ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
การรู้ชัด http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=22174 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | รสมน [ 08 พ.ค. 2009, 18:59 ] |
หัวข้อกระทู้: | การรู้ชัด |
เป็น "เรื่องราว" ทั้งนั้น.......? ถ้าที่มีคนถาม ว่า สีอะไร....เราก็คิดเรื่องสี ถ้าเขาไม่ถาม เราก็ไม่คิดถึงเรื่องสีเลย แต่เราคิดถึง "เรื่องราว"........? . ความจำเรื่องของสี ต้องมี....ไม่ใช่ไม่มี.! แต่ หมายความว่า ปกติแล้ว......เรา "คิด" เป็น "เรื่องราว" หลังจาก เห็น สิ่งที่ปรากฏทางตา เพราะขณะนั้น เราไม่ได้สนใจตรง "สี" แต่ เราไปสนใจใน "เรื่องราว" . คิดนึก ก็คือ คิดนึก แต่ไม่ใช่ว่า พอท่านผู้ฟังตื่นนอนขึ้นมา ก็มีแต่การเห็นสีต่างๆ ทางตา ตลอดทั้งวัน. . การที่เราจะเข้าใจ "ลักษณะ" ของ "รูปารมณ์"มากขึ้น คือ ขณะนี้เอง.! ขณะที่ ละคลาย ความเป็นบุคคล ต่างๆ. . เพราะฉะนั้น ก็ต้องมีการเจริญสติปัฏฐาน เพื่อที่ "สติปัฏฐาน" จะเกิด "คั่น" สภาพธรรม ที่กำลังเกิดดับ สืบต่อกันอย่างรวดเร็วนี้ โดยที่มีสภาพธรรมปรากฏ ทีละอย่างๆ ทีละทางๆ . สำหรับทางตา การที่เราจะเข้าใจขึ้น ก็คือ ไม่ใช่ขั้นคิดนึก ไม่ใช่ขั้นรู้เรื่องราว ของสิ่งที่ปรากฏทางตา. แต่ต้องเข้าใจขึ้น ว่า แม้ขณะที่กำลังเห็น เดี๋ยวนี้นะคะ ความรู้ของเราเพิ่มขึ้นบ้างไหม..? ว่า ที่กำลังเห็นนี้ ขณะนี้ คือ "เห็น" สิ่งที่ปรากฏทางตา เท่านั้น. (ไม่ใช่ "สิ่งที่ปรากฏทางอื่น") . ถ้าจะรู้อย่างนี้...ก็หมายความว่า เราจะต้องรู้ว่า สิ่งที่ปรากฏทางตา คือ การเห็นสี ซึ่ง ต่างกับ สิ่งที่ปรากฏทางหู คือ การได้ยินเสียง การรู้สภาพธรรม ที่ปรากฏทั้ง ๖ ทวารนั้น เกิดสลับกัน เพราะว่า "จิต" จะรู้อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง ไปเรื่อยๆ สลับกันไป และ "จิต" ไม่เคยหยุด.....ที่จะรู้อารมณ์.! . อย่างเช่น ระหว่างที่เรากำลังพูด เราก็ไม่ได้ยินเสียง แต่เมื่อเสียงปรากฏ เกิดแทรกขึ้นมา เราก็ได้ยินเสียง. (เป็นต้น) . และ ความรู้ ที่เพิ่มขึ้น คือ เมื่อเรารู้ความต่างกัน ของสิ่งที่ปรากฏ แต่ละทาง แต่ละอย่าง รู้ ว่า มี "ลักษณะ" ที่ต่างๆกันอย่างไร เป็นนามธรรม เป็น รูปธรรม อย่างไร. . จะต้องค่อยๆ "อบรม" เจริญสติปัฏฐาน จนค่อยๆ ชินขึ้น ค่อยๆ ชำนาญขึ้น สติระลึกได้ บ่อยขึ้นๆ จนกระทั่ง "ปัญญา" สามารถที่จะ "รู้ชัด"ในสภาพธรรม. และ ปัญญา" สามารถที่จะ "ละคลายการยึดถือ" ในสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏ ที่เคยยึดถือว่าเป็น เรื่องราว เป็นคน เป็นสัตว์ ฯลฯ (ซึ่ง แท้จริง คือ นามธรรม และ รูปธรรม) . ที่สำคัญ "การเจริญสติปัฏฐาน" ต้องเป็นขณะที่ สภาพธรรม กำลังปรากฏ. (คือ ขณะปัจจุบัน) ขณะที่กำลังเห็น ก็ เห็น "สิ่งที่ปรากฏทางตา" ซึ่งถ้าจะเป็น "การเห็นจริงๆ" ได้นั้น ก็ต่อเมื่อ "ปัญญา" รู้ทั่ว ทางอื่นทั้ง ๖ ทาง ที่เกิดสลับกันด้วย. เมื่อนั้นละค่ะ ที่ "ปัญญาจะรู้ชัด" ว่า ขณะนั้น กำลังรู้ "สิ่งที่ปรากฏทางตา" ซึ่ง ไม่ใช่ขณะที่รู้เสียง. ( เป็นต้น) ( รู้ชัด เพราะ รู้ทั่ว............ คือ รู้ความต่างกันของสภาพธรรมแต่ละอย่าง ได้แก่ สี เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และ ธัมมารมณ์ ซึ่งสภาพธรรมเหล่านี้...... ปรากฏเฉพาะแต่ละทางๆ...๖ ทวาร ทางใดทางหนึ่ง แต่ละประเภท คือ สีปรากฏทางตา เสียงปรากฏทางหู กลิ่นปรากฏทางจมูก รสชาดต่างๆปรากฏทางลิ้น การรบสัมผัสปรากฏทางกาย และ ความคิดต่างปรากฏทางใจ) . เพราะฉะนั้น "การเจริญสติปัฏฐาน" ต้องรู้ทั่ว ทั้ง ๖ ทวาร. คือ รู้สีทางตา รู้เสียงทางหู รู้กลิ่นทางจมูก รู้รสทางลิ้น รู้โผฏฐัพพะทางกาย และ รู้ธัมมารมณ์ทางใจ. จะต้อง รู้ ประกอบกันไปด้วย ( คือ รู้ทั่ว...ทั้ง ๖ ทวาร) ไม่อย่างนั้น จะกล่าวว่า "รู้ชัด" ไม่ได้.! เพราะว่า รู้แต่เฉพาะทางใดทางหนึ่งนั้น ไม่ใช่ "การรู้ชัด" |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |