ลานธรรมจักร
http://dhammajak.net/forums/

หลักวิเคราะห์วาจา
http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=23517
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  ขงเบ้งเทพแห่งกลยุทธ์ [ 06 ก.ค. 2009, 00:31 ]
หัวข้อกระทู้:  หลักวิเคราะห์วาจา

หลักวิเคราะห์วาจา
ปัจจุบันนี้ที่ใดก็ตามในโลกที่ เป็นการเสรีที่จะพูดอะไรก็ได้โดยไม่พิจารณา สร้างบาปอกุศลกรรมท่วมหัวโดยที่ไม่รู้ตัว พูดไปไหลไปโดยไม่รู้ตัว กล่าววาจาละเมิด บุคคลอื่นเพื่อความสนุกสนาน นี่ไม่ควรทำ ตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสไว้ว่า คนพูดมากย่อมเป็นผู้ พูดปด พูดคำหยาบ พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ พูดปดอย่างไร คนที่พูดกล่าวหาบุคคลอื่นเพื่อความสนุกโดยไม่มีความสัจจริงอยู่ ย่อมเป็นผู้พูดปด ทุศีล พูดส่อเสียดผู้อื่นไปในตัว คำพูดเหล่านี้ไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์ เกื้อกูลผู้ใด วาจาที่กล่าวมานั้นเป็นวาจาที่พูดเพ้อเจ้อ ยังจะยกตัวอย่างให้ได้รู้จักดั้งนี้
ในอดีตกาลสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ในครั้งนั้น พระอุคคเสนและภรรยา เป็นกุลบุตรกุลธิดาชาวพระนครพาราณสี บรรทุกข้าวปลาอาหารและสัมภาระเป็นอันมากในเกวียนหลายเล่ม กำลังไปสู่ที่ก่อสร้างพระเจดีย์ ในระหว่างทางพบพระเถระองค์หนึ่ง กำลังเข้าไปสู่หมู่บ้านเพื่อบิณฑบาต กุลธิดาซึ่งเป็นภรรยาของท่านแลเห็นพระเถระแล้ว จึงกล่าวกะสามีว่า พี่ พระมาบิณฑบาต อาหารของเราก็มีมาก พี่ช่วยไปรับบาตรของท่านมาให้ฉันหน่อยซิ เราจะได้ถวายอาหารบิณฑบาตด้วยกัน สามีจึงลงจากเกวียนไปขอรับบาตรมาจากพระเถระ ส่วนภรรยาเมื่อได้บาตรมาจากสามีแล้ว ก็ได้บรรจุบาตรด้วยอาหารต่างๆ จนเต็ม แล้วก็ยื่นให้สามีนำไปถวายในมือของพระเถระ แล้วก็ได้ตั้งความปรารถนาว่า ขอให้เราทั้งสองคนพึงได้บรรลุธรรมอย่างท่านด้วยเถิด พระเถระรูปนั้น ท่านเป็นพระอรหันต์ เมื่อท่านได้ตรวจดูไปในอนาคตแล้ว ก็รู้ว่าความปรารถนาของเขาทั้งสองนั้นจะสำเร็จ จึงได้ยิ้มออกมา แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ผู้เป็นภรรยาเห็นพระเถระแสดงอาการยิ้มแย้มเช่นนั้น จึงพูดกะสามีว่า พี่ พระคุณเจ้าท่านทำท่าทำทางยิ้มแย้มอย่างกับเด็กนักฟ้อน ฝ่ายสามีก็ตอบนางไปว่า ก็คงจะเป็นอย่างนั้น ด้วยอำนาจบุญและบาป ทำให้เขาทั้งสองนั้น มาในสมัยพุทธกาลนี้ ผู้เป็นสามีได้มาเกิดเป็นบุตรเศรษฐีชื่อ อุคคเสน ส่วนภรรยามาเกิดเป็นธิดาของตระกูลนักฟ้อนรำ ที่ท่องเที่ยวแสดงกายกรรมผาดโผนไปยังเมืองต่างๆ อุคคเสนบุตรเศรษฐีได้พบกับธิดานักฟ้อนรำซึ่งมาแสดงกายกรรมยังเมืองของตน ก็เกิดหลงรักนางขึ้นมา จึงได้ขอนางมาเป็นภรรยา และได้มาอยู่กับคณะของนาง ต่อมาก็ได้ฝึกเป็นนักแสดง ได้ร่วมแสดงกายกรรมผาดโผนไปกับนางด้วย เพราะวิบากที่พลอยเออออไปกับนางด้วยในชาตินั้น ครั้งหนึ่ง อุคคเสนและภรรยาได้มาเปิดการแสดงที่กรุงราชคฤห์ ขณะที่เขากำลังจะทำการแสดงนั้นเอง พระบรมศาสดาได้เสด็จบิณฑบาตมาถึงพร้อมด้วยพระเถระทั้งหลาย ทำให้มหาชนละสายตาจากอุคคเสนหันมาทำความเคารพพระบรมศาสดากันทั้งหมด จึงทำให้อุคคเสนเสียใจว่า การแสดงของเราคราวนี้คงหมดความหมายเสียแล้ว พระบรมศาสดาทรงทราบอัธยาศัยของเขา จึงตรัสบอกพระมหาโมคคัลลานะให้ไปบอกอุคคเสนว่าจงแสดงศิลปะของตนต่อไปเถิด อุคคเสนดีใจว่าพระศาสดาจะทรงดูการแสดงของตน จึงได้กระโดดจากแผ่นกระดานที่สูง 60 ศอกขึ้นไปตีลังกาในอากาศถึง 14 รอบ แล้วลงมายืนที่พื้นแสดงความเคารพต่อพระบรมศาสดา จากนั้นก็ได้ฟังธรรมจากพระองค์แล้วได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ได้ขอบวชกับพระบรมศาสดา ส่วนภรรยาเมื่อเห็นสามีได้ออกบวชแล้ว จึงได้ออกบวชตาม ภายหลัง นางก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์เถรี ด้วยบุญที่ได้ถวายอาหารบิณฑบาตแก่พระเถระในครั้งนั้น บุคคลทำกรรมเช่นใด ย่อมได้รับผลเช่นนั้น การพูดก็เช่นเดียวกัน เพียงการพูดเพ้อเจ้อ ล้อเล่น ล้อเลียนกับพระเถระเพียงแค่นั้น ก็ยังส่งผลให้เป็นไปตามที่ตนพูด จากการเป็นลูกเศรษฐีอยู่ดีๆ ก็ต้องกลายมาเป็นนักแสดงกายกรรมผาดโผนไปได้ คนเราควรพูดถ้อยคำที่เป็นปิยวาจา พูดไพเราะ พูดเป็นอรรถเป็นธรรม เป็นเรื่องจริง มีประโยชน์ และพูดถูกกาลสมัยให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ฟัง เพราะการพูดดีนั้นมีอานิสงส์ ย่อมทำผู้พูดนั้นให้เป็นที่รัก เป็นที่เคารพเลื่อมใสของมหาชน ทั้งให้ได้สมบัติทั้ง 3 คือมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ และนิพพานสมบัติ ตัวอย่างฝ่ายดีก็มี อย่างเช่นอดีตชาติของสันตติมหาอมาตย์ ที่ท่านเคยได้เที่ยวป่าวประกาศคุณของพระรัตนตรัย และชักชวนให้มหาชนลุกขึ้นแต่เช้า เพื่อหุงหาอาหารใส่บาตรพระ ชักชวนผู้คนไปวัดเพื่อฟังธรรมและปฏิบัติธรรม ส่งผลให้ท่านได้มนุษย์สมบัติ คือได้รับม้า รถเทียมม้า ได้ช้างซึ่งประดับประดาเป็นอย่างดี และได้สมบัติเป็นอันมากจากพระราชา ในชาตินั้น ท่านกล่าวสรรเสริญคุณของพระรัตนตรัยจนกระทั่งกลิ่นจันทน์ฟุ้งออกจากตัว กลิ่นดอกบัวฟุ้งออกจากปาก ด้วยผลบุญนั้น ส่งผลให้ท่านได้ท่องเที่ยวอยู่ในสวรรค์นานถึง 91 กัป มาในชาตินี้ท่านได้มาเกิดเป็นมหาอมาตย์ของพระราชา ได้ฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพียงครั้งแรก ก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์อย่างง่ายดาย
นี่ละผลของวาจา ยิ่งบางคนนะ พูดเล่นมากเข้าก็คะนองปากสามารถพูดคำหยาบ กู กู มึง มึง เหมือนสัตว์ เดรัจฉาน เปรียบได้กับมนุษย์ที่เป็น มนุสเปโต มนุสอสุรกาโย มนุสเดรัจฉานโน เป็นสัตว์นรกตั้งแต่ยังเป็นมนุษย์ นี่ละ เราควรมาพิจารณาว่า วาจาของเราไม่งามไม่ไพเราะ สร้างโทษให้เรา ก็ละซะ คำพูดไหนเป็นอรรถเป็นธรรมเราก็เจริญซะ ก็มีเท่านี้ละ

เจ้าของ:  ทักทาย [ 06 ก.ค. 2009, 04:48 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: หลักวิเคราะห์วาจา

ขอบคุณค่ะคุณขงเบ้งฯที่เตือนสติ
ที่ผ่านมาดิฉันเป็นคนปากพล่อยจริงๆ ต่อไปจะระวังทั้งกาย
วาจาและใจ อนุโมทนาค่ะ :b8:
:b41: :b41: :b42: :b41: :b41:

เจ้าของ:  damjao [ 06 ก.ค. 2009, 05:48 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: หลักวิเคราะห์วาจา

สุภาสิตา จ ยา วาจา

พูดจากันสรรหาสุภาษิต
พูดผูกมิตรกันไว้ให้คมขำ
ไม่พูดมากพูดน้อยทุกถ้อยคำ
ให้ดื่มดำไพเราะเสนาะฟังฯ

มีวาจาสุภาษิตลิขิตขาน
1.พูดในสิ่งที่เป็นความจริง
2.พูดแล้วได้ประโยชน์
3.พูดถูกกาละเทสะ
ต้องให้ครบทั้งสามประการ :b8:

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/