉับพลัน ก้าวล่วงภยันตรายได้สิ้นเชิง ทันทีที่กำหนดจิตใจได้ถูกต้อง แม้เพียงเริ่มต้น ผู้ปฏิบัติก็จะเกิดความรู้ความเข้าใจได้ด้วยตนเองเป็นลำดับๆ ไป โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยครูบาอาจารย์อีก?

ในประวัติของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล พอจะเห็นตัวอย่างของวิปัสสนูปกิเลส ๒ ตัวอย่าง คือกรณีของท่านหลวงตาพวง และกรณีของท่านพระอาจารย์เสร็จ จะขอยกกรณีของหลวงตาพวงมาเล่าเพื่อประดับความรู้ต่อไป

ศิษย์ของหลวงปู่ชื่อ ?หลวงตาพวง? ได้มาบวชตอนวัยชรา นับเป็นผู้บุกเบิก สำนักปฏิบัติธรรมบนเขาพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์

หลวงตาพวงได้ทุ่มเทชีวิตจิตใจให้แก่การประพฤติปฏิบัติ เพราะท่านสำนึก ตนว่ามาบวชเมื่อแก่ มีเวลาแห่งชีวิตเหลือน้อย จึงเร่งความเพียรตลอดวัน ตลอดคืน

พอเริ่มได้ผล เกิดความสงบ ก็เผชิญกับวิปัสสนูปกิเลสอย่างร้ายแรง เกิดความสำคัญผิดเชื่อมั่นอย่างสนิทว่าตนเองได้บรรลุอรหัตผล เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง เป็นผู้สำเร็จผู้เปี่ยมด้วยบุญญาธิการ ได้เล็งญาณ (คิดเอง) ไปจนทั่วสากลโลก เห็นว่าไม่มีใครรู้หรือเข้าถึงธรรมเสมอด้วยตน ดังนั้น หลวงตาพวงจึงได้เดินทางด้วยเท้าเปล่ามาจากเขาพนมรุ้ง เดินทางข้ามจังหวัดมาไม่ต่ำกว่า ๘๐ กิโลเมตร มาจนถึงวัดบูรพาราม หวังจะแสดงธรรมให้หลวงปู่ฟัง

หลวงตาพวงมาถึงวัดบูรพาราม เวลา ๖ ทุ่มกว่า กุฏิทุกหลังปิดประตูหน้าต่าง หมดแล้ว พระเณรจำวัดกันหมด หลวงปู่ก็เข้าห้องไปแล้ว ท่านก็มาร้องเรียก หลวงปู่ด้วยเสียงอันดัง

ตอนนั้นท่านเจ้าคุณพระโพธินันทมุนียังเป็นสามเณรอยู่ ได้ยินเสียงเรียกดังลั่นว่า ?หลวงพ่อ หลวงพ่อ หลวงพ่อดูลย์.....? ก็จำได้ว่าเป็นเสียงของหลวงตาพวง จึงลุกไปเปิดประตูรับ

สังเกตดูอากัปกิริยาก็ไม่เห็นมีอะไรผิดแปลก เพียงแต่รู้สึกแปลกใจว่า ตาม ธรรมดาท่านหลวงตาพวงมีความเคารพอ่อนน้อมต่อหลวงปู่ พูดเสียงเบา ไม่บังอาจระบุชื่อของท่าน แต่คืนนี้ค่อนข้างจะพูดเสียงดังและระบุชื่อด้วยว่า

?หลวงตาดูลย์ ออกมาเดี๋ยวนี้ พระอรหันต์มาแล้ว?

ครั้นเมื่อหลวงปู่ออกมาแล้ว ตามธรรมดาหลวงตาพวงจะต้องกราบหลวงปู่ แต่คราวนี้ไม่กราบ แถมยังต่อว่าเสียอีก ?อ้าว ! ไม่เห็นกราบท่านผู้สำเร็จมาแล้ว ไม่เห็นกราบ?

เข้าใจว่าหลวงปู่ท่านคงทราบโดยตลอดในทันทีนั้นว่าอะไรเป็นอะไร ท่านจึงนั่งเฉย ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ปล่อยให้หลวงตาพวงพูดไปเรื่อยๆ

หลวงตาพวงสำทับว่า ?รู้ไหมว่าเดี๋ยวนี้ผู้สำเร็จอุบัติขึ้นแล้ว ที่มานี่ก็ด้วย เมตตา ต้องการจะมาโปรด ต้องการจะมาชี้แจงแสดงธรรมปฏิบัติให้เข้าใจ?

