วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 01:19  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 206 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 14  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ส.ค. 2009, 19:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


เอาล่ะๆ ใครจะแย้งก็ได้นะ เพราะเราจะบอกอย่างที่บอกคือ อย่าเอาไปอ้างอิงใดๆ เพราะยังมีอัพเดตเรื่อยๆ และตอนนี้ก็พอจะเห็นแววอัพเดตแล้ว แต่ขอศึกษาเพิ่มอีกนิด...

ครือว่า... หลังจากที่ค้นแบบแป๊บๆ เจอคำว่า รูปปรมัตถ์ ขึ้นมา ก็อาจเป็นว่า...
สัญญาณจากร่างกายต่างๆ นั้น ผ่านเจ้าตัวรูปปรมัตถ์นี้... แต่ยังไม่รู้ว่า รูปปรมัตถ์ เกิดดับตามจิตหรือไม่ (คิดว่าไม่) และรูปปรมัตถ์นี้เชื่อมโยงกับจิตหรือเจตสิก (เราคิดว่า เจตสิก )

รูปปรมัตถ์ คือกายละเอียดหรือเปล่า?
รูปปรมัตถ์ ทำงานเบื้องหลังระบบประสาท หรือทำงานเบื้องหน้า หรือมีทั้ง 2 แบบ?
คือเราเคยสงสัยว่า หากการรับความรู้สึกเจ็บทางผิวหนัง มาจากระบบประสาทจริง มันก็จะต้องมีจุดที่เจ็บมาก เจ็บน้อย ตามระยะที่ห่างจากเส้นประสาท (เพราะเส้นประสาทไม่ได้คลุมทุกตารางมิลลิเมตร)

เป็นไปได้ไหมว่า มีรูปปรมัตถ์ส่วนหนึ่งทำงานเบื้องหน้า รับความรู้สึกแล้วส่งต่อให้ระบบประสาท ส่งสัญญาณไปสู่สมอง ในขณะที่มีรูปปรมัตถ์อีกส่วนหนึ่งที่ทำงานเบื้องหลัง เช่น สมองรับสัญญาณต่างๆ ภายในร่างกายแล้วส่งต่อให้รูปปรมัตถ์ แล้วจึงส่งต่อให้เจตสิกอีกที ?


เพิ่มเติมสุดท้าย... เรื่องจิต เจตสิก และรูปปรมัตถ์ เป็นเรื่องแยกย่อยระดับลึก ซึ่งหากเราจะอธิบายในแง่พลังจิต อภิญญา ในแง่ภพภูมิ กฎแห่งกรรม เราต้องเหมารวมเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องเดียว คือ จิต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ส.ค. 2009, 19:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ฤาษีตี๋

เสียงเป็นรูปหรือเป็นนาม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ส.ค. 2009, 20:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


กรูไม่รู้... ลื้อบอกมาจิ เอ่อ... แฮ่มๆ

ข้าพเจ้าว่า เสียงเกิดจากสั่นสะเทือนของวัตถุ เสียงจึงไม่ใช่วัตถุแต่เป็นพลังงาน หูคนเรารับพลังงานนี้มา แล้วแปลเป็นสัญญาณประสาท ส่งไปสมอง สมองก็แปลอีกทีว่าเป็นเสียงของอะไร จากนั้นจะมีรูปปรมัตถ์อะไรมาคั่นกลางหรือไม่ ก็ไม่ทราบได้
แต่น่าจะมีคั่น เพราะจริงๆ แล้ว เราได้ยินเสียงทุกเสียง แต่เราเลือกได้ยินเฉพาะเสียงใดเสียงหนึ่งเท่านั้น ตัวคัดกรองนี้ อาจเป็นรูปปรมัตถ์อันหนึ่งก็ได้

ดังนั้น เสียงจึงเป็นนามธรรม

เพิ่มเติม... จริงๆ แล้ว รูปปรมัตถ์คืออะไร กระบวนการทำงานของสมอง?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ส.ค. 2009, 21:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
ฤาษีตี๋

เสียงเป้นรูปหรือเป้นนาม


:b6:



murano เขียน:

กรูไม่รู้... ลื้อบอกมาจิ เอ่อ... แฮ่มๆ



:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ส.ค. 2009, 22:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


murano เขียน:

ดังนั้น เสียงจึงเป็นนามธรรม

เพิ่มเติม... จริงๆ แล้ว รูปปรมัตถ์คืออะไร กระบวนการทำงานของสมอง?



ถ้าจะว่ากันตามหลักการในพระพุทธศาสนาแล้ว
แสง เสียง เป็นพลังงานแต่เป็นรูป....จิตที่รับรู้ แสง เสียง เป็นนาม

คือ เรามักจะเข้าใจว่า พลังงานเป็นนาม... แต่ ความจริง นามนั้นมีอยู่4เท่านั้น คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ .


ส่วนคำว่า รูปมัตถ์ เป็นภาษาในคัมภีร์รุ่นหลังพุทธกาล
หาไม่พบในพระไตรปิฎก...

ที่ผมเอาบทความของอาจารย์ระวีมาลง เพียงอยากเสนอว่า แม้นแต่อาจารย์สอนอภิธรรมเอง อย่าง อาจารย์ระวี ยังเห็นว่า ที่ตั้งของจิต(ในคัมภีร์รุ่นหลังพุทธกาล เรียกว่า หทัยวัตถุ)ไม่ได้ตั้งอยู่ที่หัวใจ แต่ น่าจะเป็นระบบCNSต่างหาก

แต่ผมเห็นด้วยกับอาจารย์น่ะว่า จิตมันสัมพันธ์กับระบบประสาทกลางอย่างยิ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ส.ค. 2009, 06:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ตรงประเด็น เขียน:
ชาติสยาม เขียน:
ฤาษีตี๋

เสียงเป้นรูปหรือเป้นนาม


:b6:



murano เขียน:

กรูไม่รู้... ลื้อบอกมาจิ เอ่อ... แฮ่มๆ



:b32:



ธรรมดาน่ะครับ คุณหมอ
เคยเจอหนักกว่านี้อีกนะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ส.ค. 2009, 06:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


murano เขียน:
กรูไม่รู้... ลื้อบอกมาจิ เอ่อ... แฮ่มๆ

ข้าพเจ้าว่า เสียงเกิดจากสั่นสะเทือนของวัตถุ เสียงจึงไม่ใช่วัตถุแต่เป็นพลังงาน หูคนเรารับพลังงานนี้มา แล้วแปลเป็นสัญญาณประสาท ส่งไปสมอง สมองก็แปลอีกทีว่าเป็นเสียงของอะไร จากนั้นจะมีรูปปรมัตถ์อะไรมาคั่นกลางหรือไม่ ก็ไม่ทราบได้
แต่น่าจะมีคั่น เพราะจริงๆ แล้ว เราได้ยินเสียงทุกเสียง แต่เราเลือกได้ยินเฉพาะเสียงใดเสียงหนึ่งเท่านั้น ตัวคัดกรองนี้ อาจเป็นรูปปรมัตถ์อันหนึ่งก็ได้

ดังนั้น เสียงจึงเป็นนามธรรม

เพิ่มเติม... จริงๆ แล้ว รูปปรมัตถ์คืออะไร กระบวนการทำงานของสมอง?



เสียงเฉยๆเป็นรูป รูปละเอียด (รูป)
แต่สิ่งปรุงแต่งอันเนื่องจากเสียงเป็นวัตถุดิบ ก็ถึงจะเป็นนาม (รูป+นาม)

แต่ลำพังเสียงเฉยๆ พลังงานก็ดี มันก็เป็นรูป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ส.ค. 2009, 12:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


เอาเถอะ เราไม่ค่อยสนใจเรื่องคำนิยามหรอก เราสนใจถึงสิ่งที่มันเกิดขึ้นมากกว่า ส่วนจะเป็นรูปเป็นนาม อันนั้นเป็นเรื่องของปริยัติ...

ที่เราไม่ค่อยสนใจเรื่องคำบัญญัติ (ถ้าไม่จำเป็น) ก็เพราะมันต้องมีวงเล็บเสมอ ว่าเป็นคำในแง่มุมใด อย่างพลังงานเนี่ย ไม่ว่าเราจะเถียงว่าเป็นรูปเป็นนามกันยังไง มันก็คือพลังงานวันยังค่ำ เรื่องคำบัญญัตินี้ก็เป็นเรื่องของนักปริยัติ จะเรียกว่าเป็นรูป เราก็ว่าเป็นรูป จะบอกว่าเป็นนาม เราก็ว่านาม

โดยทั่วไป แสงเป็นได้ทั้งวัตถุ (อนุภาค) และพลังงาน (คลื่น) ขึ้นอยู่กับว่า เราจะพิจารณาในแง่ไหน เพราะงั้นถ้าเรานิยามว่า รูปคืออนุภาค สิ่งใดที่ไม่ได้ประกอบขึ้นจากอนุภาค สิ่งนั้นเป็นนาม แสงก็เป็นทั้งรูปและนาม ส่วนเสียงนั้นเป็นพลังงาน (คลื่น) เพราะมันส่งถ่ายเป็นคลื่นต่อๆ กันไป โดยที่อากาศไม่ได้เคลื่อนตาม (เหมือนคลื่นน้ำ) เสียงจึงไม่มีตัวตน

ส่วนในทางพุทธ เขานิยามว่า อะไรคือรูป อะไรคือนามนั้น ไม่ทราบได้ แต่ที่รู้คือ ความหมายในทางพุทธนั้น ไม่เหมือนความหมายที่ใช้กันโดยทั่วๆ ไป
ถ้าจะบอกว่าเสียงเป็นรูป เพื่อความกระจ่าง ก็น่าจะแจกแจงเพิ่มว่า รูปคืออะไร นามคืออะไร


ปล. ถ้าอยากจะคุยกันอย่าง friendly ก็อย่าคิดจะลองภูมิ
การลองภูมิหรือการทดสอบผู้อื่นนั้น ล้วนแต่เป็นการสะท้อนอัตตาของตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ส.ค. 2009, 16:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


murano เขียน:

แต่ที่รู้คือ ความหมายในทางพุทธนั้น ไม่เหมือนความหมายที่ใช้กันโดยทั่วๆ ไป





เห็นด้วยครับ


อย่างคำว่า"ชีวิต" ใน การทำ"ชีวิต"ให้ล่วง ความหมายของปาณาติบาต
กับ คำว่า เซลล์ที่มี"ชีวิต" ในความหมายทางวิทยาศาสตร์
มีความหมายไม่ตรงกันเสียเลยทีเดียว

เช่น อสุจิ ในทางวิทยาศาสตร์ก็ถือว่า เป็นเซลล์ที่มีชีวิต แถมยังเคลื่อนที่ได้ด้วย ....
เคยมีผู้เสวนากัน แล้วตีความว่า การใช้ถุงยางอนามัยอาจเป็นปาณาติบาต เพราะไปขัดขวางโอกาสที่อสุจิจะเจริญเติบโตต่อไปเป็นทารก(หลังผสมกับไข่)

การทำลายเซลล์ที่มีชีวิต(ในความหมายทางวิทยาศาสตร์) เช่น อสุจิ พืช แบคมีเรีย ไวรัส... ไม่ใช่การทำชีวิตให้ล่วงทางพระพุทธศาสนา เพราะ ชีวิตของมนุษย์ในทางพระพุทธศานานับเริ่มเมื่อเป็นกลละรูป(อสุจิ ผสมกับ ไข่ สมบูรณ์แล้ว)มีจิตตวิญญาณครองแล้ว เท่านั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ส.ค. 2009, 17:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


เอ...
ก็เมื่อคุยเรื่องศาสนา แล้วทำไมไม่พูดถึงรูปนามตามหลักศาสนาล่ะ
:b6:

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ส.ค. 2009, 17:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


ตรงประเด็น เขียน:
มี ความเห็นของ อ.ระวี ภาวิไล มาลงประกอบ


คุณตรงประเด็นครับ ผมขออนุญาตวิจารณ์ความเห็นของท่าน อ.ระวี นะครับ

อ้างคำพูด:
ข้อวินิจฉัยเรื่องหทยรูป

โดย. อาจารย์ระวี ภาวิไล จากหนังสือ อภิธรรมสำหรับคนรุ่นใหม่.


๓๑.๑๐ ข้อวินิจฉัยเรื่องหทยรูป

ข้อเท็จจริงนี้ทำให้น่าพิจารณา CNS ในบทบาทที่ตั้งของจิตที่เป็นมโนธาตุ
และมโนวิญญาณธาตุรวม ๗๙ ดวง การที่ CNS แผ่กระจายอยู่ทั่วร่างกายของ
มนุษย์สัตว์ หมายความว่า ในขณะใดขณะหนึ่ง บางส่วนของ CNS นี้ จะเป็นที่
อาศัยเกิดของจิตบางดวง ซึ่งสรุปว่า ตัวหทยวัตถุอาจเลื่อนที่ไปที่ตำแหน่งใด
ของ CNS ก็ได้

หรือไม่เช่นนั้น CNS ทั้งระบบนั้นเอง คือ หทยวัตถุรูปปรมัตถ์.


ตามพระพุทธพจน์ มีตอนหนึ่งว่า คูหาสยํ จิตฺตํ จิตอาสัยในคูหา(ถ้ำ)
ตรงนี้ท่านอธิบายว่า ถ้ำที่ว่านี้คือกายหรือ รูปทั้งหมด เมื่อพูดในคน ก็หมายถึงกาย
เมื่อเกิดผัสสะตรงไหน จิต พร้อมอารมณ์และเวทนาก็เกิดขึ้น เช่น ตาเห็นรูป เป็นผัสสะ จิตก็เกิด
หลักมีอยู่ว่า เกิดตรงไหน ดับตรงนั้น

หทัยวัตถุ ตามที่เข้าใจกัน เข้าใจว่าเป็นหัวใจ คห.ผม ผมว่าไม่ใช่ จะเป็น CNS ก็ไม่น่าใช่
หทัยวัตถุนั้น แท้จริงหมายถึง ที่ตั้งแห่งเจตนา หทัยตัวนี้คงต้องแปลเป็นเจตนา แปลเป็นหัวใจไม่ได้
เพราะในสมัยโบราณ เขาเข้าใจกันว่า มี ๒ อย่างที่บัญชาอยู่ข้างใน คือ บางพวกก็ว่าสมอง
บางพวกก็ว่าหัวใจ เขาก็เลยคิดกันว่า จิตนี้อยู่ในสมองบ้าง ในหัวใจบ้าง ก็เลยใช้คำว่า หทยํ หรือหัวใจ
ตัวอย่างเช่น เรานั่งสังเกตการเต้นของหัวใจอยู่ เจตนาเราอยู่ที่นั่น จิตเราก็รู้อาการของรูป(หัวใจ)ที่นั่น
เรารู้สึกเท้าที่ถูกน้ำเย็น เจตนาเราอยู่ที่นั่น จิตเราก็อยู่ที่นั่น เกิดที่นั่น ดับที่นั่น จิตเกิดตามที่เจตนาจะรู้
ผัสสะที่เกิดในส่วนต่างๆ

ผมคิดว่า น่าจะมีคำถามตามมามากมาย เพราะความเห็นผมแน่ๆ
ต้องคุยไปถามไป ถึงจะอธิบายง่ายครับ :b13:

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ส.ค. 2009, 18:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


ตอบคุณตรงประเด็น... เรื่องข้อความของ อ.ระวี นั้น ตอนแรกเห็นต่าง คิดไปคิดมาก็รู้สึกเห็นด้วย แต่ตอนนี้ก็เห็นต่างอีกแล้ว... คืองี้

คำว่าที่ตั้งของจิตนั้น เราเข้าใจว่า มันไม่ได้หมายถึง ตำแหน่ง แบบที่มีพิกัดแน่นอน หากที่ตั้งของจิตอยู่ในสมอง ก็ไม่ได้หมายความว่า มันอยู่ในเนื้อสมอง

เราค่อนข้างเชื่อว่า จิตนั้นไม่ได้อยู่ในโลกวัตถุ จิตไม่รับรู้ การมีอยู่ ของโลกวัตถุ เราจึงต้องมีดวงตา มีจมูก มีประสาทสัมผัสต่างๆ เพื่อเป็นเครื่องมือถ่ายทอดสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวัตถุนี้ ให้แก่จิต โดยมีรูปปรมัตถ์ (ส่วนหนึ่ง อาจเป็นกระบวนการต่างๆ ที่ทำงานกับสมอง) เป็นตัวเชื่อมกับเจตสิก

จิตอาจจะอยู่ที่หัวใจ (ตามพระไตรปิฎก ?) ก็ได้ แต่ไม่ใช่ว่า มันอยู่ในเนื้อหัวใจ เพียงแต่มันอยู่ในที่ที่เดียวกัน ซ้อนเหลื่อมกันอยู่

สิ่งที่ทำให้เราคิดว่า ตัวจิตเองนั้น ไม่ได้อยู่ในโลกวัตถุ ก็เพราะว่าในโลกของจิตนั้น ไม่มีคำว่า ระยะทาง การส่งโทรจิตสามารถส่งถึงกันได้ทันที ไม่ว่าจะอยู่ห่างไกลเพียงใด นอกจากจะไม่มีระยะทางแล้ว ก็ยังไม่มี ตำแหน่ง ด้วย เราไม่จำเป็นต้องรู้ว่า อีกฝ่ายนั้นอยู่ที่ไหน เพียงแค่นึกภาพถึง เราก็ส่งจิตไปถึงได้ (คุ้นๆ เหมือนโลกควอนตัมฟิสิกส์ยังไงไม่รุ)
คุณสมบัติแบบนี้ ไม่น่าจะเกิดขึ้น หากจิตนั้นผูกติดอยู่กับวัตถุ (ระบบประสาทส่วนกลาง)

อันที่จริง ในพระไตรปิฎกเอง ก็ได้กล่าวทำนองว่า จิตคือกลุ่มอนุภาคชนิดหนึ่ง แต่ใช้คำเป็นอย่างอื่น...

โลกของจิต (พบได้ในฌาณ) คืออะไร มันไม่ใช่ภพภูมิ แต่เป็นสภาวะที่จิตถอยห่างออกจากร่างกาย (เราใช้คำว่าถอยห่าง เพราะเดี๋ยวจะเข้าใจไปว่า ตัดขาด) ในสภาวะนี้จิตจะเป็นอิสระ และสามารถส่งจิตถึงกันได้กับจิตอื่นๆ

จิตอื่นที่เห็นในสภาวะนี้ ไม่ใช่พวกโอปปาติกะ แต่เป็น จิต ของโอปปาติกะ หรือจิตสมาธิอื่นๆ และนี่อาจเป็นคำตอบว่า เหตุใดพวกโอปปาติกะที่เห็นในสมาธิ จึงจำแลงรูปได้อย่างไม่จำกัด เพราะนั่นเป็นเพียงจิตที่มีเจตสิก (และอาจมีรูปปรมัตถ์บางตัว)
ขอแก้ไขเป็น... จิตที่เห็นในสมาธินั้น คือโอปปาติกะ รวมถึงจิตสมาธิอื่นๆ เพียงแต่หากยังไม่มีทิพยจักษุ จะเห็นโอปปาติกะได้ก็ต่อเมื่อ เขาแสดงตน เท่านั้น

สิ่งที่เรายังสงสัยคือ เมื่อจิตไม่รับรู้วัตถุ แล้วอิทธิฤทธิ์เกิดขึ้นได้อย่างไร ?
คิดว่า สิ่งที่จะเป็นคีย์ในการหาคำตอบคือ ตาทิพย์ (ทิพยจักษุ=ตาจิต) ตาทิพย์สามารถมองโลกของโอปปาติกะได้แบบไหน นั่นจะได้คำตอบของคำถามมากมาย แต่ที่เราสนใจเป็นพิเศษคือ ตาทิพย์สามารถมองโลกวัตถุแบบตาเนื้อได้หรือไม่ ซึ่งหากได้ แสดงว่ายังมีอีกกลไกหนึ่งที่สามารถรับแสงได้โดยไม่ต้องพึ่งดวงตา

ตอนนี้ขอไปศึกษาเรื่องรูปปรมัตถ์ก่อน ดูนี่จะเป็นอีกคีย์หนึ่งที่สำคัญ ว่าจิตสัมพันธ์กับกายเนื้อได้โดยวิธีใด...

- จากที่เขียนมาย่อมอนุมานได้ว่า การถอดจิตนั้น ไม่มีจริง
- เมื่อสมองตาย (หรือถูกทำลาย) การเชื่อมโยงระหว่าง จิตเจตสิก รูปปรมัตถ์ และสมอง ขาดหายไป นั่นจึงเป็นสัญญาณของความตาย เกิดจุติจิต และปฏิสนธิจิต ในภพภูมิใหม่ สิ่งที่น่าสนใจในกรณีนี้คือ รูปปรมัตถ์คืออะไร รูปปรมัตถ์บางรูปเป็นส่วนเชื่อมโยงระหว่างจิตและสมองใช่หรือไม่
*** เพิ่มเติม... มันอาจหมายถึงว่า ความตายนั้นคือ การเชื่อมโยงระหว่างสมองและจิตถูกตัดขาด ซึ่งในกรณีอุบัติเหตุ อาจมีช่วงเวลาเล็กน้อย ก่อนที่รูปปรมัตถ์จะดับลง และเกิดจุติจิตขึ้น แต่ไม่ยาวนานจนกลายเป็นเรื่องเล่า สัมภเวสี แน่ ***
- รูปปรมัตถ์บางรูปคือกายละเอียดใช่หรือไม่ การรักษากายโดยสมาธิ คือการรักษาที่รูปปรมัตถ์ใช่หรือไม่ หากใช่ ย่อมแสดงว่า รูปปรมัตถ์คือระบบควบคุมชีวิตที่แท้จริง และแนวคิดที่เส้นประสาทเป็นเพียงทางส่งสัญญาณจากรูป ก็อาจเป็นไปได้...


ปล. จริงๆ เราอยากมีหน้าเว็บสักหน้านึง รวบรวมสิ่งที่เราคิดไว้ทั้งหมด เพราะบางทีเขียนกระจัดกระจายตามกระทู้ต่างๆ แล้ว ก็ลืมไปว่า เคยเขียนอะไรไว้ แล้วจะต้องอัพเดตที่ตรงไหน
ปล2. เจ้ายาม อั้วไม่ได้โกรธเอ็งหรอกนะ แค่เขียนเตือนๆ ไม่โกรธเพราะอั้วละสังโยชน์ได้ 20 ประการ เป็นอรเหิน ผู้เป็นเลิศด้านฟีโรโมนพิสูจน์ อิอิ

ปล3. คุณกามโภคี เอาเป็นว่า ต่อไปถ้ามีการถาม เราจะถือว่าเป็นนิยามทางศาสนาก็แล้วกัน


แก้ไขล่าสุดโดย murano เมื่อ 22 ส.ค. 2009, 20:51, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ส.ค. 2009, 21:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


เกี่ยวกับ ที่ตั้งของจิต อยู่ตรงไหนกันแน่ ในร่างกาย



ในประเด็นนี้ ขอเรียงลำดับหลักฐาน และระดับของความเห็นเป็นดังนี้

1.พระไตรปิฎก ได้แก่
1.1 พระสูตร และ พระวินัย
1.2พระอภิธรรม

2.อรรถกถา ที่เกิดจากอาจารย์รุ่นหลัง อธิบายขยายความข้อ1อีกที

3. ความเห็นบุคคลในยุคปัจจุบัน

4.ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์


....................


จาก 1.1 จากพระสูตรและพระวินัย ยังไม่พบหลักฐานชัดๆ ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ชัดๆว่า จิตตั้งอยู่ในหัวใจ


จาก1.2 จากพระอภิธรรม
พระอภิธรรมปิฎก เล่มที่ ๗
มหาปัฏฐานปกรณ์ ภาค ๑

http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v ... 422&Z=2809

อัพยากตธรรม อาศัยอัพยากตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย
คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอัพยากตวิบาก และอัพยากต-
*กิริยา เกิดขึ้น ขันธ์ ๑ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๓ เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ และจิตตสมุฏฐานรูป
อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอัพยากตวิบาก
เกิดขึ้น ขันธ์ ๑ และกฏัตตารูป อาศัยขันธ์ ๓ เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ และกฏัตตารูป อาศัยขันธ์ ๒
เกิดขึ้น หทยวัตถุอาศัยขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น ขันธ์ทั้งหลายอาศัยหทยวัตถุ เกิดขึ้น


คือจาก พระอภิธรรมนี้ กล่าวเพียงว่า “หทยวัตถุอาศัยขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น ขันธ์ทั้งหลายอาศัยหทยวัตถุ เกิดขึ้น” แต่ก็ไม่ได้ระบุให้ชัดเจนว่า หทยวัตถุ(ทีมีการเชื่อว่าเป็นที่ตั้งของจิต)นั้น ตั้งอยู่ในส่วนใดของร่างกาย

อีกประการหนึ่ง ถ้ายังจำเรื่อง สูกรมัณฑวะ อาหารที่พระพุทธองค์ทรงเสวยมื้อสุดท้ายได้….. ไทยเราปักใจเชื่อกันว่า เป็นอาหารที่ปรุงจากเนื้อหมูอ่อนมาตั้งนาน จนเมื่อไม่ถึงร้อยปีนี้ เราจึงได้ข้อมูลจากแหล่งอื่นๆ ว่า อาจจะเป็นเห็ดชนิดหนึ่งที่หมูป่าชอบกิน!!

ดังนั้นคำว่า”หทัยวัตถุ”ในพระอภิธรรม ซึ่งแตกต่างจากคำว่า”หทยัง”(หัวใจเนื้อ)นี้ ก็ต้องระวังว่าอาจจะไม่ใช่ความหมายว่า ตั้งอยู่ในหัวใจเนื้อก็เป็นไปได้……


2.อรรถกถา ที่เกิดจากอาจารย์รุ่นหลัง อธิบายขยายความข้อ1อีกที

ตรงนี้ เรียกว่า มีการกล่าวแบบชัดเจนว่า จิตตั้งอยู่ในรูปปรมาณู(ตาเปล่ามองไม่เห็น)ที่เรียกว่า หทัยวัตถุ…และหทัยวัตถุ ตั้งอยู่ใน”หทยัง”หรือหัวใจเนื้ออีกที โดยระบุว่าเนื้อหัวใจส่วนที่เป็นที่ตั้งของหทัยวัตถุนั้น มีลักษณะเป็นหลุมขนาดเท่าเมล็ดในดอกบุนนาค

จาก หทยํ (เนื้อหัวใจ)
อรรถกา เล่ม๗๕ พระอภิธรรมปิฎก วิภวังค์ปกรณ์
คำว่า หทยํ คือ เนื้อหัวใจ เนื้อหัวใจนั้น ว่าโดยสี มีสีแดงดังสี
หลังกลีบดอกปทุม. ว่าโดยสัณฐาน มีสัณฐานดังดอกปทุมตูม ที่เขาปลิดกลีบ
ข้างนอกออกแล้วตั้งคว่ำลง ภายนอกเกลี้ยง แต่ภายในเป็นเช่นกับภายในผล
บวบขม เนื้อหัวใจของคนมีปัญญาแย้มบานหน่อยหนึ่ง ของคนผู้ไร้ปัญญา
เป็นดังดอกบัวตูมนั่นแหละ
ก็ภายในของเนื้อหัวใจนั้นเป็นหลุมมีประมาณจุเมล็ดในดอกบุนนาคได้ ในที่ใด โลหิตมีประมาณกึ่งฟายมือขังอยู่ มโนธาตุและมโนวิญญาณธาตุอาศัยที่ใดเป็นไปอยู่ ก็แลโลหิตนั้นๆ ในที่นั้นๆ
ของ
คนมีราคจริตเป็นสีแดง ของคนมีโทสจริตเป็นสีดำ ของคนมีโมห-
จริตเป็นเช่นกับสีน้ำล้างเนื้อ ของคนมีวิตักกจริตเป็นสีเช่นกับน้ำต้ม
ถั่วพู ของคนมีสัทธาจริตเป็นสีดังดอกกรรณิการ์ ของคนมีปัญญา-
จริต ใส ผุดผ่อง ไม่หมองมัว ขาว บริสุทธิ์ ย่อมปรากฏรุ่งเรืองอยู่
ดุจแก้วมณีบริสุทธิ์ที่เจียระไนแล้ว. ว่าโดยทิศ เกิดในทิศเบื้องบน. ว่าโดย
โอกาส ตั้งอยู่ใกล้ท่ามกลางระหว่างถันทั้ง ๒ ในภายในสรีระ. ว่าโดยปริจเฉท
กำหนดโดยส่วนที่เป็นเนื้อหัวใจ. นี้เป็นสภาคปริเฉทของเนื้อหัวใจ ส่วน
วิสภาคปริจเฉท .


(ปล. เคยมีการเชื่อว่า หทัยวัตถุ ตั้งอยู่ที่SA node)



ข้อ3 ความเห็นบุคคลต่างๆในยุคปัจจุบัน
ขอผ่านไปเลย... เพราะ ต่างคนต่างคิดเห็น




4.ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ที่ว่า

4.1 แม้นจะเอาหัวใจจักกรกล เช่น AbioCor ซึ่งเป็นหัวใจจักรกลทั้งดวงเปลี่ยนแทนของเก่า ความจำ และความรู้สึกนึกคิดของผู้ป่วยก็ยังคงเหมือนเดิมทุกประการ….. ซึ่งเป็นการค้านสมมติฐานที่ว่าจิตตั้งอยู่ในหัวใจห้องขวาบนตรงตำแหน่งSA node
ดูรูป AbioCor และการติดตั้งในร่างกายคน

http://www.vcharkarn.com/include/vcafe/ ... p?Pid=5764

4.2ที่อรรถกถาบรรยายว่า”….. ก็ภายในของเนื้อหัวใจนั้นเป็นหลุมมีประมาณจุเมล็ดในดอกบุนนาคได้…..”นั้น น่าจะตรงกับFOSSA OVALIS มากกว่า SA node

4.3สิ่งที่ไอน์ไสตน์ได้เคยเตือนเอาไว้
"....... ในอดีต ความขัดแย้งระหว่างวิทยาศาสตร์และศาสนาได้สร้างความน่าหดหู่มาแล้วหลายครา ตัวอย่างเช่น หากมีชุมชนใดสักแห่งที่เคร่งศาสนาออกมายืนยันว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่บัญญัติไว้ในคัมภีร์ไบเบิ้ลเป็นจริงหมด เมื่อนั้นก็อาจกล่าวได้ว่าศาสนาได้ก้าวล้ำเข้าไปในขอบเขตของวิทยาศาสตร์ และสร้างความขัดแย้งระหว่างความเชื่อทางศาสนากับวิทยาศาสตร์ เหมือนเช่นที่กาลิเลโอและดาร์วินเคยประสบมาก่อน......"


สุดท้ายนี้ ก็ต้อง ไม่ลืม เกสปุตตสูคร หรือกาลามสูตรที่ว่า
“……ท่านทั้งหลาย
อย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา
อย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำสืบๆ กันมา
อย่าได้ยึดถือโดยตื่นข่าวว่า ได้ยินอย่างนี้
อย่าได้ยึดถือโดยอ้างตำรา
อย่าได้ยึดถือโดยเดาเอาเอง
อย่าได้ยึดถือโดยคาดคะเน
อย่าได้ยึดถือโดยความตรึกตามอาการ
อย่าได้ยึดถือโดยชอบใจว่าต้องกันกับทิฐิของตัว
อย่าได้ยึดถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้
อย่าได้ยึดถือโดยความนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา..."




ในกระทู้นี้ ผมต้องจัดแบ่งระดับความน่าเชื่อถือของข้อมูลออกเป็น

1.พระไตรปิฎก ได้แก่
1.1 พระสูตร และ พระวินัย
1.2 พระอภิธรรม

2.อรรถกถา ที่เกิดจากอาจารย์รุ่นหลัง อธิบายขยายความข้อ1อีกที

3. ความเห็นบุคคลในยุคปัจจุบัน

4.ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์


เพราะจำเป็นต้องให้ผู้ที่อ่านจะได้แยกได้ว่า ที่กำลังกล่าวถึงนั้น มีระดับความน่าเชื่อถือเพียงใด

ประเด็นของหทัยวัตถุ ที่ว่าจิตตั้งอยู่ในหัวใจเนื้อนี้ มีอยู่ในข้อ2 และข้อ3
แต่ไม่มีปรากฏในข้อ1 และ4


ผมถึงมั่นใจว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสสิ่งใดเลยที่ขัดกับความจริงที่โลกวิทยาศาสตร์ปัจจุบันเขาค้นพบ...... มีแต่สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ คนในยุคปัจจุบันยังพิสูจน์ได้ไม่หมดต่างหาก

ประเด็นของหทัยวัตถุ ที่ว่าจิตตั้งอยู่ในหัวใจเนื้อนี้..... ต้องทำให้ชัดเจนว่า เป็นความเห็นของอรรถกถาจารย์รุ่นหลัง ที่บันทึกไว้ในอรรถกถา ไม่ใช่พระพุทธพจน์โดยตรง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ส.ค. 2009, 21:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


เคยมีท่านผู้รู้ท่านหนึ่งบอกผมว่า

รู้อยู่ตรงไหน จิตอยู่ตรงนั้น

:b6:

ผมว่า คำตอบแบบนี้ ไม่ผิดแน่ เพราะจิตเป็นธรรมชาติที่รู้อารมณ์

ถ้า ตอบแบบนี้ ที่ตั้งของจิตสามารถอยู่นอกระบบประสาทกลางได้เสียด้วยซ้ำ
เช่น เวลาใช้แขมแทงมือ ความรู้สึกจะไปจดจ่ออยู่ที่มือที่เข็มแทงอยู่....(ระบบประสาทส่วนปลาย)



อย่างไร ก็ตาม

ผมกลับไม่เห็นความสำคัญในเรื่อง ที่ตั้งของจิตว่าอยู่ตรงไหนกันแน่ ...สักเท่าใด (อุตส่าห์โพสเสียเยอะแยะ :b12: )


ผมยังคงเห็นแบบในความเห็นต้นๆอยู่ว่า

จิตจะมีที่ตั้งอยู่ตรงไหนในร่างกายก็ช่างมันเถิด

ถ้า รับรู้อารมณ์แล้ว มีดีใจ-เสียใจสุดขีด มีรัก-ชังสุดขีด มีหัวเราะลืมตัว-ร้องไห้คร่ำครวญ... มัน ก็ผิดจากพุทธประสงค์ทั้งนั้นละ

แต่ ถ้า รับรู้อารมณ์แล้ว ไม่มีดีใจ-เสียใจสุดขีด ไม่มีรัก-ชังสุดขีด ไม่มีหัวเราะลืมตัว-ร้องไห้คร่ำครวญ... มัน ก็บ่ายหน้าไปสู่การพ้นทุกข์ทั้งนั้นละ




สรุป... ในเรื่อง ที่ตั้งของจิตในร่างกายนี้ หาคำตอบชัดเจนไม่ได้ เพราะ ไม่มีพระพุทธพจน์ตรัสแสดงเรื่องนี้โดยตรง

แล้ว ในเมื่อพระพุทธองค์ท่านก็ไม่ได้สอนให้เราท่าน ต้องไปหาที่ตั้งของจิตในร่างกาย...
ก็ แสดงว่า การที่ต้องรู้ให้ได้ว่าจิตตั้งอยู่ตรงไหนในร่างกาย เป็น ใบไม้นอกกำมือ .... ที่ไม่จำเป็นต่อการดับทุกข์โดยตรง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ส.ค. 2009, 21:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ด้วยความไม่รู้..ส่วนตัวไม่เห็นประโยชน์อะไรจากการหาที่ตั้งของจิต..


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 206 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 14  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 69 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร