ลานธรรมจักร
http://dhammajak.net/forums/

ผู้รู้ช่วยตอบที ว่าจริงมัย
http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=22447
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  maw [ 21 พ.ค. 2009, 16:39 ]
หัวข้อกระทู้:  ผู้รู้ช่วยตอบที ว่าจริงมัย

:b6: เมื่อวันวานก่อนข้าพเจ้าได้อ่าน เตรียมเสบียง เล่ม 1 ตอนท้ายเล่มเขาเขียนไว้
การสวดมนต์บทอิติปิโส นั้นดีมาก เพราะเป็นการสวดสรรเสริญพระบารมีของพระพุทธเจ้า
ไม่ต้องไปสวดบทอะไรเพื่อให้เราสับสน จริงมัยค่ะ

เจ้าของ:  คนล่าฝัน [ 21 พ.ค. 2009, 16:50 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ผู้รู้ช่วยตอบที ว่าจริงมัย

maw เขียน:
:b6: เมื่อวันวานก่อนข้าพเจ้าได้อ่าน เตรียมเสบียง เล่ม 1 ตอนท้ายเล่มเขาเขียนไว้
การสวดมนต์บทอิติปิโส นั้นดีมาก เพราะเป็นการสวดสรรเสริญพระบารมีของพระพุทธเจ้า
ไม่ต้องไปสวดบทอะไรเพื่อให้เราสับสน จริงมัยค่ะ


:b8: หากเราสวดบทนี้จนชำนาญแล้วค่อยต่อบทอื่นก็ำไม่เสียหายครับ..มีแต่เรื่องดีเข้าสุ่จิตใจ.. :b1: :b1:

เจ้าของ:  natdanai [ 21 พ.ค. 2009, 17:05 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ผู้รู้ช่วยตอบที ว่าจริงมัย

maw เขียน:
:b6: เมื่อวันวานก่อนข้าพเจ้าได้อ่าน เตรียมเสบียง เล่ม 1 ตอนท้ายเล่มเขาเขียนไว้
การสวดมนต์บทอิติปิโส นั้นดีมาก เพราะเป็นการสวดสรรเสริญพระบารมีของพระพุทธเจ้า
ไม่ต้องไปสวดบทอะไรเพื่อให้เราสับสน จริงมัยค่ะ

เป็นบท พุทธคุณ ครับ....มี 9 ข้อ ถ้ารู้ความหมายของทั้ง 9 ข้อได้ด้วยก็จะยิ่งดีครับ
(อย่าให้อธิบายนะครับ ขี้เกียจระลึกเพราะมันเยอะมาก ทั้งวันทั้งคืนก็ไม่หมด) :b13: :b13:

เจ้าของ:  yahoo [ 21 พ.ค. 2009, 17:19 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ผู้รู้ช่วยตอบที ว่าจริงมัย

natdanai เขียน:
maw เขียน:
:b6: เมื่อวันวานก่อนข้าพเจ้าได้อ่าน เตรียมเสบียง เล่ม 1 ตอนท้ายเล่มเขาเขียนไว้
การสวดมนต์บทอิติปิโส นั้นดีมาก เพราะเป็นการสวดสรรเสริญพระบารมีของพระพุทธเจ้า
ไม่ต้องไปสวดบทอะไรเพื่อให้เราสับสน จริงมัยค่ะ

เป็นบท พุทธคุณ ครับ....มี 9 ข้อ ถ้ารู้ความหมายของทั้ง 9 ข้อได้ด้วยก็จะยิ่งดีครับ
(อย่าให้อธิบายนะครับ ขี้เกียจระลึกเพราะมันเยอะมาก ทั้งวันทั้งคืนก็ไม่หมด) :b13: :b13:


ห้วย...

:b13: :b13: :b13:

เจ้าของ:  ศิรัสพล [ 21 พ.ค. 2009, 18:08 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ผู้รู้ช่วยตอบที ว่าจริงมัย

ขอตอบเจ้าของกระทู้ดังนี้

ถาม : สวดมนต์บทอิติปิโสฯ บทเดียวนั้นก็เพียงพอจริงหรือไม่?

ตอบ : ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของการสวดมนต์นั้นๆ หากเราสวดมนต์บทอิติปิโสฯ เพื่อให้ระลึกคุณพระพุทธเจ้าเท่านั้น ข้อความดังกล่าวเป็นความจริงได้ เพราะบทนี้สรรเสริญพระพุทธเจ้าโดยตรง แต่หากเราสวดเพื่อขจัดคุณไสย เราอาจจะใช้บทนี้เพียงบทเดียว หรือใช้บทอื่นๆ เพียงบทเดียว หรือใช้หลายๆ บทร่วมกันก็ได้ เช่น อิติปิโสฯ, ธรรมจักร, ชินบัณชร, แผ่เมตตา เป็นต้น ขึ้นอยู่กับว่าใช้บทอะไร แค่ไหนได้ผลทำให้จิตเป็นสมาธิเกิดความสงบสว่างขจัดคุณไสยได้

อนึ่ง โดยชีวิตปกติ เวลาสวดมนต์ ควรสวดมนต์ด้วยจุดมุ่งหมายด้านกุศลเอาไว้ก่อน เช่น เพื่อรักษาคำสอนของพระพุทธเจ้า, เพื่อให้จิตเกิดสมาธิขจัดนิวรณ์, เพื่อแผ่เมตตาให้กับสรรพสัตว์, เพื่อฟังธรรมพร้อมกันไปด้วย เป็นต้น ไม่ควรสวดด้วยจุดมุ่งหมายป้องกันคุณไสย หรือเพื่อความขลัง ศักสิทธิ์ อิทธิฤทธิ์ การสวดมนต์เพื่อขจัดคุณไสยนี้หากจะใช้ ให้ใช้เมื่อกรณีพิเศษ เพราะไม่ใช่จุดมุ่งหมายของโดยตรงของการสวดมนต์ในพระพุทธศาสนา ดังนั้นการสวดกรณีแบบนี้ ควรระลึกเอาไว้ว่าเป็นเรื่องการประยุกต์บทสวดมนต์มาใช้ในเฉพาะกรณีนั้นๆ ชั่วคราวเท่านั้น

บทสวดมนต์ต่างๆ ที่มาจากคำสอนของพระพุทธเจ้า ถือว่าดีทั้งนั้น ยิ่งสวดมากได้ ก็ยิ่งดี แต่หากไม่สวดมนต์เลยไม่ดี อย่างน้อยๆ ควรจะสวดสักบทหนึ่ง การสวดมนต์หากเข้าใจความหมายไปด้วย ก็เหมือนได้ฟังธรรม ทวนธรรม ได้สมาธิ ถือเป็นการรักษาคำสอนเอาไว้วิธีการหนึ่ง ที่สำคัญควรนำไปธรรมะในบทสวดไปปฏิบัติตามให้ได้ด้วยจะเกิดประโยชน์สูงสุด

ขอให้เจริญในธรรม :b8:

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 21 พ.ค. 2009, 21:07 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ผู้รู้ช่วยตอบที ว่าจริงมัย

ลิงค์นี้มีคำแปลพุทธคุณ ธรรมคุณ และสังฆคุณ (ทำวัตวเช้า-เย็นแปล)

viewtopic.php?f=28&t=19423

เรื่องของศรัทธาเอาอย่างกันไม่ได้ เราคิดว่าดี เราก็ศรัทธาก็เชื่อต่อสิ่งนั้น แต่คนอื่นเขาว่าไม่ดี เขาก็ไม่ศรัทธาไม่เชื่อตามเรา

คนอื่นว่าดี เขาจึงเชื่อจึงศรัทธา แต่เราเองคิดว่าไม่ดี จึงไม่ศรัทธาตามเขา

เรื่องความเชื่อความศรัทธา ใจเราคิดว่าดีก็ดี จิตก็มั่นต่อสิ่งนั้น เชื่อมั่นสิ่งนั้น เมื่อคิดว่าไม่ดีก็ไม่ดี
จิตก็ไม่มุ่งไม่มั่นต่อสิ่งนั้น
ดังนั้น ศรัทธาจึงเลียนแบบกันไม่ได้

เจ้าของ:  BlackHospital [ 22 พ.ค. 2009, 00:20 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ผู้รู้ช่วยตอบที ว่าจริงมัย

ภิกษุ ! ภิกษุในกรณีนี้ ย่อมเล่าเรียนปริยัติธรรม (นานาชนิด)
คือ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาตกะ อัพภูตธัมมะเวทัลละ,
เธอใช้เวลาทั้งวันให้เปลืองด้วยการเรียนธรรมนั้น ต้องเริดร้างจากการหลีกเร้น
ไม่ประกอบซึ่งธรรมเป็นเครื่องสงบใจในภายใน.
ภิกษุนี้เราเรียกว่า ผู้มากด้วยปริยัติ (นักเรียน) ยังมิใช่ธรรมวิหารี - ผู้อยู่ด้วยธรรม.

อีกอย่างหนึ่ง, ภิกษุแสดงธรรม ตามที่ได้ฟังได้เรียนมาแก่คนอื่นโดยพิสดาร,
เธอใช้เวลาทั้งวันให้เปลืองไปด้วยการบัญญัติธรรมนั้น ต้องเริดร้างจากการหลีกเร้น
ไม่ประกอบซึ่งธรรมเป็นเครื่องสงบใจในภายใน.
ภิกษุนี้ เราเรียกว่า ผู้มากด้วยการบัญญัติ (นักแต่ง) ยังมิใช่ธรรมวิหารี - ผู้อยู่ด้วยธรรม.

อีกอย่างหนึ่ง, ภิกษุทำการสาธยายธรรม ตามที่ได้ฟังได้เรียนมาโดยพิสดาร,
เธอใช้เวลาทั้งวันให้เปลืองไปด้วยการสาธยายนั้น ต้องเริดร้างจากการหลีกเร้น
ไม่ประกอบซึ่งธรรมเป็นเครื่องสงบใจในภายใน.
ภิกษุนี้เราเรียกว่า ผู้มากด้วยการสวด (นักสวด) ยังมิใช่ธรรมวิหารี - ผู้อยู่ด้วยธรรม.

อีกอย่างหนึ่ง, ภิกษุคิดพล่านไปในธรรมตามที่ได้ฟังได้เรียนมา,เธอใช้เวลาทั้งวันให้เปลืองไปด้วยการคิดพล่านในธรรมนั้น
ต้องเริดร้างจากการหลีกเร้น ไม่ประกอบซึ่งธรรมเป็นเครื่องสงบในภายใน.
ภิกษุนี้ เราเรียกว่าผู้มากด้วยการคิด (นักคิด) ยังมิใช่ธรรมวิหารี - ผู้อยู่ด้วยธรรม

--ปญฺจก. อํ. ๒๒/๙๘/๗๓,
------------------------------
ภิกษุ ! ภิกษุในกรณีนี้ ย่อมเล่าเรียนปริยัติธรรม (นานาชนิด) คือ
สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาตกะ อัพภูตธัมมะ เวทัลละ
แต่เธอไม่รู้ความหมายอันยิ่งแห่งธรรมนั้น ๆ ด้วยปัญญา.
ภิกษุนี้เราเรียกว่า ผู้มากด้วยปริยัติ (นักเรียน) ยังมิใช่ธรรมวิหารี - ผู้อยู่ด้วยธรรม.

อีกอย่างหนึ่ง, ภิกษุแสดงธรรม ตามที่ได้ฟังได้เรียนมาแก่คนอื่นโดยพิสดาร,
แต่เธอไม่รู้ความหมายอันยิ่งแห่งธรรมนั้น ๆ ด้วยปัญญา.
ภิกษุนี้ เราเรียกว่า ผู้มากด้วยการบัญญัติ (นักแต่ง) ยังมิใช่ธรรมวิหารี- ผู้อยู่ด้วยธรรม.

อีกอย่างหนึ่ง, ภิกษุทำการสาธยายธรรม ตามที่ได้ฟังได้เรียนมาโดยพิสดาร,
แต่เธอไม่รู้ความหมายอันยิ่งแห่งธรรมนั้น ๆ ด้วยปัญญา.
ภิกษุนี้ เราเรียกว่า ผู้มากด้วยการสวด (นักสวด) ยังมิใช่ธรรมวิหารี - ผู้อยู่ด้วยธรรม.

อีกอย่างหนึ่ง, ภิกษุคิดพล่านไปในธรรม ตามที่ได้ฟังได้เรียนมา,
แต่เธอไม่รู้ความหมายอันยิ่งแห่งธรรมนั้น ๆ ด้วยปัญญา.
ภิกษุนี้ เราเรียกว่า ผู้มากด้วยการคิด (นักคิด) ยิ่งมิใช่ธรรมวิหารี - ผู้อยู่ด้วยธรรม.

--ปญฺจก. อํ. ๒๒/๑๐๐/๗๔, ตรัสแก่ภิกษุรูปหนึ่งผู้ทูลถามเรื่องนี้
-----------------------------
:b8: :b8: :b8:

เจ้าของ:  บัว 4 เหล่า [ 22 พ.ค. 2009, 09:29 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ผู้รู้ช่วยตอบที ว่าจริงมัย

โปรดกรุณา อ่านช้าๆ และ อ่านให้หมด
และ คิดพิจารณาไตร่ตรองตามด้วยนะครับ



คุณของการสวดมนต์คือ สวดแล้วรู้เรื่อง - รู้ความหมาย -
ปฏิบัติได้ถูกต้องตามที่สวดนั้น - และสวดด้วยจิตใจอิ่มเย็นโอบอ้อมอารี
เพราะมนต์ทั้งหมดในพระพุทธศาสนาคือคำสอนแม้จะเป็นคำสรรเสริญก็ืคือคำสอน
ถ้าจะสวดเป็นบาลีก็ต้องสวดให้ถูกต้องตามอักขระฐานกรณ์ของภาษาบาลีด้วย

(แต่ต้องเป็นมนต์ที่พระพุทธเจ้าพาทำมาและสอนไว้)

โทษของสวดมนต์คือ สวดแบบไม่รู้เรื่อง - ไม่รู้ความหมาย - ทำไม่ถูกตามที่สวด -
สวดเพื่อให้ขลัง - อ้อนวอน - สวดเสก - เป่าให้ผู้อื่นฉิบหาย หรือ
สวดแล้วรู้เรื่องและเข้าใจอย่างดีแต่ไม่ทำตาม เช่น พระสวดพระวินัยทุุกๆ 15 วัน
แต่ก็ทำผิดพระวินัยมากมาย และโยมสวดประกาศปฏิญาณตนมอบกายถวายชีวิต
นับถือ พุทธ - ธรรม - สงฆ์ เป็นที่พึ่ง แต่ไม่กระทำตามนั้น
ยังไปนับถือสิ่งอื่นเพิ่มอีกเช่น ผี - เทวดา - เครื่องรางของขลัง ฯลฯ

เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมผิดต่อคำสวดที่ตนเองสวดคำพุทธเจ้าสอนอยู่
และโทษย่อมเกิดขึ้นกับตนผู้ไม่ได้ศึกษาพุทธศาสนาให้ดี


สำหรับผู้ชอบสวดมนต์เป็นภาษาบาลี ถ้าไม่รู้เรื่องคือไม่ได้แปล
เมื่อไม่แปลก็ไม่เข้าใจความหมาย เมื่อไม่เข้าใจความหมายของบทสวดมนต์
ถึงแม้จะมีสติกำกับอยู่อย่างดี แต่สตินั้นก็เป็น มิจฉาสติ
แม้กระทั่งมีความเลื่อมใสปลาบปลื้มปิติอยู่ด้วย ก็ยังเป็นความเลื่อมใสปลาบปลื้มปิติที่ผิด

สตินั้นมีอยู่ของมันทุกเมื่ออยู่แล้ว แต่ถ้าไประลึกผิด ก็เป็นสติที่ผิด
ทุกอย่างต้องเข้าใจชัดเจนถูกต้อง จึงจะเป็นสัมมาสติ
จึงจะเป็นสติที่ถูกในความหมายของพระพุทธศาสนา

พุทธเจ้าสอนเอาไว้แล้วว่า ผู้ที่จะเรียนธรรม - วินัยของพระองค์
ต้องเรียนด้วยภาษาที่ผู้เรียนสามารถเข้าใจได้
ถ้าหากเรียนธรรม - วินัยด้วยภาษาที่ผู้เรียนไม่เข้าใจ
พุทธเจ้าตำหนิเอาไว้แล้วว่าเป็นการ " ปฏิบัติผิด "
การปฏิบัติผิดนี่ต้องได้บาป
ต้องไปรับโทษในนรก - เปรต - สัตว์เดรัจฉาน
เมื่อได้หมุนวนกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง ก็เป็นมนุษย์ที่มีสติ - ปัญญาไม่ดี
เรียนรู้อะไรก็เข้าใจยากมาก เงอะงะๆ เซ่อๆซึมๆ
สาเหตุก็เพราะได้สร้างความงงงวย - งมงาย - ไม่รู้เรื่อง
เหยียบย่ำตัวเองเอาไว้แล้วเรียบร้อยในคราวนี้ด้วยการสวดมนต์คือคำสอนของพระพุทธเจ้าแบบผิดๆ

เจ้าของ:  บัว 4 เหล่า [ 22 พ.ค. 2009, 09:33 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ผู้รู้ช่วยตอบที ว่าจริงมัย

คำสั่งพระพุทธเจ้าให้กล่าวธรรม – วินัย ด้วยภาษาที่เข้าใจ (พระไตรปิฎกเล่ม 23 หน้า 329)

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในอรณวิภังค์นั้น การปรักปรำภาษาชนบทและการล่วงเลยคำพูดสามัญ
นี้เป็นธรรมมีทุกข์ มีความคับใจ มีความแค้นใจ มีความเร่าร้อน เป็นความปฏิบัติผิด


เพราะฉะนั้น ธรรมนี้จึงยังมีกิเลสต้องรณรงค์ แต่การไม่ปรักปรำภาษาชนบท
และการไม่ล่วงเลยคำพูดสามัญ นี้เป็นธรรมไม่มีทุกข์ ไม่มีความคับใจ ไม่มีความแค้นใจ
ไม่มีความเร่าร้อน เป็นความปฏิบัติชอบ เพราะฉะนั้น ธรรมนี้จึงไม่มีกิเลสต้องรณรงค์

*** คำสอนของพระพุทธเจ้านี้ไม่มีนะ ประเภทเงอะๆงะๆ
สวดแบบไม่รู้เรื่่องแล้วมันจะดีเอง มันจะไปดีได้ยังไงเพราะมันไม่รู้เรื่อง
และถึงรู้เรื่องแต่ไม่ลงมือปฏิบัติ มันก็ยังดีไม่ได้อีก
สวดเฉยๆ แล้วมันจะดี - เจริญเอง คำสอนใครหว่า? พิจารณาซิ พิ - จา - ร - ณา

นะครับท่าน

เจ้าของ:  อินทรีย์5 [ 22 พ.ค. 2009, 12:19 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ผู้รู้ช่วยตอบที ว่าจริงมัย

ถ้าจะให้ดีควรสวดบท .."พาหุงฯ" เพิ่มอีกบทหนึ่ง
การสวดพุทธคุณเป็นสวดเพื่อระลึกคุณของพระพุทธเจ้า ถ้าสวดน้อยรอบจิตอาจจะยังไม่ตั้งมั่น
แต่ถ้าสวดหลายรอบจิตถึงจะตั้งมั่นและรวมเข้ากับสติได้ดี หรือจะเรียกว่า."ขลัง" ก็ได้ เมื่อดูแล้ว
ก็เหมือนกับการบริกรรม..."พุทโธ" หรือ"พองหนอ-ยุบหนอ" กลับไปกลับมาจนจิตเป็นสมาธินั่นเอง :b40:

เจ้าของ:  sumanametee [ 22 พ.ค. 2009, 12:29 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ผู้รู้ช่วยตอบที ว่าจริงมัย

การสวดมนต์ เป็นการ สวดสรรเสริญ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ เเละพระสังฆคุณ เเละเป็นการสาธยายพระธรรมไปในตัว เป็นอีกวิธี ที่จะทำให้จิตเราสงบ ครับ

เราจะสวดกี่บทก็ช่าง ถ้าใจยังคิดโน่น คิดนี่ หวังโน้น หวังนี่ ยังนับว่าไม่ค่อยจะได้อะไรมาก

เเต่ถ้าสวดเพื่อ ทำจิตให้สงบ พิจารณาตามบทสวด ก็จะเกิดปัญญา นั่นเเหละครับ ผลอันดีเยี่ยมของการสวดมนต์

สรุปคือ ไม่ได้อยู่ที่บทสวด เเต่มันอยู่ที่ใจคนสวดครับ

สาธุๆ

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/