หลวงปู่ยังคงวางเฉย ปล่อยให้ท่านพูดไปเป็นชั่วโมงทีเดียว สำหรับพวกเรา พระเณรที่ไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ ก็พากันตกอกตกใจกันใหญ่ ด้วยไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรกันแน่

ครั้นปล่อยให้หลวงตาพวงพูดนานพอสมควรแล้ว หลวงปู่ก็ซักถามเป็นเชิง คล้อยตามเอาใจว่า ?ที่ว่าอย่างนั้นๆ เป็นอย่างไร และหมายความว่าอย่างไร? หลวงตาพวงก็ตอบตะกุกตะกัก ผิดๆ ถูกๆ แต่ก็อุตส่าห์ตอบ

เมื่อหลวงปู่เห็นว่าอาการรุนแรงมากเช่นนั้น จึงสั่งว่า ?เออ เณรพาหลวงตาไปพักผ่อนที่โบสถ์ ไปโน่น ที่พระอุโบสถ?

ท่านเณร (เจ้าคุณพระโพธินันทมุนี) ก็พาหลวงตาไปที่โบสถ์ ไปเรียกพระ องค์นั้นองค์นี้ที่ท่านรู้จักให้ลุกขึ้นมาฟังเทศน์ฟังธรรม รบกวนพระเณรตลอดทั้งคืน

หลวงปู่พยายามแก้ไขหลวงตาพวงด้วยอุบายวิธีต่างๆ หลอกล่อให้หลวงตา นั่งสมาธิ ให้นั่งสงบแล้วย้อนจิตมาดูที่ต้นตอ มิให้จิตแล่นไปข้างหน้า จนกระทั่ง สองวันก็แล้ว สามวันก็แล้วไม่สำเร็จ

หลวงปู่จึงใช้อีกวิธีหนึ่ง ซึ่งคงเป็นวิธีของท่านเอง ด้วยการพูดแรงให้โกรธ หลายครั้งก็ไม่ได้ผล ผ่านมาอีกหลายวันก็ยังสงบลงไม่ได้ หลวงปู่เลยพูดให้โกรธด้วยการด่าว่า ?เออ ! สัตว์นรก สัตว์นรก ไปเดี๋ยวนี้ ออกจากกุฏิเดี๋ยวนี้?

ทำให้หลวงตาพวงโกรธอย่างแรง ลุกพรวดพราดขึ้นไปหยิบเอาบาตร จีวร และกลดของท่านลงจากกุฏิ มุ่งหน้าไปวัดป่าโยธาประสิทธิ์ซึ่งอยู่ห่างจาก วัดบูรพารามไปทางใต้ประมาณ ๓ - ๔ กิโลเมตร ซึ่งขณะนั้นท่านเจ้าคุณพระราชสุทธาจารย์ (โชติ คุณสมฺปนฺโน) ยังพำนักอยู่ที่นั่น

ที่เข้าใจว่าหลวงตาพวงโกรธนั้น เพราะเห็นท่านมือไม้สั่น หยิบของผิดๆ ถูกๆ คว้าเอาไต้ (สำหรับจุดไฟ) ดุ้นหนึ่ง นึกว่าเป็นกลด และยังเปล่งวาจาออกมา อย่างน่าขำว่า ?เออ ! กูจะไปเดี๋ยวนี้ หลวงตาดูลย์ไม่ใช่แม่กู? เสร็จแล้วก็คว้า เอาบาตร จีวร และหยิบเอาไต้ดุ้นยาวขึ้นแบกไว้บนบ่า คงนึกว่าเป็นคันกลด ของท่าน แถมคว้าเอาไม้กวาดไปด้ามหนึ่งด้วย ไม่รู้เอาไปทำไม

ครั้นหลวงตาพวงไปถึงวัดป่า ทันทีที่ย่างเท้าเข้าสู่บริเวณวัดป่านี่เอง อาการของจิตที่น้อมไปติดมั่นอยู่กับอารมณ์ภายนอก โดยปราศจากการควบคุมของ สติที่ได้สัดส่วนกันก็แตกทำลายลง เพราะถูกกระแทกด้วยอานุภาพแห่งความ โกรธ อันเป็นอารมณ์ที่รุนแรงกว่า ยังสติสัมปชัญญะให้บังเกิดขึ้น ระลึกย้อนกลับ ได้ว่า ตนเองได้ทำอะไรลงไปบ้าง ผิดถูกอย่างไร สำคัญตนผิดอย่างไร และได้ พูดวาจาไม่สมควรอย่างไรออกมาบ้าง

เมื่อหลวงตาพวงได้สติสำนึกแล้ว ก็ได้เข้าพบท่านเจ้าคุณพระราชสุทธาจารย์ และเล่าเรื่องต่างๆ ให้ท่านทราบ ท่านเจ้าคุณฯ ก็ได้ช่วยแนะนำและเตือนสติ เพิ่มเติมอีก ทำให้หลวงตาพวงได้สติคืนมาอย่างสมบูรณ์ และบังเกิดความ ละอายใจเป็นอย่างยิ่ง

หลังจากได้พักผ่อนเป็นเวลาพอสมควรแล้ว ก็ย้อนกลับมาขอขมาหลวงปู่ กราบเรียนว่าท่านจำคำพูดและการกระทำทุกอย่างได้หมด และรู้สึกละอายใจมากที่ตนทำอย่างนั้น

หลวงปู่ได้แนะทางปฏิบัติให้ และบอกว่า ?สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ว่าถึงประโยชน์ ก็มีประโยชน์เหมือนกัน มีส่วนดีอยู่เหมือนกัน คือจะได้เป็นบรรทัดฐาน เป็นเครื่องนำสติมิให้ตกสู่ภาวะนี้อีก เป็นแนวทางตรงที่จะได้นำมาประกอบ การปฏิบัติให้ดำเนินไปอย่างมั่นคงในแนวทางตรงต่อไป?

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2009, 18:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


โอภาส .... ถ้าผู้ใดเจริญสติยังไม่มากพอ ย่อมหลุดจากโอภาสได้ยากยิ่งนัก แล้วที่สำคัญโดยเฉพาะ บุคคลใดที่ไปยึดมั่นถือมั่นด้วยแล้ว เสร็จกิเลสมันเลย แทนที่จะเจริญสติให้มากขึ้น กลับไปน้อมในเชื่อในสิ่งที่เห็น

ตัวเองก็ติดมาเป็นปี แต่พอดีเป็นคนที่ไม่ใช่ประเภทขี้สงสัยหรืออยากรู้อยากเห็นอะไร ครูบาฯบอกว่าให้เจริญสติให้มากๆ คิดค้นหาวิธีมากมาย ปัญหาหญ้าปากคอก เพียงหยุดพิจรณา หยุดคิด เมื่อจิตเกิดการปล่อยวาง จากโอภาสก็กลายเป็นเพียงความว่างเปล่า หน้าที่เรามีเพียงแค่ ดู รู้ แล้วก็อยู่กับมันเท่านั้นเอง คิดแทบตาย แก้ไม่ได้ พอหยุดคิด จบทันที

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2009, 18:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


นำมาฝาก เผื่อผู้ใดติดขัดตรงนี้ นี่คือสิ่งที่ได้บันทึกไว้ในสเปสของตัวเอง

28 มกราคม
ดู .. รู้ .. อยู่กับมัน

หลายวันมานี่ เจอครูมาสอนตลอดเลย สติ ทันบ้าง ไม่ทันบ้าง ฟุ้งซ่านบ้าง แต่สู้ไม่ถอย ตอบโจทย์ไม่ได้ ทำการบ้านไม่ผ่าน 1 ปีที่ผ่านมา ครบเดือนนี้ 1 ปีเต็มๆ ใจสงบบ้าง ไม่สงบบ้าง หาอุบาย เฝ้าหาวิธีการมาตลอด ใจเฝ้าร่ำร้องหาแต่ครูบาฯ ว่าควรจะทำอย่างไร สุดท้าย ... สติ เป็นตัวบอก สัมปชัญญะเป็นตัวรู้ วันนี้ปัญญาเกิด ปัญหาจากที่คิดว่าเป็นปัญหา ที่แท้ก็แค่หญ้าปากคอก แต่มองไม่เห็น เลยแก้ไม่ถูก เพราะสติ สัมปชัญญะ ยังไม่มากพอนั่นเอง

วันนี้ สมาธิแรงมากๆ ยิ่งนับวันยิ่งแรงมากขึ้น ทั้งโอภาส ทั้งสุข มาเป็นระลอกๆๆ เกิดอย่างต่อเนื่อง เราก็นั่งพิจรณา นั่งคิดไปว่า เกิดอะไรขึ้น นี่เองมันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันไม่เที่ยง เดี๋ยวเกิด เดี๋ยวดับ ... นี่ ... คิดไปโน่น เลย รู้ตำรามากไป ... ใจก็คิดว่า จะต้องทำยังไง เพราะถ้าเดิน 1 ช.ม. นั่ง 1 ช.ม. สมาธิก็จะเกิดแรงมากๆ ถามว่า สติล่ะ มีไม๊ สติ สัมปชัญญะ รู้ตัวตลอด แต่ในส่วนลึกมันมีความคิดว่า ไม่อยากให้โอภาสมันเกิด ไม่อยากให้สุขมันเกิด เพราะมันคือตัวสะกั้นปัญญา แต่แท้จริงแล้ว หาใช่ไม่ เพราะความคิดที่เราคิดหาหนทางที่จะแก้ต่างหาก คือ ตัวสะกัดกั้นปัญญาไม่ให้เกิด แล้วจะทำอย่างไร เราไปบังคับมันไม่ได้ ตอนนั้นยังไม่รู้ ก็เลยไปพยายามหาหนทาง ทั้งที่หลวงพ่อภัททันตระ ท่านก็เขียนบอกไว้อยู่แล้ว แต่ละด่านจะติดอยู่ที่อุปกิเลส 10 ให้หมั่นเจริญสติให้มากๆ

ทีนี้ไม่รู้จะทำยังไล้ว ก็นั่งดู ดูไปดูมา เพราะไม่รู้จะทำยังไง คิดไปก็เท่านั้น พิจรณาไปก็เท่านั้น ตีโจทย์ไม่แตก ก็ดูอย่างเดียว พอสติระลึกได้ว่า ครูบาฯบอกว่า ให้ดูตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น อย่าไปกำหนดอะไร ไม่งั้นสภาวธรรมมันจะเปลี่ยนไป ปล่อยมัน ดูอย่างเดียว ถ้ามันแจ้ง มันก็จะแจ้งออกมาเอง เราก็สะดุดกึกเลย .. เออ ... เมื่อวานนี้ ลืมตัวไปกำหนดสุขหนอๆๆๆๆ เพราะมันสุขมากจริงๆ สุขแบบบรรยายไม่ถูก ไม่มีคำเปรียบเทียบว่าสุขนั้นสุขยังไง ข้าวปลาไม่อยากกิน เมื่อคืนตาหลับ แต่ใจไม่หลับ ตื่นอยู่ทั้งคืน

วันนี้ก็เจออีก เป็นมากยิ่งกว่าทุกๆครั้ง พอสติมันมาบอก จำคำสอนของครูบาฯได้ ก็หยุดเลย หยุดคิด ไม่พิจรณาอะไรทั้งสิ้น ดูอย่างเดียว ... ดูอยู่อย่างนั้น เดี๋ยวสว่าง เดี๋ยวสุข เดี๋ยวก็เกิดทั้งสว่างและสุขเกิดพร้อมๆกัน เอ้า ... เห็นช่วงตั้งแต่ลมที่กระทบตั้งแต่หน้าอกจนถึงท้องที่เคลื่อนไหวอย่างชัดเจน ลมที่ปลายจมูกแผ่วมากๆ เหมือนหายไป จับไม่ได้ จู่ๆ มันก้มีความคิดเกิดขึ้นมา เราว่า สติ สัมปชัญญะนี่แหละ เราไม่รู้จะเรียกว่าอะไร สภาวะครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งที่แล้ว ครั้งที่แล้ว มันเกิดก็รู้เองเลย แต่ครั้งนี้มันเกิดความคิดผุดขึ้นมา มันบอกขึ้นมาว่า จงดูมัน ดูด้วยความเข้าใจ จงรู้และอยู่กับมันด้วยความเข้าใจ เท่านั้นแหละ สว่างพรึ่บขึ้นมา จิตเราสงบนิ่งมากๆ ไม่มีความรู้สึกต่อสิ่งที่เกิดขึ้น คือมันสักแต่ว่า ... แบบอธิบายไม่ถูก สักแต่ว่าโอภาส มันจะเกิดก็เกิดไป สักแต่ว่าสุข มันสุขจะเกิดก็เกิดไป มันรู้อยู่อย่างนั้น แต่จิตเราไม่เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ก็เป็นเวลา 1 ช.ม. เต็มๆที่เสวยอารมณ์ตรงนั้น น่าจะเรียกว่า วางอุเบกขาได้ไหม แบบว่า จิตมันนิ่งมากๆ นิ่งไม่มีกระเพื่อมเลย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มันสักแต่ว่ารู้ แต่ไม่เข้าไปยุ่ง นี่แหละคิดว่าใช่นะ สติ สัมปชัญญะ มันทำงานร่วมกับสมาธิละ

นี่ ... ครูมาสอน เราต้องเรียน ไม่เรียนแล้วจะรู้หรือ จะรู้ได้ยังไง จะสอบผ่านได้ยังไง ถ้าไม่ได้เรียน ยอมรับเลย แต่ละด่านโหดมากๆ ดีนะที่เชื่อครูบาฯว่า ให้เจริญสติให้มากๆ แล้วก็ดีนะ ที่หันกลับมาทำสมาธิเพิ่ม ไม่ปล่อยไปเรื่อยๆแบบเมื่อก่อน

ผ่านไปอีกด่านหนึ่งแล้ว ด่านนี้ติดมาเป็นปี

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2009, 19:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับท่านwalaiporn

ขอเสริมเรื่องโอภาสตามภูมิประสาคนโง่อย่างผมคงไม่ว่ากันน่ะครับ

โอภาส...เหมือนดังกับวิบากครับ

เกิดขึ้นแล้วฝื่นใจยาก เหมือนถูกสะกดจิต

สิ่งแวคล้อมและจังหวะแห่งชีวิตล้วนกำหนดให้ต้องเป็นไปตามนั้นด้วย

บ้างครั้งต้องเป็นศิลปินเดี่ยวคื่อบริวารรอบข้างหนีหายหมด หรือไม่ก็มีอันต้องทะเลาะเบาะแวง

พูดง่ายๆว่าเหมือนถูกสาป

แต่เจ้าตัวรู้น่ะว่าเกิดจากอะไร

บางคนถึงกับต้องซัดเซพเนจร

คนที่จะบรรลุโสดาบันต้องเจอทุกคน

ฉนั้นใครที่ต้องการบรรลุโสดาบันต้องเตรียมตัวไว้ให้ดี

หนักหนาอาจถึงตายก็อาจเป็นได้

แต่เมื่อวาระสินสุดลง

เหมือนเฆมหมอกจาง

ชีวิตจะกลายเป็นชีวิตใหม่ทันที่

อยุ่เพื่อเป็นไปตามกรรม

ดำรงค์ชีวิตตามหน้าที่

ทำงานเพื่อเป็นกิจกรรมไม่ใช่เพื่อเงิน

ทำบุญเพื่อละวาง

ผมมีตัวอย่างชาวประมงผู้หนึ่ง

เขาไม่ต้องการหาเลี้ยงชีพจากชีวิตผู้อื่น

แต่ชีวิตเหมือนถูกบังคับให้ต้องทำ

เขาไม่หลีกเลี่ยง

แต่ทำแบบทำกิจกรรม

เขาไม่เคยประกาศให้ใครรู้ว่าเขาบรรลุธรรม

หรือแสดงให้ใครเคารพยกย่องว่าเป็นคนใจบุญ

เขาบรรลุโสดาบันแล้วด้วยซ้ำ

แต่เขายังทำอาชีพประมง

เขารู้ว่า

หลายชีวิตที่จบสิ้นลงไปด้วยน้ำมือเขา

เป็นการได้ล่วงกรรม จบวิบากนั้นลง ของชีวิตเหล่านั้น

ไม่ต้องดำรงค์ชาติภพเป็นกุ้ง หอย ปู ปลาอีกต่อไป

ฟังดูเหมือนบิดเบือนพระสัทธรรม

แต่นี่เป็นความแตกต่างของ ปุถุชน และโสดาบัน

ขอจบลงด้วยประโยคที่ว่า

วิปัสสนูกิเลส

เกิดขึ้นและหายไปเองตามวาระครับ

ผมว่าไม่มีใครแก้ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2009, 19:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีค่ะ คุณ mes

เอ่อ ... คำว่าท่าน นี่ไม่ค่อยคุ้นเลยค่ะ ดิฉันเป็นผู้หญิงค่ะ ไม่ใช่ผู้ชาย เรียกชื่อเฉยๆก็ได้ค่ะ

ส่วนโสดาบัน ไม่สนใจหรอกค่ะ กลัวจะเป็น โซดา ล่ะยุ่งเลย ขอเป็นเพียงคนธรรมดาๆ แบบที่เป็นอยู่นี่แหละค่ะ เหมาะสำหรับดิฉันที่สุดแล้ว คุณว่าไหม?

แล้วก็วิปัสสนูกิเลส แก้ได้ค่ะ หายไปเองไม่ได้ค่ะ แก้ได้โดยเจริญสติปัฏฐาน ให้มากๆค่ะ แล้วก็ทำสมาธิให้ต่อเนื่องด้วย ไม่ใช่ไปเน้นที่สติปัฏฐานอย่างเดียว

แล้วก็อยู่ที่คนๆนั้นด้วยว่าไปน้อมใจเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นหรือเปล่า ตรงนั้นแหละค่ะที่สำคัญมากๆ เพราะบางคนไม่ยอมรับความจริงที่ว่าตัวเองติดอยู่ในอุปกิเลส 10

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 141 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร