วันเวลาปัจจุบัน 18 เม.ย. 2024, 15:59  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 65 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มิ.ย. 2009, 05:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ที่ถามตรงนี้ไม่ใช่ตัวรู้ แต่ตัวรู้ตรงนี้หมายถึงตัวรู้ที่ว่ากายเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตัดตัวนี้ก็จบงานในหนึ่งขั้น


ให้รู้ต่ออีกขั้นหนึ่ง ก็คือให้รู้ตัวรู้นั้นด้วย ว่าแม้แต่ตัวรู้เองก็เป็นไตรลักษณ์ (ไม่ใช่อัตตา หรือเขาหรือเราหรือใครที่ไหน มันเป็นของมันอย่างนั้นเอง :b12: )
ช่วยป้องกันการเข้าไปยึดตัวรู้อีก ว่าเป็นเรา ว่าเป็นฉัน ให้ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มิ.ย. 2009, 09:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 เม.ย. 2009, 06:18
โพสต์: 731

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นิพพานัง ประมัง สุขัง
นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
ทางสายเดียวเท่านั้นคือ ทางสายกลาง ที่เราเรียกว่า อริยมรรค :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มิ.ย. 2009, 09:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2009, 16:38
โพสต์: 81

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ถามไคงับ
ก้อ ถามท่านผู้รู้นั่นแหละ คงไม่เอ่ยชื่อเพราะจะมีคำตอบหลากหลายมาตอบให้รู้ค่ะ

อ้างคำพูด:
ที่ถามตรงนี้ไม่ใช่ตัวรู้ แต่ตัวรู้ตรงนี้หมายถึงตัวรู้ที่ว่ากายเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตัดตัวนี้ก็จบงานในหนึ่งขั้น

อ้าว เข้าใจผิดเหรอค่ะ ก็มันคอยบอกเหมือนกันนะคะว่า "กายนี้เป็นทุกข์เป็นที่ฝังของซากศพ ของสัตว์และสิ่งเน่าเหม็น ต้องขับถ่ายออกทุกวัน และมันบังคับบัญชาไม่ได้ดูซิ ตอนนี้หน้าแกย่นเหี่ยวไปแล้ว เอาอะไรมาปรุงแต่งฉาบทาก็ไม่ทำให้แกเป็นสาวรุ่นมาได้เหมือนเดิม มันไม่มีตัวจริงอะไรของแกหรอก ที่แกอยู่ได้ก็ด้วยลมหายใจที่รูจมูกนี่แหละเป็นสำคัญ ถ้าทุกส่วนมันไม่สมดุลย์ภาพกันในร่างกายนี้ แกต้องไป..........อยู่ทีไหน ๆ ที่แกยึดไว้นั่นแหละ .......(ยังไม่ได้เป็นอริยะบุคคลเลยไม่รู้ค่ะ)และทีนี้จิตก็จะไม่ค่อยได้หวั่นไหวกับสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัว เพราะรู้ว่า สิ่งที่ปรากฎนั้นมันมาจากเหตุทั้งสิ้น หรือที่เขาสมมติชื่อว่า "วิบาก" ใช่หรือเปล่าค่ะ ของใครก็ของมัน ไม่ตื่นว่าเราจะได้รับ วิบากอะไร จะยอมรับทั้งสิ้น(ปลงใจได้เร็วหรือช้าก็ว่ากันไปแต่ถ้าเป็นอริยะบุคคลไม่ต้องรอเวลาใช่ไหมค่ะ ตัดขาดทันที) แม้แต่มาเกี่ยวข้องโต้ตอบ ถามกับชาวเวปนี้ ก็ต้องเคยกันมาแน่นอน ก็ถามโต้ตอบ กวนความรู้สึก กันไปจนกว่าจะหมด..ภาระ(ที่เคยทำกันไว้) ก็จะไม่ถามต่อแล้วค่ะ เพราะ รู้จัก ที่เรียกว่า"ตัวรู้"ได้แค่นี้ค่ะ ที่ลึก ๆ ไปกว่านี้ความสามารถไม่มี เพราะเป็นได้แค่ปุถุชน หนา ๆ ที่มีแค่พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึก อย่างมั่นคงไม่หวั่นไหว แน่นอนตลอดไป ....... :b8: กับผู้รู้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มิ.ย. 2009, 10:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณผู้ใช้นามว่า ไม่สายเกินไป มีความคิดเด็ดขาดดีนะครับ คนมีความคิดอย่างนี้มีผู้รู้ :b20: บอกว่าตัดอะไรๆได้ง่าย เพราะมีความเสร็จเด็ดขาดเป็นพื้นฐาน :b12:


ขอพูดถึงผู้รู้กะเขาม้าง ความจริงไม่ค่อยพูดถึงผู้รู้เท่าไหร่ เพราะไม่ค่อยรู้ :b1: แต่ก็พอรู้ว่าผู้รู้ มีหลายระดับ หลายขั้น มีทั้งผู้รู้ผิด (น่าจะเรียกว่าผู้รู้เหมือนกัน) ผู้รู้ถูก ผู้รู้ที่เป็นโลกียะ ผู้รุ้ที่เป็นโลกุตระ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มิ.ย. 2009, 22:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 มิ.ย. 2009, 15:47
โพสต์: 36


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ให้รู้ต่ออีกขั้นหนึ่ง ก็คือให้รู้ตัวรู้นั้นด้วย ว่าแม้แต่ตัวรู้เองก็เป็นไตรลักษณ์ (ไม่ใช่อัตตา หรือเขาหรือเราหรือใครที่ไหน มันเป็นของมันอย่างนั้นเอง :b12: )
ช่วยป้องกันการเข้าไปยึดตัวรู้อีก ว่าเป็นเรา ว่าเป็นฉัน ให้ :b1:


รบกวนขยายเพิ่มเติมในส่วนที่ผมขีดเส้นได้ได้รึเปล่าครับ และไอ้อาการที่รู้ในตัวรู้นี่ เป็นยังไงครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มิ.ย. 2009, 22:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าพบผู้รู้ระหว่างทาง ให้ฆ่าเสีย

คำสอนของเซน




ในจิตตานุปัสสนาแห่งอานาปานสติ

“ภิกษุนั้น
ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตให้ปล่อยอยู่ จักหายใจเข้าดังนี้ ;
ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตให้ปล่อยอยู่ จักหายใจออก ดังนี้”

(วิโมจยํ จิตฺตํ อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ; วิโมจยํ จิตฺตํ ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ.)



ท่าน พุทธทาส ท่านกล่าวไว้ดังนี้ครับ


"......เมื่อทำอยู่ดังนี้

วิญญาณจิตหรือจิตที่เป็นความรู้ก็มีอยู่
ญาณก็มีอยู่
สติกำหนดจิตหรือญาณนั้นว่าปลดเปลื้องแล้วจากอกุศลธรรมมีประการต่าง ๆ นั้นได้อย่างไรก็มีอยู่

สติอันกลายเป็นอนุปัสสนาญาณตามความจริงว่า อกุศลธรรมที่หุ้มห่อจิตนั้นก็ดี จิตที่ถูกหุ้มห่อก็ดี จิตที่ปลดเปลื้องแล้วก็ดี ล้วนแต่เป็นสังขารธรรม ที่มีความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ด้วยกันทั้งนั้น ย่อมนำมาซึ่งความเบื่อหน่ายคลายกำ หนัด ความไม่ก่อกิเลสและ ความสละคืนซึ่งสังขารธรรมเหล่านั้นอยู่ตามลำดับ. เมื่อทำอยู่อย่างนี้ย่อมชื่อว่าเป็นการเจริญจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานภาวนา อันเป็นอานาปานสติข้อสุดท้ายของจตุกกะที่สามแห่งอานาปานสติทั้งหมด...."


http://smartdhamma.googlepages.com/part ... buddhadhas


และ

เอกะจิต-เอกะธรรม


ธาตุรู้ก็ดี ผู้รู้ก็ดี จะจัดเป็นสังขารฝ่ายนามอันละเอียดก็ได้ เพราะเกิดดับเป็นอย่างละเอียด

ถ้ามีผู้เข้าไปสอดแทรกยึดถือเอาเป็นเจ้าของแล้ว ก็เป็นเหตุ เป็นกรรม เป็นพืช เป็นภพ เป็นอุปาทาน เป็นชาติอันละเอียด ได้ทั้งนั้น

สติสัมปชัญญะปัญญา ไม่สมดุลย์กัน ละเอียดคมคายในขณะเดียวกันแล้ว ก็ยากจะรู้ชัดได้

ต้องอาศรัยอานาปานะสติอันละเอียด ทรงปัญญา ควบคุมให้สมดุลย์กัน ทันเวลาในขณะเดียวแห่งปัจจุบัน

พร้อมทั้งผู้รู้ตามเป็นจริง สัมปยุตอีกด้วยฯ


หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต



และ


ถ้ามีจุดหรือต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแล คือตัวภพ

หลวงตา มหาบัว ญาณสัมปันโน




ปล...

ประเด็น

ถ้าพบผู้รู้(จิตที่ผ่องใส)ระหว่างทาง(ในการเจริญอริยมรรค) ให้ฆ่าเสีย(ไม่ให้ยึดถือในผู้รู้นั้น)

เป็นธรรมขั้นadvanced....ไม่ใช่ขั้นbasic

สำหรับ ฆราวาสที่ยังเสพกามอยู่ พระพุทธองค์ทรงสอนว่าพึงละกามสุข มาสู่สุขที่ไม่อาศัยกาม ซึ่งสุขในขั้นนี้ มีผู้รู้ที่ผ่องใส แน่นอน...
เมื่อไม่อิงกับสุขจากกามแล้ว ขั้นต่อไปคือ ออกจากสุขที่อาศัยเวทนาเสวย ไปยังสุขที่ไม่อาศัยเวทนาเสวย(สุขในพระนิพพาน) ซึ่งตรงนี้ เป็นขั้นตอนของ ให้ฆ่าผู้รู้ คือ มีแต่ขันธ์ห้าที่เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป...ไม่ยึดมั่นแม้นแต่ในผู้รู้นั้นๆ

ธรรมะในจุดนี้ ผมเห็นว่า มันมีลำดับขั้นตอน ความลุ่มลึกอยู่


เกรงว่า ผู้ศึกษาใหม่ๆ จะมามัวแต่ตั้งหน้าตั้งตาไล่ฆ่าผู้รู้ ทั้งๆที่อาจจะไม่เคยพบผู้รู้เลยสักครั้งเดียว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มิ.ย. 2009, 23:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
ที่ถามตรงนี้ไม่ใช่ตัวรู้ แต่ตัวรู้ตรงนี้หมายถึงตัวรู้ที่ว่ากายเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตัดตัวนี้ก็จบงานในหนึ่งขั้น


ให้รู้ต่ออีกขั้นหนึ่ง ก็คือให้รู้ตัวรู้นั้นด้วย ว่าแม้แต่ตัวรู้เองก็เป็นไตรลักษณ์ (ไม่ใช่อัตตา หรือเขาหรือเราหรือใครที่ไหน มันเป็นของมันอย่างนั้นเอง :b12: )
ช่วยป้องกันการเข้าไปยึดตัวรู้อีก ว่าเป็นเรา ว่าเป็นฉัน ให้ :b1:



สาธุ

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มิ.ย. 2009, 23:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้ามีจุดหรือต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแล คือตัวภพ

หลวงตา มหาบัว ญาณสัมปันโน



อันนี้ตรงประเด็นที่สุดงับ จะอธิบายอีกนิดนะงับ ของพ่อแม่ครูอาจารย์ องค์หลวงตามหาบัว


ผู้รู้ตรงนี้หมาย ในการปฎิบัติ นะงับ รู้สึกว่าคุณกรัชการอธิบายได้ถูกต้องนะงับ


สาธุ

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2009, 06:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


ประเด็นที่ หลวงตามหาบัว ท่านสอน เรื่อง ต่อมแห่งผู้รู้

มันมีจุดที่ท่านกล่าวว่า "จิตที่ผ่องใส" กับ "จิตบริสุทธิ์"ไว้


จิตผ่องใส กับจิตบริสุทธิ์ (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)


ดูก่อน ภิกษุทั้งหลายจิตเดิมนั้นผ่องใส แต่อาศัยกิเลสที่เป็น อาคนฺตุเกหิ กิเลเสหิ กิเลสเข้าจรมา จิตใจจึงมัวหมองท่านว่าอย่างนี้ อ่านไปนี้พวกนักเรียนนี้โต้กันตาดำตาแดง ไอ้เราก็พลอยขึ้นเวทีฟัดกับเขาด้วย ครั้นกลับออกมาก็มีแต่พวกตาบอดทั้งหมด ไม่ได้มีใครได้สาระเป็นที่ระลึกต่อกันเลยนะ :b8:

ท่านบอก ดูก่อน ภิกษุทั้งหลายจิตเดิมผ่องใส แต่อาศัยกิเลสที่สัญจรเข้าไปคลุกเคล้ากันแล้วก็แสดงความเศร้าหมองออกมา คือออกมาภายนอก

ทีนี้พวกเรียนทั้งหลาย เมื่อจิตผ่องใสแล้วจะมาเกิดทำไม ผู้ที่ไม่เกิดนั่นคือจิตท่านผ่องใส แล้วจิตผ่องใสมันมาเกิดได้ยังไง ก็อ่านถกเถียงกันนี้ก็ไม่มีใครลงใครแหละ มันไม่รู้ แต่เวลาไปปฏิบัติเข้าละซี นี่ละของจริงเข้าทีเดียวผางหมดเลย ไม่ไปถามใครเลยพอจิตเข้าไปถึง จิตผ่องใสนี้มันควรก็การเกิดอยู่โดยดี นั่นเวลาดูเข้าไปแล้วนะ

จิตบริสุทธิ์กับจิตผ่องใสต่างกัน
พอเข้าถึงความบริสุทธิ์แล้วผึงเลย ไม่มีคำว่าเกิดตายอีก

แต่นี่ท่านบอกว่า จิตผ่องใส ท่านไม่ได้บอกว่าจิตบริสุทธิ์ ไอ้พวกเอาผ่องใสมาฟัดกันทั้งกัดทั้งแย่งกัน ถ้าเป็นผ้าขี้ริ้วนี้ขาดเลยไอ้ปุ๊กกี้มันยังไม่ปล่อยนะ เราถึงได้มารู้เรื่องถึงเรื่องว่าจิตผ่องใสกับจิตบริสุทธิ์ ท่านไม่ได้พูดว่าจิตบริสุทธิ์

ในบาลีก็เห็นแต่ว่า จิตผ่องใส ดูก่อนภิกษุทั้งหลายจิตเดิมแท้ผ่องใสท่านว่างั้น จิตเดิมคือจิตอวิชชา นั่นผ่องใส จิตอวิชชาผ่องใสมากทีเดียว เพราะฉะนั้นผู้ปฏิบัติไปถึงขั้นนั้นจึงงงถูกอวิชชาตีหน้าผากได้สบายนะ

มหาสติมหาปัญญาก็เถอะเข้าไปเจอทีแรก ถ้าประเภทพวกทันธาภิญญาที่รู้อย่างเชื่องช้าไปลำดับลำดา เว้นขิปปาภิญญาเสีย อันนี้ไม่มีปัญหาขิปปาภิญญาขาดสะบั้นไปพร้อมเลย

: หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน



ตัวรู้ที่ร้ายนัก ที่เรา-ท่าน คุยกันนี้ น่าจะหมายเอา จิตที่ผ่องใส อันเป็นเหตุแห่งการยึดมั่นถือมั่นในตัวรู้นั้นได้อยู่...นี่ยังมีอาสวะอยู่

แต่สำหรับ จิตพระอรหันต์ที่บริสุทธิ์โดยแท้แล้ว ย่อมหมดประเด็นที่จะคุยกัน


จะอย่างไรก็ตาม
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งการปฏิบัติ.... ไม่ใช่ศาสนาแห่งการตีความ การตรึกเอา ตรรกะ ๆลๆ
และ สำหรับคนส่วนใหญ่(ที่ไม่ใช่ขิปปัญญา) ก็มีพระพุทธพจน์ที่สอนเป็นลำดับขั้นตอน คล้ายๆความลาดเอียงของมหาสมุทรที่ค่อยๆลาดลึกลง

จะคุยกันในประเด็นขั้นadvanceก็คุยกันได้ครับ
แต่ อย่าลืมbasic คือ ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วกัน

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2009, 06:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


มีพระพุทธพจน์ที่ตรัสในลักษณะที่ว่า



ทุกข์มีอยู่ ผู้ถึงทุกข์ไม่มี
หนทางมีอยู่ ผู้เดินไม่มี

มีทุกข์เท่านั้นเกิด ทุกข์เท่านั้นดับ
ไม่มี "ผู้" ถึงทุกข์



ในความรู้สึกของคนทั่วไป มักจะมีความรู้สึกว่า
"ฉัน"เป็นทุกข์ และ ปฏิบัติเพื่อให้"ฉัน"นั้นพ้นทุกข์

แต่ ในปฏิจจสมุปบาทแล้ว ทุกข์มี เพราะ มี "ฉัน"(หรือ ของฉัน)ที่ปรวนแปรวิบัติพรัดพรากไป
ท่านเรียก"ฉัน"(หรือ ของฉัน) ว่า อุปาทานขันธ์๕ นั่นเอง

คือ โดยแท้แล้ว ไม่มีฉันที่แท้จริงอยู่... แต่ ที่มีฉัน เพราะอุปาทานคือ ยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ทั้ง๕

การปฏิบัติเพื่อถึงที่สุดแห่งทุกข์ ก็เป็นไปเพื่อให้จิตนั้นยอมรับในเบื้องต้นว่า ฉัน(หรือ ของฉัน)นั้น ไม่มีจริงอยู่ในโลก
และ จิตบังเกิดญาณที่ถอดถอนอุปาทานในที่สุด

ที่สุดของการปฏิบัติแล้ว จึงไม่ใช่เป็นไปเพื่อให้"ฉัน"นั้นพ้นทุกข์
แต่ เป็นดังที่ พระพุทธองค์ทรงตรัสกับ พระพาหิยะ ว่า เมื่อไม่มีท่าน(ฉัน)ในโลก ทุกข์ย่อมไม่มี นั้นเอง


ครูบาอาจารย์พระป่า หลายท่าน ก็เคยกล่าวเรื่องเหล่านี้ไว้

เสนออ่าน โอวาทธรรม หลวงปู่ ชา สุภัทโท

พอลเล่าว่า……คืนนั้นได้ฟังธรรมลึกซึ้งที่สุดที่เคยได้ยินมา นัยน์ตาของหลวงพ่อปิดลงแบบครึ่งหลับครึ่งตื่น….แล้วท่านพูดไปเรื่อยๆ….โดยไม่สนใจว่าพูดกับใคร….มีใครฟัง….มีใครสนใจ….ข้ออรรถข้อธรรมไหลเรื่อยออกมาเหมือน"สายน้ำที่ไหลนิ่ง".คำสอนของหลวงพ่อที่พอลพยายามจำมาถ่ายทอดให้ฟัง มีตอนหนึ่งว่า….

"ในความจริง สิ่งที่ต้องละและต้องบำเพ็ญนั้นไม่มี………

สิ่งที่โลกเขาสมมติกันว่าเป็นของจริง มีราคา……สำหรับพระอรหันต์แล้ว มันเป็นของปลอมไม่มีค่าเลย…..
ฉะนั้นการที่จะให้พระอรหันต์ไปสนใจเรื่องของโลก ก็เหมือนกับเอาตะกั่วไปขอแลกกับทองคำ……..
เราคิดแต่ว่าเรามีตะกั่วแท่งใหญ่ๆ ท่านมีทองคำก้อนนิดเดียว…..ทำไมหนอ ท่านจึงไม่อยากเปลี่ยน…..
ทุกวันนี้ คนเราจึงมองไม่เห็นพระอรหันต์กัน…."

(จากอุปลมณี น.545)




นอกจาก หลวงปู่ชาแล้ว ก็ยังมีครูบาอาจารย์อีกหลายรูปที่ท่านกล่าวถึง"ที่สุดแห่งการปฏิบัติ"เอาไว้

แต่ ในขณะเดียวกัน ท่านกลับ เน้นสอนการเจริญอริยมรรค คือ ศีล สมาธิ ปัญญา



อาจจะตรงกับคำกล่าวที่ว่า

"ทางที่กำลังดำเนินอยู่ มีความสำคัญพอๆกับจุดหมายปลายทาง"

หรือ

"เราไม่สร้างพระเจดีย์ จากยอดลงมาสู่ฐาน"




เสนออ่าน โอวาทธรรม หลวงปู่ ชา สุภัทโท เพิ่มเติม

ลองอ่าน

พอล; xxx ถือว่าจิตเดิมแท้เป็นของบริสุทธิ์ สรรพสัตว์มีพุทธภาวะในใจอยู่แล้ว ฉะนั้น บางคนเห็นว่าไม่ต้องประพฤติปฏิบัติให้ลำบาก

หลวงพ่อ; เรามีอะไรสะอาดบ้างไหม.....
ถาดใบนี้น่ะ สมมติว่าเราเอาขี้ใส่ แล้วพูดว่าถาดใบนี้เดิมแท้เป็นถาดสะอาด ฉะนั้นเราจึงไม่ต้องล้าง......อย่างนี้จะถูกไหม

(โอวาทธรรม หลวงปู่ชา สุภัทโท จาก อุปลมณี หน้า536)


“ เราสอนไม่ได้ตามใจคน ถ้าตามใจคน มันก็ยังเป็นคนอยู่อย่างนั้น.
ถ้าตามใจกิเลสก็ยังเหลืออยู่ ไม่ได้เป็นอะไรสักที
เช่น ถ้ามันขี้เกียจก็ให้มันขี้เกียจ มันอยากนอนก็ให้มันนอนเสีย อยากทำงานก็ให้ทำงานเสีย.

ถ้าอยู่ตามธรรมชาติจริงๆนั้น ท่านให้อยู่ตามธรรมชาติ ต้องให้มีปัญญารู้เท่าทันธรรมชาติด้วย ....ไม่ผิดเหมือนกัน
แต่กลัวพวกเราทั้งหลายมันจะเป็นลิงหมดน่ะ …..ปล่อยให้เป็นลิง มันก็จะไม่เป็นมนุษย์สักที …..ก็เป็นลิงอยู่เรื่อย….

เซนท่านพูดอย่างนั้น ท่านก็มีปัญญาพูดน่ะ ให้มีปัญญารู้เท่าทันธรรมชาติ
ธรรมชาตินั่นล่ะเป็นธรรมะ ธรรมะนั้นก็คือ ธรรมชาติ ถ้ารู้มันแล้วมันก็เป็นอย่างนั้น……
กลัวคนทั้งหลายจะไม่รู้ถึงนั่น…..ๆลๆ


(โอวาทธรรม หลวงปู่ชา สุภัทโท จาก อุปลมณี หน้า 539)




.............................................


ผมเสนอว่า ระดับ เราๆท่านๆ

แทนที่ เราจะ เน้น"การไม่ทำอะไร" หรือ การฆ่าผู้รู้(ที่ร้ายนัก)
....เราน่าจะมาเน้นการปฏิบัติเจริญอริยมรรค ตามหลักศีล สมาธิ ปัญญา กันน่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า

ก็เสนอ มุมมองเพิ่มเติมมาดังนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2009, 07:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มิ.ย. 2009, 17:52
โพสต์: 202

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อืม...ก็พึ่งเห็นท่านตรงประเด็นนี่แหละ กล่าวได้ตรงประเด็นสมชื่อจริงๆ

ส่วนใหญ่จะพูดแต่ขั้น Advance หมกมุ่น ศึกษา ตีความ นานาสาระพัด เพื่อจะให้ตนสุดยอด

แต่เรื่อง Basic กลับไม่สนใจทำอย่างจริงๆ จังๆ เช่น
เรื่อง การทำพระรัตนตรัยให้มี ให้มั่นคง ก็ยังไม่ได้เล้ยหรือยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า
จะทำยังไง เพราะไปศึกษา้แต่ขั้นทำนิพพานให้แจ้ง

เรื่อง ศีล ก็ยัง หยั่งงั้นๆๆๆๆ ไม่ได้สักที อายุก็เหลือน้อยแล้วศีลแค่ 5 ข้อก็ไม่บริบูรณ์สักที
แต่กลับไปเร่งทำโน่น สมาธิ วิปัสนา ภาวนา อะไรไปโน่นเลย

ลัดขั้นตอนไปตะพึด สุดท้ายก็บรรลุแบบบ้าๆๆๆ ยังไงหนะเหรอ คือ ตรัสรู้เอง ด้วยความมั่วของตัวเอง
แล้วสรุปเองว่า ตนเองสุดยอด เหนือกว่าพระพุทธเจ้า สามารถทำได้นอกเหนือจากที่พระองค์กล่าวไว้
ซึ่งผู้รู้แบบนี้มีให้เห็นอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง จนถึงกับแต่งตำราออกมาขายเป็นล่ำเป็นสันเลย ขายธรรมกินซะงั้น

หันมาศึกษาขั้น พื้นฐาน และ ทำอย่างจริงๆ จังๆ น่าจะดีกว่านะ ผมคิดว่างั้นนะ....

โดยเฉพาะตรงที่
นอกจาก หลวงปู่ชาแล้ว ก็ยังมีครูบาอาจารย์อีกหลายรูปที่ท่านกล่าวถึง"ที่สุดแห่งการปฏิบัติ"เอาไว้
แต่ ในขณะเดียวกัน ท่านกลับ เน้นสอนการเจริญอริยมรรค คือ ศีล สมาธิ ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2009, 10:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขงเบ้งเทพแห่งกลยุทธ์ เขียน:
ถ้ามีจุดหรือต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแล คือตัวภพ

หลวงตา มหาบัว ญาณสัมปันโน


อันนี้ตรงประเด็นที่สุดงับ จะอธิบายอีกนิดนะงับ ของพ่อแม่ครูอาจารย์ องค์หลวงตามหาบัว

ผู้รู้ตรงนี้หมาย ในการปฎิบัติ นะงับ รู้สึกว่าคุณกรัชการอธิบายได้ถูกต้องนะงับ

สาธุ


ผู้รู้มีต่อมด้วยหรืองับ

กรัชกายก็เดาๆไปงั้นแหละ ไปตรงต่อมได้ไงน่างับๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2009, 11:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ศีลเพื่อสมาธิ สมาธิเพื่อปัญญา ปัญญาเพื่อวิมุต :b1: :b38:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2009, 11:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 มิ.ย. 2009, 15:47
โพสต์: 36


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ขงเบ้งเทพแห่งกลยุทธ์ เขียน:
ถ้ามีจุดหรือต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแล คือตัวภพ
หลวงตา มหาบัว ญาณสัมปันโน

อันนี้ตรงประเด็นที่สุดงับ จะอธิบายอีกนิดนะงับ ของพ่อแม่ครูอาจารย์ องค์หลวงตามหาบัว
ผู้รู้ตรงนี้หมาย ในการปฎิบัติ นะงับ รู้สึกว่าคุณกรัชการอธิบายได้ถูกต้องนะงับ
สาธุ


ผู้รู้มีต่อมด้วยหรืองับ
กรัชกายก็เดาๆไปงั้นแหละ ไปตรงต่อมได้ไงน่างับๆ


คุณไม่ตรงต่อมใคร ไม่เป็นไรครับ แต่คำกล่าวคุณดันมาตรงกับสิ่งที่ผมกำลังเฝ้าพิจารณามันอยู่
ซึ่งผมไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่ เพราะผมไม่เคยนึกถึงตัวนี้
แต่อยู่ ๆ มันก็โผล่มาให้พิจารณาเอง ผู้รู้ ผมเรียกมันอย่างนั้นด้วยผมเห็นมันเป็นอย่างนั้น
และพฤติกรรมของมันที่ผมเห็นดันคล้ายกับสิ่งที่คุณกล่าวถึง ซึ่งเมื่อความเห็นตรงนี้เกิดขึ้น(ลงไตรลักษณ์)
ชีวิตผมดิ่งสู่อารมณ์ สำรอกครับ คือการดำเนินชีวิตก็ปกตินะครับ แต่มันแฝงไปด้วยอารมณ์ถอดถอนอยู่ทุกขณะจิต ซึ่งผมก็เฝ้าสังเกต เฝ้าพิจารณาอยู่ ไม่ได้คิดอะไร เรื่องนี้คิดไม่ได้ อะไรจะเป็นก็เป็น

ช่วยป้องกันการเข้าไปยึดตัวรู้อีก
เป็นคำที่โดนใจผมครับ แต่ผมเห็นว่า เมื่อเห็นเช่นนั้น ไม่ได้เป็นสิ่งที่พ้นไปจากกฎไตรลักษณ์
มันกลับเข้าไปยึดว่ามันเป็นเราไม่ได้แล้วครับ คือมันก็ยังมีอารมณ์เผลออยู่บ้าง แต่มันก็จะเป็นอาการดีดเข้า ดีดออก เหมือนพิจารณาทบทวนไปเรื่อย ผมก็ได้แต่นั่งมองมันไปเรื่อย ๆ จนมาเจอข้อความของคุณ อยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อสอบทานตัวเอง แค่นั้นครับ ถ้าคุณมีข้อมูลเพิ่มเติมนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2009, 20:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
แต่อยู่ ๆ มันก็โผล่มาให้พิจารณาเอง ผู้รู้ ผมเรียกมันอย่างนั้นด้วยผมเห็นมันเป็นอย่างนั้น


คุณเรียกก้อนๆ นั้นว่า ผู้รู้ แล้วมันรู้อะไรบ้างครับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 65 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 39 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร