วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 13:23  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 33 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2009, 19:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ประโยชน์ของเมตตาจะเห็นได้ เช่น ในกรณีของการถกเถียง ขัดแย้งในทางเหตุผลและการโต้วาทะ ทำให้ต่างฝ่ายยอมพิจารณาเหตุผลของกันและกัน ช่วยให้คู่โต้บรรลุถึงเหตุผลที่ถูกต้องได้ เช่น เมื่อนิครนถ์ผู้หนึ่ง มาเฝ้าสนทนาใช้คำพูดรุนแรงตำหนิพระพุทธเจ้า
พระองค์ทรงสนทนาโต้ตอบตามเหตุผล จนในที่สุดนิครนถ์นั้นกล่าวว่า

“เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าพเจ้าก็เลื่อมใสต่อท่านพระโคดมผู้เจริญ เป็นความจริง ท่านพระโคดมเป็นผู้อบรมแล้วทั้งกาย อบรมแล้วทั้งจิต”

“น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีเลย ท่านพระโคดมถูกข้าพเจ้าพูดกระทบกระแทก แต่งคำมาไล่เลียงต้อนเอา
ถึงอย่างนี้ ก็ยังมีผิวพรรณสดใส มีสีหน้าเปล่งปลั่งอยู่ได้ สมเป็นอาการของ
พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า”
(ม.มู.12/409, 432/440,462)


ในกรณีที่มิจฉาสังกัปปะเกิดขึ้น เมื่อจะแก้ไขโดยวิธีการแห่งปัญญา ก็ต้องไม่ใช้วิธีดึงดัน กลัดกลุ้มหรือฟุ้งซ่านต่อไปโดยไม่มีจุดหมาย แต่ต้องใช้โยนิโสมนสิการ คือคิดสืบสาวหาเหตุ และพิจารณาให้เห็นคุณโทษของมัน เช่น พุทธพจน์ว่า


“ภิกษุทั้งหลาย ก่อนสัมโพธิกาล เมื่อเราเป็นโพธิสัตว์ยังมิได้ตรัสรู้ ได้มีความคิดเกิดขึ้นว่า ถ้ากระไร เราพึงแยกความดำริออกเป็น ๒ ฝ่าย ดังนี้แล้ว จึงได้แยก กามวิตก พยาบาทวิตก และวิหิงสาวิตก ออกเป็นฝ่ายหนึ่ง และแยก เนกขัมมวิตก อพยาบาทวิตก และอวิหิงสาวิตก ออกเป็นอีกฝ่ายหนึ่ง”

“เมื่อเราไม่ประมาท มีความเพียร มุ่งมั่นอยู่นั่นเอง เกิดมีกามวิตกขึ้น เราก็รู้ชัดว่า เราเกิดกามวิตกขึ้นแล้ว ก็แหละ กามวิตกนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนเองบ้าง เป็นไปเพื่อเบียดเบียนผู้อื่นบ้าง เป็นไปเพื่อเบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่นสองฝ่ายบ้าง ทำให้ปัญญาดับ จัดเป็นพวกสิ่งบีบคั้น ไม่เป็นไป
เพื่อนิพพาน”

“เมื่อเราพิจารณาเห็นว่า มันเป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนก็ดี กามวิตกนั้น ก็สลายตัวไป
เมื่อเราพิจารณาเห็นว่า มันเป็นไปเพื่อเบียดเบียนผู้อื่นก็ดี …
ว่ามันเป็นไปเพื่อเบียดเบียนทั้งตนเอง และผู้อื่นสองฝ่ายก็ดี ว่ามันทำให้ปัญญาดับ จัดเป็นพวกสิ่งบีบคั้น ไม่เป็นไปเพื่อนิพพานก็ดี กามวิตกนั้น ก็สลายตัวไป เราจึงละ จึงบรรเทากามวิตก ที่เกิดขึ้นมาๆ ทำให้
หมดสิ้นไปได้ทั้งนั้น”

“เมื่อเราไม่ประมาท...เกิดมีพยาบาทวิตกขึ้น...
เกิดมีวิหิงสาวิตกขึ้น เราก็รู้ชัด (ดังกล่าวมาแล้ว) จึงละ...จึงบรรเทาพยาบาทวิตก...วิหิงสาวิตกที่เกิด
ขึ้นมาๆ ทำให้หมดสิ้นไปได้ทั้งนั้น”

“ภิกษุ ยิ่งตรึก ยิ่งคิดคำนึงถึงความดำริใดๆ มาก ใจของเธอก็ยิ่งน้อมไปทางความดำรินั้นๆ
ถ้าภิกษุยิ่งตรึก ยิ่งคิดคำนึงถึงกามวิตกมาก เธอก็ละทิ้งเนกขัมมวิตกเสีย
ทำแต่กามวิตกให้มาก จิตของเธอนั้นก็น้อมไปทางกามวิตก...ฯลฯ...
ถ้าภิกษุยิ่งตรึก ยิ่งคิดคำนึงถึงเนกขัมมวิตกมาก เธอก็ละทิ้งกามวิตกเสีย ทำแต่เนกขัมมวิตกให้มาก
จิตของเธอนั้นก็น้อมไปทางเนกขัมมวิตก..”
(ม.มู. 12/252/232)

การปฏิบัติธรรมช่วงแรกตามองค์มรรค ๒ ข้อต้นนี้ สรุปได้ด้วยพุทธพจน์ ว่า

“ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ อย่าง ชื่อว่าเป็นผู้ดำเนินปฏิปทาอันไม่ผิดพลาด และเป็นอันได้เริ่มก่อต้นกำเนิดของความสิ้นอาสวะแล้ว ธรรม ๔ ประการ คือ เนกขัมมวิตก อพยาบาทวิตก
อวิหิงสาวิตก สัมมาทิฏฐิ”
(องฺ.จตุกฺก. 21/72/99)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2009, 20:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.พ. 2009, 04:12
โพสต์: 1067


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8: ขอกราบงามๆ 3 ครั้งค่ะคุณกรัชกาย คนไร้สาระขอยกให้เป็นปรามาจารย์จริง ๆ สมแล้วที่เป็น บัวแก้ว :b8: :b8: :b8:
คนไร้สาระเป็นน้องใหม่ แต่ได้รับความกรุณามากมายจริง ๆ รู้สึกอบอุ่นค่ะ ได้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องเมตตาขึ้นมาก ๆ ว่าถ้ามีเมตตาอย่างเดียวไม่ครบองค์ของพรหมวิหารสี่ โอกาสที่จะพลิกเป็นราคะได้ง่าย ๆ
และมองเห็นเวรภัยมากมาย แม้กระทั่งคนดีมีมจเมตตา ยังเป็นทุกข์
สมแล้วที่พระท่านว่าในโลกนี้มีแต่คนหลับ ตื่นเฉพาะกายแต่ใจหลงทั้งวัน คนไร้สาระก็เป็นปุถุชนที่มีผ้าบังลูกตาอยู่หนาค่ะ ขอน้อมใจไปตามธรรมะที่คุณอนุเคราะห์เป็นอย่างมาก และซาบซึ้งในบุญคุณจริง ๆ เพราะข้อมูลที่ได้มามากและจะทำให้เกิดประโยชน์สมกับผู้ให้ตั้งใจให้
คนไร้สาระเปิดให้เพื่อนผู้มีเมตตาขาดอุเบกขาอ่าน เธอก็ค่อย ๆ อ่านไป และก็บอกว่า เราเมตตาแบบไม่มีอุเบกขาจริงๆ ช่วยแบบไม่เลือก บางครั้งถึงขนาดตัวเองลำบากก็ยังช่วย
มีคำหนึ่งที่คุณกรัชกายเขียนแล้วสะกิดใจมากคือคำว่า "เธอพร้อมจะเป็นทุกข์แทนใครหรือยัง" มันปิ้งจริง ๆ คนไร้สาระนั่งอ่านจนลืมตัวเองไปเลยจริงๆน่ะ
:b48: ขอขอบพระคุณอีกครั้งค่ะ มีอะไรชี้แจงอีกผู้น้อยจะรับไว้ด้วยความเต็มใจจะเป็นศิษย์ที่ดีค่ะ :b48:

.....................................................
...นฺตถิตัณหา สมานที...
ห้วงน้ำใหญ่โต เสมอด้วยตัณหาไม่มี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2009, 20:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.พ. 2009, 04:12
โพสต์: 1067


 ข้อมูลส่วนตัว


พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เขียน:
เมตตาแต่ไม่มีอุเบกขา ก็เป็นเหตุแห่งความกังวลใจ เพราะไปเอาเรื่องของเขามาเป็นเรื่องของตัวเอง

เมตตาแต่มีอุเบกขา ช่วยเขาไม่ได้ เราก็ต้องวางเฉย จะไปกังวัลใจได้อย่างไร


:b41: ขอบคุณค่ะ "คุณพลศักดิ์" คนไร้สาระรู้สึกยินดีและเต็มใจน้อมรับข้อแนะนำค่ะ

:b41: ตอบได้ตรงใจคนไร้สาระ หันมามองตัวเองเลยทั้งเพื่อนที่เมตตาแต่ขาด อุเบกขา
เอาเรื่องของเขามาเป็นของตัว คนที่พิมพ์อยู่นี่ก็ไปกังวลเรื่องคนอื่นเหมือนกัน
เหนื่อยใจจริง ๆค่ะ

:b48: จะพยายามวางเฉยเป็นอุเบกขากับเพื่อนคนนี้ก่อน และลืมไปว่ามัวไป
เมตตา คนอื่นลืมเมตตาตัวเองไปสะงั้น เหมือน ๆ ว่าไปนับชามแตก
ของชาวบ้าน ชามบ้านตัวเองแตก ไม่รู้เรื่อง

:b47: :b8: ขอบคุณอีกครั้งค่ะ สาธุ :b8: :b8:

.....................................................
...นฺตถิตัณหา สมานที...
ห้วงน้ำใหญ่โต เสมอด้วยตัณหาไม่มี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2009, 20:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


(บทสรุปเกี่ยวกับเรื่องนี้)

หลักพรหมวิหาร ๔ มักถูกเข้าใจสับสนบ่อย คือ ถูกนำไปใช้พูด หรือ อธิบายเหมือนเป็นคุณธรรมขั้นปฏิบัติการ
แต่ความจริง พรหมวิหาร มีเมตตา เป็นต้น เป็นคุณธรรมประจำใจ เป็นคุณภาพจิต หรือ อยู่ในระดับความ
คิด
เนื่องในสัมมาสังกัปปะ การฝึกอบรม พรหมวิหารก็รวมอยู่ในหมวดสมาธิ หรือ อธิจิตตสิกขา
ด้วยเหตุนี้ พรหมวิหาร ๔ จึงจัดเป็นกรรมฐานหมวดหนึ่งในจำนวนกรรมฐาน ๔๐ คือ เป็นเรื่องภาวนา -
(ดู วิสุทธิ. 2/89-131ฯลฯ)
ส่วนในขั้นปฏิบัติการ ก็มีสังคหวัตถุ ๔ มารับช่วงทำหน้าที่ต่อจากพรหมวิหาร ทำให้มีการแสดงออก
ทางสังคม
ถ้าจะใช้พรหมวิหาร เช่น เมตตากับการแสดงออกภายนอก ก็ต้องเอาเมตตานั้นไปประกอบการกระทำ เช่น พูดว่า กายกรรมประกอบด้วยเมตตา วจีกรรมประกอบด้วยเมตตา เป็นต้น

แต่ลำพัง เมตตายังไม่เป็นการกระทำขั้นปฏิบัติการทางสังคมโดยตัวของมันเอง
ทาน ปิยวาจา อัตถจริยา เป็นต้น ในสังคหวัตถุ ซึ่งอยู่ฝ่ายศีล จึงจะเป็นปฏิบัติการทางสังคม

ความเข้าใจ ในหลักการนี้ จะช่วยให้ชาวพุทธเองใช้ หรือ ปฏิบัติธรรมต่างๆได้ถูกชิ้นถูกอันมั่นเหมาะชัดเจนยิ่งขึ้น และ จะรู้จุดผิดพลาดแห่งคำกล่าวหาของคนภายนอกที่เคยพูดว่า ชาวพุทธ ได้รับการสั่งสอนให้ทำดี บำเพ็ญประโยชน์ เพียงด้วยการนั่งนอนแผ่เมตตาอยู่เฉยๆ ในห้อง (หรือในมุ้ง)



จะเห็นความประสานสัมพันธ์ ระหว่างคุณธรรมในใจของบุคคล กับจริยธรรมภาคปฏิบัติทางสังคม แสดงถึงความสมบูรณ์ของพุทธธรรม ที่มีคำสอนเป็นระเบียบ มีหลักธรรมครบทุกขั้นตอน และบอกให้รู้ว่า
การบำเพ็ญความดีภายนอก หรือการแสดงออกดีงามทางสังคม จะต้องมีคุณธรรมที่ลึกซึ้งภายในจิตใจเป็นรากฐาน จึงจะเป็นไปโดยจริงใจ บริสุทธิ์เป็นของแท้ และมั่นคงยั่งยืน
งานสังคมสงเคราะห์ไม่ว่าในรูปของทาน หรืออัตถจริยาเป็นต้น ก็ตาม จะเป็นไปโดยบริสุทธิ์ใจ ก็ต่อเมื่อ
มีเมตตากรุณาเป็นพื้นอยู่ในใจ

(นำมาจากพุทธธรรมหน้า 749-756)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 17 มี.ค. 2009, 19:44, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2009, 23:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


:b35: :b35: :b35:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2009, 06:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.พ. 2009, 04:12
โพสต์: 1067


 ข้อมูลส่วนตัว


natdanai เขียน:
:b35: :b35: :b35:


:b8: :b47: ขอบคุณมากค่ะ "คุณNatdanai"

:b41: คนไร้สาระ ยินดีที่ได้รู้จักและขอบคุณสำหรับคำแนะนำถึงจะมี
ประโยคเดียวแต่ก็มีความหมายค่ะ และก็รู้สึกว่าเราสร้างเหตุขึ้นมา
เองสุดท้ายก็ทุกข์ใจเอง คนไร้สาระก็ยังมองไม่ออก พอเพื่อนมาระบาย
สติไม่ทัน ดันเอาเรื่องของเขามากังวลใจด้วย แต่มองในแง่ดี ทำให้
เราได้กัลยาณมิตรและความรู้เพิ่มขึ้น สาธุค่ะ.. :b8: :b8: :b8:

.....................................................
...นฺตถิตัณหา สมานที...
ห้วงน้ำใหญ่โต เสมอด้วยตัณหาไม่มี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2009, 16:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ม.ค. 2009, 02:20
โพสต์: 1387

ที่อยู่: สัพพะโลก

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอให้สู้ๆ ต่อไปนะครับ มาให้กำลังใจเฉยๆ แต่ไม่ได้เสนอแนวทางอะไร อิอิอิ :b8:

.....................................................
ผู้มีจิตเมตตาจะไม่มีศัตรู ผู้มีสติปัญญาจะไม่เกิดทุกข์.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2009, 05:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.พ. 2009, 04:12
โพสต์: 1067


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ขอบคุณค่ะ คุณอมิตาพุทธ
:b4: สู้แค่ตายค่ะ

.....................................................
...นฺตถิตัณหา สมานที...
ห้วงน้ำใหญ่โต เสมอด้วยตัณหาไม่มี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มี.ค. 2009, 13:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ค. 2008, 09:39
โพสต์: 219


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอชื่นชม คุณคนไร้สาระ ที่ตั้งคำถาม เพื่อต้องการคำตอบ เมื่อมีผู้มาให้คำตอบ
ก็มาตอบขอบคุณ ทุกคนทุกคำตอบ

นับว่าเป็นผู้มีสาระ เป็นบัณฑิตแท้ ขอโมทนาและขอชื่นชมอีกท่านหนึ่ง

:b8: :b4: :b20:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 04:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.พ. 2009, 04:12
โพสต์: 1067


 ข้อมูลส่วนตัว


:b16: :b8: ขอบคุณมากค่ะ และยินดีที่ได้รู้จัก "คุณมิตรตัวน้อย"

คนไร้สาระรู้สึกเป็นเกียรติและดีใจ แต่ออกจะเขินในคำชมค่ะ
ก็เป็นน้องใหม่ในลานธรรมจักรนี้ ยังงั้ยขอให้คุณมิตรตัวน้อย
แนะนำ และให้ธรรมะเป็นทาน ด้วยค่ะ แค่เห็นชื่อคุณก็อยาก
เป็น มิตรด้วยแล้วล่ะ :b16:

:b41: :b41: :b41: คนไร้สาระ :b41: :b41: :b41:

.....................................................
...นฺตถิตัณหา สมานที...
ห้วงน้ำใหญ่โต เสมอด้วยตัณหาไม่มี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2009, 16:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 มิ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1855

แนวปฏิบัติ: อานาปานสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: THAILAND

 ข้อมูลส่วนตัว


:b26: จะเหมือน คำว่า "สงสาร" ไหม
เพราะ เวลาเราเห็นสัตว์พิการ หรือถูกรังแก
เราจะเกิดความสงสาร เค้ามาก แล้วก็รู้สึกเศร้าใจ
อย่างบอกไม่ถูก (เหมือนทำให้เป็นทุกข์)
แม้จะบอกตัวเองว่า อนิจจังวัฎฎสังขารา และ
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
แต่ก็ยังทำใจไม่ได้สักที (คือเรายังไม่หลุดพ้น)
:b2:













สังขารา

.....................................................
[สวดมนต์วันละนิด-นั่งสมาธิวันละหน่อย]
[ปล่อยจิตให้ว่าง-ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ]


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2009, 07:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.พ. 2009, 04:12
โพสต์: 1067


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b16: น่าจะเป็นอย่างที่คุณบัวหิมะ ว่าค่ะ
"สงสาร " คนไร้สาระว่า เพราะถ้ามี
เมตตาตัวจริงคงไม่ทุกข์ใจ ตามที่ท่าน
ผู้มีความรู้ทั้งหลายมาช่วยกันโพสต์ให้
คนไร้สาระว่า เป็นจริงอย่างนั้นค่ะ
เพราะ เมตตา ไม่ได้มีอุเบกขาเป็นไป
แบบพรหมวิหารสี่ ผลที่ได้ก็เลยทุกข์

คุณบัวหิมะพูดได้ตรงใจจริงๆ

ตรงที่ว่า อนิจจาวัฏฏะสังขารา รู้ก็รู้
แต่ทำไม่ได้ค่ะ พวกใจอ่อนแอ
ท่านใดมียาแก้ พวกโรคใจอ่อน
โปรดอนุเคราะห์ด่วน....
จะเอาไปฝากเพื่อนที่ ใจอ่อนแอหน่อย
ว่าแต่เพื่อน คนไร้สาระก็คล้าย ๆ เขา แต่ไม่
มากขนาดนั้น :b34:

.....................................................
...นฺตถิตัณหา สมานที...
ห้วงน้ำใหญ่โต เสมอด้วยตัณหาไม่มี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2009, 09:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ค. 2008, 09:39
โพสต์: 219


 ข้อมูลส่วนตัว


พรหมวิหารสี่

เมตตา ความรัก
กรุณา ความสงสาร
มุทิตา ความยินดี
อุเบกขา ความวางเฉย (ตัวนี้ต้องประกอบด้วยปัญญา)

ตัวไหนต้องทำให้เกิด ทำให้มี ? ตัวไหนที่เกี่ยวเนื่องกัน ?
เมตตาและอุเบกขานั้น ต้องทำให้เกิด ทำให้มีขึ้นในตน กรุณาและมุทิตานั้นเกี่ยวเนื่องกับ เมตตา เมื่อมีเมตตา กรุณากับมุทิตาจะเกิดขึ้นพร้อมกันต่อเนื่องกัน เพราะเหตุนั้น ในบารมีสิบ จึงมีแต่ เมตตาบารมี อุเบกขาบารมี

จะไม่อธิบายเรื่อง ทำอย่างไรให้เกิดเมตตา ทำอย่างไรให้เกิดอุเบกขา แต่จะยกตัวอย่าง ที่เกิดกับตัวเองมาเล่าสู่กันฟัง เป็นอุทาหรณ์สอนใจว่า การประพฤติปฏิบัติธรรม ทำให้พ้นทุกข์พ้นโศกได้จริง..

นานหลายปี ที่ผ่านมาไปพักผ่อนที่ต่างจังหวัด ห่างไกลแสงสีความเจริญ เอาว่าโทรศัพท์มือถือไม่มีสัญญาณแล้วกัน ที่พักก็สะดวกสบาย ต้นไม้เยอะ เย็นร่มรื่นดี อยู่ได้ ๗ วัน ก็เกิดเรื่อง ได้ยินเสียง ผัวะ ๆ เผียะ ๆ มอ ๆ โอ๊ก ๆ ก็ตกใจออกไปดู

เห็นชาวบ้านมุงดูชายคนหนึ่งผูกลูกวัวไว้ระหว่างต้นไม้สองต้น ห่างจากที่พักประมาณ ๕๐ เมตร ในมือถือกิ่งไม้ กระหน่ำตีที่แสกหน้าของลูกวัวแบบไม่หยั้งและต่อเนื่อง ลูกวัวทนเจ็บไม่ได้ก็ร้อง โอ๊ก ๆ มอ ๆ ชาวบ้านต่างก็ร้องห้าม พอแล้ว ๆ แกก็ยังตีไม่หยุด จนเป็นที่หน่ำใจ จึงได้ผ่อนการตีลง

เราเห็นแล้วแทบร้องไห้ แน่นหน้าอก น้ำตาซึมเลย คนเราเหตุใดจึงโหดร้ายนัก แม้แต่กับลูกวัวตัวเล็ก ๆ ได้เรื่องว่า ลูกวัวไม่ค่อยเข้าฝูง เอาแต่เที่ยวเล่น (คงเหมือนเด็กทั่วไป) จึงถูกคนเลี้ยงนำมาผูกโยง เพื่อสั่งสอน อบรบ ประมาณนี้ เหตุการณ์นี้เกิดตั้งแต่ ตอนสาย ๆ

เราก็ไปทำธุระกลับมาที่พักก็ราว ๆ ห้าโมงเย็น ลูกวัวก็ยังผูกอยู่ จึงนั่งที่ระเบียง สักพักคนเลี้ยงวัวก็ต้อนฝูงวัวผ่านมา คิดว่าคงจะมาปลดลูกวัวไปเข้าฝูงด้วย แต่ไม่ใช่ ต้อนฝูงวัวผ่านไปเฉยเลย จึงออกจากที่พักไปสวดมนต์เย็นที่วัด

กลับมาอีกราวสองทุ่ม ฉายไฟไปลูกวัวก็ยังถูกผูกอยู่ น้ำตาเริ่มซึม รู้สึกเศร้าใจมาก คืนนี้จะทำอย่างไร จะนอนหลับหรือเปล่า คงจะคิดสงสารลูกวัวทั้งคืนและความเศร้าโศกคงติดตามเราไปอีกนาน เราจะพ้นจากความทุกข์นี้ได้อย่างไร

เมตตามาก กรุณา ความสงสารก็มาก เมื่อช่วยไม่ได้ ทุกข์ก็เกิดมาก เดินวนไปมาอยู่ที่ระเบียง ก็นึกถึงอุเบกขา ต้องสร้างให้เกิดให้มี เพื่อหยุดความกรุณาที่เกินขีด

นึกได้ถึงเรื่องชาดก ย่อ ๆ ว่า แพะที่จะถูกบูชายัญ ทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะ พระราชาเอาตัวมาถาม จึงตอบว่า ที่ร้องไห้เพราะสงสารพระราชา ที่กำลังจะกระทำบาป เหมือนอย่างตนที่กระทำมาแล้วในอดีต จึงต้องมารับกรรมอย่างนี้ และที่หัวเราะเพราะชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายแล้วที่จะพ้นกรรม ซึ่งต้องตายวันนี้แน่นอน

พระราชาก็กลัวกรรม จึงตรัสว่า เราจะไม่ฆ่าเจ้าจึงให้ปล่อยแพะไป แต่ก็ไปไม่ไกลสักครู่ฟ้าก็ผ่าแพะตายไปตามที่ว่าไว้

จึงได้นำชาดกเรื่องนี้มาทบทวนให้เข้ากับเรื่องของตน อุเบกขานั้น ท่านให้เชื่อกรรม เชื่อผลของกรรม ลูกวัวนั้นคงผ่านนรกมามากมาย หลายหมื่นปี กว่าจะมาเกิดเป็นสัตว์เดรฉาน ซึ่งเป็นภพภูมิที่ใกล้สิ้นเวรสิ้นกรรมแล้ว

เจ้าก็คงทำบาปทำกรรมมามาก จึงมาเกิดเป็นลูกวัว ถูกทรมาทรกรรมอย่างนี้ ทนเอาเถิดเพราะอีกไม่กี่ปี่ เจ้าก็คงหมดเวรหมดกรรมไปเกิดในภพภูมิที่ดีกว่านี้ ส่วนคนที่ทำกับเจ้าเขาก็ได้ทำกรรมเช่นเดียวกับเจ้าที่เคยทำมา ผลของกรรมนั้นรอเขาอยู่ จงสงสารเขาผู้นั้นเถิด อย่าผูกเวรกับเขาเลย อโหสิกรรมให้กันและกันดีกว่า

ยืนรำพึงอยู่ ตามองไปที่ลูกวัว ใจก็เย็นลง การกำหนดลมหายใจก็ชัดขึ้น รู้สึกได้ถึงการสัมผัสของ “ธรรมกับใจ” อย่างที่ท่านว่า “ปัญญาดับได้ทุกอย่าง”

เช้ามาใจก็ยังสงบอยู่ ไม่เดือดร้อนเพราะความสงสารอีก มีแต่ความเมตตาให้ลูกวัวและเจ้าของวัว หลังจากนั้นอีกเจ็ดวัน จึงได้กลับกรุงเทพ ตอนกลับลูกวัว ยังไม่ถูกปลดออก (ดีแต่ว่าเจ้าของวัวเอาหญ้าและน้ำมาให้กินอยู่)

คิดถึงเรื่องนี้ที่ไร นึกถึง “คุณของพระพุทธเจ้า คุณของพระธรรม” สุดหัวใจ

ท้ายนี้ขอนำบทสรุปเรื่อง พรหมวิหารสี่ ที่สมเด็จพระญาณสังวรฯ ท่านแสดงไว้ ง่าย ๆ มาเสนอสู่กันฟัง

เมตตา ความรัก เหมือนมารดา-บิดา รักลูกน้อย
กรุณา ความสงสาร เหมือนมารดา-บิดา สงสารลูกน้อยเมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย
มุทิตา เหมือนมารดา-บิดา ยินดีเมื่อลูกประสบความสำเร็จ ในการเล่าเรียน หน้าที่การงาน
อุเบกขา เหมือนมารดา-บิดา เห็นลูกมีเหย้ามีเรือนเป็นของตน ก็ต้องปล่อยวาง

หาก มารดา-บิดา ไม่มีอุเบกขา
ท่านก็จะพบเห็นเรื่อง แม่ผัวกับลูกสะใภ้ พ่อตากับลูกเขย ตามหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์แล...

เจริญธรรม

อ้างคำพูด:
เมตตาแต่ไม่มีอุเบกขา ก็เป็นเหตุแห่งความกังวลใจ เพราะไปเอาเรื่องของเขามาเป็นเรื่องของตัวเอง เมตตาแต่มีอุเบกขา ช่วยเขาไม่ได้ เราก็ต้องวางเฉย จะไปกังวัลใจได้อย่างไร


ขอคารวะ เจ้าของกระทู้ คุณพลศักดิ์ (ถูกก็ต้องชม ผิดก็ต้องติก็ต้องเตือน)
ขอโมทนากับทุกท่านทุกคนครับ สาธุ..

:b8: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2009, 03:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.พ. 2009, 04:12
โพสต์: 1067


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b16: สาธุค่ะคุณ...มิตรตัวน้อย
อ่านแล้วก็ได้แง่คิด แต่ต้องใช้เวลา
นิดหนึ่งค่ะ ยังวางใจเป็นอุเบกขาไม่ได้
ตอนนี้ก็เลยต้องหาเวลาอยู่เงียบๆ
คนเดียวไปก่อน
ก็อย่างที่ว่า คนไร้สาระมัวไปเมตตาเพื่อน
ที่ไปเมตตาคนอื่น แล้วเป็นทุกข์
พยายามแก้ให้เพื่อน
มานั่งคิดอีกที เราเป็นมากกว่าเค้าอีก
เนี้ย ซ้ำซ้อน 2 เด้ง (ใครโง่กว่ากัน) คิดแล้ว
เซ็งเลย :b25:
ขอบคุณอีกครั้งค่ะ :b41: :b41: :b41:

.....................................................
...นฺตถิตัณหา สมานที...
ห้วงน้ำใหญ่โต เสมอด้วยตัณหาไม่มี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2009, 05:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:
อย่าประมาทครับ เพราะความประมาท ถือดี มีทิฏฐิ
ทำให้คนเดินทางผิด นำไปสู่ความเสียหายมามากมาย
เพราะการเดินผิดทางนั้นเองครับ :b32: :b32: :b32:
พระพุทธเจ้าของพวกเรา พระองค์ทรงสอนอยู่เสมอ ๆ
ให้พวกเรา "กระทำแต่ความดี" เพราะเมื่อเราทำความดี
ปัญญาที่เกิดขึ้นกับจิตใจของเรา ก็ย่อมเป็นปัญญาที่ดี มีเหตุผล
ปัญญา ก็คือ ผู้นำทางเราไปในที่ปลอดภัย ให้เรามีความสุข ความเจริญ นั่นเอง
แต่ถ้าเราไปทำความชั่ว ปัญญาก็เกิดเหมือนกันครับ แต่เป็นปัญญาที่ชั่วช้า (เร็ว) :b32:
เพราะฉนั้นผมว่า พวกเรา "อย่าประมาทครับ" ใช้ปัญญาให้ถูกทาง
ความสำเร็จที่ดี ก็จะตามมาเองแหละคร้าบๆๆๆๆๆๆๆๆ :b13: :b32: :b32:
:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 33 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 185 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร