วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 07:00  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 24 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.พ. 2009, 09:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ม.ค. 2009, 21:10
โพสต์: 5


 ข้อมูลส่วนตัว


ต้องขอโทษด้วยนะครับ ถ้าหากโพสกระทู้ผิดห้อง...^^

ก่อนอื่นต้องขอเกริ่นเรื่องก่อนนะครับ

ผมเป็นคนที่จิตใจไม่ค่อยจะชื่นบานเท่าไหร่ คือ จะเป็นคนที่ติดเศร้า แล้วก็คิดแต่เรื่องเศร้าๆ ถ้าเฮฮาก็คือ เฉพาะช่วงเวลาที่พบเจอกับคนอื่นเท่านั้น แต่พออยู่กับตัวเองแล้วจะซึม หดหู่ และคิดแต่เรื่องที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ จนเหมือนกับว่า เป็นการทำร้ายตัวเองอยู่ลึกๆ

แต่อาจจะเป็นด้วยครอบครัวของผมชอบทำบุญทำทาน ดังนั้น ผมจึงติดนิสัยชอบทำบุญมาด้วย ผมเคยอ่านหนังสือว่า เวลาที่คนเราทำบุญ เขาจะมีความสุขกันมาก เช่น ถวายของแก่พระสงฆ์ ทำบุญให้กับเด็กๆผู้ยากไร้ ทุกคนมีความสุขกันดีจัง แต่พอผมทำ ทำไมผมถึงไม่มีความรู้สึกปิติที่ว่านั้นเลยล่ะครับ แค่รู้สึกว่า เรามาทำบุญแล้ว แล้วก็จบกันไป ยิ่งบางวัน ไปทำบุญด้วยจิตใจเศร้าหมอง (เพราะตื่นขึ้นมาก็คิดแต่เรื่องร้ายๆ จนน้ำตาไหล) พอทำบุญเสร็จก็จะเศร้าหมองอย่างเดิม

(อธิบายเพิ่มเติมว่า ทำบุญของผมในที่นี้คือ ทั้งการทำทาน สวดมนต์ และนั่งสมาธิ ครับ)

คำถามก็คือ เมื่อผมไม่ได้มีจิตใจที่สดชื่นเบิกบานแล้ว ผมจะได้บุญจากการทำบุญไหมครับ หรือมันจะกลายเป็นบาปไปเสีย

ขอคำแนะนำด้วยครับผม... ^^

ปล. ส่วนอาการเศร้าๆ ที่ว่านี้ไม่ได้ร้ายแรงอะครับ คือมันมาเป็นพักๆ และพยายามจะปรับตัวเองแล้ว แต่มันก็วกกลับมาเป็นอย่างเดิมทุกที ที่ไปทำบุญก็คือ หวังอยากจะให้ตัวเองมีสภาพจิตใจที่ดีขึ้นด้วยส่วนหนึ่ง...

............................................ขอบคุณครับ

.....................................................
นัตถิ ปัญญา สมาอาภา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.พ. 2009, 10:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ธ.ค. 2008, 09:34
โพสต์: 1322


 ข้อมูลส่วนตัว


:b1: ใจที่เศร้าหมอง ขุ่นมัว เพราะใจของเราขาด บุญ
การคิดเรื่องเศร้าๆ เรื่องร้ายๆ ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา
เพราะใจของปุถุชนมักไหลลงสู่ที่ต่ำ จึงเป็นเหตุให้เราต้องมา
พัฒนาใจ ปฏิบัติธรรม เจริญจิตตภาวนา เพื่อทวนกระแสของใจ
ดังนั้น หากทำบุญบ่อยๆ ใจของเราและทุกอย่างจะดีขึ้นเอง

:b8: ขอให้ เจริญเมตตาภาวนา ให้บ่อยๆ ถี่ๆ ต่อเนื่องๆ ทุกๆ วัน

ทำความดี ไม่ว่าเรื่องอะไร ทาน ศีล ภาวนา ฯลฯ
ขอให้แผ่ผลบุญกุศลให้เทวดาประจำตัวและเจ้ากรรมนายเวร ให้บ่อยๆ

และขอพรให้ตัวเราเองสามารถผ่านพ้นปัญหาอุปสรรค โรคภัย
แคล้วคลาดจากภัยอันตราย ศัตรูหมู่มารทั้งหลายทั้งปวง
ขอให้พบความสำเร็จ ความสุข ความเจริญ มีสิริมงคล สุขภาพแข็งแรง

ฯลฯ

สุดท้ายขอให้อ่านบทความเรื่อง วิธีเจริญเมตตา
ของพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก ดีมากเลย :b12:
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=20077

เอาใจช่วยนะ สู้ๆๆๆ :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.พ. 2009, 17:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ต้องแก้ด้วย"การเจริญสติในชีวิตประจำวัน"

แหล่งความรู้หนึ่งที่แนะนำคือ
www.wimutti.net ฟัง mp3 ของหลวงพ่อปราโมทย์มากๆนะครับ
หรืออ่านหนังสือของท่านก็ได้

ฟังมากๆแล้วจะรู้วิธีแก้ไขปัญหาความเศร้าหมองนี้ได้ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2009, 16:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านไม่ได้เล่าให้ฟังว่า เพราะเหตุใดจึงเป็นโรคเศร้า?

เมื่อรู้สึกว่าสิ่งรอบตัวไม่เป็นที่ถูกใจ รับอารมณ์กระทบความเป็นจริงที่เป็นไปรอบตัวไม่ค่อยไหว ไม่ชอบ ก็จะทำให้เริ่มเก็บตัว และในที่สุด ก็กลายเป็นโรคเศร้าได้ เพราะใจช่างล้า อะไรอย่างนี้เป็นต้น

คนทำกุศลดี บุญย่อมอุปการะ ให้พ้นจากความทุกข์ตั้งแต่ทุกข์ชั่วครู่ชั่วยามจนถึงการสิ้นสุดแห่งทุกข์ เป็นไปตามลำดับของกุศลแต่ละประเภท ใจที่เป็นโทสะที่สั่งสมไม่รู้ตัวนั้น ย่อมก่อให้เกิดอาการตึงเครียด ป่วยกาย ป่วยใจในที่สุด ครั้น พอได้รับอารมณ์ที่เป็นปัจจัยแก่กุศลให้เกิดขึ้น ตรงนั้นบุญก็เกิดแล้ว ย่อมอุปการะรูปให้ผ่อนให้คลายความตึงตัว คลายความเกร็งกดดันลงไปได้

กุศลจะเกิดได้ดี ต้องมีร่างกายที่แข็งแรงด้วย เพราะปุถุชนทั้งหลาย ป่วยกายก็ป่วยถึงใจด้วย ป่วยใจก็เดือดร้อนถึงกายด้วย ดังนั้นต้องสะสางเรื่องนี้ให้โปร่งโล่งไปพอสมควรเสียก่อน จึงจะเจริญกุศลอะไรๆ มิฉะนั้น ใจก็มักหวนไปหม่นหมองกับทุกข์ประจำตัวของตน จนทำให้โทสะเกิดซ้ำๆบ่อยๆ

ลองทบทวนตนว่ามีลักษณะดังนี้หรือไม่ :

๑. มีเรื่องอะไรผิดหวังรุนแรงไหม?
๒. เป็นคนชอบอยู่นิ่งๆ ไม่อยากจะเคลื่อนย้ายตัวเลย ชอบอะไรที่ไม่ต้องเปลี่ยนแปลง ไม่ชอบความโกลาหล วุ่นวายแม้เป็นเพียงเล็กน้อย ใจมักดิ่งไปหาอารมณ์ที่ต้องการลึกๆเสมอๆ
๓. จากข้อสอง จึงไม่ชอบออกกำลังกายหรือไม่?
๔. สุขภาพไม่ดี ระบบย่อยอาหารไม่ดี ท้องอืด ปัสสาวะบ่อย ใจหวิวๆบ้าง เป็นบางครั้ง มีอย่างนี้บ้างไหม?
๕. ชอบคิดอะไรในแง่ร้าย คิดถึงใครก็มักมองแต่ตรงที่ไม่ดี อย่างนี้มีไหม?
๖. ไม่ชอบการคลุกคลี แต่ใจนั้นไม่ได้เป็นกุศลจึงมักเอาแต่อดีตที่ไม่ดี ข้อผิดพลาด ของตน หรือคนอื่นมาคิดเนืองๆ ใช่หรือไม่?
เมื่อทราบเหตุก็จะสามารถแก้ไขได้ตรงจุดนะครับ
ขอให้หายจากโรคเศร้าไวๆครับ

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2009, 22:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อรู้ตัวว่ากำลังคิดเรื่องเศร้าหมองก็เลิกคิดซิครับ เหตุคือคิด ก็ต้องทำให้ไม่คิด เหตุก็ดับ ทุกข์จากคิดก็ไม่มี.... :b12:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2009, 22:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ม.ค. 2009, 21:10
โพสต์: 5


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาตอบมากๆเลยครับ
รู้สึกว่าได้แนวทางที่จะทำให้ตัวเอง รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
แต่คงต้องใช้ความพยายามให้มากๆ ^^

คุณ AAAA

ตามไปอ่านที่กระทู้นั้นแล้วครับ
รู้สึกดีมากเลย ทันทีที่ได้อ่านจบ
(ตามอ่านตั้งแต่เมื่อวันก่อน แต่ว่าเพิ่งจะได้ตอบวันนี้
เพราะเพิ่งว่างจากธุระ ขออภัยครับ)
ผมก็เริ่มแผ่เมตตา และเริ่มคิดกับคนอื่นในทางให้อภัยมากขึ้น
ขอขอบคุณอีกครั้งครับผม



คุณ คามินธรรม

ผมได้โหลดคำสอนมาฟังแล้วครับ (แต่ไปเจอจากกระทู้อื่น แฮะๆ)
ทีแรกฟังคล้ายๆว่าจะง่าย แต่พอทำจริงๆ ยากมากกกกกก...
คงต้องฝึกอีกเยอะเลยทีเดียว แต่จะพยายามต่อไปครับผม
^^


คุณ dd

สาเหตุที่เป็นโรคเศร้า (ควรเรียกว่าโรคเนาะ เพราะทำให้เรารู้สึกไม่สบาย เอิ๊ก)

ลองทบทวนตามคำถามข้างต้นแล้ว
โรคเศร้าของผมน่าจะมาจากนิสัยของผมเองแหละครับ
ปกติผมเป็นคนเงียบๆ คือ เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว
แต่มันก็ยังไม่รุนแรงอะไรนัก จนเมื่อเกิดปัญหาหนักๆ
คือพลาดหวังอย่างรุนแรง (ขออนุญาตไม่เล่านะครับ
เอาเป็นว่าเรื่องเกี่ยวกับความรักก็แล้วกัน)
อาการมันก็เลยหนักลง

ทีนี้ พออยู่คนเดียวแล้วถ้าหากมาอะไรมากระตุ้นให้เราคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
ไม่ว่าจะมาในรูป รส กลิ่น เสียง หรือแค่หวนคิดถึง ก็จะรู้สึกแย่มาก
จนบางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่า ทำกรรมอะไรมา ทำไมชีวิตถึงเป็นแบบนี้
ทำไมชีวิตเราถึงไม่เป็นอีกแบบหนึ่ง ทำไมตอนนั้นเราถึงทำอะไรแบบนั้นลงไป
ถ้าหากเราไม่ทำชีวิตเราจะดีขึ้นกว่านี้ไหม (ดูฟุ้งซ่านเกินไปใช่ไหมครับ ^^ )
ก็คือ จมกับอดีตน่ะครับ มันจะเป็นอย่างนี้บ่อยๆตอนที่ผมอยู่คนเดียว

แต่ถ้าหากว่าผมอยู่กับคนอื่น ผมจะไม่มีอาการอย่างนี้เลย
มันจะลืมเรื่องเหล่านี้ไปจนหมด แต่ก็อีกนั่นแหละครับ
ผมไม่สามารถที่จะอยู่กับคนอื่นได้ตลอด โรคเศร้าจึงยังคงเป็นปัญหาของผมอยู่

พูดกันตามตรงเลยก็คือ ผมแก้ปัญหาตรงนี้ด้วยตัวเองไม่ได้จริงๆ
(ระงับใจตัวเองไม่ได้จริงๆ) ก็เลยใช้วิธีทำบุญทำทานเข้าช่วย แล้วก็ได้แต่หวังว่า
อะไรๆจะดีขึ้น

แต่เนื่องจาก ผมไม่ค่อยจะแน่ใจว่า หากเราทำบุญด้วยจิตใจที่เศร้าหมอง
บุญที่เราควรจะได้จะกลายเป็นบาปไปหรือไม่
มันเหมือนกับว่า เราทำบุญเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง
เพราะเราต้องการให้ชีวิตเราเป็นแบบนี้ เราจึงทำบุญ
ทำนองนั้น...

ดังนั้น ผมก็เลยตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาครับ ^^

ต้องขอขอบคุณมากๆเลยนะครับ ที่ช่วยให้คำแนะนำและเป็นกำลังใจให้
ผมอาจจะอธิบายสับสนไปหน่อย (คือ มันยังมีบางเรื่องที่ไม่กล้าพูดจริงๆ)
แต่ผมจะพยายามทำตามที่ทุกคนบอกครับผม


ปล. ว่าแต่ ทำบุญทั้งที่ใจเป็นทุกข์นี่ ไม่บาปใช่ไหมครับ??

....................................


แก้ไข....

อ้าว โหม่งกับคุณ natdanai ซะแล้ว ^^

ขอบคุณครับ... ผมจะพยายามไม่คิดถึงเรื่องที่ทำให้ทุกข์ครับ
(ต้องพยายามแหละ มันยากจริงๆนี่ แฮะๆ)

.......................................

.....................................................
นัตถิ ปัญญา สมาอาภา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2009, 22:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
ปล. ว่าแต่ ทำบุญทั้งที่ใจเป็นทุกข์นี่ ไม่บาปใช่ไหมครับ??



ขอตอบว่าไม่บาปครับ แต่ผลบุญอาจไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยเท่าไหร่ กล่าวคือผลบุญจะมากน้อยขึ้นกับ

1.ผู้ให้ต้องจิตบริสุทธิ์ ใจเป็นกุศล ไม่เศร้าหมอง

2.ของที่นำมาทำบุญต้องบริสุทธิ์ (ไม่ได้มาโดยมิชอบ)

3.ผู้รับต้องบริสุทธิ์(เช่นผู้ทรงศีล)


นอกจากนี้ก็ต้องถึงพร้อมด้วยกาลทั้งสาม คือ

1.ก่อนทำมีศรัทธา เจตนาแน่วแน่
2.ขณะทำ มี่ใจอิ่มเอม
3.หลังทำ ไม่มาเสียดาย


:b4:

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.พ. 2009, 21:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 พ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1051

งานอดิเรก: อ่านหนังสือธรรมะ
อายุ: 0
ที่อยู่: Bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


:b16: เมื่อรู้ตัวว่ากำลังคิดเรื่องเศร้าหมองก็เลิกคิดซิครับ เหตุคือคิด ก็ต้องทำให้ไม่คิด เหตุก็ดับ ทุกข์จากคิดก็ไม่มี....
:b16: คุณ คามินธรรม

ผมได้โหลดคำสอนมาฟังแล้วครับ (แต่ไปเจอจากกระทู้อื่น แฮะๆ)
ทีแรกฟังคล้ายๆว่าจะง่าย แต่พอทำจริงๆ ยากมากกกกกก...
คงต้องฝึกอีกเยอะเลยทีเดียว แต่จะพยายามต่อไปครับผม

:b17: :b17: K.คามินธรรม K.natdanai เห็มไม๊คะว่าเราเจอ K.de_luck เศร้าเหมือนเราเลย
ยินดีที่พี่ได้รู้จักคุณde_luck นะคะ คุณเข้ามาที่ลานธรรมจักรนี้ ไม่ผิดหวังคะ :b32: เพราะเราก็
อารมณ์เดียวกับคุณนะ มันเศร้า ท้อในบางอารมณ์ เวลาฟังท่านๆแนะนำ ใจมันก็ :b4: :b4: นะ
แต่ในทางปฏิบัติ มันช่างยากS.....จัง แต่ที่เราเป็นเพราะมันใจยังไปตามโทสะ+โมหะ เสียเป็นส่วนใหญ่
แต่ท่านสองคนนี้ เป็นครูแนะแนวที่เก่งค่ะ อ่านคำแนะนำแล้วใจเกินร้อยเลยค่ะ :b4: :b4: :b4:
แต่ที่นี่มีอีกหลายท่านนะคะที่เก่งๆ คุณโพสต์เข้ามาซิคะ แล้วจะรู้ว่าที่นี่ใช่เลย
ถ้าจะให้ครบชุดต้องK.กรัชกราย ขอเพลงที่เป็นกำลังใจ ได้ไม๊คะ :b35: จะได้หายเศร้าค่ะ

.....................................................
    มีสิ่งใด น่าโกรธ อย่าโทษเขา.... ต้องโทษเรา ที่ใจ ไม่เข้มแข็ง
    เรื่องน่าโกรธ แม้ว่า จะมาแรง ....ถ้าใจแข็ง เหนือกว่า ชนะมัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.พ. 2009, 21:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กำลังใจ

ในยามที่ท้อแท้ ขอเพียงแค่คนหนึ่ง
จะคิดถึง และคอยห่วงใย
ในยามที่ชีวิต หม่นหมองร้องไห้
ขอเพียงมีใคร ปลอบใจ สักคน
..ในวันที่โลกร้าง ความหวังให้วาด
มันขาดมันหาย ใคร จะช่วยเติม
เพิ่มพลังใจ ให้ฉันได้เริ่ม
ต่อสู้อีกครั้ง บนหนทางไกล
..กำลังใจ จากใครหนอ
ขอเป็นทาน ให้ฝันให้ใฝ่
ให้ชีวิต ได้มีแรงใจ
ให้ดวงใจ ลุกโชนความหวัง
กำลังใจ จากใครหนอ
ขอเป็นทาน ให้ฉันได้ไหม
ดั่งหยาดฝน บนฝากฟ้าไกล
ที่หยาดริน สู่พื้น ดินแห้งผาก
(ดนตรี.....)
..กำลังใจ จากใครหนอ
ขอเป็นทาน ให้ฝันให้ใฝ่ ให้ชีวิต
ได้มีแรงใจ ให้ดวงใจ ลุกโชนความหวัง
กำลังใจ จากใครหนอ
ขอเป็นทาน ให้ฉันได้ไหม
ดั่งหยาดฝน บนฝากฟ้าไกล
ที่หยาดริน สู่พื้นดินแห้งผาก

ฟังครับ

http://www.youtube.com/watch?v=kCJMbgAgEy4

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.พ. 2009, 22:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
พออยู่คนเดียวแล้ว ถ้าหากมาอะไรมากระตุ้นให้เราคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
ไม่ว่าจะมาในรูป รส กลิ่น เสียง หรือ แค่หวนคิดถึง ก็จะรู้สึกแย่มาก
คือ จมกับอดีตน่ะครับ มันจะเป็นอย่างนี้บ่อยๆตอนที่ผมอยู่คนเดียว

แต่ถ้าหากว่าผมอยู่กับคนอื่น
ผมจะไม่มีอาการอย่างนี้เลย
มันจะลืมเรื่องเหล่านี้ไปจนหมด
แต่ก็อีกนั่นแหละครับ ผมไม่สามารถที่จะอยู่กับคนอื่นได้ตลอด



เมื่อกล่าวตามหลักจิตวิทยาแล้ว ข้อความดังกล่าวชัดเจนที่ คุณ de_luck เฮฮาปาตี้ท่ามกลางเพื่อนฝูง ก็ลืมเรื่องเศร้า ๆได้ชั่วคราว
เพราะอะไร ?
เพราะจิตแต่ละขณะรับรู้อารมณ์ได้อย่างเดียว/อารมณ์เดียว จึงดูเหมือนลืมเรื่องเสียใจได้

ครั้นอยู่คนเดียว จิตจะเสพอารมณ์ที่ตนเคยชินและแรง เพราะขาดอารมณ์ปัจจุบันขณะ
ทีนี้เราไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ จึงรู้สึกเอาเองว่า ทำไมเราเศร้าเสียใจอย่างนี้ ฟุ้งซ่านอย่างนี้ เป็นเวรเป็นกรรมอะไรของเจ้าลอยนักหนาก็ไม่รู้


พื้นๆ เคยสังเกตไหม จิตแพทย์ จะแนะนำให้ผู้ที่มีอาการทางจิตประสาท (ไม่ใช่กรณี จขกท.ๆ เด็กๆธรรมดาๆ) ทำนั่นทำนี่เพื่อไม่ให้ว่าง เป็นต้นว่า ตัดแต่งต้นไม้ ปลูกต้นไม้ ตัดหญ้าสนามหน้าบ้าน เพื่อให้จิตจดจ่ออยู่กับสิ่งนั้น แล้วจะไม่คิดเรื่องเศร้าเสียใจ
พูดง่ายๆว่าให้จิตมีงานทำเสีย
พูดให้เข้าหลักธรรมก็ว่า เอางานนั้นๆ เป็นกรรมฐาน กรรมฐานได้แก่ที่ให้จิตทำงาน นี่มันเป็นอย่างนี้
พระพุทธศาสนามีสิ่งวิเศษอย่าง่นี้

เรื่องนี้พูดแล้วยาว เท่านี้ก่อน :b1:

ฟังเพลงบ้าง :b1:

“ขาดเขาเราอยู่”

http://www.imeem.com/people/V2C1Ag/music/KpnEy9xi//

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.พ. 2009, 08:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ค. 2008, 17:19
โพสต์: 139

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


อยากแชร์ประสบการณ์ที่เป็นเหมือนกันค่ะ เคยเป็นอย่างที่คุณเจ้าของกระทู้ว่า
ทำบุญไปมากมาย แต่จิตใจเหมือนจะเป็นหลุมดำ ที่บุญเท่าไหร่ก็ถมไม่เต็ม

อันนี้คงต้องให้คุณกรัชกายวิเคราะห์ :b12:
ที่เคยเป็นมานะคะ ทำอาหารมากมายไปร่วมงานบุญปฏิบัติธรรมกรรมฐานของวัดป่า(มหานิกาย)
วันถัดมากลับรู้สึกมืดมิด นึกไม่ออกถึงบุญนั้นๆ
ต่อมาไม่นาน ไปวัดป่าธรรมยุต หลวงปู่ท่านให้รักษาอุโบสถศีลที่วัดในวันพระช่วงเข้าพรรษา
เพียงแค่วันแรกๆ ก็รู้สึกเหมือนตื่นขึ้นมาจากข้างใน มีความรู้สึกตัวที่ชัดขึ้นเรื่อยๆ

แม้ปัจจุบันจะยังมีอาการบ้าง (อย่างที่คุณddว่า) แต่ก็มีสติรู้เท่าทัน และออกจากอาการนั้นได้
จะเป็นตอนที่เหนื่อย ล้า และเพลียมากๆจากการทำงานที่ต้องใช้สมองไปด้วยค่ะ
(ต้องได้พัก ทำสมองกลวงๆ ปล่อยจิตใจให้ไปสู่ที่ชอบที่ชอบ :b12: )

.....................................................
สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.พ. 2009, 09:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ให้กรัชกายวิเคราะห์อีกแระ :b1: :b9:
อ้าว จะลองดู
แต่ขอถามคุณโปเต้หน่อยก่อนว่า บุญมหานิกาย กับ บุญธรรมยุตต่างกันด้วยหรอ :b38:
:b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.พ. 2009, 09:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ค. 2008, 17:19
โพสต์: 139

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
แต่ขอถามคุณโปเต้หน่อยก่อนว่า บุญมหานิกาย กับ บุญธรรมยุตต่างกันด้วยหรอ


:b12: ไม่แตกต่างค่ะ อยู่ที่การปฏิบัติของบุคคล
ที่เล่ามาฟังเหมืนจะแบ่งแยก
แต่มันก็แสดงถึงอคติในใจของโปเต้เอง ที่คิดว่าโดยส่วนรวมแล้วถ้าจะเปรียบเทียบกัน
การประพฤติปฏิบัติพระสงฆ์ในนิกายมหายานโดยส่วนมากจะค่อนข้างย่อหย่อน หละหลวม
ทั้งที่ถ้าเทียบปริมาณของขนาดและบุคคลากรกันจริงๆแล้ว สัดส่วนการปฏิบัติที่เคร่งครัด หรือย่อหย่อน ก็อาจจะพอกันก็เป็นได้

.....................................................
สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.พ. 2009, 10:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ปัจจุบันจะยังมีอาการบ้าง ฯลฯ จะเป็นตอนที่เหนื่อย ล้า และเพลียมากๆ จากการทำงานที่ต้องใช้สมองไปด้วยค่ะ
(ต้องได้พัก ทำสมองกลวงๆ ปล่อยจิตใจให้ไปสู่ที่ชอบที่ชอบ )


มีอาการอย่างนั้นต้องนี่เลย

“ขอคนรู้ใจ)

http://www.youtube.com/watch?v=rxzFqAxE ... re=related

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.พ. 2009, 10:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ค. 2008, 17:19
โพสต์: 139

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: ขอบคุณค่ะ ท่านดีเจ :b12:

เอ.. แล้วอาการที่ใจหาย เหมือนมีแรงโทสะจากภายนอกมากระทบ
คล้ายกับคำพูดของเราจะไปล่วงเกินใครเข้า ทั้งที่เราไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย
ทำไงดีคะ :b5: (กราบขออภัยกับทุกท่านไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ :b8: )

ขอเพลงสนุกสนาน ร่าเริงบ้างค่ะท่าน :b12: :b4: :b12:

.....................................................
สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 24 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 145 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร