วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 13:15  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 40 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2009, 13:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 พ.ค. 2009, 13:03
โพสต์: 13

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณพลศักดิ์อธิบายเรื่องเจตนาของกาย ไม่เหมือนกับเจตนาของใจ เจตนาของใจต้องคิดเป็นอกุศลจึงจะเป็นบาป แต่เจตนาของกาย ไม่ว่าจะเป็นชาวประมงหรือเป็นโจร กายหรือมือของเขาต้องฆ่าอยู่แล้ว การฆ่าของชาวประมงไม่บาป ด้วยจิตไม่ปรุงแต่งเป็นอกุศล ส่วนการฆ่าของโจรบาป เพราะจิตเป็นอกุศล

ผมในฐานะสมาชิกใหม่ เพิ่งสมัครวันนี้ และเพิ่งตั้งกระทู้ครั้งแรกในเว็บนี้ ผมจึงนำคำตอบของคุณพลศักดิ์ที่ตอบคุณ "กามโภคี" มาแยกตั้งกระทู้ใหม่ ทั้งนี้เพื่อพวกเราจะได้ถกเถียง และเข้าใจเรื่องศีล 5 ที่พระพุทธเจ้าสั่งสอนได้ถูกต้องตามความเป็นจริงสักที


พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เขียน:
คุณ "กามโภคี" ครับ


1. ผมน่ะเข้าใจเรื่องเจตนาทางกาย วาจา และใจดีมาก ผมจะอธิบายให้คุณฟังจากอาชีพโจรปล้นฆ่าและอาชีพประมง

2. ถูกต้องครับ ! โจรปล้นเขากิน ฆ่าเขากิน ก็จัดว่าเป็นอาชีพของเขา จับปลาก็เป็นอาชีพเหมือนกัน เพชรฆาตก็เป็นอาชีพ ค้าอาวุธ ค้ายาเสพติดก็เป็นอาชีพ แต่อาชีพมี 2 อย่าง คือ สัมมาอาชีพ กับ มิจฉาอาชีพ ความแตกต่างของอาชีพทั้ง 2 อยู่ที่

คนที่ประกอบสัมมาอาชีพ มีโอกาสน้อยกว่า และมีจำนวนครั้งน้อยกว่า ที่จิตจะคิดเป้นอกุศล ส่วนคนที่ประกอบ มิจฉาอาชีพ เช่น เป็นโจรปล้นฆ่าเขากิน จะเห็นว่า แม้ว่าอาชีพทั้ง 2 กาย(มือ)ต้องทำการฆ่าเหมือนกัน ชาวประมงจะฆ่าเยอะกว่าด้วย แต่โอกาสน้อยที่จิตของชาวประมงจะคิดเป็นอกุศล ในขณะที่โจรปล้นฆ่าเขากินเป็นไปได้น้อยมากที่จิตเขาจะไม่คิดอกุศล

ด้วยเหตุนี้ บาปจึงเกิดกับโจรปล้นฆ่าเขากิน แต่ไม่เกิดกับชาวประมงที่จับและฆ่าปลา เข้าใจหรือยังครับ เจตนาทางกาย กับ เจตนาทางใจ มันไม่เหมือนกัน นอกจากนี้ ยิ่งสัตว์นั้นเล็กและไม่มีประโยชน์กับมนุษย์เท่าไร จิตของเราก็จะยิ่งไม่มีอกุศลมากขึ้น เช่น หมอให้ยาฆ่าเชื้อ หรือฆ่าพยาธิ มือหมอก็ฆ่าเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม จิตของหมอจะไม่คิดว่าทำบาป จากการฆ่าเชื้อโรคหรือฆ่าพยาธิตายไปมากมาย ในทางตรงกันข้าม จิตของหมอเขากลับคิดเป็นกุศลว่า ได้ช่วยคนไข้เอาไว้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2009, 15:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


แหม๋ ไวจัง..... :b12: :b12: :b12:

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2009, 16:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

สวัสดีครับ น้องใหม่ไฟแรง
ขอให้มีความสุขในลานธรรมจักรแห่งนี้นะครับ


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2009, 16:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เขียน:
คุณ "กามโภคี" ครับ
1. ผมน่ะเข้าใจเรื่องเจตนาทางกาย วาจา และใจดีมาก ผมจะอธิบายให้คุณฟังจากอาชีพโจรปล้นฆ่าและอาชีพประมง


แหม๋ ยังจะมาบอกว่าเข้าใจอีก บอกว่าไม่มีหรอกเจตนาทางกาย ถ้าจะมีตามคัมภีร์บ้าง ก็ไม่ได้หมายถึงอย่างที่คุณ
เข้าใจหรอก เขาหมายถึง จิตที่เกิดขึ้นแล้วเป็นเหตุให้ทำกรรมทางกายทวาร เช่นเมื่อจิตดวงนี้เกิดขึ้น ชาวประมง
ก็เริ่มออกเรือ แม้ในขณะที่ออกเรือจะคิดเรื่องอื่น แต่จิตดวงนี้ เรียกว่า วธกจิต เหมายถึงมีจิตคิดจะฆ่า ดูที่บาลี
หน่อย ไม่ได้ใช้คำว่าเจตนานะ แต่เพื่ออธิบายให้เข้าใจง่าย เขาเลยใช้คำว่าเจตนาไป คนทั่วไปมองง่ายกว่า จิตที่
เกิดแล้วผลักดันให้เกิดกรรมทางกายเช่นการฆ่า เรียกอกุศลจิต แม้ขณะฆ่าคุณจะคิดเรื่องอื่น คุณก็ผิดตามนี้
เพราะ วธกจิต จิตคิดฆ่าดวงนี้คุณเกิดไปแล้ว
การเกิดดับของจิตชั่วดีดนิ้วนั้นอาจมากถึงหนึ่งล้านล้านครั้ง คุณเลยคิดว่าไม่มีจิตปรุงแต่งที่เป็นอกุศลขณะที่ทำ
ความจริงมันเกิดขึ้นแล้ว จิตตัวที่เป็นเหตุออกเรือไปหาปลานั่นอ่ะ มันเกิดแล้ว แค่เกิดก็เป็นละเมิดองค์ปาณาติบาต
ตามข้อนี้ ไม่ไช่ต้องอยู่กับจิตที่คิดฆ่าดวงนั้นดวงเดียวที่ไหน ท่านหมายเอาจิตคิดฆ่าครั้งแรกที่เกิดเป็นตัวนำ
ไฟฟ้ากระแสสลับกระพริบครั้ง 50 ครั้งต่อวินาที คุณมองหลอดไฟยังจับไม่ได้เลย คุณจะจับขณะจิตที่ถี่มากกว่าได้
อย่างไร
คำว่าเจตนาทางกายที่คุณอธิบายมา เหมือนจะแยกออกจากเจตนาทางใจ แสดงว่าคุณกำลังเข้าใจว่า กายมีความ
คิดหรือ
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เขียน:
2. ถูกต้องครับ ! โจรปล้นเขากิน ฆ่าเขากิน ก็จัดว่าเป็นอาชีพของเขา จับปลาก็เป็นอาชีพเหมือนกัน เพชรฆาตก็เป็นอาชีพ ค้าอาวุธ ค้ายาเสพติดก็เป็นอาชีพ แต่อาชีพมี 2 อย่าง คือ สัมมาอาชีพ กับ มิจฉาอาชีพ ความแตกต่างของอาชีพทั้ง 2 อยู่ที่

คนที่ประกอบสัมมาอาชีพ มีโอกาสน้อยกว่า และมีจำนวนครั้งน้อยกว่า ที่จิตจะคิดเป้นอกุศล ส่วนคนที่ประกอบ มิจฉาอาชีพ เช่น เป็นโจรปล้นฆ่าเขากิน จะเห็นว่า แม้ว่าอาชีพทั้ง 2 กาย(มือ)ต้องทำการฆ่าเหมือนกัน ชาวประมงจะฆ่าเยอะกว่าด้วย แต่โอกาสน้อยที่จิตของชาวประมงจะคิดเป็นอกุศล ในขณะที่โจรปล้นฆ่าเขากินเป็นไปได้น้อยมากที่จิตเขาจะไม่คิดอกุศล

ด้วยเหตุนี้ บาปจึงเกิดกับโจรปล้นฆ่าเขากิน แต่ไม่เกิดกับชาวประมงที่จับและฆ่าปลา เข้าใจหรือยังครับ เจตนาทางกาย กับ เจตนาทางใจ มันไม่เหมือนกัน นอกจากนี้ ยิ่งสัตว์นั้นเล็กและไม่มีประโยชน์กับมนุษย์เท่าไร จิตของเราก็จะยิ่งไม่มีอกุศลมากขึ้น เช่น หมอให้ยาฆ่าเชื้อ หรือฆ่าพยาธิ มือหมอก็ฆ่าเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม จิตของหมอจะไม่คิดว่าทำบาป จากการฆ่าเชื้อโรคหรือฆ่าพยาธิตายไปมากมาย ในทางตรงกันข้าม จิตของหมอเขากลับคิดเป็นกุศลว่า ได้ช่วยคนไข้เอาไว้


นอกจากจะไม่เข้าใจเรื่องเจตนาดีแล้ว ยังโมเมกรรมที่เป็นมิจฉากัมมันตะว่าเป็นสัมมาอาชีวะอีก ตกลงเข้าใจ
อะไรจริงบ้างป่าว อาชีพที่ต้องฆ่าสัตว์ทุกอย่าง จัดเป็นมิจฉากัมมันตะทั้งหมดนั่นแหละ ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์
ประพฤติผิดในกาม จัดเป็นมิจฉากัมมันตะ ส่วนที่ว่าอาชีวะ ท่านกล่าวเว้นจากการโกงเป็นต้น
ทำประมงแม้ดูว่าจะไม่จัดในสัมมาอาชีวะโดยตรงนักตามข้อหลัก แต่อนุมานได้ว่าเป็นมิจฉาอาชีวะ เพราะการงาน
เป็นปัจจัยหนึ่งของการเลี้ยงชีวิตชีวิตอยู่ได้ การงานทำให้เลี้ยงชีพได้นั่นเอง ส่วนเรื่องโจรชัดอยู่ในตัว
ข้อนี้พึงตรองดู ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่า ทำไมคุณถึงกล่าวว่า กามราคะเป็นยอดอริยมรรคได้
เจตนาทางกาย กับ เจตนาทางใจไม่เหมือนกัน คุณไม่ต้องยกอุปมาหรือเรื่องราว เอาเป็นอรรถเป็นธรรม
เป็นวิชาการหน่อย ไม่ต้องยกตัวอย่าง ธรรมดาอยู่อะไรที่ถูกต้องธรรมวินัย ต้องได้ทั้งบุคคลาทิฏฐานา และ
ธรรมฏทิฐานา คือต้องเห็นทั้งยกตัวอย่างได้ และ เป็นวิชาการได้ ข้อนี้คุณอธิบายเชิงวิชาการมา

ข้อเรื่องหมอใช้ยาฆ่าเชื้อ ผมมีข้อให้เข้าใจก่อนดังนี้

สิ่งมีชีวิตตามพระพุทธศาสนาคือ (หมายถึงปาณะตามองค์ประกอบ)
๑.ต้องมีรูปหรือกาย
๒.ต้องมีจิต
๓.ต้องมีเจตสิก
๔.อาศัยปาณ(หรือลม)
๕.ต้องมีกรรมเป็นผลปรากฏ

เชื้อโรคมีเหล่านี้หรือเปล่า คุณก็คิดเอาเอง และให้เข้าใจว่า ชีวิตตามหลักวิทยาศาสตร์ไม่ตรงกันกับทางพระพุทธ
ศาสนาในทุกประเด็นนะครับ เช่นต้นไม้ ไม่มีกรรม ทางวิทยาศาสตร์จัดว่าเป็นสิ่งมีชีวิต แต่ทางพุทธ ท่านไม่จัด
ครับ

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2009, 18:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นาม "ใบไม้นอกกำมือ" คุ้นๆ :b9: :b32: :b4:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2009, 19:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ "กามโภคี" ครับ


1. คุณใช้ภาษาธรรมะเสียสวยหรู แต่ตัวเองไม่เข้าใจ คนอื่นก็ไม่เข้าใจ มันจะมีประโยชน์อะไร นอกจากใช้เพื่อจะอวดตัว และอวดภูมิว่ารู้ธรรมะเท่านั้นแหละ ประเภทนี้ผมเจอมาเยอะ

2. "อาชีพที่ต้องฆ่าสัตว์ทุกอย่าง จัดเป็นมิจฉากัมมันตะทั้งหมดนั่นแหละ"

ตกลงไม่ต้องมีพระพุทธเจ้าแล้ว เพราะคุณ"กามโภคี"บัญญัติคัมภีร์ศาสนาพุทธใหม่แล้ว

3. แล้วพวกพยาธิที่หมให้ยาคนไข้กินเพื่อฆ่ามัน พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตตามพระพุทธศาสนาคือ (หมายถึงปาณะตามองค์ประกอบ)ใช่หรือเปล่า

๑.ต้องมีรูปหรือกาย
๒.ต้องมีจิต
๓.ต้องมีเจตสิก
๔.อาศัยปาณ(หรือลม)
๕.ต้องมีกรรมเป็นผลปรากฏ

*** พวกที่เป็นบัวใต้น้ำ หาใช่คนอื่นไม่ คือพวกบ้าตำรา พวกปริยัตินี่เอง คนประเภทนี้สอนไม่ได้ ชี้แนะเขาก็ไม่ฟัง เพราะมีทิฏฐิมานะ เป็นมิจฉาทิฏฐิ เกิดจากตนเองไปคิดว่าแน่กว่าคนอื่นนั่นเอง ***


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2009, 19:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
นาม "ใบไม้นอกกำมือ" คุ้นๆ :b9: :b32: :b4:


อย่าไปสนใจอดีตชาติเขาเลย น่าอิจฉานาย"ใบไม้นอกกำมือ" เอาความเห็นของผมไปตั้งกระทู้ใหม่ แต่ก็ดีครับ ผมนายพลศักดิ์ตั้งกระทู้ใหม่ในเว็บนี้ไม่ได้แล้ว เขาตั้งให้ ผมต้องขอขอบคุณเขา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2009, 20:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เขียน:
คุณ "กามโภคี" ครับ


1. คุณใช้ภาษาธรรมะเสียสวยหรู แต่ตัวเองไม่เข้าใจ คนอื่นก็ไม่เข้าใจ มันจะมีประโยชน์อะไร นอกจากใช้เพื่อจะอวดตัว และอวดภูมิว่ารู้ธรรมะเท่านั้นแหละ ประเภทนี้ผมเจอมาเยอะ


ผมคิดว่าคนที่เข้ามาอ่านที่บอร์ดแห่งนี้ กว่าครึ่งหนึ่งเข้าใจที่ผมพูด และคัดค้านของคุณ มากเสียด้วย
แต่ คนทั่วไปอาจเห็นว่า การมาต่อล้อต่อเถียงกับคุณ ไร้ประโยชน์ไร้สาระ มุมมองผม ไร้สาระก็ต้องทำ เพราะ
บอร์ดที่นี่ไม่มีกรอง ผมก็กรองเอง เพราะที่นี่เปิดกว้าง(เกินไป) ผมก็ต้องหารทางให้มาอยู่ในหลักบ้าง ไม่อุตริ
มาสร้างหลักการพิเลนแล้วให้เขาไล่แบบที่พันทิปเขาไล่มาแล้ว

พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เขียน:
2. "อาชีพที่ต้องฆ่าสัตว์ทุกอย่าง จัดเป็นมิจฉากัมมันตะทั้งหมดนั่นแหละ"
ตกลงไม่ต้องมีพระพุทธเจ้าแล้ว เพราะคุณ"กามโภคี"บัญญัติคัมภีร์ศาสนาพุทธใหม่แล้ว


ไปหาดูที่พระไตรปิฏกครับ มีบอกไว้ชัด ปาณาติบาติกรรม เป็นมิจฉากัมมันตะ ผมไม่อุตริมาพูดหรอกคุณ

3. แล้วพวกพยาธิที่หมให้ยาคนไข้กินเพื่อฆ่ามัน พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตตามพระพุทธศาสนาคือ (หมายถึงปาณะตามองค์ประกอบ)ใช่หรือเปล่า

๑.ต้องมีรูปหรือกาย
๒.ต้องมีจิต
๓.ต้องมีเจตสิก
๔.อาศัยปาณ(หรือลม)
๕.ต้องมีกรรมเป็นผลปรากฏ

พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เขียน:
*** พวกที่เป็นบัวใต้น้ำ หาใช่คนอื่นไม่ คือพวกบ้าตำรา พวกปริยัตินี่เอง คนประเภทนี้สอนไม่ได้ ชี้แนะเขาก็ไม่ฟัง เพราะมีทิฏฐิมานะ เป็นมิจฉาทิฏฐิ เกิดจากตนเองไปคิดว่าแน่กว่าคนอื่นนั่นเอง ***


ถ้าเชื่อว่าคนอื่นบ้าตำรา เป็นคนหนักปริยัติ หรือเขาสอนไม่ได้ ชีแนะเขาไม่ฟัง เขามีทิฏฐิ ก็จงหาเหตุผลมาหัก
ล้างตำรา หักล้างปริยัติ เขาฉลาดเลือกคนที่จะสอนเขาก็อย่าหาว่าเขาสอนไม่ได้ ชี้แนะเขาไม่ถูกทาง ก็อย่าว่าเขา
ชี้แนะไม่ได้ เขามีทิฏฐิเพราะเขาศึกษามาแล้ว ก็อย่าว่าเขามีทิฏฐิ เขาเห็นต่างจากตัวเองก็ไม่ควรว่าเขาเป็น
มิจฉาทิฎฐิ เขาอาจไม่คิดว่าตัวเขาแน่หรอกที่ทำแบบนี้ เขาคิดว่าเขาปกป้องพระพุทธศาสนาที่เขาเชื่อว่านำเขา
หลุดพ้นได้ และที่สำคัญ คนที่คุณกำลังสนทนาอยู่ด้วย เขาอาจไม่ไช่คนที่อ่านแล้วจำอย่างเดียว จะปรามาสคนอื่น
ก็ควรจะตำหนิตนเองก่อน จะกล่าวสอนใคร ก็ควรจะสอนตนเองก่อน จะสอนธรรมแก่ใครๆ ก็ควรจะตั้งอยู่ในธรรม
นั้นก่อน


อธิิบายให้คุณพลศักดิ์หน่อย

หมายเหตุ ข้อที่ ๕ ใส่ ( ) ไปหน่อยนะครับคุณพลศักดิ์
ข้อที่ ๑ มีรูปกาย คือรูปขันธ์ ครับ คุณคงเข้าใจ
ข้อที่ ๒ มีวิญญาณขันธ์ หมายถึงมีสภาวะที่มีจิตรับรู้อารมณ์ประจำำหรือครองรูปขันธ์นั้นอยู่
ข้อที่ ๓ มีเวทนา สัญญา สังขาร
ข้อที่ ๔ ที่ใช้คำว่าปาณะ เพื่อให้แคบเข้า เข้าใจง่าย
ข้อที่ ๕ หมายถึง สัตว์นั้น หรือรูปนั้นมีครบ ๔ ข้อต้นแล้ว ประกอบด้วยเหตุ ๓ อีก คือ กิเลส กรรม และผลกรรม

นึกออกหรือยังว่าเชื้อโรคน่าจะจัดเข้าหรือเปล่า อธิบายเสริมแล้วนะคุณพลศักดิ์ คุณเข้าใจว่าคุณรู้จริงแล้ว
บางโพสคุณบอกว่าบรรลุหรือพูดทำนองว่าบรรลุธรรมแล้ว ผมก็ไม่เฉลยหรอกครับ ถ้าคุณสงสัยว่าคำตอบคืออะไร
แน่ ก็ให้เข้าใจเถิดครับ องค์คุณเรื่องมรรคผลนิพพานคุณยังไม่ครบ

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2009, 20:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


เห็นชื่อแว๊บๆตรงบุคคลออนไลน์ ดึกๆอาจมาดูอีกครั้งครับคุณพลศักดิ์

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2009, 20:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


ทุกท่านครับ



ผมเห็นคุณกบนอกกะลาตอบได้ตรงใจผม ผมเลยนำมาฝาก

กบนอกกะลา เขียน:
หมอรักษาโรคพยาธิ ให้ยา คิดแค่ให้คนป่วยหาย...ไม่บาป :b12:
หมอรักษาโรคพยาธิ ให้ยา คิดว่าให้พยาธิตาย แล้วคนป่วยจะได้หาย.....บาป :b5:

เจ้าของร้านทำผ้าไหม สั่งลูกน้องทำผ้าไหม ลูกน้องเอารังไหมไปต้มตามขั้นตอน..เจ้าของไม่บาป :b12:
เจ้าของร้านทำผ้าไหม สั่งลูกน้องทำผ้าไหม สังให้ต้มรังไหมให้ดี ๆ ..เจ้าของบาป :b5:

เจ้าของบ้านมีปลวก สั่งบริษัทกำจัดปลวกมาฉีดยากันปลวกไม่ให้ขึ้นบ้าน ...ไม่บาป :b12:
เจ้าของบ้านมีปลวก สั่งบริษัทกำจัดปลวกมาฉีดยาฆ่าปลวกไม่ให้ขึ้นบ้าน ... บาป :b5:

ฉลาดคิด..ฉลาดพูด..ฉลาดทำ.. :b17:

ปลาก็ต้องการลม/อากาศ เพื่อการหายใจนะ แต่เอาอากาศจากน้ำนะ อิ . อิ . อิ . :b2:

ผมรู้แล้วว่า ทำไม่..เขาจึงแบนคุณพลศักด์นักหนา..อิ.อิ

กิเลสมาร..มารในหัวใจของคนอื่นนะ..สำคัญไฉน
กิเลสมาร..มารในหัวใจเจ้าของนี้นะ..ฆ่าให้ได้ก่อนเถอะ อิ.อิ.อิ.

ผมนะ มีเติม แต่ยังหาไม่เจอ.. 555


ขอคารวะด้วยใจจริง

คุณกบนอกกะลาเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนภิกษุว่า:

ภิกษุสามารถฉันเนื้อที่ชาวบ้านนำมาบิณฑบาตร ....ไม่ต้องอาบัติ
แต่ถ้าภิกษุนั้นไปสงสัยว่า ชาวบ้านอาจจะไปฆ่าเนื้อมาเพื่อบิณฑบาตร ....ต้องอาบัติ

แท้จริง บาปนั้นขึ้นอยู่กับจิตคิดปรุงแต่งเป็นอกุศล นั่นเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2009, 20:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ"กามโภคี" ครับ


1. ผมคิดว่าคนที่เข้ามาอ่านที่บอร์ดแห่งนี้ กว่าครึ่งหนึ่งเข้าใจที่ผมพูด และคัดค้านของคุณ มากเสียด้วย
แต่ คนทั่วไปอาจเห็นว่า การมาต่อล้อต่อเถียงกับคุณ ไร้ประโยชน์ไร้สาระ มุมมองผม ไร้สาระก็ต้องทำ เพราะ
บอร์ดที่นี่ไม่มีกรอง ผมก็กรองเอง เพราะที่นี่เปิดกว้าง(เกินไป) ผมก็ต้องหารทางให้มาอยู่ในหลักบ้าง ไม่อุตริ
มาสร้างหลักการพิเลนแล้วให้เขาไล่แบบที่พันทิปเขาไล่มาแล้ว

....ใช้วิธีของอภิสทธิ์อีกแล้ว บอกว่าประชาชนไม่เดือดร้อนที่ตนเองขึ้นราคาน้ำมัน ประชาชนก็คือ อภิสิทธิ์ กับสุเทพ และพรรคพวก นอกนั้นไม่ใช่ประชาชนมั๊ง ผมคิดว่า คนอ่านบอร์ดนี้กว่า 80% ที่คัดค้านผม แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมผิด สมัยก่อนคนส่วนใหญ่ก็คิดว่าโลกแบน แล้วจับคนที่คิดว่าโลกกลมไปฆ่า แล้วสุดท้ายเป็นยังไงครับ

คำสอนของพระพุทธเจ้าพิเลนหรือเปล่าครับ คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ผมเข้าใจถึงแก่น ตกลงผมพิเลนหรือครับ


2. "อาชีพที่ต้องฆ่าสัตว์ทุกอย่าง จัดเป็นมิจฉากัมมันตะทั้งหมดนั่นแหละ"

พลศักดิ์ เขียน ....ตกลงไม่ต้องมีพระพุทธเจ้าแล้ว เพราะคุณ"กามโภคี"บัญญัติคัมภีร์ศาสนาพุทธใหม่แล้ว

กามโภคีเขียน...ไปหาดูที่พระไตรปิฏกครับ มีบอกไว้ชัด ปาณาติบาติกรรม เป็นผมไม่อุตริมาพูดหรอกคุณ

.... อาชีพประมง เป็นมิจฉากัมมันตะหรือครับ แล้วชาวประมงทุกคนต่างก็ทำปาณาติบาติบาตรยังงั้นซิ นี่แหละที่ผมบอกว่า คุณ"กามโภคี"กำลังบัญญัติคัมภีร์ศาสนาพุทธใหม่แล้ว

3. แล้วพวกพยาธิที่หมให้ยาคนไข้กินเพื่อฆ่ามัน พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตตามพระพุทธศาสนาคือ (หมายถึงปาณะตามองค์ประกอบ)ใช่หรือเปล่า

๑.ต้องมีรูปหรือกาย
๒.ต้องมีจิต
๓.ต้องมีเจตสิก
๔.อาศัยปาณ(หรือลม)
๕.ต้องมีกรรมเป็นผลปรากฏ


อธิิบายให้คุณพลศักดิ์หน่อย

หมายเหตุ ข้อที่ ๕ ใส่ ( ) ไปหน่อยนะครับคุณพลศักดิ์
ข้อที่ ๑ มีรูปกาย คือรูปขันธ์ ครับ คุณคงเข้าใจ
ข้อที่ ๒ มีวิญญาณขันธ์ หมายถึงมีสภาวะที่มีจิตรับรู้อารมณ์ประจำำหรือครองรูปขันธ์นั้นอยู่
ข้อที่ ๓ มีเวทนา สัญญา สังขาร
ข้อที่ ๔ ที่ใช้คำว่าปาณะ เพื่อให้แคบเข้า เข้าใจง่าย
ข้อที่ ๕ หมายถึง สัตว์นั้น หรือรูปนั้นมีครบ ๔ ข้อต้นแล้ว ประกอบด้วยเหตุ ๓ อีก คือ กิเลส กรรม และผลกรรม

นึกออกหรือยังว่าเชื้อโรคน่าจะจัดเข้าหรือเปล่า อธิบายเสริมแล้วนะคุณพลศักดิ์ คุณเข้าใจว่าคุณรู้จริงแล้ว
บางโพสคุณบอกว่าบรรลุหรือพูดทำนองว่าบรรลุธรรมแล้ว ผมก็ไม่เฉลยหรอกครับ ถ้าคุณสงสัยว่าคำตอบคืออะไร
แน่ ก็ให้เข้าใจเถิดครับ องค์คุณเรื่องมรรคผลนิพพานคุณยังไม่ครบ

....ตกลงคุณก็ยอมรับแล้วนิว่า พยาธิครบองค์ อย่างนั้นพวกหมอที่ให้ยาฆ่าพยาธิเพือรักษาคนไข้ ก็ทำบาปซิ แล้วเป็นหมอก็เป็นมิจฉากัมมันตะซินะ

เมือคุณไม่รับคำชี้แนะของผม ผมขอนำเอาคำชี้แนะของคุณกบนอกกะลา มาชี้แนคุณแทน

[quote="กบนอกกะลา"]หมอรักษาโรคพยาธิ ให้ยา คิดแค่ให้คนป่วยหาย...ไม่บาป :b12:
หมอรักษาโรคพยาธิ ให้ยา คิดว่าให้พยาธิตาย แล้วคนป่วยจะได้หาย.....บาป :b5:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2009, 21:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


พุทธสุภาษิต วันละนิดจิตแจ่มใส :b12: :b12:

แม้หม้อน้ำยังเต็มด้วยหยาดน้ำฉันใด
คนเขลาสั่งสมบาปแม้ทีละน้อย ๆ ก็เต็มด้วยบาปฉันนั้น


ผู้ทำบาป ย่อมเศร้าโศกในโลกนี้ ละไปแล้วก็เศร้าโศก ชื่อว่าเศร้าโศกในโลกทั้งสองเขาเห็นกรรมอันเศร้าหมองของตน จึงเศร้าโศกและเดือดร้อน

ถ้าฝ่ามือไม่มีแผล ก็พึงนำยาพิษไปด้วยฝ่ามือได้
ยาพิษซึมเข้าฝ่ามือไม่มีแผลไม่ได้ฉันใด บาปย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่ทำฉันนั้น


ควรงดเว้นบาปเสีย เหมือนพ่อค้ามีพวกน้อยมีทรัพย์มาก
เว้นหนทางที่มีภัย และเหมือนผู้รักชีวิตเว้นยาพิษเสียฉะนั้น


:b51: :b52: :b53:

พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)

เรื่องของบาปนี่ถ้าเราดูกันเผิน ๆ ก็ไม่มีอะไรที่จะน่าเป็นบาปคำสอนของพระพุทธเจ้านี่บางทีเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็เป็นบาป มากก็เป็นบาป ความจริงมันก็บาปจริง ๆ ทำน้อยก็บาปน้อย ทำมากก็บาปมาก เช่นอย่างเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ อย่างในเรื่องสามาวดี มีพระเถรีท่านหนึ่งชื่อนางขุชุชตรา เป็นสาวกของพุทธเจ้าพระสมณโคดม เป็นผู้แตกฉานในพระไตรปิฏก ในบรรดาสาวิกาทั้งหลาย ก็มีท่านผู้นี้แหละเก่งที่สุด แต่ท่านผู้นี้มีบาปติดตัว เป็นคนหลังค่อม สาเหตุเนื่องจากท่านไปนึกตำหนิพระปัจเจกพุทธเจ้า ในสมัยหนึ่งท่านเป็นนางสนมในพระราชวังเมืองหนึ่งที่ประเทศอินเดีย ในสมัยของพระเจ้าพรหมทัต ซึ่งนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้า ไปรับบิณฑบาตที่ในวังทุกวัน ทีนี้อยู่มาวันหนึ่งนางสนมคนนั้น เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าหลังค่อม ไปบิณฑบาต บางทีเวลาเล่นกัน ก็ลากเอาผ้ากำพลมาห่ม เอาขันมาอุ้ม ทำทีเป็นพระบิณฑบาตแล้วก็ทำหลังค่อม เลียนแบบพระปัจเจกพุทธเจ้า

ทีนี้หลังจากนั้น พอนางตายแล้ว เกิดในชาติใดภพใดก็เกิดเป็นคนหลังค่อม จนกระทั่งมาถึงศาสนาของพระพุทธเจ้าเรานี้ ก็ยังเป็นคนหลังค่อมอยู่ นอกจากนั้นก็ยังเป็นคนใช้เขาทุกภพทุกชาติ เพราะสาเหตุที่ได้ไปใช้นางภิกษุณีซึ่งเป็นพระอรหันต์ หยิบของส่งให้นิดเดียวเท่านั้นแหละ บาปกรรมอันนั้นทำให้นางต้องไปเป็นคนใช้เขาทุกภพทุกชาติ แต่อานิสงส์ที่ทำให้นางได้เป็นผู้แตกฉาน ในพระไตรปิฏก ก็พระปัจเจกพุทธเจ้าจำนวนนั้นอีกนั้นแหละไปบิณฑบาต ชาวบ้านใส่ของให้เป็นของร้อน ท่านก็จับถือบาตรของท่าน เดี๋ยวเปลี่ยนมือเปลี่ยนไม้อยู่บ่อย ๆ นางมีกำไลแขนงอยู่ ๘ อัน ก็เลยเอาเข้าไปถวายพระปัจเจกพุทธเจ้าเพื่อให้ท่านได้รองมือกันร้อน พระอานิสงส์อันนี้ ทำให้นางเกิดมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด แตกฉานในพระไตรปิฏก ในเมื่อสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว

ในเมื่อพูดถึงเรื่องบาปมันก็บาปมาก พูดถึงเรื่องบุญ มันก็บุญมากเหมือนกัน เพราะฉะนั้น บุญเล็ก ๆ น้อย ๆ บาปเล็ก ๆ น้อย ๆ ผู้ที่มุ่งที่จะปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจึงไม่ควรประมาท ควรสังวรระวัง โอ่งซึ่งเขาตั้งเปิดปากไว้ในกลางแจ้ง ย่อมไม่เต็มด้วยน้ำฝน ที่ตกลงมาทีละหยดทีละหยาดฉันใด บุญกุศลที่เราทำ หรือบาปที่เราทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ย่อมไม่เต็ม แต่เมื่อฝนตกลงมาบ่อย ๆ ตุ่มก็เต็มไปด้วยน้ำ บุญที่เราทำบาปที่เราทำบ่อย ๆ ก็ทำให้จิตใจของเราเต็มไปด้วยบุญด้วยบาปเช่นเดียวกัน


เพราะฉะนั้น

บัณฑิตผู้มีความฉลาดย่อมไม่ดูหมิ่นบาปบุญแม้เพียงเล็กน้อย บาปนิดหน่อยก็ไม่ทำ บุญนิดหน่อยก็ย่อมทำ …..ทำสะสมไว้ทีละน้อย ๆ คนเรานี้ทำดีได้กันทุกคน ถ้ารักดี แต่ถ้าเราไม่รักดี เราจะทำดีไม่ได้ คนชั่วทำความชั่วได้ง่าย แต่คนชั่วทำดีได้ยาก คนดีก็ทำดีได้ง่ายเหมือนกัน แต่คนดีทำชั่วได้ยาก นี่เรื่องของเรื่องเป็นอย่างนี้ อันนี้ขอฝากทุกท่านไว้พิจารณา

อย่าดูหมิ่น บุญ บาป ประมาณน้อย
ว่าจะไม่ตามต้องสนองผล
แม้ตุ่มน้ำที่ รอง รับสายชล
ยังเปี่ยมล้นด้วยหยาดน้ำที่ตกมา

๛ Nirvana ๛

:b8:

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2009, 00:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ ฌาณ ครับ


เขากำลังถกกันถึงเรื่องที่มาของบาปในศีลข้อ 1 ปาณาติบาต ครับ
ผมบอกว่า ปาณาติบาตนั้นมาจากเจตนาในใจต้องเป็นอกุศล ส่วนกายนั้นมันฆ่าแน่นอนอยู่แล้ว ถ้าใจเป็นอกุศล มันก็เป็นบาปกรรม แต่ถ้าใจไม่ได้เป็นอกุศล มันก็ไม่เป็นบาปกรรม ไม่มีการผิดศีลข้อปาณาติบาต แต่อย่างใด

พระพุทธเจ้าครัสว่า "เรากล่าวเจตนาว่าเป็นกรรม" และว่า “ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกสิ่งสำเร็จด้วยใจ” เราจะเอากายและวาจามากำหนดบาปบุญย่อมไม่ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2009, 00:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เขียน:
คุณ ฌาณ ครับ


เขากำลังถกกันถึงเรื่องที่มาของบาปในศีลข้อ 1 ปาณาติบาต ครับ
ผมบอกว่า ปาณาติบาตนั้นมาจากเจตนาในใจต้องเป็นอกุศล ส่วนกายนั้นมันฆ่าแน่นอนอยู่แล้ว ถ้าใจเป็นอกุศล มันก็เป็นบาปกรรม แต่ถ้าใจไม่ได้เป็นอกุศล มันก็ไม่เป็นบาปกรรม ไม่มีการผิดศีลข้อปาณาติบาต แต่อย่างใด

พระพุทธเจ้าครัสว่า "เรากล่าวเจตนาว่าเป็นกรรม" และว่า “ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกสิ่งสำเร็จด้วยใจ” เราจะเอากายและวาจามากำหนดบาปบุญย่อมไม่ได้


ส่วนเรื่องการดูหมิ่น คนอื่นทำเป็นบาป แต่ผมทำนอกจากไม่บาปแล้ว ยังเป็นบุญด้วย เพราะการที่เราจะชี้แนะคนต้องใช้วิธีแตกต่างกัน บางคนมีทิฏฐิมานะสูง บางคนอหังการ บางคนเขาคิดว่าตนเองเป็นผู้รู้ปริยัติ รู้คัมภีร์ เราต้องทำลายความยึดถือของเขาก่อน ถ้าทำลายตัวนี้ไม่ได้ ก็คงคุยกันไม่รู้เรื่อง

อย่างทีมงานบางคนชอบลบกระทู้ของผม และไม่ให้ผมตั้งกระทู้ นั่นแสดงว่า เขากำลังหลงในอำนาจ หลงในสมมุติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2009, 11:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 เม.ย. 2009, 19:55
โพสต์: 548

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
นาม "ใบไม้นอกกำมือ" คุ้นๆ :b9: :b32: :b4:


อิ อิ...ผมก็รู้สึกคุ๊น...คุ้น

:b32: :b32: :b32:
:b4: :b4: :b4:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 40 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 38 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร