วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 14:34  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 206 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 ... 14  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ย. 2009, 16:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 09:31
โพสต์: 639

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จิตต่างจากสมอง มีที่อยู่คนละที่ การรับรู้คนละระดับ

จิตยิ่งใหญ่กว่าสมอง เพราะจิตเป็นตัวบังคับสมอง

จิตรับรู้ได้ถึงระดับปัญญาธรรม รู้แจ้งโลก รู้แจ้งจักรวาล รู้อดีต รู้อนาคต รู้ความคิดของอะไรๆทั้งหมดได้ ถ้าจิตแข็งแกร่ง สมอง รู้ได้แค่ ความรู้ทางโลก (ตื้นกว่าปัญญาเยอะนักค่ะ)

จิตฝึกให้แกร่งโดยอาศัย ศีลและสมาธิค่ะ ด้วยใจที่ไม่มีกิเลส ปัญญาก็จะได้เร็วขึ้นเป็นลำดับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ต.ค. 2009, 21:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


ได้รับทราบข้อมูลเพิ่มเติม เกี่ยวกับ "หทัยวัตถุ"มาดังนี้ครับ


http://www.pantip.com/cafe/religious/to ... 72960.html


อ้างคำพูด:



เกี่ยวกับคำว่า "หทัยวัตถุ"
==========================================================


ง. หทยรูป 1 (รูปคือหทัย - physical basis of mind)
12. หทัยวัตถุ* (ที่ตั้งแห่งใจ, หัวใจ - heart-base)
*ข้อนี้ ในพระไตรปิฎก รวมทั้งอภิธรรมปิฎก ไม่มี เว้นแต่ปัฏฐานใช้คำว่า “วัตถุ” ไม่มีหทัย

พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม พิมพ์ครั้งที่ ๑๒ พ.ศ. ๒๕๔๖

http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=รูป



=================================================

[๓๒๓] เกนจิวิญเญยยธรรม อาศัยเกนจิวิญเญยยธรรม เกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัย
คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็น
เกนจิวิญเญยยธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ
ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย อาศัย
หทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๓ อาศัยมหาภูตรูป ๑ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป
ที่เป็นอุปาทารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย


เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๔๒ บรรทัดที่ ๕๔๗๕ - ๕๕๕๒. หน้าที่ ๒๒๔ - ๒๒๗.

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka3/v ... agebreak=0




มาดูพระบาลี

[๓๒๓] เกนจิวิญฺเญยฺยํ ธมฺมํ ปฏิจฺจ เกนจิวิญฺเญยฺโย ธมฺโม
อุปฺปชฺชติ เหตุปจฺจยา: เกนจิวิญฺเญยฺยํ เอกํ ขนฺธํ ปฏิจฺจ ตโย
ขนฺธา จิตฺตสมุฏฺฐานญฺจ รูปํ เทฺว ขนฺเธ ... ปฏิสนฺธิกฺขเณ
ขนฺเธ ปฏิจฺจ วตฺถุ วตฺถุ; ปฏิจฺจ ขนฺธา เอกํ มหาภูตํ ปฏิจฺจ
ตโย มหาภูตา มหาภูเต ปฏิจฺจ จิตฺตสมุฏฺฐานํ รูปํ กฏตฺตารูปํ
อุปาทารูปํ ฯ


http://budsir.mahidol.ac.th/cgi-bin/Bud ... 23&Roman=0


คำว่า "หทัยวัตถุ" ไม่มีในพระบาลี แต่มีในอรรถกถา

คำว่า "หทัยวัตถุ" มีปรากฏใน ‘พระไตรปิฎกแปล’ ก็เพราะว่า ในการแปลพระไตรบาลีเป็นพระไตรปิฎกแปลภาษาไทย ต้องอาศัย อรรถกถาในการช่วยแปล


แก้ไขเมื่อ 27 ต.ค. 52 16:30:35

จากคุณ : wichaphon_me
เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 52 16:18:55


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ม.ค. 2009, 20:45
โพสต์: 1094

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สมองสามารถคิดได้ แต่ไม่มีสำนึก

ส่วนจิตนั้นสามารถสร้างปัญญาได้ ยิ่งกว่าความรู้

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ม.ค. 2010, 21:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


ความเข้าใจ ณ ตอนนี้
ตำราว่า ภพทั้งหลายนั้นมีอยู่ 3 คือ กามภพ รูปภพ และอรูปภพ
ซึ่งเราก็สงสัยมาตลอดว่า ภูมิทั้ง 31 นั้น แบ่งกันไปอยู่ในภพใดบ้าง แต่ตอนนี้พอจะเข้าใจล่ะ เลยมาบันทึกไว้กันลืม...

กามภพนั้น เป็นที่อยู่ของเทวดา มนุษย์ และอบาย ตำราแยกชีวิตออกเป็น ภูมิของจิต หรือถ้าใช้ภาษาปัจจุบัน ก็คือ แยกออกตาม พลังจิต
เมื่อเราตาย จิตที่จะไปปฏิสนธิที่ใด ก็ขึ้นอยู่กับพลังของจิตนั้น

จักรวาลนี้ มีพลังงานที่ไม่เท่ากัน ไล่เรียงลงมาจากใจกลางกาแลคซี่ จิตที่มีพลังต่ำก็จะถูกผลักออกมาโดยรอบตามระดับพลังงานที่มี สวรรค์ 6 ชั้น จึงเป็นชีวิตที่กำเนิดไล่เรียงเป็นลำดับ และพลังงานระดับมนุษย์ ก็ถูกผลักออกมาจนอยู่ที่ขอบกาแล็คซี่ และก็ผลักพลังงานระดับอบายออกไปอีก จนนรกโลกันต์นั้น มีกำเนิดที่จุดพลังงานต่ำสุด คือ ตรงช่องว่างระหว่างกาแลคซี่ 3 แห่ง

ไตรปิฏกไม่ได้แบ่งแยกชีวิตทั้งหลายว่า เป็นสสารหรือไม่ ดังนั้น ภูมิทั้งหลายจึงอาจเป็นชีวิตต่างดาว ที่มีพลังจิตมากน้อยแตกต่างกัน
แต่พลังจิตในระดับเทวดา อาจมีกำลังมากเพียงพอที่จะควบคุมสสารได้ ซึ่งต่างจากมนุษย์ ที่จิตมีกำลังในระดับ สมดุล กับสสาร เรื่องของพลังจิตนี้ ณ ปัจจุบัน คงหายสงสัยกันแล้วว่า มันทำอะไรได้บ้าง...
ส่วนในชั้นอบาย จิตไม่มีกำลังมากพอจะทำอะไรได้ เช่น อาจไม่สามารถขึ้นรูปของชีวิตให้สมบูรณ์ได้เลย... ไม่ขอยกตัวอย่างมากกว่านี้นะ

เทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา (เทวดาชั้นที่ 1) เป็นเทวดาที่อยู่บนโลกมนุษย์นี้เอง และน่าจะเป็นชีวิตที่มีพลังจิต เพียงพอที่จะพ้นการควบคุมของสสาร แต่ยังไม่พอที่จะควบคุมสสารได้มากนัก
ส่วนเทวดาชั้นอื่นๆ อาจมีกำลังจิตเพียงพอที่จะเนรมิตสสาร ให้เป็นร่างกายของตัว และควบคุมสสารได้มากขึ้นเรื่อยๆ ตามระดับชั้น

ส่วนรูปภพ และอรูปภพ เป็นชั้นของพรหม 20 ชั้น เอาเท่านี้ก่อน...


แก้ไขล่าสุดโดย murano เมื่อ 25 ม.ค. 2010, 21:12, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ม.ค. 2010, 09:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


คำว่าชีวิตต่างดาวนั้น (เอาเฉพาะเทวดา) จึงไม่ใช่ชีวิตต่างดาวแบบที่เราเข้าใจ เพราะหากร่างกายเกิดจากการเนรมิต ไม่ได้เกิดจากการเชื่อมโยงของจิต เราจึงไม่สามารถทำร้ายชีวิตเหล่านั้นได้ด้วยวัตถุต่างๆ แม้กายเหล่านั้นจะถูกทำลาย แต่ก็สามารถเนรมิตขึ้นมาได้อีกเรื่อยๆ

โลกที่เรามองเห็นกันอยู่นี้ เป็นการมองเห็นและสัมผัสด้วยสสาร (ดวงตาและร่างกาย) แต่ไตรปิฏกจัดภพที่เราอยู่กันนี้ว่า กามภพ สสารเป็นเพียงมิติหนึ่งในกามภพเท่านั้น
ซึ่งตรงนี้ ทำให้เราปรับเข้าความใจใหม่ เทวดาทั้ง 6 ชั้น สามารถรับรู้มนุษย์ได้ ตามหลักทั่วๆ ไปคือ มิติที่สูงกว่า ย่อมสามารถรับรู้มิติที่ต่ำกว่าได้ ไม่ได้เป็นโลกคู่ขนานกันแต่อย่างใด...

หมายเหตุ: การจะเข้าถึงมิติที่สูงกว่า ก็คือการฝึกจิตนั่นเอง อภิญญาทั้งหลาย ก็คือการฝึกจิตจน หลุด จากการควบคุมของสสาร

หากเทวดา (ชีวิตต่างดาวที่มีพลังจิตสูง) จะมาปรากฎบนโลกนี้ ก็ต้องเนรมิตสสารมาเป็นร่างกายของตน เพื่อให้มนุษย์ทั้งหลายสามารถมองเห็นได้ การเนรมิตย่อมไม่มีข้อจำกัดใดๆ ซึ่งเป็นไปได้ว่า เหล่าเทพทั้งหลายในเทพนิยายโบราณ ก็คือพวกเทวดานี่เอง
และแน่นอนว่า เทวดาเหล่านี้ ย่อมไม่ใช่เทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา...

หากมนุษย์สามารถท่องอวกาศไป จนเข้าใกล้ใจกลางกาแลคซี่ (ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย) เราอาจไม่พบสิ่งใดเลย เพราะการเนรมิตสสาร เป็นความจำเป็นเพื่อการติดต่อกับมนุษย์เท่านั้น ชีวิตต่างดาวนั้น (เทวดา) ไม่ใช่ชีวิตแบบเราๆ ท่านๆ

เพิ่มเติม... แล้วเทวดาจะมายังโลกนี้ได้อย่างไร... ตอนนี้เราเข้าใจว่า ทำได้โดยการเชื่อมพลังจิต (จะเรียกว่า เปิดมิติก็ได้ ลักษณะคล้ายๆ หลุมดำขนาดเล็ก) สิ่งที่จะผ่านมิติได้คือ จิต เท่านั้น การเคลื่อนสสารผ่านมิติแบบนิยายวิทย์ฯ นั้น ทำไม่ได้
การมานี้หมายถึง มาทั้งจิต ส่วนการสื่อสารนั้น ย่อมทำได้อยู่แล้ว

วิธีนั้น น่าจะเริ่มโดย จิตที่มีพลังสูงจิตหนึ่งหรือหลายจิต จุติ (ตาย) และตั้งจิตเพื่อมาเกิดในสังขารมนุษย์ (อย่างที่รู้ว่า จิตที่มาเกิด คือเชื่อมกับสังขารนั้น จะติดอยู่กับสังขารนั้นจนกว่าจะตาย) เมื่อจิตนั้นเติบโต จนสามารถมีพลังพอที่จะพ้นการควบคุมของสสารได้บ้าง (อภิญญา) ก็จะส่งจิตเพื่อเชื่อมต่อกับอีกจิตในเทวโลก การเปิดนี้ ก็จะทำให้จิตในเทวโลกสามารถเดินทางมาถึงโลกมนุษย์ได้

ปัญหาอยู่ที่ สังขาร (สมอง) นั้นเริ่มต้นจาก 0 การจะพยายามชักจูง เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายคือเปิดมิตินั้น น่าจะลำบากเอาการ โดยเฉพาะเมื่อคำนึงว่า จิตที่อยู่ในเทวโลกนั้น สามารถทำได้แค่การติดตามดูและช่วยเหลืออย่างจำกัดเท่านั้น และบางจิตที่ลงมาเกิด ก็อาจถูกกิเลสต่างๆ เข้าครอบงำจนเสียผู้เสียคนไปเลย...


แก้ไขล่าสุดโดย murano เมื่อ 10 ส.ค. 2010, 20:19, แก้ไขแล้ว 4 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ม.ค. 2010, 10:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b12:
...สมองเป็นอวัยวะหนึ่งของร่างกายมนุษย์ที่เรียกว่าอาการ 32 เป็นธาตุดิน...
...การทำงานของสมองอาศัยอวัยวะหลายอย่างทำหน้าที่เพื่อสั่งการร่างกาย...
...ให้คิด..ลุกยืน...ก้าวเท้าเดิน...ให้นั่งลง...ให้นอนพัก...ให้กระหายน้ำ...
...ถ้าสมองถูกทำลาย...ก็จะทำให้สั่งการทำงานของร่างกายได้ไม่เป็นปกติ...
...เช่นเส้นเลือดในสมองแตกข้างขวาก็ทำให้เป็นอัมพาตร่างกายซีกซ้าย...
:b6:
...จิตเป็นความรู้สึกนึกคิด...ในตัวบุคคลมีทั้งแบบรู้ตัว(จิตสำนึกรู้ผิด ชอบ ชั่ว ดี)...
...และแบบไม่รู้ตัว(จิตใต้สำนึก)...ซึ่งอาศัยการจำได้หมายรู้ในสิ่งต่างๆผ่านสมอง...
...การจดจำสิ่งต่างๆบ่อยครั้งเข้าจนเกิดความเคยชินก็จะเกิดการกระทำแบบอัตโนมัติ...
...เพราะฉะนั้นจิตกับสมองจึงไม่ใช่สิ่งเดียวกัน...เพราะแยกกันทำงานได้นะข้าพเจ้าว่า...
:b13:
...เอ...แล้วคนอื่นคิดเห็นเป็นแบบไหนกันบ้างนะ...
:b27: :b3: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2010, 17:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
tongue
:b12:
...สมองเป็นอวัยวะหนึ่งของร่างกายมนุษย์ที่เรียกว่าอาการ 32 เป็นธาตุดิน...

:b27: :b3: :b16:

ส่วนของเนื้อเยื่อเป็นดิน แต่การทำงานได้นั้นต้องมีครบทั้ง ดิน น้ำ ลม ไฟ
:b13:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2010, 06:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


มี พระนิพนธ์สมเด็จพระสังฆราช (สมเด็จพระญาณสังวร)

จิตคืออะไร

จากหนังสือเรื่อง ความเข้าใจเรื่องจิต มาเสนอ


ทรงอธิบาย เรื่อง จิต หทัย สมอง เอาไว้อย่างงดงาม :b8: :b8: :b8:


>>>>>>>>>>>>>>


จิตวิทยา คือความรู้เรื่องจิตทางพระพุทธศาสนา เป็นเรื่องควรศึกษาให้รู้ เพราะการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าย่อมเนื่องด้วยจิตเป็นข้อสำคัญ พระพุทธวจนะที่สั่งสอนเกี่ยวกับจิตเป็นส่วนใหญ่ จึงจะได้กล่าวถึงเรื่องจิต จากคำสอนในพระพุทธศาสนาไปโดยลำดับ

จิตกับกายเป็นของมีอยู่เป็นคู่กันแก่ทุกๆคนตั้งแต่ถือกำเนิดมาจนตาย จิต หมายถึงสิ่งที่เรียกกันว่าจิตใจของทุกๆคน กาย ก็หมายถึงร่างกายนี้ เพราะจิตเป็นสิ่งที่ไม่ใช่วัตถุที่จะมองเห็นได้ด้วยตาเป็นต้น จึงได้มีความเห็นในปัญหาว่าจิตคืออะไร อยู่ที่ไหนกันต่างๆ ตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์เก่าก่อนมาจนถึงปัจจุบัน เช่นว่าจิต เป็นธรรมชาติที่ให้สำเร็จความคิดนึก เป็นความคิดนึกเป็นธาตุรู้ เป็นที่ก่อเก็บกิเลสกรรมต่างๆ จนถึงว่าเป็นอาการของมันสมอง

ส่วนที่เกี่ยวแก่ที่อยู่ก็มีความเห็นเช่นว่า
จิตอาศัยอยู่ที่หทัย คือเนื้อหัวใจที่เต้นสูบฉีดโลหิตอยู่นี้อยู่ที่มันสมอง เพราะเป็นงานของมันสมองนั่นเองถึงจะมีความเห็นและว่าต่างๆกันอย่างไร แต่ทุกๆคนก็คงรับรองตรงกันว่า จิตใจมีอยู่จริง และย่อมรู้ว่าจิตนี้เป็นดวงชีวิตทีเดียว ดับจิตเสียเมื่อใด ชีวิตก็ดับเมื่อนั้น และร่างกายก็จะเน่าเปื่อยผุพังไปสิ้นเมื่อจิตดำรงอยู่ชีวิตจึงดำรงอยู่ด้วย ร่างกายนี้จึงคุมอยู่และปฏิบัติหน้าที่ต่างๆได้ เช่น ตามองเห็น หูฟังได้ยิน คือ ประสาทต่างๆทำหน้าที่ของตนได้ คนจึงนึกคิดอะไรได้ รู้อะไรได้ทางประสาททั้งปวง แต่ถ้าร่างกายบกพร่องเสียหาย จิตก็ประสบความขัดข้องเหมือนกัน เช่น ถ้าตาบอด หูหนวกเสีย จิตก้ออกมาเห็นมาฟังรู้อะไรทางประสาทที่เสียไปนั้นมิได้

ถ้าร่างกายส่วนกายประสาทเสีย เช่น เป็นอัมพาตไป หรือถูกฉีดยาชาก็เช่นเดียวกัน ถ้าถูกกระทบอย่างแรง เช่น ประสบอุบัติเหตุถึงวิสัญญีภาพสลบไปก็คือ ร่างกายเกิดขัดข้องที่จะแสดงความรู้อะไรออกมาทางกายในขณะนั้น ถ้าร่างกายชำรุดอย่างมาก จนถึงที่เรียกว่าแตกทำลาย จิตก็ต้องดับ หรือ ออกจากร่างที่แตกทำลายนั้น สุดแต่จะเห็นกันว่ากัน เพราะจิตไม่ใช่เป็นวัตถุดังกล่าวข้างต้น จึงได้มีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องทั้งปวงที่เกี่ยวแก่จิต ถ้าเป็นวัตถุคงไม่เกิดปัญหาเช่นนี้ สิ่งที่เรียกว่าเป็นวัตถุนั้น คือเป็นรูปที่มองเห็นได้ด้วยตา เป็นเสียงที่ฟังได้ด้วยหู เป็นกลิ่นที่สูดดมได้ด้วยจมูก เป็นรสที่ลิ้มได้ด้วยลิ้น เป็นสิ่งที่ถูกต้องได้ด้วยกาย

จิตไม่ใช่เป็นวัตถุดังนี้ก็จริง แต่ก็เป็นสิ่งที่มีอยู่โดนแน่นอนในทุกๆคน ทุกคนต่างมีสิ่งที่เรียกว่าจิตใจนี้อยู่ด้วยกัน ถ้าจะลองตั้งปัญหาว่า รู้ได้อย่างไรว่ามี เพราะไม่ใช่วัตถุ ก็ตอบได้ว่า รู้ด้วยจิตนี้เอง ทุกคนมีจิตที่ไม่ใช่วัตถุอยู่ในตนแล้วจึงรู้จิตของตนได้ด้วยจิตนี้แหละ ถ้าไม่มีจิตอยู่ในตนนั่นแหละจึงจะรู้ไม่ได้ และรู้ไม่ได้ทุกอย่าง

ในพระธรรมบท ซึ่งเป็นพุทธวจนะได้กล่าวไว้ว่า จิตไม่มีสรีระหรือไม่ใช่สรีระ (อสรีร) มีคูหาเป็นที่อาศัย (คหาสย) เที่ยวไปไกล เที่ยวไปผู้เดียวหรือดวงเดียว (เอกจร) ตามลักษณะดังนี้ จิตจึงมิใช่มันสมองซึ่งเป็นสรีระ และคำว่าคูหา ในคำสามัญ แปลว่า ถ้ำ เช่น ถ้ำของภูเขา แต่ในเรื่องจิตนี้ พระอาจารย์ผู้กล่าวอธิบายได้กล่าวอธิบายไว้อย่างกว้างๆ ว่า คือกายนี้ จึงให้คำแปลโดยความว่า มีกายนี้เป็นที่อาศัย ซึ่งไม่ผิดแน่ แบบคำว่ากำปั้นทุบดิน แต่ในคัมภีร์อธิบายอื่น เช่นคัมภีร์ วิสุทธิมรรค และคัมภีร์อธิบายอภิธรรม ได้ระบุหทัยวัตถุคือเนื้อหทัยที่เต้นสูบฉีดโลหิตอยู่นี้ว่า เป็นที่อาศัยแห่งวิญญาณธาตุ อันหมายถึงจิต ตามอธิบายนี้ จิตจึงอาศัยอยู่ที่หทัยวัตถุ

มาถึงสมัยปัจจุบันแพทย์ผ่าตัดเปลี่ยนเนื้อหัวใจของคนได้สำเร็จแล้ว คือตัดเนื้อหัวใจของคนไข้ออก นำเอาเนื้อหัวใจของคนที่ตายแล้วมาเปลี่ยนให้ จึงเกิดปัญหาขึ้นถึงจิตของคนไข้ว่าจะพลอยถูกตัดออกไปหรือไม่ถ้าจิตอาศัยอยู่กับเนื้อหนังดังกล่าวนั้น และจะมีจิตอะไรของใครมาแทน จะว่าจิตของคนตายที่เป็นเจ้าของเนื้อหัวใจที่ถูกนำมาเปลี่ยนให้ก็คงไม่ได้ เพราะคนนั้นตายไปแล้ว อันหมายถึงว่าดับจิตไปแล้ว(เรียกเต็มว่าดับจิตตสังขาร) แต่ผลที่ปรากฏ คนไข้ที่ถูกเปลี่ยนเนื้อหัวใจแล้วก็เป็นผู้ที่มีจิตของตนอย่างเก่งนั้นเอง ไม่ได้เปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น จึงน่าจะต้องคิดว่า เมื่อเป็นเช่นนี้จิตอาศัยอยู่ที่ไหน

เรื่องนี้ไม่น่าจะต้องไปคิดให้มากไปถึงไหน คิดถึงคำนี้เพียงคำเดียวก็พอ คือคำว่า มีคูหาเป็นที่อาศัยดังกล่าว ว่าคูหานั้นคือกายนี้ ก็ยุติปัญหานี้ลงได้ เพราะไม่มีโอกาสผิดแน่

แต่คนเรานั้นไม่ค่อยจะชอบยุติเรื่องอย่างกว้างๆแม้ไม่ผิดเสมอไป ยังอยากจะค้นหาอีกว่า อยู่ที่ส่วนไหนของกายกันแน่ จึงลองจับศัพท์ขึ้นมาวิจารณ์กันก่อนว่า คูหาหรือถ้ำในความหมายทั่วไปนั้น มีลักษณะเป็นโพรง มีเพดานโค้งไปตามธรรมชาติ ลองค้นหาดูในร่างกายของคนว่าส่วนไหนมีลักษณะดังนั้น น่าจะได้พบในที่ ๒ แห่ง คือกะโหลกศีรษะ และส่วนหน้าอก ที่ประกอบด้วย กระดูกซี่โครงและกระดูกสันหลัง ส่วนหลังนี้มีลักษณะเป็นโพรงเหมือนกัน ซึ่งมีเนื้อหัวใจปอดตับ เป็นต้น รวมอยู่ในโพรงแห่งกระดูกหลายชิ้นนี้ แต่ไม่เหมือนส่วนแรก คือกะโหลกศีรษะซึ่งมีลักษณะเป็นคูหามากกว่า ทั้งที่เป็นที่อาศัยของมันสมอง

ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญเกี่ยวแก่ความรู้ความคิดความจำต่างๆตามที่ศึกษาทราบกันในปัจจุบัน จึงน่าจะต้องตั้งฐานแห่งความคิดขึ้นใหม่ว่า หรือจิตจะอาศัยอยู่ในคูหาส่วนนี้ คืออาศัยอยู่ที่มันสมองในกะโหลกศีรษะนี้

ในอาการของร่างกายที่จำแนกออก เพื่อพิจารณาทางกรรมฐาน เดิมจำแนกไว้ ๓๑ ไม่มีมันสมอง อาการเหล่านี้ท่านสันนิษฐานว่า คงได้จากตำแพทย์ในสมัยโบราณ แพทย์ในสมัยนั้นคงจะได้เห็นมันสมองในกะโหลกศีรษะแล้ว แต่น่าจะยังไม่รู้ลักษณะหน้าที่พิเศษจองมันสมอง จึงจัดรวมไว้ในอาการข้อหนึ่งใน ๓๑ ข้อเหล่านั้น ซึ่งน่าจะเป็นเยื่อในกระดูก ต่อมาจึงได้แยกมันสมองเป็นข้อหนึ่งต่างหาก เรียงอันดับต่อจากเยื่อในกระดูก จึงเป็นอาการ ๓๒

ถ้าจิตมีคูหานี้เป็นที่อยู่อาศัย คืออาศัยอยู่กับมันสมอง ก็จะแก้ปัญหาเรื่องการผ่าตัดเปลี่ยนเนื้อหัวใจได้ง่ายเข้า และเรื่องการผ่าตัดต่อไปนี้จะสนับสนุนในข้อนี้อีก คือได้มีข่าวพร้อมทั้งภาพในหนังสือพิมพ์ไลฟ์ (LIFE) เมื่อหลายปีมาแล้วว่า

แพทย์รัสเซียได้ตัดศีรษะสุนัขตัวหนึ่งมาต่อเข้ากับสุนัขอีกตัวหนึ่ง เป็นสุนัขตัวเดียว แต่มี ๒ ศีรษะ มีชีวิตอยู่ได้นานเท่าไรจำไม่ถนัด ศีรษะสุนัขตัวเดิมแสดงอาการของตนอย่างหนึ่ง คือต่างแสดงเหมือนอย่างเป็นสุนัข ๒ ตัว แสดงว่า จิตใจของสุนัขได้มากับศีรษะ เพราะว่าอยู่ที่ศีรษะ ไม่ได้อยู่ที่หัวใจที่เต้นอยู่นั้น และในบัดนี้ได้เกิดมีปัญหาว่า คนเราจะตายจริงเมื่อไร ได้ยินว่าแพทย์หมู่หนึ่งลงความเห็นว่า ไม่ใช่เมื่อหัวใจหยุดเต้น แต่เมื่อสมองหยุดทำงาน ความเห็นของคนโดยมา ตั้งแต่โบราณกาลมา น่าจะว่าตายเมื่อหยุดลมหายใจหรือดับลมถือว่าลมหายใจเป็นตัวชีวิต ดังคำว่า ปาโณ หรือ ปาณ แปลว่า สัตว์มีชีวิต คือมีปราณหรือลมหายใจนั่นเอง ฉะนั้น เมื่อดับลมปราณ ก็เป็นการดับชีวิตไปด้วย

แต่เรื่องนี้มีกล่าวไว้ในธรรมบางหมวด ที่น่าหยิบยกขึ้นมาพิจารณาว่า ทางพระพุทธศาสนามีแสดงไว้ว่า ชื่อว่าตายแน่เมื่อไร ในหมวดสังขาร ๓ คือ กายสังขาร(เครื่องปรุงแต่งกาย) ได้แก่ลมหายใจเข้าออก เพราะปรุงกายให้ดำรงชีวิตให้เกิดเวทนา วจีสังขาร (เครื่องปรุงแต่งวจีคือวาจา) ได้แก่วิตกวาจาร เพราะเป็นเครื่องปรุงให้พูด จิตตสังขาร (เครื่องปรุงจิต) ได้แก่สัญญาเวทนา เพราะเป็นเครื่องปรุงจิตให้คิดไป ท่านแสดงว่า เมื่อคนจะตายวจีสังขารดับไปก่อน คือดับวิตกวิจารที่จะพูด ต่อจากนั้นดับกายสังขาร คือลมหายใจเข้าออก แล้วจึงดับจิตตสังขาร คือสัญญาเวทนาเป็นที่สุด ตามลำดับนี้ ดับจิตตสังขารจึงตาย เมื่อจิตอาศัยอยู่กับมันสมอง ดับจิตตสังขารกล่าวได้ว่าดับมันสมอง คือมันสมองหยุดทำงาน และในอภิธรรมแสดงยกจิตเป็นข้อสำคัญสำหรับในเวลาตาย คือจุติจิต จึงอยู่ในระดับเดียวกันกับเหตุผลที่กล่าวมานั้น รวมความว่าจะตายแน่ต่อเมื่อดับจิตตสังขาร หรือถึงจุติจิต จะตรงกับที่เรียกว่าสมองหยุดทำงานก็ได้กระมัง เพราะยากที่จะรู้เรื่องจิตกับมันสมอง เช่นเดียวกับยากที่จะรู้ว่าสมองหยุดทำงานเมื่อไร

เรื่องจิตกับมันสมอง เมื่อดูตามลักษณะที่แสดงไว้ในธรรมบทว่า จิตไม่ใช่หรือไม่มีสรีระ ก็กล่าวได้ว่าจิตไม่ใช่มันสมอง หรือไม่ใช่อาการของมันสมอง เพราะมันสมองเป็นสรีระอย่างหนึ่ง

คราวนี้มาลองคิดดูเอาเอง ถึงลักษณะหลายอย่างที่แตกต่างกันในเรื่องต่อไปนี้ คือ อาการ อาหาร โรค เป็นต้น อาการของจิตใจ เช่นเบิกบาน ผ่องใส เศร้าหมอง อาการของมันสมอง เช่นแจ่มใส ปวดมึน อาการเหล่านี้บางทีขัดกัน เช่น บางคราวใจแจ่มใสอยากจะทำงานต่อไป แต่สมองปวดมึน บางคราวสมองโปร่ง แต่ใจท้อแท้ ไม่มีกำลังจะทำ แม้อาการดังกล่าวนี้ แสดงว่าจิตกับมันสมองต่างกัน

อาหารก็เหมือนกัน อาหารจิตใจคืออารมณ์ ได้แก่เรื่องที่จิตคิดที่จิตดำริ ที่จิตครุ่นคิดถึงต่างๆ อันส่งเสริมกำลังให้แก่จิต อาหารมันสมองได้แก่ อาหารของร่างกายที่บริโภคอยู่โดยปกติ บางคราวร่างกายได้รับอาหารเพียงพอ ซึ่งหมายความว่า สมองได้รับบำรุงด้วยอาหาร มีกำลังเรี่ยวแรงที่จะใช้ทำงานได้ แต่จิตใจขาดอาหาร คือขาดเรื่องเป็นเครื่องบำรุงใจให้มีกำลัง บางคราวจิตใจไม่ขาดเรื่องบำรุงใจเป็นจิตใจที่มีกำลัง แต่สมองขาดอาหาร อ่อนเพลีย ไม่มีกำลังที่จะทำงาน แม้เรื่องอาหารดังกล่าวนี้ ก็แสดงว่าจิตกับมันสมองต่างกัน

โรคก็เช่นเดียวกันคือต่างกันอีก เช่นโรคของจิตใจคือกิเลส ได้แก่เครื่องเศร้าหมองของจิตใจต่างๆ เช่น ความ โลภ อยากได้ ความโกรธแค้นขัดเคือง ความหลงใหล ส่วนโรคของสมอง คือความเจ็บป่วยทางสมอง จนถึงเป็นผู้เสียจริต นับว่าเป็นโรคทางกายนั่นเอง เมื่อโรคต่างกันดังนี้ สมุฏฐานของโรคก็ต่างกัน อารมณ์เป็นสมุฏฐานของโรคทางจิต กล่าวตามโวหารทางศาสนาว่า อารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความโลภ ก็เป็นสมุฏฐานแห่งโรคทางจิต คือความโลภ เป็นต้น ส่วนสมุฏฐานของโรคทางสมองนั้น ก็มีดังกล่าวไว้ในตำราแพทย์ คนเป็นบ้าเกี่ยวแก่ความวิปริตของประสาทสมอง บางคนเรียกว่าโรคจิตเรียกดังนี้ไม่ถูก ควรเรียกว่าโรคสมองถูกกว่า โรคจิตตามความหมายในอริยวินัยของพระพุทธเจ้า พึงหมายถึงกิเลส คนมีกิเลสชื่อว่าเป็นโรคจิตด้วยกันทั้งนั้น โรคสมองเยียวยาแก้ไขด้วยยาของแพทย์ โรคจิตเยียวยาด้วยธรรมของพระพุทธเจ้า
ธรรมจึงเป็นยาแก้โรคจิต และพระพุทธเจ้าจึงทรงชื่อว่าเป็นแพทย์ผู้รักษาคนเป็นโรคนี้ให้หายได้อย่างเด็ดขาด แม้เรื่องโรคสมุฏฐานของโรค ยาแก้โรค ตลอดจนแพทย์ผู้รักษาที่ต่างกันดังกล่าว ก็แสดงว่าจิตกับมันสมองต่างกัน

ข้อที่จิตและมันสมองต่างกันดังกล่าวนี้ มิได้หมายความว่า ทั้งสองนี้ไม่ต้องอาศัยกัน ไม่ต้องเนื่องกัน เพราะต้อง อาศัยกัน เนื่องกันอยู่มาก อาการ อาหาร และโรคของอย่างหนึ่งอาจเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้อีกอย่างหนึ่งเกิดกระทบกระเทือนขึ้นได้ด้วย เช่น ความโลภ ความโกรธเกิดขึ้นรุนแรง แม้เป็นโรคทางจิต แต่ก็ทำให้ร่างกายเกิดเป็นโรคทางกายขึ้นได้

ๆลๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2010, 01:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


ตรงประเด็น เขียน:
มี พระนิพนธ์สมเด็จพระสังฆราช (สมเด็จพระญาณสังวร)

จิตคืออะไร

จากหนังสือเรื่อง ความเข้าใจเรื่องจิต มาเสนอ

แต่ในคัมภีร์อธิบายอื่น เช่นคัมภีร์ วิสุทธิมรรค และคัมภีร์อธิบายอภิธรรม ได้ระบุหทัยวัตถุคือเนื้อหทัยที่เต้นสูบฉีดโลหิตอยู่นี้ว่า เป็นที่อาศัยแห่งวิญญาณธาตุ อันหมายถึงจิต ตามอธิบายนี้ จิตจึงอาศัยอยู่ที่หทัยวัตถุ

มาถึงสมัยปัจจุบันแพทย์ผ่าตัดเปลี่ยนเนื้อหัวใจของคนได้สำเร็จแล้ว คือตัดเนื้อหัวใจของคนไข้ออก นำเอาเนื้อหัวใจของคนที่ตายแล้วมาเปลี่ยนให้ จึงเกิดปัญหาขึ้นถึงจิตของคนไข้ว่าจะพลอยถูกตัดออกไปหรือไม่
ๆลๆ[/color]


ในคัมภีร์ วิสุทธิมรรค..มีอะไรที่ทำให้ปวดหัวอยู่หลายที่

นี้ก็อีกหนึ่ง

คัมภีร์นี้วางใว้เฉย ๆ ดีกว่า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2010, 01:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2007, 15:22
โพสต์: 603

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุคะ ><

พระนิพนธ์สมเด็จพระสังฆราช (สมเด็จพระญาณสังวร)

จิตคืออะไร

จากหนังสือเรื่อง ความเข้าใจเรื่องจิต มาเสนอ


เป็นบทความที่ดีจริงๆเลยคะ เลื่อมใสสมเด็จพระสังฆราช (สมเด็จพระญาณสังวร) เหลือเกิน เขียนออกแล้วได้ลึกซึ้งถึงเพยงนี้

โมทนาคะ ><


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 08:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อสมองเป็นแหล่งจ่ายพลังงานให้กับกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ในการเคลื่อนไหว ร่างกายที่ใหญ่โต จึงต้องมีขนาดสมองที่ใหญ่ตาม แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า เซลสมองที่มีจำนวนมาก จะมีความทรงจำที่สูงมากตามไปด้วย เพราะการบันทึกความทรงจำ น่าจะเป็นเรื่องของ controller ซึ่งเราเข้าใจในตอนนี้ว่า คือเจตสิกจำนวนหนึ่ง (ว่าในอีกแบบคือ ขึ้นอยู่กับอำนาจจิตนั่นแหล่ะ)
controller ที่มีประสิทธิภาพสูง ย่อมจัดรูปแบบวงจรเซลล์ประสาทได้ดีกว่า (เซลล์ก็ต้องใช้งานได้ด้วยนะ)

นั่นหมายความว่า สมองของทุกคน (ในส่วนของความทรงจำ) นั้น เท่ากัน แต่ controller (ส่วนควบคุม) ไม่เท่ากัน ความฉลาดจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับสมอง แต่ขึ้นอยู่กับ เจตสิก ที่ทำหน้าที่ในการควบคุมระบบข้อมูลของสมอง

ส่วนความสามารถในทาง ทักษะ นั้น เป็นเรื่องของสมองแบบแท้ๆ ยีนส์ที่ดี จึงมีผลมากต่อความสามารถของนักกีฬา

มนุษย์มีขนาดสมองที่ใหญ่ เมื่อเทียบสัดส่วนกับร่างกาย นั่นเป็นเพราะมนุษย์ต้องทรงตัวบนขาทั้งสอง ซึ่งจำต้องใช้พลังงานจำนวนมาก
มีการทดลองทางวิทย์อันหนึ่ง ในไม่นานนี้เอง ที่มีการปรับแต่งยีนในดวงตาของลิง และปรากฏว่า ลิงมีความสามารถในการมองเห็นสูงขึ้น ตรงนี้เราคิดว่า... หากมีการปรับแต่งดวงตาของลิง จนได้การมองเห็นแบบมนุษย์ ลิงตัวนั้นก็จะสูญเสียความสามารถด้านอื่นลง เพราะสมองที่มีขนาดเท่าเดิม ต้อง แชร์ พลังงานออกมา เช่นเดียวกัน หากเราปรับการดมกลิ่นของมนุษย์ให้เทียบเท่าสุนัข เราก็จะสูญเสียประสาทสัมผัสด้านอื่นๆ ลง

ถึงตรงนี้เราเชื่อว่า หน้าที่หลักของสมองคือ การจ่ายพลังงาน มากกว่า เพราะความทรงจำนั้น หากเก็บในรูปแบบสคริปต์ มันก็ไม่ได้ใช้พื้นที่อะไรมากมาย
ความทรงจำของเราไม่น่าจะเป็นการจัดเก็บแบบรูปภาพ แต่น่าจะเป็นการจัดเก็บแบบโครงสร้างมากกว่า แล้วก็มีเครื่องหมายระบุ เช่นการจำบ้านของตนเอง เราจะจำแค่รูปร่าง ส่วนพื้นผิวจะมีการ mark ว่า เป็นพื้นผิวแบบใด คล้ายๆ การ render แบบโปรแกรม 3 มิติทั้งหลาย เวลาเรานึกภาพเก่าๆ จึงต้องเวลาส่วนหนึ่งในการเทียบระเบียน และ render ออกมาเป็นภาพ ซึ่งแน่นอนว่า มันไม่ค่อยจะถูกต้องเท่าใดนักหรอก...

เพราะความทรงจำที่เป็นพื้นผิวหรือสีนั้น เช่นคอนกรีตสีขาว หรือยางมะตอยบนพื้นถนน มักจะเป็นความทรงจำที่เป็น ปัจจุบัน คือมีการอัพเดททางการมองเห็นอยู่เรื่อยๆ เราไม่สามารถจำได้จริงๆ หรอกว่า ถนนที่เข้าบ้านเราเมื่อปีก่อนนั้น มีพื้นผิวแบบใด...

ถึงตรงนี้ ทำให้เราคิดว่า ความทรงจำที่จำเป็นภาพนั้น (พวกลักษณะพื้นผิวและสีต่างๆ) น่าจะมีพื้นที่ที่จำกัดอยู่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ส่วนความทรงจำที่เป็นส่วนใหญ่ จะเป็นการจำในรูปแบบของโครงสร้าง


แก้ไขล่าสุดโดย murano เมื่อ 01 มี.ค. 2010, 08:59, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 09:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


ทีนี้เราก็เลยคิดไปถึงเรื่องของไดโนเสาร์...

หากสมองมีหน้าที่สำคัญในการจ่ายพลังงานให้กับกล้ามเนื้อต่างๆ ขนาดของร่างกายก็จะมีขีดจำกัดอยู่ เพราะร่างกายที่ใหญ่โตมาก อาจจะทำให้สมองมีขนาดใหญ่จนกลายเป็นสัดส่วนหลักของร่างกายทั้งหมด
ลองนึกภาพกระสวยอวกาศของอเมริกา ที่ตัวยานส่วนใหญ่คือ ถังเชื้อเพลิง...

เป็นไปได้ว่า ระบบของไดโนเสาร์ขนาดยักษ์ อาจเป็นระบบแบบโบราณ ที่ไม่มีระบบประสาทส่วนกลาง ว่าง่ายๆ คือ มีปมประสาทกระจายออกไปตามส่วนต่างๆ ร่างกายจึงสามารถขยายขนาดออกไปได้เรื่อยๆ
ถ้าจำไม่ผิด ระบบแบบนี้พบได้ในหมู่แมลง แต่เป็นระบบแบบเล็กๆ

มันก็น่าจะสมเหตุสมผลอยู่ หากจะมองว่า เป็นการวิวัฒน์ในยุคแรกเริ่ม คือเป็นเพียงการขยายขนาดของระบบประสาทแบบดั้งเดิม
ระบบแบบนี้ เมื่อมาปรากฎในสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ น่าจะมีผลเสียอยู่มาก ที่เราคิดออกตอนนี้คือ น่าจะทำให้สัตว์ยักษ์เหล่านี้ ง่ายต่อการถูกทำร้าย การโจมตีที่ปมประสาทใดปมประสาทหนึ่ง อาจทำให้หมดสภาพการเคลื่อนไหวได้เลย โดยเฉพาะหากคำนึงว่า ปมประสาทของสัตว์ขนาดนั้น น่าจะเป็นเป้าที่ใหญ่ไม่น้อย และหากปมประสาทไม่ใหญ่พอ การเคลื่อนไหวก็จะคล้ายๆ slow-motion คือพลังงานไม่พอ
การล่าในยุคนั้น จึงไม่น่าจะรุนแรงเหมือนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในสมัยนี้

อีกข้อหนึ่งคือ เมื่อเซลล์ประสาทถูกกระจายออกไป ส่วนที่เราเรียกว่าสมอง จึงอาจเหลืออยู่เพียงสมองส่วนกลาง (ซึ่งเราเชื่อว่า เป็นจุดหลักในการเชื่อมโยงของเจตสิก) และสมองส่วนประสาทอัตโนมัติเท่านั้น ซึ่งนั่นทำให้สัตว์เหล่านี้ มีความทรงจำที่ต่ำมาก (เพราะมีเซลล์ประสาทให้ใช้ไม่มาก)

การวิวัฒน์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม จึงนับเป็นการสร้างระบบร่างกายใหม่ ที่มาพร้อมกับ ความสามารถในการจำ ที่สูงขึ้น
การวิวัฒน์เป็นระยะๆ อย่างต่อเนื่อง ก่อให้เกิดภูมิใหม่ในที่สุด นั่นคือ ภูมิมนุษย์

เรื่องที่มาของภูมิต่างๆ นั้น ไว้ความคิดตกผลึกได้มากกว่านี้ ค่อยมาเขียนใหม่ ตอนนี้เราแค่เข้าใจว่า... แต่เดิม ในจักรวาลนี้ไม่มีภูมิเทวดา ไม่มีอบาย
ภูมิเหล่านี้มีขึ้น ก็เมื่อสสารนั้น มีขึ้น จิตที่หลงใหลยินดีในสสาร ก่อให้เกิดตัณหา ก่อให้เกิดความตกต่ำ และก่อให้เกิดภูมิต่างๆ อันหมายถึงระดับชั้นของจิต ขึ้นมา


ปล. ตอนนี้เราชักเข้าเค้ากับคำหนึ่งที่เคยได้ยิน ทำนองว่า... สัตว์มีมากมายหลายชนิด เพราะความวิจิตรของจิตนั้น มีมาก
เป็นไปได้ว่า การวิวัฒน์ในขั้นก้าวหน้า คือวิวัฒน์จนได้ระบบใหม่ขึ้นมานั้น น่าจะเกิดจาก... มีจิตกำลังสูง ได้ปฎิสนธิลงมา (จะด้วยเหตุใดก็ตามแต่) อำนาจจิตที่มีมาก ก่อให้เกิดการผ่าเหล่าอย่างฉับพลัน โดยมีสภาพเป็นไปตามที่จิตนั้นต้องการ คำว่าฉับพลัน หมายถึง ร่องรอยของการตั้งต้น
กายของสัตว์ชนิดนั้น จะเริ่มปรับเปลี่ยนไปตามร่องรอยนั้น สืบกันไปหลายรุ่น จนกลายเป็นชีวิตในอีกระบบหนึ่ง เช่น จากสัตว์บกเป็นสัตว์ปีก จากสัตว์แบบปมประสาทกลายเป็นสมองรวมศูนย์ เป็นต้น

ส่วนในระดับสปีชีส์ น่าจะมีทั้งการวิวัฒน์ตามธรรมชาติ และการวิวัฒน์จากอำนาจจิต ทั้งจากตัวชีวิตนั้นเอง และจากการแผ่อำนาจจิตของชีวิตอื่น


แก้ไขล่าสุดโดย murano เมื่อ 01 มี.ค. 2010, 10:05, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 เม.ย. 2010, 20:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


เนื่องจากยึดกระทู้นี้เป็นฐานที่มั่นแล้ว จึงจะมาอัพเดตซะหน่อย...

วันนี้เมื่อช่วงบ่าย มีอะไรแปลกๆ ก็นอนสมาธิไป ไม่ได้จริงจัง หรือคิดอะไรมาก แล้วจู่ๆ...
เหมือนมีแรง ดึง อย่างมาก เกิดภายในกระโหลก ตั้งแต่สันจมูกขึ้นไป แรงนี้เหมือนจะดึงกระโหลกให้แยกออก...

ความรู้สึกตอนนั้น มันคล้ายๆ เวลาเราถอนต้นไม้น่ะ คือออกแรงดึงแต่รากมันติดเป็นแขนง ทำให้ถอนไม่ออก... ก็เหมือนกัน บางสิ่งในกระโหลกเหมือนถูกดึงออกมา แต่ก็เหมือนว่า มันติดอะไรบางอย่างเป็นแขนงอยู่
แรงนั้น ดึงออกมาได้เล็กน้อยแค่นั้น ตอนนั้นก็ได้ยินเสียงมากมาย ลักษณะเป็นเสียงเซ็งแซ่ จับใจความไม่ได้ พักหนึ่งก็หยุด พักหนึ่งก็ดึงอีกเป็นครั้งที่สอง แล้วก็หยุดอีก ก็เลย... เลิกดีกว่า

ตอนนั้น สติครบถ้วน ไม่ได้ตกภวังค์ ความคิดในขณะนั้น บอกตัวเองว่า... นี่เป็นการถอดจิตงั้นหรือ เรากำลังจะเข้าไปรู้เห็นในอีกโลกหนึ่งงั้นหรือ...

พอเลิกทำสมาธิ ก็มานั่งคิดดู...
หนึ่งคือ แรงตึงทั้งหลายนั้น มีเฉพาะในขณะทำสมาธิเท่านั้น
สองคือ นี่ไม่ใช่ลักษณะ ทิพย์ ทั้งหลาย มันไม่ใช่การหยั่งรู้ใดๆ ไม่ใช่ลักษณะนิมิต แต่มันเป็นความรู้สึก จริงๆ หรือการถอดจิตจะมีจริง (ส่วนตัวคิดว่า ถ้าจะเขียนให้ตรงความหมายจริงๆ น่าจะเขียนว่า การถอดรูปปรมัตถ์)
สามคือ ถ้าถอดออกมาได้จริง มันคือขั้นสุดท้ายของ มโนมยิทธิใช่ไหม...
สี่คือ ความรู้สึกแบบนั้น ถ้าไม่ได้ฝึกจิตมามากพอ จะเป็นความรู้สึกที่น่ากลัวมาก

ตอนนี้เราให้น้ำหนักว่า มันคือการถอดจิต ที่ติดเป็นแขนงนั้น เป็นแขนงของกายวิญญาณ ซึ่งยังไม่หลุดออกจากการควบคุมของสสาร (คือร่างกาย)
หากที่เราคิดเป็นจริง เราก็เข้าใจแล้วว่า ที่ไตรปิฎกบอกว่า พระโมคคัลลานะ ถอดจิตท่องเที่ยวนั้น เป็นอย่างไร

น่าเสียดาย ที่สภาวะนั้น เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งตัว เราก็เลยไม่ได้จดจำว่า ก่อนจะเกิดสภาวะนั้น มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง...


แก้ไขล่าสุดโดย murano เมื่อ 19 เม.ย. 2010, 20:18, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 เม.ย. 2010, 20:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 08:14
โพสต์: 829

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จิตคิด จิตเกิด
สมองคิด จิตวิบัติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 20:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


วันนี้นั่งคิดๆ อะไรเรื่อยเปื่อย ก็นึกอะไรแวบๆ ขึ้นมาอย่างนึง...

ไดโนเสาร์สูญพันธุ์แทบทั้งหมดเมื่อ 65 ล้านปีก่อน (หลงเหลือมาแค่บางชนิด เช่น จระเข้ ฉลาม แต่ขนาดตัวก็เปลี่ยนไป) เท่าที่จำได้ ในยุคนั้นมีชีวิตแบบใหม่เกิดขึ้นมาแล้ว คือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม

ภัยพิบัติที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนยุคของชีวิตนั้น เข้าใจว่า เกิดจาก ดาวเคราะห์น้อยพุ่งชน ซึ่งนั่นคือภัยพิบัติทุกชนิดที่เรารู้จัก ตั้งแต่ ภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหว การเคลื่อนของแผ่นดิน สภาพอากาศ คลื่นยักษ์ ฯลฯ
คำถามคือ มีแต่ไดโนเสาร์ หรือชีวิตโบราณเท่านั้นที่สูญพันธุ์ สูญพันธุ์ทั้งโลก... แล้วมันคัดแยกกันได้ยังไง กับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในยุคแรก

:b6: :b6: :b6: มองในเชิงนิยาย... ไดโนเสาร์ น่าจะเป็นวิวัฒนาการขั้นสูงสุดของชีวิตแบบปมประสาทแล้ว และหากไม่เกิดการผ่านยุค ชีวิตแบบใหม่ ก็จะไม่สามารถพัฒนาขึ้นมาได้ เพราะในด้านกายภาพแล้ว ชีวิตแบบไดโนเสาร์มีประสิทธิภาพเหนือกว่ามาก ตัวอย่างเช่น ฉลามหรือจระเข้ ซึ่งเป็นชีวิตยุคเก่าไม่กี่ชนิดที่ยังหลงเหลืออยู่ แม้จะถูกลดขนาดลง แต่มันก็ยังเป็นสุดยอดผู้ล่าอยู่ดี

หลังการผ่านยุค สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมก็วิวัฒนาการขึ้นเป็นลำดับ จนได้สัตว์ชั้นสูงในยุคแรก แต่ความผิดพลาดยังคงมี ด้วยวิวัฒนาการด้านขนาดที่ใหญ่โต ทำให้มนุษย์ยุคแรก น่าจะเข้าตาจน...
ยุคน้ำแข็ง จึงเป็นการผ่านยุคอีกครั้ง ด้วยภัยธรรมชาติขนาดย่อม คงเหลือแต่สัตว์ใน สเกล เดียวกับมนุษย์

การวิวัฒนาการ คือการปรับเปลี่ยนลักษณะทางกายภาพ เราคิดว่า มันน่าจะเป็นลักษณะ ต้นแบบ คือวิวัฒน์มา 1 ตัว (อาจจะหลายต้นแบบนะ) เมื่อใช้งานได้ดี ก็จะมีการขยายลักษณะเหล่านั้นออกไปยังตัวอื่นๆ จะด้วยวิธีการอย่างใดก็ตามแต่...

เคยเสนอแนวคิดไป สวรรค์ 6 ชั้น คือจิตพลังงานสูง 6 ระดับ แต่ละระดับก็มีเทวดาหลายพวก หรือในภาษาวิทย์ก็คือ หลายเผ่าพันธุ์
แต่ละระดับก็เกี่ยวข้องกับมนุษย์มาเป็นระยะๆ บางระดับก็อาจจุติมาเพื่อสร้างบารมี เป็นศาสดา เป็นผู้ช่วยเหลือ หรือเป็นผู้นำที่เก่งเกินมนุษย์ในด้านต่างๆ
แต่ในระดับที่พัฒนาชีวิต หรือสร้างการผ่านยุคต่างๆ ย่อมเป็นระดับที่ควบคุมสสารได้อย่างที่ต้องการ (ภาษาพระคือ เนรมิต) ในระดับนี้ย่อมไม่ใช้การจุติ เพราะการจุติ หมายถึงการ เข้าใช้ ร่างแบบมนุษย์ ซึ่งไม่ว่าอย่างไร ย่อมถูกสสารควบคุมในระดับหนึ่ง...

สุดท้ายล่ะ... :b6: :b6: เป็นไปได้ว่า การพัฒนาชีวิตและการผ่านยุค ทำโดยชีวิตในระดับหนึ่ง (ที่สูงมาก) การสร้างอารยธรรม เช่นอียิปต์ และการผ่านยุคย่อยๆ ก็ทำโดยชีวิตในระดับที่รองลงมา การกำเนิดผู้นำต่างๆ ก็เป็นการจุติโดยชีวิตในระดับที่รองๆ ลงมาอีก...


แก้ไขล่าสุดโดย murano เมื่อ 26 พ.ค. 2010, 21:13, แก้ไขแล้ว 5 ครั้ง.

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 206 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 ... 14  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 36 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร