ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
อ่านให้รู้ ดูให้มีปัญญา http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=22449 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | tanaphomcinta [ 21 พ.ค. 2009, 17:20 ] |
หัวข้อกระทู้: | อ่านให้รู้ ดูให้มีปัญญา |
ทุกคนที่เกิดมาในโลกธาตุใบนี้ จะเป็นใครอยู่ที่ไหนนับถือศาสนาอะไรหรือไม่ก็ตาม ทุกคนจะรู้จักความ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ความ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งนั้น ไม่ใครจะไม่รู้ แม้แต่เด็กที่เกิดในวันนั้นเอง ก็รู้ได้กับความเจ็บปวด เพราะมันเป็นสิ่งที่ธรรมชาติได้สร้างขึ้นมาให้แก่มนุษย์ชาติ ไม่มีใครจะสามารถดนบันดานให้ใครได้ นอกจากคนๆนั้นจะทำเอาเอง บาป บุญ คุณโทษ ประโยชน์ และไม่เป็นประโยชน์ ก็ขึ้นอยู่กับตัวของคนๆนั้น ฉะนั้น ทุกคนจึงไม่พ้นจากการกระทำของตนเอง ท่านจะรู้หรือไม่ว่า การกระทำของตน เป็นบุญหรือบาป ท่านก็ต้องได้รับผลของการกระทำอันนั้น เพราะกล่าวแล้วว่า ทุกคนรู้สึกได้ทั้งหมดไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ไม่ว่าคนไทยหรือคนประเทศลาว ไม่ฝรั่งแขกจีน เขมร ไม่ว่าคนชาติไหนภาษอะไร ทุกคนต้องรู้จักความ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ความ เกิด แก่ เจ็บ ตาย และรู้จักความเสียใจ ความน้อยใจ ความดีใจ ความโศกเศร้า ความปรีติยินดี รู้จักความเจ็บปวด รู้จักความสุขทายกายและทางใจได้ทุกคน ดังนั้น ไม่ว่าท่านจะเข้าใจหรือไม่อย่างไร ท่านจะรู้หรือไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นเป็นบุญหรือเป็นบาป ท่านก็ไม่สามารถที่จะหนีพ้นจากความเป็นจริงนั้นได้ ก็หมายความว่า ท่านทำบาป ท่านก็จะได้ผลของการทำบาปนั้น โดยที่ท่านไม่รู้ตัว ท่านทำบุญ ท่านก็จะรับผลของบุญนั้นโดยที่ท่านไม่รู้ตัวเหมือนกัน แต่ถ้าท่านโดยที่ท่านรู้ว่าสิ่งนี้เป็นบุญสิ่งนี้เป็นบาป ท่านก็จะยิ่งปรีติยินดีในสิ่งที่ท่านทำลงไป ถ้าเป็นบุญ ถ้าเป็นบาปท่านก็จะเสียใจเศร้าใจในสิ่งที่ท่านทำลงไปเหมือนกันหมด ไม่ว่าท่านจะเป็นคนชาติไหน นับถือศาสนาอะไร ไม่มีการยกเว้น ทำไมถึงไม่มีการยกเว้น ก็เพราะได้กล่าวมาแล้วว่า ความ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ความ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกท่านรู้จัก แล้วบาปบุญคุณโทษ ท่านจะไม่รู้จัก มันจะไม่เป็นการเห็นแก่ตัว หรือว่าเอาเปรียบธรรมชาติเกินไปหรือ เพราะทุกสิ่งอย่างขึ้นอยู่กับธรรมชาติ ธรรมชาติให้เราเกิดมา ธรรมชาติก็ให้เราตายไป ธรรมชาติให้เรารู้จักความดีใจ ธรรมชาติก็ให้เรารู้จักความเสียใจ ธรรมชาติทำให้เรารู้จักความสมหวัง ธรรมชาติก็ทำให้เรารู้จักความผิดหวัง ดั่งนั้น ไม่ว่าท่านจะเป็นใครอยู่ที่ไหนก็ไม่สามารถพ้นความผิดความถูก ที่ท่านได้ทำไว้อย่างแน่นอน เพราะทุกท่านอยู่ไต้กฎของธรรมชาติ กฎของธรรมชาตินี้ มีมาตั้งแต่ไหน มีมาตั้งแต่โลกนี้เกิดขึ้นมา จะกี่ร้อยล้านพันล้านปีก็ตาม กฎของธรรมชาตินี้ก็มีมาตั้งแต่นั้น จะมีใครรู้หรือไม่รู้ก็เป็นกฎของธรรมชาติอยู่อย่างนั้น และก็มีไปจนกว่าโลกนี้จะสลายไป แต่ก็มีบางท่านและท่านที่สามารถแหกกฎของธรรมชาติได้ ท่านผู้นั้นก็คือ พระพุทธเจ้าและสาวกของพระองค์ พระพุทธเจ้าเป็นผู้แหกกฎของธรรมชาติได้เป็นท่านแรก เมื่อท่านสามารถแหกกฎธรรมชาติได้แล้ว พระองค์ท่านก็นำเอาวิธีการที่ท่านทำได้นำมาบอกกล่าวแก่สาวกและผู้ที่สนใจจะแหกกฎของธรรมชาติให้ได้รู้ ที่ว่าพระองค์แหกกฎของธรรมชาติอย่างไร? ดั่งที่กล่าวมา ความ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ความ เกิด แก่ เจ็บ ตาย สุข ทุกข์ สรรเสริญ นินทา มีลาภมียศ มีได้มีเสีย สิ่งเหล่านี้เป็นกฎของธรรมชาติ แม้พระพุทธเจ้าจะไม่มาอุบัติขึ้น(เกิด)ในโลกนี้ กฎธรรมชาตินี้ก็มีอยู่ พระพุทธเจ้าพระองค์มาคิดด้วยพระปัญญาของพระองค์ว่า ในเมื่อมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย มันจะต้องมี ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย เพราะว่า เมื่อมีร้อน ยังมีเย็นแก้ เมื่อมีมืด ยังมีสว่างแก้ มีอ่อนยังมีแข็งเป็นของคู่กัน ดังนั้น ทางที่จะไม่เกิดแก่เจ็บคาย ก็ต้องมีแน่นอน พระองค์จึงได้ค้นคว้าหาทางพ้นจากการเกิดแก่เจ็บตาย โดยที่ท่านเอาตัวของพระองค์เองเป็นที่ตั้ง พระองค์ก็มาดำริด้วยพระองค์เองว่า ถ้าเรายังอยู่ครองเรือนอยู่ ทางที่จะพ้นจากการ เกิดแก่เจ็บตาย ก็คงไม่มีทางทำได้ พระองค์จึงได้เสด็จออกบวชเป็นบรรพชิต เมื่อพระองค์ได้บวชเป็นบรรพชิตแล้ว ท่านก็ได้ไปหาศึกษาวิธีการต่างๆ ตามอาจารย์ที่มีอยู่ในสมัยนั้น คือ อาราระดาบด อุคถกดาบด ทั้งสองอาจารย์นี้ ได้สั่งสอนพระองค์จนหมดความสามารถแล้ว แต่พระองค์ก็ยังไม่สามารถที่จะทำให้สมความตั้งพระหฤทัยของพระองค์ไม่ พระองค์จึงได้ออกจากอาจารย์ไปหาทางเอาเอง พระองค์ได้ใช้วิธีการต่างๆแล้วก็ไม่สามารถจะพ้นจากการ เกิดแก่เจ็บตายได้ แต่อย่างไรก็ตาม พระองค์ก็ยังมีความพยายามอยู่ไม่ลดละ แม้แต่พระองค์จะทรมานพระองค์เองโดยการรับประทานอาหารเพียงแต่น้อยและไม่รับเลย ก็ยังไม่เห็นผลเลย ด้วยพระปัญญาของพระองค์เองก็มาเตือนพระองค์ว่า ทุกอย่างต้องมีความพอดีกัน ถ้ามันตึงเกิดไปก็ไม่ดี ย่อยยานเกิดไปก็ไม่ดี ทุกอย่างต้องตั้งอยู่ตรงกลาง คือ มัชฌิมาปฏิปทา คือ ทางสายกลาง ผลสุดท้ายพระองค์ก็สำเร็จมรรคผลนิพพาน ตามที่ท่านทั้งหลายได้ทราบแล้ว แต่บางท่านก็ยังไม่ทราบ และมีมากด้วยที่ไม่ทราบ ทำไหมถึงไม่ทราบและไม่รู้ว่า พระพุทธเจ้าท่านสามารถไม่มาเกิดแก่เจ็บตายอีกเหมือนสัตว์โลกทั้งหลาย ก็เพราะว่าไม่ได้ศึกษาและไม่สนใจในคำสั่งสอนของพระองค์ แม้จะมีผู้นำมาบอกกล่าวให้ทราบให้รู้ก็ไม่รู้ เพราะธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นธรรมที่คัมภีร์ภาพมาก น้อยนักที่สัตว์โลกผู้หนาไปด้วยกิเลส คือ ความโลภโกรธหลวง ครอบหงำอยู่จะเข้าใจและรู้ได้ โลกมนุษย์ที่เกิดความเดือดร้อนวุ่นวายกันอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะไม่มีธรรมในหัวใจเลย ถ้าในโลกนี้มีธรรมอยู่ในใจเพียง 5 ข้อเท่านั้นเอง โลกก็จะสงบเรียบร้อยไม่มีฆ่าพันลันแทงกัน ธรรม 5 ข้อนั้นก็คือศีล 5 นั้นเอง ทุกคนมีศีล 5 ข้อประจำใจไว้ รับรองว่าจะไม่ต้องมีคุกตะรางตำรวจ ก็ไม่ต้องมี เพราะถ้าคนเราไม่คิดฆ่ากัน ก็ไม่มีความจำเป็นต้องมีคุกต้องตำรวจไว้จับกุมคุมขัง ถ้าคนเราไม่คิดลักขโมยกัน ก็ไม่จำเป็นต้องมีคุกตะรางตำรวจไว้จับกุมคุมขัง ถ้าทุกคนไม่คิดเอาลูกเมียของคนอื่นมาเป็นของตนโดยไม่ถูกต้องตามกติกาบ้านเมือง ก็ไม่จำเป็นต้องมีโรงมีศาล ถ้าทุกคนไม่โกหกหลอกหลวงกันให้เสียทรัพย์สินเงินทอง ก็ไม่จำเป็นต้องมีคุกตะรางตำรวจไว้ให้เสียเงินหลวง ข้อสุดท้ายนี้ ถ้าทุกคนไม่ดื่มสุราเมลัยให้เสียสติ ยิ่งไม่ต้องมีกฎหมายเลย เพราะทุกข้อที่ว่ามานั้น ตัวสำคัญท่านเอามาไว้ท้ายๆ เพราะถ้าคนเราเมาสุราเมลัยแล้ว สามารถทำได้ทุกอย่าง เพราะไม่มีสติคุมตัวเองไม่อยู่ ฆ่าคนก็ได้ ลักขโมยเขาก็ได้ ผิดลูกเมียของคนอื่นก็ได้ โกหกหลอกหลวงคนอื่นก็ได้ ทำได้ทุกอย่างเพราะความเมาไม่มีสติ ก็มีที่ไม่ได้เมาทำก็มี แต่ไม่มากเหมือนเมาแล้วทำ จะเห็นได้ว่า ธรรมของพระพุทธเจ้าที่ท่านนำมาสั่งสอนนั้น เป็นประโยชน์แก่คนเป็นจำนวนมาก แต่ก็ไม่มีใครศึกษาให้เข้าใจและนำมาปฏิบัติให้อยู่เย็นเป็นสุขทุกข์จะได้น้อยลง ที่ว่ามานี้เป็นเพียงความคิดและสติปัญญาอ้นน้อยนิด และประสบการณ์ที่เห็นผ่านมา ผิดถูกประการใดนั้นอยู่ที่ท่านทั้งหลายจะพิจารณาเอาเอง ทุกคนมีสิทธิที่จะคิด ทุกคนมีสิทธิที่จะวิพากษ์วิจารณ์ได้ และทุกคนก็สามารถจะเชื่อก็ได้ จะไม่เชื่อก็ได้ เพราะเป็นกฎของธรรมชาติไม่ใครจะบังขับใครได้ จะต้องรู้และเข้าใจด้วยตนเอง เอามาพูดให้เข้าใจง่ายขึ้น ถ้าจะเอาธรรมคัมภีร์ภาพมาพูดตามหลักสูตรก็ยิ่งจะไม่รู้ ก็พยายามจะให้ง่ายแก่การเข้าใจ เป็นภาษาธรรมดาสามัญ ท่านอื่นมีความคิดเห็นเป็นประการใดก็ให้ติติง ไปได้ไม่ต้องเกรงใจ จากใจ พระครูอมรศีลวิสุทธิ์ ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | วรานนท์ [ 21 พ.ค. 2009, 17:42 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อ่านให้รู้ ดูให้มีปัญญา |
![]() ![]() ![]() กระทู้ดีครับ แต่ท่านไม่เว้นวรรคการพิมพ์บ้างเลยครับ กว่าจะอ่านจบ เกือบตาลาย สาธุครับ ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | tanaphomcinta [ 21 พ.ค. 2009, 18:05 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อ่านให้รู้ ดูให้มีปัญญา |
![]() ![]() ![]() เพราะคนเราสายตาก็อย่างว่านั้นแหละ ถ้ามันไม่มีว่างบ้าง ก็อ่านลำบากจริงๆ ยิ่งตัวหนังสือก็ไม่ใหญ่ด้วย ถ้าจะทำให้ตัวใหญ่ก็กลัวเปรืองที่เว็บท่านก็เอาแค่นี้ละนะ ขอบคุณที่ติชม ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | อมิตาพุทธ [ 21 พ.ค. 2009, 21:28 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อ่านให้รู้ ดูให้มีปัญญา |
"พระธรรมมิใช่ตายตัวอยู่กับอักษร แต่ล้วนเกิดด้วยปัญญาญาณล้ำลึกของผู้เข้าถึง" สาธุด้วยครับ ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | คนไร้สาระ [ 22 พ.ค. 2009, 05:30 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อ่านให้รู้ ดูให้มีปัญญา |
![]() ![]() ![]() เป็นปัตจัตตัง รู้ได้เฉพาะตนจริง ๆ ค่ะ สาธุ..สาธุ ..สาธุ |
เจ้าของ: | jintana63 [ 22 พ.ค. 2009, 21:11 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อ่านให้รู้ ดูให้มีปัญญา |
อนุโมทนาสาธุค่ะ ![]() ![]() ![]() เป็นธรรมะที่อ่านแล้วเข้าใจง่ายดีค่ะ ![]() ด้วยความเคารพ ![]() |
เจ้าของ: | tanaphomcinta [ 24 พ.ค. 2009, 14:31 ] | |||
หัวข้อกระทู้: | Re: อ่านให้รู้ ดูให้มีปัญญา | |||
ยุคนี้เป็นยุคที่ควรประหยัด เลยนำเอาสิ่งประหยัดมาฝาก เป็นการนำเอาท้อ pvc มาทำเป็นราวตากผ้าในห้องน้ำ เสียตังค์ไม่เท่าไหรก็ได้ที่ตากผ้า และฝักบัวอาบน้ำด้วย ดูเอาตามภาพท่านคงจะทำได้นะ ที่แรกก็ตัดท้อ pvc 6 หุน 15 ซ.ม แล้วนำส่วนข้างหนึ่งเอาตาปู นิ้วครึ่งตอกเข้าไป หลังจากนั้น ก็เจาะพนังห้องน้ำ พอเอาท้อ pvc ที่ตอกตาปูแล้วฝังเข้าไป ใช้ปูน ฉาบอัดเข้าไป ลอเวลาให้ปูนแข็งตัวดีแล้วก็นำข้อต่อมาต่อเข้าจัดการเอาตามใจชอบ ฝักบัวก็เหมือนกันคงไม่ยากเกินไปนะ
|
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |