วันเวลาปัจจุบัน 17 เม.ย. 2024, 06:46  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 42 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2009, 13:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


แคทได้ยินได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด และจำเรื่องราวของหมอชีวกในพระไตรปิฏกที่ตนเคยอ่านมา ก็นึกขึ้นได้ว่า ชะรอยเราจะมีโอกาสได้พบท่านหมอชีวกในพุทธกาลแล้ว....

รูปภาพ

อ้างคำพูด:
หมอชีวกโกมารภัจจ์

เป็นบุตรของนางสาลวดี นางนครโสเภณีประจำเมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ ซึ่งตำแหน่งนางนครโสเภณีสมัยนั้น เป็นตำแหน่งที่มีเกียรติเพราะพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง ต่างจากสมัยนี้เพราะผู้ประกอบอาชีพนี้เป็นที่ดูหมิ่นเหยียดหยามของบุคคลทั่วไป นางสาลวดีตั้งครรภ์โดยบังเอิญ เมื่อคลอดบุตรชายออกมาจึงสั่งให้สาวใช้นำไปทิ้งที่กองขยะนอกเมือง

เคราะห์ดีที่อภัยราชกุมาร พระราชโอรสของพระเจ้าพิมพิสารไปพบเข้าเสด็จออกไปนอกเมือง จึงทรงนำมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม ชื่อ "ชีวก" ตั้งขึ้นตามการกราบทูลตอบคำถามพระองค์ที่ตรัสถามว่า "เด็กยังมีชีวิตอยู่รึเปล่า" มหาดเล็กกราบทูลว่า "ยังมีชีวิตอยู่" (ชีวโก) ส่วนคำว่า "โกมารภัจจ์" แปลว่า "กุมารที่ได้รับการเลี้ยงดู" หรือ "กุมารในราชสำนัก" อันหมายถึง "บุตรบุญธรรม" นั้นเอง

หมอชีวกโกมารภัจจ์

เป็นนายแพทย์ผู้มีชื่อเสียงมากในครั้งพุทธกาล สำเร็จการศึกษาวิชาแพทย์จากสำนักตักกศิลา ได้รับแต่งตั้งจากพระเจ้าพิมพิสาร เจ้าแห่งมคธรัฐให้ดำรงตำแหน่งแพทย์หลวงประจำพระราชสำนัก ต่อมาเขาได้ถวายการรักษาพระโรคของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความใกล้ชิดกับพระพุทธองค์นี่เอง เขาจึงเกิดศรัทธาในพระองค์เป็นอย่างยิ่ง ถวายตัวเป็นแพทย์ประจำพระองค์ปรุงพระโอสถถวายทุกคราวที่ทรงพระประชวร นอกจากนี้เขายังได้ถวายสวนมะม่วงอันเป็นสมบัติของเขาให้เป็นอารามที่ประทับประจำของพระพุทธเจ้าอีกด้วย ตลอดชีวิตเขาได้บำเพ็ญแต่คุณงามความดี ช่วยแหลือผู้เจ็บไข้ ไม่เลือกยากดีมีจน จนได้รับยกย่องจากพระพุทธองค์ว่า เป็นเอตทัคคะในทางเป็นที่รักของปวงชน



แคท "ท่านหมอ ไม่ทราบตอนนี้ท่านหมอชีวกตอนนี้ท่านอยู่ที่ไหน ข้าอาสายินดีที่จะพานางสุภาวดีไป"

นศพ. "ตอนนี้อาจารย์ของข้าอยู่ที่กรุงราชคฤห์ ได้รับแต่งตั้งจากพระเจ้าพิมพิสาร เจ้าแห่งมคธรัฐให้ดำรงตำแหน่งแพทย์หลวงประจำพระราชสำนัก และพวกข้าตอนนี้ก็ปิดเทอม กำลังจะเดินทางไปกรุงราชคฤห์เพื่อเยี่ยมเยือนอาจารย์ของข้าอยู่พอดี"

แคทรู้สึกยินดีปรีดายิ่งนัก นางเข้ามาจับมือนางสุภาวดีและรับอาสาพานางไป
สุภาวดีกล่าวขอบคุณแคทมาก และทั้งสองก็ไปขอลาท่านอัมพปาลี......

นางอัมพปาลีรู้สึกรักและเสียดายแคทอย่างมาก...........
แต่แคทได้กล่าวจุดประสงค์ของการเดินทางของนางอีกครั้ง เพื่อพบพระพุทธเจ้า
นางกล่าวกับแคทว่าถ้าหมดทางไปให้กลับมาหานางอีก นางยินดีต้อนรับเสมอ


จริงๆแล้วแคทจะอยู่กับอัมพปาลีต่อไปก็ได้พบพระพุทธเจ้าอยู่ดี
แต่ถ้ารอถึงตอนนั้นที่จะได้พบก็เป็นพรรษาที่ 43 (แคทอาจต้องรอ 43 ปี)
อาจจะช้าเกินไป........ นางจึงต้องหาโอกาสไปกรุงราชคฤห์ให้ได้เร็วที่สุด...........

รูปภาพ

รุ่งขึ้นคณะนักศึกษาแพทย์จากตักศิลาออกเดินทาง โดยนางอัมพปาลีได้ว่าจ้างเกวียนให้ไปส่งแคทและสุภาวดีถึงกรุงราชคฤห์ ขบวนเดินทางทั้งหมดจะต้องผ่านป่าและเขาเมืองปาตลีบุตรและนาลันทา....


:b48: :b43: :b43: เดี๋ยวมาครับ :b41: :b41: :b41:

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มี.ค. 2009, 22:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


ตัดกลับมาที่จอหน์ต่อครับ...........
ว่าอยู่ที่สำนักอาจารย์สัญชัยและได้พบปะคารมกับอาจารย์สัญชัยแล้วเป็นอย่างไร............


:b48: :b48:

จอหน์ "ครับกระผม.....เออ....อ่า"(.....ตื่นเต้น) ยกมือพนมแนบหน้าอกตามที่อาติกสอน,

อาจารย์สัญชัย "เจ้ามาหาอาตมาภาพด้วยเหตุอันใด"

จอหน์ "กระผมมาจากโลกอนาคต เพื่อแสวงหาสัจธรรมอันประเสริฐของพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อนำกลับไปช่วยมวลมนุษยชาติในโลกอนาคตครับ"

อาจารย์สัญชัย "โลกหน้ามีอยู่จริงหรือ"

จอหน์ "มีจริงครับ"

อาจารย์สัญชัย "ถ้าโลกหน้ามีอยู่จริง ความเห็นอาตมาภาพว่าไม่มีอยู่จริงหรอก"

จอหน์ งงงงงง "ถ้าโลกอนาคตไม่มีอยู่จริงกระผมจะมาที่นี่ได้อย่างไร พระคุณเจ้าไม่เชื่อหรือครับ"

อาจารย์สัญชัย "เจ้าถามอาตมภาพว่า โลกหน้าไม่มีจริงหรือ ความเห็นอาตมภาพว่ามีอยู่จริง"


จอหน์ ยิ่งงงงงงหนักไปอีก พลางคิดในใจ สงสัยธรรมะของท่านอาจารย์ลึกซึ้งเกินไปไม่เหมือนที่เคยฟังจากพระอนันตระเลย .....

อาจารย์สัญชัย "โลกหน้ามีก็มิใช่ ไม่มีก็มิใช่หรือ"

จอหน์ ก้มหน้าเงียบ ...... แต่ววววววว

หัวหน้าศิษย์ "บุรุษผู้นี้เพิ่งมาใหม่ขอรับท่านอาจารย์ ยังไม่เชี่ยวชาญ อาจฟังธรรมของท่านไม่รู้เรื่อง"

อาจารย์สัญชัย "งั้นเจ้าจงอยู่ในสำนักเราศึกษาธรรมไปก่อนเถิด"

อ้างคำพูด:
ท่านสัญชัยมีแนวคำสอนกลับกลอก เอาแน่นอนไม่ได้ ไม่สามารถบัญญัติอะไรตายตัวอะไรออกไปได้ เพราะกลัวผิดบ้าง ไม่รู้บ้าง

โดยคำสอนว่า "ผลของกรรมดีกรรมชั่วไม่มี จะว่าไม่มีก็ไม่ใช่ มีก็ไม่ใช่ ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง
โลกนี้โลกหน้าไม่มีจะว่าไม่มีก็ไม่ใช่ จะว่ามีก็ไม่ใช่ ไม่มีทั้งสองอย่าง วิ
ญญาณไม่มี จะว่าไม่มีก็ไม่ใช่ มีก็ไม่ใช่ ไม่ใช้ทั้งสองอย่าง

" ทฤษฎีของท่านสัญชัยจึงฟังยากจะเอาแน่ เอานอนไม่ได้ พูดซัดส่ายเหมือนปลาไหล

ใน กรตังคสูตร จึงกล่าวประณามว่า เป็นลัทธิคนตาบอด ไม่สามารถนำตนและผู้อื่นให้เข้าถึงความจริงได้ มีปัญญาทราม โง่เขลาไม่กล้าตัดสินใจใด ๆ ได้อย่างเด็ดขาด เนื่องจากไม่รู้จริงอย่างถ่องแท้


แล้วอาจารย์สัญชัยก็ลุกเดินส่ายหน้าเข้าประตูเรื่อนพักไป............. :b41: :b41: :b41:

จอหน์เดินกลับออกมาคิดว่าท่านพระพุทธเจ้าได้ให้โอวาทอันลึกเกินไปเกินกว่าความเข้าใจ
จึงจะขออยู่เพื่อศึกษาธรรมต่อไปก่อน.......

:b23: :b23: :b23: :b23:

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มี.ค. 2009, 22:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


3 วันต่อมาขณะที่จอหน์กำลังพักผ่อน

เดินเล่นอยู่ริมสระน้ำหลังจากเหน็ดเหนื่อยกับการเรียนวิชา "อมราวิกเขปวาทะ" หรือวิชาว่าด้วยการโต้วาทีนั่นเอง..........

ก็ได้ยินเสียงแอะอะมาจากโรงศาลาใหญ่
เหมือนกับการจับกลุ่มคุยกันเรื่องสำคัญ
จอหน์จึงเดินเข้าไปถาม...........


รูปภาพ

จอหน์ `"ท่านทั้งหลาย กำลังสนทนาเรื่องอะไรกันอยู่หรือ ท่าทางตื่นเด้น ตกใจ"

นักบวชท่านหนึ่ง "เอ้า...นี่ท่านไม่รู้หรือว่าตอนนี้สำนักเรากำลังจะแตกแยกแล้ว"

จอหน์ "จริงหรือ....ทำไมสำนักเราออกจะใหญ่โตมีผู้คนนับถือมาทั่วจากทุกสารทิศ"

นักบวช "ก็ท่านโกลิตะกับอุปติสะ ผู้เป็นศิษย์เอกของท่านอาจารย์เรานะสิ มาศึกษาธรรมในสำนักเราได้ไม่นานก็ขอลาอาจารย์สัญชัยของเราเพื่อไปบวชกับท่านสมณะโคดมที่วัดเวฬุวนาราม แถมมีบริวารอีก 250 คน ติดตามไปด้วย"

อ้างคำพูด:
สองสหายชวนสญชัยไปเฝ้าพระศาสดา
ก็ธรรมดา พระสารีบุตรเถระนี้ ย่อมเป็นผู้บูชาอาจารย์แม้ในกาลทุกเมื่อเทียว เพราะฉะนั้น จึงกล่าวกะสหายอย่างนี้ว่า
“ สหาย เราจักบอกอมตะที่เราทั้งสองบรรลุแก่สญชัยปริพาชกผู้อาจารย์ของเราบ้าง, ท่านรู้อยู่ก็จักแทงตลอด, เมื่อไม่แทงตลอด, เชื่อพวกเราแล้วจักไปยังสำนักพระศาสดา, สดับเทศนาของพุทธบุคคลทั้งหลายแล้ว จักทำการแทงตลอดซึ่งมรรคและผล”

ลำดับนั้น ทั้งสองคนก็ได้ไปสู่สำนักของท่านสญชัย. สญชัยพอเห็นเขาจึงถามว่า “ พ่อทั้งสอง พวกพ่อได้ใครที่แสดงทางอมตะแล้วหรือ?” สหายทั้งสองจึงเรียนว่า “ได้แล้วขอรับ ท่านอาจารย์ พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก, พระธรรมก็อุบัติขึ้นแล้ว, พระสงฆ์ก็อุบัติขึ้นแล้ว, ท่านอาจารย์ประพฤติธรรมเปล่า ไร้สาระ เชิญท่านมาเถิด เราทั้งหลายจักไปยังสำนักพระศาสดา. ”

ส. ท่านทั้งสองไปเถิด. ข้าพเจ้าไม่สามารถ.
สห. เพราะเหตุไร?
ส. เราเทียวเป็นอาจารย์ของมหาชนแล้ว การอยู่เป็นอันเตวาสิกของเรานั้น เช่นกับเกิดความไหวแห่งน้ำในตุ่ม, เราไม่สามารถอยู่เป็นอันเตวาสิกได้.
สห. อย่าทำอย่างนั้นเลย ท่านอาจารย์.
ส. ช่างเถอะ พ่อ พ่อพากันไปเถอะ, เราจักไม่สามารถ.
สห. ท่านอาจารย์ จำเดิมแต่กาลแห่งพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก มหาชนมีของหอมระเบียบดอกไม้เป็นต้นในมือไปบูชาพระองค์เท่านั้น, แม้กระผมทั้งสองก็จักไปในที่นั้นเหมือนกัน, ท่านอาจารย์จะทำอย่างไร?
ส. พ่อทั้งสอง ในโลกนี้ มีคนเขลามากหรือมีคนฉลาดมากเล่า?
สห. คนเขลามากขอรับ ท่านอาจารย์ อันคนฉลาดมีเพียงเล็กน้อย.
ส. พ่อทั้งสอง ถ้ากระนั้น พวกคนฉลาดๆ จักไปสู่สำนักพระสมณโคดม, พวกคนเขลาๆ จักมาสู่สำนักเรา พ่อไปกันเถิด เราจักไม่ไป.
สหายทั้งสองนั้นจึงกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ ท่านจักปรากฏเอง" ดังนี้แล้ว หลีกไป.
เมื่อสหายทั้งสองนั้นไปอยู่. บริษัทของสญชัยแตกกันแล้ว. ขณะนั้นอารามได้ว่างลง. สญชัยนั้นเห็นอารามว่างแล้ว ก็อาเจียนออกเป็นโลหิตอุ่น. ในปริพาชก ๕๐๐ คน ซึ่งไปกับสหายทั้งสองนั้น บริษัทของสญชัย ๒๕๐ คนกลับแล้ว. สหายทั้งสองได้ไปสู่พระเวฬุวัน พร้อมด้วยปริพาชก ๒๕๐ คน ผู้เป็นอันเตวาสิกของตน.


จอหน์ "ทำไมละท่านก็อาจารย์ของเรามีอมตะธรรมอันวิเศษอยู่นี่แล้ว เหตุไฉนท่านทั้งสองจึงจะเสาะแสวงหาโมกขธรรมที่อื่นอีก"

นักบวช "อึมม......อันนี้เราก็ไม่แน่ใจนัก ได้ยินว่าท่านสมณะโคดมท่านนี้ เพิ่งตั้งตัวเป็นเจ้าสำนักใหม่ในกรุงราชคฤห์แห่งนี้ กษัตริย์พิมพิสารท่านก็สนับสนุนและนับถือยิ่งนัก"

จอหน์ "แล้วท่านไม่ติดตามท่านโกลิตะกับอุปติสะ ไปด้วยหรือ"

นักบวช "ไม่ละท่าน อาจารย์สัญชัยของเราบอกว่าพวกคนฉลาดๆ จักไปสู่สำนักพระสมณโคดม, พวกคนเขลาๆ จักมาสู่สำนักเรา ไปกันเถิด เราจักไม่ไป. เพราะคนโง่ในโลกนี้มากกว่า อีกหน่อยสำนักเราจะยิ่งใหญ่ขึ้น และเราผู้บวชมาก่อนก็จะได้อานิสงค์ไปด้วย"

จอหน์ "........."

ยืนนิ่งไปชั่วคราว พยายามวิเคราะห์คำพพูดที่ตนเองได้ยิน

ก็ถึงบางอ้อ....

ว่าเรามาผิดทางแล้ว อาจารย์สัญชัยท่านนี้ไม่ใช่พระพุทธเจ้าเสียแล้ว เห็นทีเราต้องติดตามบรรดาบริวารของท่านโกลิตะกับอุปติสะไปด้วย

ว่าแล้วจอหน์ก็รีบเข้าไปเก็บข้าวของในที่พักและชวนอาติกไปด้วยกับขบวนของท่านโกลิตะและอุปติสะสู่วัดเวฬุวัน.................


`ใกล้เข้ามาแล้วครับ จอหน์จะได้ฟังธรรมกับพระพุทธเจ้าแล้ว.....รอหน่อยนะครับบบบ

:b22: :b22: :b22:

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2009, 21:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

ในฤดูที่ดอกไม้บาน :b51: :b52: :b53:

เป็นฤดูที่ยังความรื่นรมย์ให้แก่มนุษย์และสัตว์ ดอกไม้หลากชนิด หลายสี :b48: :b47: :b49: :b50:
บานสะพรั่ง อวดสี และกลิ่นอยู่บนต้น บางอย่างหอมมาก บางอย่างหอมน้อย บางอย่างไม่หอมเลย บางอย่างสวยทั้งสี และกลิ่น บางอย่างสีสวยแต่ไม่มีกลิ่น บางอย่างไม่สวยทั้งสี และกลิ่น บางอย่างหอมชั่วเวลาเช้า บางอย่างหอมตอนสาย :b46: :b42: :b43: :b39: :b44: บางอย่างหอมเวลาบ่าย บางอย่างหอมเวลาเย็น บางอย่างหอมเฉพาะกลางคืน บางอย่างหอมทั้งวันทั้งคืน แต่บางอย่างก็หอมทนอยู่ได้หลายวัน :b45: :b41: :b41: :b48: :b41: :b41:


เช้าวันนี้อากาศแจ่มใสมาก
สายลมยามเช้าพัดพาเอากลิ่นดอกไม้ที่ส่งกลิ่นยามเช้ามาแต่ไกลๆ...

จอหน์ตื่นแต่เช้าตรู่พร้อมความสดชื่นและดีใจที่จะได้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าจริงๆเสียที....
โอ้พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้.....จริงๆหรือ....คำถามนี้ก้องอยู่ในใจจอหน์ตลอด

จอหน์เก็บเสื้อผ้าเตรียมออกเดินทางตั้งแต่เช้า......
เมื่อคืนเขานอนกระสับกระส่ายเหมือนมีอะไรมาดลใจเขาว่า....

ครั้งนี้แหละอมตะธรรมอันล้ำเลิศที่เขาเซาะแสวงหามาจากโลกอนาคต.......

ครั้งนี้แหละความเพียรพยายามอันยิ่งใหญ่ ที่ยอมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมาพร้อมกับแคท....คนที่เขารัก จะได้ประสบผลสำเร็จเสียที เขาจะได้กลับโลกอนาคต เพื่อช่วยพี่ๆน้องและเพื่อนร่วมโลก....



จอหน์ "อาติก อาติก ตื่นได้แล้ว เดี๋ยวออกเดินทางไม่ทันขบวนของท่านอุปติสะและโกลิตะนะ"

อาติก "ส่งเสียงงัวเงีย.... นี่จอหน์ท่านอย่ามัวตื่นเต้นนักเลย พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นเลย"

จอหน์ "เอาน่าอาติก เราไม่อยากพลาดโอกาสสำคัญอันนี้"

อาติก "ท่านแน่ใจหรือว่าครั้งนี้ท่านจะพบพระพุทธเจ้าจริงๆกันแน่...."

จอหน์ "เรามีความรู้สึกว่าจริงนะ เมื่อคืนเหมือนมีอะไรมาดลใจเราว่า....อมตธรรมอันล้ำเลิศนั้นเราจะได้ยิน ได้ฟังแล้ว....."

อาติก ลุกขึ้นไปอาบน้ำเพราะทนเซ้าซี้ไม่ได้..... :b26:
และกลับมาเก็บสัมภาระเตรียมออกเดินทาง

ทั้งคู่เดินออกมาดักรอขบวนเดินทางอยู่ที่หน้าสำนักพระอาจารย์สัญชัย
โดยไม่กล้าไปบอกลาอาจารย์สัญชัยและอีกอย่างได้ยินข่าวว่าอาจารย์สัญชัยปิดเรือนไม่ต้อนรับใคร

ทั้งคู่มองไปในลานสำนัก บัดนี้เหลือไว้แต่ความเงียบ แทบจะได้ยินเสียงใบไม้ไหว
เสียงคนคุยกัน หรือเสียงรถเทียมม้าเดินฝุ่นตลบเช่นแต่ก่อนกลับเงียบหายไป.... :b41: :b41:

รู้สึกหดหู่ใจโดยแท้......
จอหน์คิดไปต่างๆนานาระหว่างยืนรออยู่นั้น......


สักครู่.....ก็เห็นขบวนของท่านอุปติสสะและโกลิตะ พร้อมกับบริวาร และผู้สนใจอื่นๆ รวมได้ประมาณ 250 คน กำลังเดินทางไปเฝ้า พระพุทธเจ้าที่เวฬุวัน เป็นแนวยาว.....

จอหน์และอาติกรีบเดินเข้าไปร่วมขบวนนั้น จอหน์สังเกตุเห็นท่านอุปติสะและโกลิตะอยู่ด้านหน้าแต่ไกลๆ.... เด่นสง่าเหมือนมีประกายแห่งอมตธรรมสาดส่องมายังทั้งสองท่านดูสง่างามอิ่มเอิบยิ่งนัก

ท่านทั้งสองเดินด้วยลักษณะอาการ อันสุภาพเรียบร้อย มีความสงบเสงี่ยม สำรวมเยือกเย็น

จอหน์และอาติกรีบก้าวเดินตามขบวนนั้นไปด้วยความดีใจยิ่งนัก....
และเดินเข้าไปใกล้ๆท่านทั้งสอง..........


ได้เห็นใบหน้า ที่แสดงความสุข อย่างเต็มเปี่ยม มีความสงบไม่หวั่นไหว..... เปรียบประดุจดังผิวน้ำ ในเวลาที่เงียบสงัด ปราศจากลมรบกวน ในเวลากลางคืน..........

จอหน์รู้สึกขนกายลุกชันโดยไม่ทราบสาเหตุ มีความปิติในท่านทั้งสอง ยิ่งนัก
:b41: :b41: :b41: :b41:

ระหว่างกลางทางนั้นมีข่าวว่าท่านอาจารย์สัญชัยป่วยหนักอาเจียนเป็นเลือด
บรรดาศิษย์ของสำนักอาจารย์สัญชัยที่ติดตามมาด้วย
เกิดความสงสารอาจารย์สัญชัยยิ่งนักจึงมีบางส่วนขอแยกทางกลับสู่สำนักเดิม.....


อาติก "จอหน์ ฉันว่าฉันกลับไปอยู่กับอาจารย์สัญชัยอย่างเดิมดีกว่า เธอจะไปด้วยไหม"

จอหน์ "อ้าวทำไมละ....อาติก อีกสักประเดี๋ยว พบพระพุทธเจ้าและฟังธรรมก่อนแล้วค่อยกลับก็ได้"

อาติก "ไม่ละจอหน์ เราเป็นห่วงท่านอาจารย์สัญชัย ถึงอย่างไรท่านก็สอนวิชาแก่เรา เราอาศัยอยู่กับท่านมาก็เกือบ 10 ปีแล้ว....."

ไม่ว่าจอหน์จะทัดทานอย่างไร............. :b34: :b34:
อาติกก็ไม่ฟัง ทั้งสองจึงต้องร่ำลาจากกันก่อนเข้าสู่อาณาเขตวัดเวฬุวันนั้น...........

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2009, 21:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

และแล้ว.........ขบวนของท่านอุปติสะและโกลิตะก็เข้าสู่บริเวณสวนไม้ไฝ่ร่มรื่น มีเสียงกระรอกกะแต และนกอีกหลายชนิดส่งเสียงระงม ร่มรื่นยิ่งนัก มีสระน้ำขนาดใหญ่อยู่ตรงกลางสวน

อ้างคำพูด:
เวฬุวัน แปลว่า สวนไผ่ เป็นพระราชอุทยานของพระเจ้าพิมพิสาร กษัตริย์แคว้นมคธ

เวฬุวัน อยู่นอกเมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วได้เสด็จไปยังเมืองราชคฤห์ พระเจ้าพิมพิสารพร้อมด้วยข้าราชบริพารเข้าไปเฝ้า หลังจากทรงสดับธรรมแล้วทรงเลื่อมใสจึงถวายสวนเวฬุวันเป็นพุทธบูชา ด้วยทรงเห็นว่าเป็นที่สงบร่มรื่น เหมาะสำหรับอยู่บำเพ็ญธรรมของพระสงฆ์ ถือกันต่อมาว่าสถานที่นี้เป้นวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา เรียกว่า วัดเวฬุวัน

เวฬุวัน เป็นสถานที่พระพุทธเจ้าแสดงโอวาทปาติโมกข์แก่พระสาวกจำนวน 1250 รูป แล้วส่งไปเป็นพระธรรมทูตประกาศพระศาสนา อันเป็นที่มาของวันมาฆบูชา

ที่อุทยานแห่งนี้ มีบรรยากาศร่มรื่น ซึ่งพระเจ้าพิมพิสาร โปรดมาพักผ่อน อยู่เนืองๆ. วันหนึ่ง ขณะที่เสด็จประพาส โดยรอบอุทยานแล้ว ทรงประทับ ใต้ต้นไผ่ ที่มีอากาศเย็นสบาย ทำให้พระองค์ทรงเคลิ้ม หลับไป.

ขณะนั้นมีงูตัวหนึ่ง เลื้อยลงมาจากต้นไผ่ จะลงมาทำร้ายพระองค์ พอดี มีกระแตน้อยตัวหนึ่ง วิ่งซุกซน ส่งเสียงร้อง จนปลุกให้พระองค์ ตื่นขึ้นมา ทันเวลาพอดี พระองค์รู้สึก สำนึกในคุณ ของกระแต ที่ช่วยชีวิตพระองค์ไว้

พระองค์จึงโปรด ให้ใช้เวฬุวันนี้ เป็นที่เลี้ยง และให้อาหาร แก่กระแต และห้ามมิให้ผู้ใด ทำร้ายกระแตเหล่านี้ .



เวฬุวัน ปัจจุบันยังคงอยู่ เป็นสวนไผ่ที่ร่มรื่น มีสระน้ำขนาดใหญ่ภายใน มีรั้วรอบด้าน อยู่ในความดูแลของทางราชการอินเดีย

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2009, 21:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


เวลาล่วงมาถึงยามเย็น.......... :b41: :b41: :b41:

ชาวนครราชคฤห์มีมือถือดอกไม้ธูปเทียนและน้ำปานะ มีน้ำอ้อยเป็นต้น ไปสู่อารามเวฬุวันเพื่อฟังพระธรรมเทศนา และถวายน้ำปานะแก่พระภิกษุสงฆ์ เป็นจำนวนมาก จอหน์มองไปด้านหนึ่งของสวนไผ่ พบวิหารใหญ่ ในเวฬุวันนี้ หลังหนึ่งชื่อ “อัมพลัฏฐิกะ” และยังมีเสนาสนะ อีกหลายหลัง เรียงรายโดยรอบ

พระศาสดาประทับนั่งแสดงธรรมในท่ามกลางบริษัท ๔ ทอดพระเนตรเห็นปริพาชกเหล่านั้นแต่ไกลทีเดียว ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายด้วยพระดำรัสว่า

“ภิกษุทั้งหลาย สองสหายนั่นกำลังมา คือโกลิตะและอุปติสสะ ทั้งสองนั่นจักเป็นคู่สาวกที่ดีเลิศของเรา.”


สองสหายนั้นถวายบังคมพระศาสดาแล้ว นั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง. เขาทั้งสองได้กราบทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า

“ข้าพระองค์พึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าเถิดพระเจ้าข้า.”

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า

“ท่านทั้งหลายจงเป็นภิกษุมาเถิด, ธรรมเรากล่าวดีแล้ว จงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบเถิด.”

รูปภาพ

คนทั้งหมดได้เป็นผู้ทรงบาตรจีวรอันสำเร็จด้วยฤทธิ์
ราวกะว่าพระเถระ ๑๐๐ พรรษา......

ครั้งนั้น พระศาสดาทรงขยายพระธรรมเทศนาด้วยอำนาจจริยาแก่บริษัทของทั้งสองสหายนั้น เว้นพระอัครสาวกทั้งสองเสีย,


จอหน์นั่งนิ่งกับพื้นอยู่ด้านแถวหลังสุดของขบวน ตกอยู่ในอาการตะลึงกับสิ่งที่เห็นกับตา ได้ยินกับหู อัศจรรย์ใจอะไรเช่นนี้.....

จอหน์สังเกตุเห็นพระวรกายของพระองค์งดงามยิ่งนัก....เปล่งรัศมีออกมาโดยรอบ


อ้างคำพูด:
พระสรีระของพระตถาคตเจ้า ตั้งแต่ปลายพระบาทขึ้นไปจนถึงปลายพระเกศา ก็เห็นพระสรีระ...........
ของพระตถาคตเจ้าประดับประดาด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ ซึ่งรุ่งเรือง
ด้วยอนุพยัญชนะ ๘๐ แวดล้อมด้วยพระพุทธรัศมีสีเข้ม ๖ สี ซึ่งเปล่งออกจาก
พระสรีระไปครอบคลุมประเทศ โดยรอบได้ ๘๐ ศอก


พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระพักตร์ผ่องใส และฟังพระสุรเสียงไพเราะ ซึ่งทรงเปล่งด้วยพระหฤทัยอนุเคราะห์และเย็นสนิท ก็มีหัวใจอันน้ำอมฤตนั่นเทียว

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2009, 21:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

ลำดับนั้น......... :b41: :b41: :b41:

พระผู้มีพระภาคทรงแสดงอนุปุพพิกถาคือทรง

แสดงทาน ศีล สวรรค์ และอาทีนพ ความต่ำทราม ความเศร้าหมองของกาม
ทั้งหลาย

แล้วจึงทรงประกาศอานิสงส์ในการออกจากกาม

เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า บุรุษนั้นมีจิตคล่อง มีจิตอ่อน มีจิตปลอดจากนิวรณ์ มีจิตสูงขึ้น
มีจิตผ่องใส


จึงทรงแสดงพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดง
ด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

ดวงตาเห็นธรรมปราศจากธุลี............. :b42: :b42: :b42:
ปราศจากมลทินว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความ
ดับเป็นธรรมดา

ได้เกิดแก่บุรุษนั้น ณ ที่นั่นนั้นแล ดุจผ้าที่สะอาดปราศจากมลทิน
ควรได้รับน้ำย้อมเป็นอย่างดี ฉะนั้น


จอหน์นึกถึงถ้อยคำของพระอนัตตระในโลกอนาคตที่ตนได้ยินแล้ว.....เทียบเคียงดูแล้วว่าคำที่ตนได้ยินขณะนี้เป็นถ้อยคำจากพระพุทะเจ้าแน่นอน ใจน้อมลง มั่นคงว่าเราถึงจุดหมายที่ต้องการแล้ว

ครั้งนั้น บุรุษนั้นมีธรรมอันเห็นแล้ว(รวมทั้งจอหน์ด้วย)
ได้บรรลุธรรมแล้ว ได้รู้ธรรมแจ่มแจ้งแล้ว มีธรรมอันหยั่งลงแล้ว ข้ามความสงสัย
ได้แล้ว ปราศจากถ้อยคำแสดงความสงสัย ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้าไม่ต้องเชื่อ
ผู้อื่นในคำสอนของพระศาสดา

ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ(พร้อมกันสนั่นสวนไผ่แห่งนั้นรวมทั้งจอหน์ด้วย)

ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ภาษิตของพระองค์ไพเราะนัก พระพุทธเจ้าข้า

พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยายอย่างนี้ เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่
คว่ำเปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทางหรือส่องประทีปในที่มืดด้วยตั้งใจว่าคนมี
จักษุจักเห็นรูป ดังนี้ ข้าพระพุทธเจ้านี้ขอถึงพระผู้มีพระภาค พระธรรม และภิกษุ
สงฆ์ว่าเป็นสรณะ จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2009, 21:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว...

ทุกขัง อะริยัะสัจจัง ชาติปิ ทุกขะ

ชะราปิ ทุกขา ....ยาติปิ ทุกขา....

มะระณัมปิ ทุกขัง อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข

ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง
สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา ฯ

อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว..

อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว..

ทุกขะสะมุมะโย อะริยะสัจจัง ฯ
ยายัง ตัณหา โปโนพภะวิกานันทิราคะสะหะคะตา
ตัตระ ตัตราภิ นันทินี ฯ เสยยะถีทังฯ

กามะตัณหา ภะวะตัณหา วิภะวะตัณหา ฯ

รูปภาพ

อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ...

อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ....

ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจังฯ โย ตัสสาเยวะ ตัณหายะ

อะเสสะวิราคะ นิโรโธ จาโค ปะฏินิสสัคโค มุตติ อะนาละโย ฯ

อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ..

อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว...

ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะ

สัจจัง ฯ อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค ฯ เสยยะถีทัง ฯ

สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมา

อาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสะติ สัมมาสะมาธิ ฯ

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2009, 21:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


คำแปล...

อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขัง อะริยะสัจจัง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สภาวะเหล่านี้แลเป็นตัวทุกข์อย่างแท้จริง คือ

- ชาติปิ ทุกขา
ความเกิดก็เป็นทุกข์

- ชะราปิ ทุกขา
เมื่อความแก่เข้ามาถึง ก็เป็นทุกข์

- มะระณัมปิ ทุกขัง
เมื่อความตายเข้ามาถึง ก็เป็นทุกข์

- โสกะปริเทวะทุกขะโทมะนัสสุกปายาสาปิ ทุกขา
เมื่อความเศร้าโศก ความร่ำไรรำพัน ความเสียใจ และความคับแค้นใจเกิดขึ้นมา ก็เป็นทุกข์

- อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข
เมื่อประสบพบกับสิ่งที่ไม่ชอบใจ ก็เป็นทุกข์

- ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข
เมื่อพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่ชอบใจก็เป็นทุกข์

- ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง
และแม้คิดปรารถนาอยากได้สิ่งใด แต่ไม่ได้สิ่งนั้นสมปรารถนา ก็เป็นทุกข์

- สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา ฯ
กล่าวโดยย่อแล้วก็คือ การหลงคิดว่าร่างกายเป็นของเราของเขานั่นแล เป็นตัวทำให้ใจเกิดทุกข์อย่างแท้จริง ฯ

รูปภาพ


อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ยายัง ตัณหา
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ตัณหาคือความอยากไม่มีสิ้นสุดที่มีอยู่ในใจนี้แลเป็นต้นเหตุทำให้ใจเกิดทุกข์อย่างแท้จริง

โปโนพภะวิกา นันทิราคะสะหะคะตา ตัตระ ตัตราภินันทินี เสยยะถีทัง กามะตัณหา
คือ มีความอยากเวียนว่ายตายเกิดอยู่ร่ำไป และมีความกำหนัดยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสที่น่าปรารถนา ก็เป็นเหตุให้ใจเกิดทุกข์

ภะวะตัณหา
สิ่งใดที่ยังไม่มี ก็คิดอยากจะให้มีขึ้นมา อย่างนี้ก็ทำให้ใจเกิดทุกข์

วิภะวะตัณหา
และเมื่อมีทุกอย่างสมปรารถนาแล้ว ก็อยากจะให้ทุกอย่างคงทนอยู่ตลอดไป เมื่อมันจะต้องสลายหายไป ก็ร้อนใจไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น อย่างนี้ก็ยิ่งทำให้ใจเกิดทุกข์หนักขึ้นอีก ฯ

อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง โย ตัสสาเยวะ ตัณหายะ อะเสสะวิราคะนิโรโธ จาโค ปะฏินิสสัคโค มุตติ อะนาละโย ฯ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การดับตัณหาความอยากให้หมดไปจากใจด้วยการ ละ วาง ปล่อย และไม่คิดยินดีพัวพันอยู่กับตัณหาความอยากนั้นอีกเด็ดขาด คือ การดับทุกข์ให้หมดไปจากใจได้อย่างแท้จริง ฯ

อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค เสยยะถีทัง สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสะติ สัมมาสะมาธิ ฯ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อปฏิบัติเพื่อนำกิเลสให้หมดไปจากใจนี้ มี ๘ อย่าง คือ ปัญญาเห็นชอบ ความดำริชอบ วาจาชอบ การงานชอบ การเลี้ยงชีวิตชอบ ความเพียรชอบ การระลึกชอบ และการตั้งจิตไว้ชอบ คือ ข้อปฏิบัติเพื่อนำใจให้หมดจากกิเลสและดับความทุกข์ได้อย่งแท้จริง ฯ

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2009, 22:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


เมื่อจอหน์...เริ่มมองเห็นฝั่ง

:b41: :b41: :b41:


ก่อนนั้นข้าพเจ้าคือผู้ว่ายตามน้ำอยู่ในกระแสวังวนของชาวโลก
ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังอยู่ในกระแสน้ำที่บิดเกรียวไปมาอย่างไม่มีวันสิ้นสุด
เราต่างก็ไม่รู้ว่ามันมีกระแสน้ำนี้ไหลอยู่
เพราะทุกคนก็ต่างไหลตามน้ำวนแห่งนี้

...เหมือนกับเราเดินอยู่บนรถไฟที่เคลื่อนที่
หากรถไฟนั้นวิ่งไปไม่มีวันหยุด ไม่มีหน้าต่าง
ไม่มีการเร่งความเร็ว ไม่มีการเบรค ไม่มีเสียงของเครื่องยนต์
เมื่อเราอยู่บนรถไฟนั้นจนชิน เราก็จะไม่รู้เลยว่ารถไฟนั้นกำลังเคลื่อนที่

จนกว่าเราจะหาทางกระโดดออกจากรถไฟนั้น
แล้วมองกลับไป จึงรู้ว่าที่แท้ เรากำลังเคลื่อนที่อยู่...ฉันนั้น
...

การตกอยู่ในวังวนของโลกก็เหมือนกัน
เราทุกคนจะไม่รู้ว่าตัวเองตกอยู่ และไหลตามกระแสวังวนของโลก
ตราบใดที่เราไม่พยายามว่ายน้ำเพื่อหาฝั่ง
และหยุดอยู่ที่นั้นสักพัก

เราก็จะรู้ว่าที่แท้แล้วโลกคือ อะไร กระแสแห่งวัฏฏะสงสารคืออะไร
เหตุใดจึงทำให้บรรดาชาวเราต้องตกอยู่ในกระแสนี้อย่างไม่มีวันจบสิ้น

ข้าพเจ้ามองเห็นฝั่งแล้ว...และพยายามว่ายน้ำทวนกระแส
อย่างเอาเป็นเอาตาย เพื่อให้ถึงฝั่ง
เพราะไม่อยากตกอยู่ในวังวนแห่งวัฏฏะสงสารนี้อีก


บัดนี้จอหน์ได้บรรลุโสดาบันแล้ว.....
:b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8:


อ้างคำพูด:
โสดาบัน แปลว่า "ท่านผู้บรรลุกระแสพระนิพพาน" คือ มีหวังได้นิพพานในที่สุด เพราะได้เข้าถึงกระแส"พระนิพพาน"แล้ว จัดเป็นพระอริยบุคคลขั้นแรกในพระพุทธศาสนา

พระอริยบุคคลแต่ละขั้น ก็จัดว่าได้บรรลุนิพพานในขั้นนั้นๆ แต่ในขั้นต้นๆนั้น เป็นการดับกิเลสเฉพาะบางส่วนเท่านั้น ส่วนขั้นพระอรหันต์ เป็นการดับกิเลสโดยสิ้นเชิง เพราะคำว่า"นิพพาน" หมายถึงการดับกิเลส.

พระโสดาบัน ดับกิเลส หรือละสังโยชน์ได้ ๓ อย่าง คือ..

๑. สักกายทิฏฐิ - ความเห็นว่าเป็นตัวตน

๒. วิจิกิจฉา - ความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัย

๓. สีลัพพตปรามาส - ความถือมั่นในศีลพรตอย่างงมงาย

นอกจากนี้ กิเลสที่มีความสำคัญรองลงมา คือ ความริษยา ความตระหนี่ ความลำเอียง ความยกตนข่มท่าน ความอกตัญญู ความมีมายา และความโอ้อวด ก็ถูกทำลายไปหมดสิ้นด้วย และเป็นผู้มีศีล ๕ ประจำใจ รวมทั้งเป็นผู้มีศรัทธา อย่างมั่นคงในพระรัตนตรัย.

จิตของพระโสดาบัน..

ไม่มีความยึดมั่นในตัวตน ไม่มีความสงสัยในพระรัตนตรัย

ไม่มีความเชื่อผิดๆในศีลพรต ไม่มีความตระหนี่

ไม่มีความริษยา ไม่มีราคะชนิดที่รุนแรง

ไม่มีความโกรธชนิดที่นำไปสู่อบาย ไม่มีความถือตัวอย่างหลงผิด

ไม่มีความลบหลู่ ความยกตน ความโอ้อวด

ไม่มีความเป็นคนเจ้าเล่ห์ ไม่มีอคติ ๔ (ความลำเอียง)

มีศีล ๕ ประจำใจ ปิดประตูอบายได้.



เรื่องราวจะเป็นอย่างไร....โปรดติดตามตอนต่อไปครับ.....

รูปภาพ

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2009, 21:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ค. 2008, 17:19
โพสต์: 139

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:
อนุโมทนาค่ะ คุณฌาณ แต่งเองรึป่าวคะเนี่ย
ถ้าเป็นไปได้ ต่อให้ถึงตอนปรินิพพานเลยนะคะ
อ่านแล้วประทับใจมาก เหมือนมีคนมานั่งเรียบเรียงพระไตรปิฏกให้อ่านง่าย มองเห็นภาพตามได้ง่าย
แล้วยังได้ประโยชน์ คือได้ย้ำคำสอนของพระพุทธองค์ไปด้วย
ชอบคำพูดของท่านภิกษุที่ว่า "คนที่มีชีวิต คือคนที่เดี๋ยวก็จะตายแล้ว"
ทำให้รู้สึกชัดๆขึ้นมาทันทีถึงคำว่าอีกเดี๋ยวเดียว

สำหรับคำถามที่ว่า ถ้าเลือกได้จะย้อนไปเวลาไหน
ขอตอบว่า อยากเกิดเป็นชายและก็ได้ไปถวายอาหารพร้อมกับนางสุชาดา
แล้วก็ติดตามพระพุทธองค์ตั้งแต่ตอนนั้นเลย :b1:
(สงสัยจะเป็นพระวักกลิอีกคน :b12: )

.....................................................
สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2009, 12:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


ขอบคุณทุกท่านนะครับที่ให้กำลังใจ..... :b8:
ก็แต่งซะเป็นส่วนใหญ่ครับ โดยเค้าโครงได้มาจากเวปลานธรรมของน้องบูดูครับ..... :b8:


(ความเดิมจากตอนที่แล้ว) :b41: :b41: :b41: :b41:

รุ่งขึ้นคณะนักศึกษาแพทย์จากตักศิลาออกเดินทาง โดยนางอัมพปาลีได้ว่าจ้างเกวียนให้ไปส่งแคทและสุภาวดีถึงกรุงราชคฤห์ ขบวนเดินทางทั้งหมดจะต้องผ่านป่าและเขาเมืองปาตลีบุตรและนาลันทา...


ค่ำคืนวันหนึ่งขณะที่คณะของแคทกำลังเข้าเขตนาลันทา.............
สุภาเกิดปวดท้องอย่างหนักและอาเจียนเป็นเลือด ..........

นางสุภาเดินทางต่อไปไม่ไหวจึงต้องพักแรม....ในเมืองสุงสุมารคิรี ของบ้านนายนกุลเศรษฐีและภริยา
ซึ่งก็ช่วยจัดหายาให้คณะ นศพ.อย่างเต็มที่ จนเวลาล่วงเลยมาเกือบปัจฉิมยาม...........



สุภา "แคท....เราห็นที่ว่าจะเดินทางต่อไปไม่ไหวแล้ว....ชีวิตเราคงต้องจบสิ้นที่นี่เป็นแน่แท้"

แคท "เธออย่าพูดเช่นนั้นเลย.... พวกเราต้องพบหมอชีวกแน่ๆ ... เธอต้องหายนะสุภา ...."

สุภา "อย่าเลยแคท..... ฉันรู้ตัวดี......แต่... ฉันไม่มันกลัวหรอกความตาย"

นกุลเศรษฐี "บุตรชายของเราเคยบอกว่า .......

"ชีวิตของสัตว์เหมือนภาชนะดิน ล้วนมีความสลายเป็นที่สุด"

"ทรัพย์สักนิดก็ติดตามคนตายไปไม่ได้ "

"ทั้งคนมีคนจน ล้วนมีแต่ความตายเป็นเบื้องหน้า"

"ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งเขลา ทั้งฉลาด ล้วนไปสู่อำนาจแห่งความตาย ล้วนมีความตายเป็นเบื้องหน้า"

รูปภาพ

"ผู้เลี้ยงโคย่อมต้อนฝูงโค ไปสู่ที่หากินด้วยพลองฉันใด
ความแก่และความตาย ย่อมต้อนอายุของสัตว์มีชีวิตไปฉันนั้น"

"ห้วงน้ำที่เต็มฝั่ง พึงพัดต้นไม้ซึ่งเกิดที่ตลิ่งไปฉันใด
สัตว์มีชีวิตทั้งปวง ย่อมถูกความแก่และความตายพัดไปฉันนั้น"

กาลย่อมล่วงไป ราตรีย่อมผ่านไป ชั้นแห่งวัยย่อมละลำดับไป
ผู้เล็งเห็นภัยในมรณะนั้น พึงทำบุญอันนำสุขมาให้"


สุภา "โอ้คำกล่าวของใครกันหนอ เราไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน ช่างเป็นความจริง
จับใจของเราอย่างเหลือเกิน"


สุภาพูดด้วยเสียงอันเบาและสั่นเครือ......
สีหน้าแววตาของสุภาดูซูบซีด ริมฝีปากเหมือนไม่มีเลือดหลงเหลืออยู่เลย
อาจเป็นเพราะว่าสุภาอาเจียนเป็นเลือดหลายครั้ง......

แคทประครองศีรษะของสุภาด้วยอ้อมแขนของเธอ..... สุภาอาเจียนเป็นเลือดอีกครั้ง
เปรื้อนมืออันสีขาวชมพูของแคททั้งสองข้าง......

แววตาของสุภาที่เหม่อมองไปที่ท้องฟ้ายามรัตติกาล ค่อยๆดับมืดลงๆ..... :b39:

สุภาผู้มีใจแข็งแม้จะบอกว่าไม่กลัวตาย...... แต่เมื่อร่างกายนี้ขาดสติ......
ก็ดูเจ็บปวดรวดเร้าดิ้นรน กระวนกระวาย.....
การหายใจติดขัด......... ตัวเกร็งจับมือของแคทแน่นและสิ้นลมอยู่บนอ้อมกอดของแคท........


:b51: :b52: :b53: :b53: :b52: :b51: :b51:

แคท "ทำใจดีๆไว้สุภา ท่านหมอๆ มาดูแคทหน่อยเถอะ".....แคทร้องเสียงหลง....

คณะ นศพ.ได้แต่ส่ายหน้าไปมา......
แคทร้องไห้โฮ....เพราะสุภากับแคทสนิทกันมาก เมื่อสิ้นสุภาไป แคทจะอยู่อย่างไร.....


:b2: :b2: :b2: :b2: ........................ :b2: :b2: :b2: :b2:

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2009, 12:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


เช้าวันใหม่ ณ ริมชายป่าของเมืองสุงสุมารคิรี......ท้องฟ้ายามเช้านี้ช่างดูหม่นหมอง ไม่สดใสเสียเลยสำหรับแคท...... :b39: :b39: :b39:

เส็รจสิ้นพิธีฝังร่างของสุภา ร่างผู้หญิงอันไร้ญาติขาดมิตรคนหนึ่งถูกฝังกลบลงบนเนินดินแห่งนี้

แคทยืนอยู่ใต้ร่มไม้สีหน้าเศร้าหมอง....ตาบวมและแดงกล่ำ


นางนกุลมารดาคหปตานี เดินเข้ามาปลอบใจแคท

"แคทเธออย่าเศร้าโศกเสียใจไปอยู่เลย ..... บุตรของเราเคยบอกว่า.....

เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์อะไร สตรี บุรุษ.......... :b48: :b48:

คฤหัสถ์หรือบรรพชิต จึงควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า เราจะต้องพลัดพรากจาก

ของรักของชอบใจทั้งสิ้น ดูก่อนท่านทั้งหลาย ความพอใจ ความรักใคร่ใน

ของรักมีอยู่แก่สัตว์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นเหตุให้สัตว์ทั้งหลายประพฤติทุจริตด้วยกาย

วาจา ใจ เมื่อเขาพิจารณาฐานะนั้นอยู่เนือง ๆ ย่อมละความพอใจ ความรัก

ใคร่นั้นได้โดยสิ้นเชิงหรือทำให้เบาบางลงได้ เพราะอาศัย

อำนาจประโยชน์นี้แล สตรี บุรุษ คฤหัสถ์ หรือบรรพชิต จึงควรพิจารณา

เนือง ๆ ว่า เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น.......

:b44: :b44: เรา....จึงควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า เรามีกรรมเป็นของตน

เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็น

ที่พึ่ง จักทำกรรมใด ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม เราจักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น....."


แคทพยายามระงับสติอารมณ์ และหันหน้ามาคุยกับนางนกุลมารดาคหปตานีอย่างจริงจังว่า

แคท "เราเห็นท่านอยู่กันสองคน บุตรของท่านอยู่ไหน ทำไมถึงกล่าวภาษิตได้ไพเราะยิ่งนัก"

นางนกุลมารดาคหปตานี " บุตรของเราตอนนี้อยู่ที่เวฬุวันมหาวิหาร นครราชคฤห์
ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก"

แคทยืนตกตะลึง......มองหน้าสตรีวัยชรานั้นอย่างฉงนในมาก......

นกุลเศรษฐี "บุตรของเราคือท่านสมณโคดม"
:b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8:

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2009, 12:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b41: :b41: แคท ได้ยินได้ฟังดังนั้นเกิดความรู้สึกปลื้มปิติยิ่งนัก........

แต่ก็แปลกใจว่าทำไมหนอสองคนนี้จึงมากล่าวตู่ว่าพระพุทธเจ้าเป็นลูก........

เพราะตามที่แคทรู้มานั้นพระองค์มาจาก ศากยสกุล กรุงกบิลพัสดุ์

:b41: :b41: :b41:

แต่ก็อยากรู้เช่นกันว่าบุตรของท่านเศรษฐีนี้คือใครกัน ทำไมกล่าวภาษิตเพราะเช่นนี้..............


แคท "ลูกของท่านเป็นใครกัน เราอยากจะไปพบลูกของท่านเพื่อสนทนาด้วย.....
ท่านพาเราไปได้ไหม"

นกุลเศรษฐี "ดีเลยเรากำลังจะไปหาบุตรชายของเราพรุ่งนี้.....ท่านไปกับเราได้นะ......."

แคทจึงขอแยกตัวจากขบวน นศพ.จากตักศิลาในวันนั้น
และร่วมเดินทางไปกับเศรษฐีและภรรยาในวันนั้น.............

เรื่องราวจะเป็นอย่างไร.....ทำไมมีผู้กล่าวตู่ว่าพระพุทธเจ้าเป็นลูก
แคทจะพบพระพุทธเจ้าจริงๆหรือ....โปรดติดตาม....ต่อไป..............

:b4:

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2009, 09:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


นางนกุลมารดาคหปตานี :b8: :b8:

เอตทะคคะในฝ่ายผู้มีความคุ้นเคยในพระศาสดา


นางนกุลมารดา เกิดในตระกูลเศรษฐีในเมืองสุงสุมารคิรี แคว้นภัคคะ เมื่อเจริญวัย
ได้แต่งงานอยู่ครองเรือนตามฆราวาสวิสัย มีความสุขตามสมควรแก่ฐานะเมื่อบิดามารดาล่วง
หลับไปแล้วได้ครอบครองดูแลทรัพย์สมบัติสืบไป.....


กล่าวตู่ว่าพระพุทธองค์เป็นลูก

ครั้งหนึ่งพระผู้มีพระภาคอันภิกษุสงฆ์แวดล้อมติตามเสด็จจาริกไปถึงพระนคร
สุงสุมารคิรี แล้วเสด็จเข้าประทับ ณ เภสกลาวัน....

ขณะนั้น นกุลเศรษฐีและภริยาพร้อมด้วยเหล่าชาวเมืองสุงสุมารคิรีได้พากันไปเฝ้าพระ
ผู้มีพระภาคะเจ้า ณ ที่ประทับ ทันทีที่เศรษฐีและภริยาได้แลเห็นพระผู้มีพระภาคเท่านั้นความรัก
ประหนึ่งว่าพระพุทธองค์เป็นบุตรในอุทรของตนก็เกิดขึ้นสองสามีภริยาหมอบลงแทบพระยุคล
บาทของพระบรมศาสดาแล้วกราบทูลว่า.........


“ลูกเอ๋ย เจ้าทิ้งพ่อแม่ไปสิ้นกาลช้านาน บัดนี้เจ้าไปอยู่ ณ ที่ใดมา ?”

จากอาการกิริยาและคำพูดของเศรษฐีและภรรยานั้น สร้างความสับสนฉงนสนเท่ห์แก่
ภิกษุสงฆ์และพุทธบริษัทในสมาคมนั้น เพราะต่างก็ทราบดีว่าพระพุทธองค์เสด็จออกบรรพชา
จากศากยสกุล กรุงกบิลพัสดุ์ และชาวเมืองสุงสุมารคิรี ก็ทราบดีว่าเศรษฐีสองสามีภรรยามี
ญาตร่วมสายโลหิตและทายาทกี่คน เหตุไฉนท่านจึงกล่าวตู่ว่าพระผู้มีพระภาคเป็นบุตรของตน


แม้พระบรมศาสดา ........ก็มิได้ตรัสห้ามประณามเศรษฐีสองสามีภรรยานั้นแต่ประการใด
เลย ด้วยเศรษฐีทั้งสองมีสติเต็มไปด้วยความรักและปีติสุดที่จะยับยั้งได้

พระพุทธองค์ทรงรอโอกาสเมื่อพวกเขากลับได้สติวางใจเป็นกลางแล้ว จึงทรงแสดงธรรมตามสมควรแก่อัธยาศัย ........ยังบุคคลทั้งสองให้ดำรงอยู่ในพระโสดาปัตติผล แล้วทรงยกเรื่องในอดีตชาติ มาประกาศในท่ามกลางพุทธบริษัทให้ทราบทั่วกันว่า


“ในอดีตชาติ เศรษฐีสองสามีภรรยานี้เคยเป็นบิดามารดาของตถาคต ๕๐๐ ชาติ เคยเป็นปู่ เป็นย่า ๕๐๐ ชาติ เคยเป็นลุง เป็นป้า ๕๐๐ ชาติ เคยเป็นอาเป็นน้า ๕๐๐ ชาติ ดังนั้นเพราะความรักความผูกพันที่ติดตามมาตลอดช้านานนี้พอได้เห็นตถาคตจึงสุดที่จะอดกลั้นความรัก
นั้นไว้ได้”



พระบรมศาสดา ครั้นได้ประทานสุขสมบัติในเทวโลกและสุขสมบัติในอริยภูมิแก่ชาว
สุงสุมารคิรีแล้ว เสด็จจาริกไปยังคามนิคมอื่น ๆ โดยลำดับ

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 42 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 26 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron