ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
การบัญญัติและไม่บัญญัติอัตตา http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=23508 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ขงเบ้งเทพแห่งกลยุทธ์ [ 06 ก.ค. 2009, 00:22 ] |
หัวข้อกระทู้: | การบัญญัติและไม่บัญญัติอัตตา |
การบัญญัติและไม่บัญญัติอัตตา ต่อจากนั้นทรงแสดงการบัญยัติอัตตา ๔ ประการ คือ ๑. บัญญัติอัตตา “ เล็กน้อย ” ว่ารูป ๒. บัญญัติอัตตา “ หาที่สุดมิได้ ” ว่ามีรูป ๓. บัญญัติอัตตา “ เล็กน้อย ” ว่าไม่มีรูป และ ๔. บัญญัติอัตตา “ หาที่สุดมิได้ ” ว่าไม่มีรูป ๖ . การบัญญัติอย่างนี้ย่อมมี ๓ ประการ คือ บัญญัติอัตตา เฉพาะในปัจจุบันนี้เท่านั้น ( เพราะความเห็นว่าตายแล้วสูญ ) บัญญัติอัตตา ที่มีความเป็นอย่างนั้น ( เพราะมีความเห็นว่าเที่ยง ไม่เปลี่ยนแปลง ) บัญญัติด้วยต้องการจะลบล้างความเห็นผิดของฝ่ายอื่น จูงมาสู่ความเห็นของตน ( ซึ่งเข้าใจว่าถูก ). ส่วนการไม่บัญญัติอัตตา ก็เป็นไปในทางตรงกันข้ามกับการบัญญัติที่กล่าวมาแล้ว. ความคิดเห็นเรื่องเวทนาเกี่ยวกับอัตตา ครั้นแล้วทรงแสดงความคิดเห็นของบุคคล ๓ ข้อเกี่ยวกับเวทนา และอัตตา คือ ๑. เห็นว่าเวทนา (ความรู้สึกอารมณ์เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือไม่ทุกข์ไมสุข ) เป็นอัตตา ( ตัวตน) ของเรา ๒. เห็นว่าเวทนามิใช่อัตตาของเรา อัตตาของเราไม่รู้สึกอารมณ์ ๓. เห็นว่าเวทนามิใช้อัตตาของเรา อัตตาของเราไม่รู้สึกอารมณ์ก็มิใช่ อัตตาของเราย่อมเสวยอารมณ์ อัตตาของเรามีเวทนาเป็นธรรมดา. แล้วทรงแสดงเหตุผลให้เห็นจริงทั้งสามข้อว่า ไม่ควรยึดถืออย่างนั้น ในที่สุดตรัสสรุปว่า ภิกษุผู้ไม่เห็นทั้งสามอย่างนั้น ย่อมไม่ยึดถืออะไร ๆ ในโลก เมื่อไม่ยึดถือ ก็ไม่สะดุ้งดิ้นรน เมื่อไม่สะดุ้งดิ้นรน ก็ดับสนิทเฉพาะตน รู้ว่าชาติสิ้นแล้ว ไม่อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ได้ทำหน้าที่เสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ไม่มีอีก. ภิกษุผู้หลุดพ้นแล้วเช่นนี้ ไม่ควรที่ใคร ๆ จะกล่าวว่า ท่านมีความเห็นว่าสัตว์ตายแล้วเกิด, สัตว์ตายแล้วไม่เกิด , สัตว์ตายแล้วทั้งเกิดและไม่เกิด , และสัตว์ตายแล้วเกิดก็ไม่ใช่ ไม่เกิดก็ไม่ใช่. ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะวัฏฏะ ย่อมหมุนเวียนไปตราบเท่าที่ยังมีทางแห่งคำเรียกชื่อ มีทางแห่งคำพูดจา มีบัญญัติ มีทางแห่งการบัญญัติ มีการนัดกันรู้ มีการรู้ได้ด้วยปัญญา และยังหมุนเวียนอยู่. ภิกษุผู้หลุดพ้นเพราะรู้ความจริงนั้น ไม่ควรที่ใคร ๆ จะมีความเห็นว่าท่านไม่รู้ไม่เห็น. หมายเหตุ:- การที่พระอรหันต์ไม่ติดอยู่ในความเห็นข้อใดข้อหนึ่ง ที่ว่าสัตว์ตายแล้วเกิดหรือไม่นั้น เป็นเพราะไม่ติดอยู่ในสมมติบัญยัติเกี่ยวกับกระแสหมุนเวียน เมื่อรู้เท่ากระแสหมุนเวียนและหลุดพ้นได้จึงไมควรที่จะกล่าวว่าที่ไม่รู้ไม่เห็น ). ที่ตั้งแห่งวิญาณ ๗ อย่าง ต่อจากนั้นทรงแสดงวิญญาณฐิติ ( ที่ตั้งแห่งวิญญาณ ) ๗ อย่าง คือ :- ๑. สัตว์เหล่าหนึ่งมีกายต่างกัน มีสัญญา ( ความจำได้หมายรู้ ) ต่างกัน เช่นมนุษย์ เทวดาบางพวกและเปตรบางพวก ๗ . ๒. สัตว์เหล่าหนึ่งมีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น เทพ พวกพรหม ที่เกิดด้วยปฐมฌานและสัตว์ที่อยู่ในบาย ๔. ๓. สัตว์เหล่าหนึ่งมีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาต่างกัน เช่น เทพพวกอาภัสสรพรหม ๔. สัตว์เหล่าหนึ่งมีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น เทพพวกสุภกิณหพรหม. ๕. สัตว์เหล่าหนึ่งก้าวล่วงความกำหนดหมายในรูป ทำในใจว่า อากาศหาที่สุดมิได้ เข้าถึงอากาสานัญจายตนะ ( เป็นพรหมไม่มีรูปพวกที่ ๑ ). ๖. สัตว์เหล่าหนึ่งก้าวล่วงอากาสานัญยตนะ ทำในใจว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้ เข้าถึงวิญญาณัญจายตนะ ( เป็นพรหมไม่มีรูปพวกที่ ๒ ). ๗. สัตว์เหล่าหนึ่งก้าวล่วงวัญญาณัญจายตนะ ทำในใจว่า ไม่มีอะไร เข้าถึงอากิญจัญญายตนะ ( เป็นพรหมไม่มีรูปพวกที่ ๓ ). อายตนะ ๒ ครั้นแล้วทรงแสดงอายตนะ ๒ คือ ๑. อสัญญีสัตตายตนะ อายตนะ หรือที่ต่อ คืออสัญญีสัตว์ ( อสัญญีสัตว์เป็นพวกมีแต่รูป ไม่มีวิญญาณ จึงไม่จัดเข้าในวิญญาณฐิติ ๗ อย่าง แต่เรียกว่าอายตนะ ) ๒. เนวสัญญานาสัญญายตนะ อายตนะ หรื่อที่ต่อ คือที่มีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ ( นี้เป็นพรหมไม่มีรูป พวกที่ ๔ เพราะเหตุที่วิญญาณในอรูปพรหมชั้นนี้สุขุมละเอียดอ่อนมาก จึงไม่ควรกล่าวว่ามีวิญญาณ หรือไม่มีวิญญาณ ฉะนั้น จึงไม่จัดเข้าในวิญญาณฐิติ ๗ แต่เรียกว่าอายตนะ เป็นอันว่า ต้องกล่าวว่า วิญญาณฐิติ ๗ และอายตนะ ๒ จึงจะครอบคลุมสัตว์โลกได้หมดทุกชนิด ) . ผู้หลุดพ้นด้วยปัญญา ตรัสสรุปเฉพาะตอนนี้ว่า ผู้ใดรู้วิญญาณฐิติทั้งเจ็ดรู้อายตนะทั้งสองรู้ความเกิดขึ้น รู้ความดับไป รู้ความพอใจ รู้โทษ และรู้การแล่นออก ( หลุดพ้น ) จากวิญญาณฐิติ ๗ และอายตนะ ๒ แล้ว ควรหรือที่จะชื่นชมยินดีววิญญาณฐิติ ๗ และอายตนะ ๒ นั้น . พระอานนท์กราบทูลว่า ไม่ควร . จึงตรัสว่า ภิกษุผู้รู้ตามความเป็นจริงอย่างนี้ ย่อมหลุดพ้นเพราะไม่ถือมั่น ( ด้วยอุปาทาน ) เรียกว่าเป็นปัญญาวิมุติ ( ผู้หลุดพ้นด้วยปัญญา ). วิโมกข์ ( ความหลุดพ้น ) ๘ ทรงแสดงวิโมกข์ ๘ แก่พระอานนท์ต่อไป คือ :- ๑. บุคคลมีรูป เห็นรูป. ๒. บุคคลมีความกำหนดหมายในสิ่งไม่มีรูป เห็นรูปภายนอก. ๓. บุคคลน้อมใจว่า “ งาม .” ๔. บุคคลทำไว้ในใจว่า อากาศไม่มีที่สุด เข้าถึงอากาสานัญจายตนะ. ๕. บุคคลทำไว้ในใจว่า วิญญาณไม่มีที่สุด เข้าถึงวิญญาณณัญจายตนะ. ๖. บุคคลทำไว้ในใจว่า ไม่มีอะไร เข้าถึงอากิญจัญญายตนะ. ๗. บุคคลก้าวล่วงอากิญจัญญายตนะ เข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ. ๘. บุคคลก้าวล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนะ เข้าถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ. ๘ . สรุปเกี่ยวกับวิโมกข์ ๘ ภิกษุเข้าสู่วิโมกข์ ๘ นี้ ได้ทั้งอนุโลม ( ตามลำดับ ) และปฏิโลม ( ถอยกลับจากหลังไปหาหน้า) เข้าได้ออกตามต้องการ ย่อมทำให้แจ้ง ( บรรลุ ) ความหลุดพ้นด้วยสมาธิ ( เจโตวิมุติ ) และความหลุดพ้นด้วยปัญญา ( ปัญญาวิมุติ ) อันไม่มีอาสวะ เพราะสิ้นอาสวะได้ในปัจจุบัน ภิกษุนี้ เรียกว่าอภุโตภาควิมุต ( ผู้พ้นทั้งสองทาง ) ไม่มีอุภโตภาควิมุตอย่างอื่นยอดเยี่ยมกว่า ประณีตกว่า. เมื่อจบพระธรรมเทศนา พระอานนท์ก็ชื่นชมภาษิตของพระของพระผู้มีพระภาค. ( หมายเหตุ : มหานิทานสูตรนี้ เป็นการแสดงเรื่องความเวียนว่ายตายเกิด โดยเเสดงเงื่อนต้น ที่วิญญาณและนามรูป ต่างเป็นปัจจัยของกันและกัน ทำให้เวียนว่ายตายเกิด และเป็นเหตุให้มีการบัญญัติอัตตาตัวตน ผู้รู้แจ้งความจริงย่อมไม่ติดในบัญญัตินั้น ๆ ในที่สุดได้แสดงถึงวิญญาณฐิติ คือที่ตั้งแห่งวิญญาณ หรือประเภทแห่งสัตว์โลก ๗ กับแสดงอายตนะ ๒ คือพวกที่วิญญาณไม่ปรากฏ กับปรากฏ แต่ไม่ชัด ๒ พวก ในที่สุดได้แสดงวิโมกข์ คือความหลุดพ้น ๘ ประการ ที่ผู้เข้าออกได้คล่องแคล่ว จะชื่อว่าผู้พ้นด้วยสมาธิและปัญญา ความจริงควรจะได้อธิบายรายละเอียดว่า ข้อไหนมีความพิสดารอย่างไร แต่ถ้าทำอย่างนั้นจะไม่จบตามกำหนด จึงต้องขอผ่านไป เสนอแต่ความสำคัญ ). ________________________________________ |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |