วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 05:37  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 206 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 ... 14  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ส.ค. 2009, 23:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ค. 2008, 23:37
โพสต์: 449

ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่ว่าอรหันต์ต้องตายใน 7 วัน นั้นท่านกล่าวถึง ฆราวาส ที่บรรลุ อรหัตผล เพราะเพศ ฆราวาส ไม่สามารถรองรับ คุณ ระดับสูง ของอรหันต์ได้ ถ้าไม่ได้บวช ก็ต้องนิพพาน อันนี้เคยอ่านเจอครับ ส่วน การละกุศลในตอนอรหันต์นั้นโดยส่วนตัวนะครับ มองว่า ไม่ว่าพระอรหันต์จะเจริญฌาน อันเป็น อเนญชาภิสังขาร(อันนี้ไม่แน่ใจว่าใช้ศัพท์ถูกหรือไม่) ก็ไม่ไปบังเกิดในพรหมโลก เพราะว่า ตัณหา อันเป็นตัวนำไปเกิดได้ดับลงแล้ว

.....................................................
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2009, 01:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


murano เขียน:
พอดีคิดได้เพิ่มเติมอีกหน่อย

คำเล่าที่ว่า เมื่อเป็นอรหันต์แล้วต้องตายภายใน 7 วัน เราคิดว่า เป็นคำบอกเล่าที่ผิดเพี้ยน อรหันต์ไม่ได้ ต้อง ตาย เพียง..


ไม่เพี้ยนครับ..มีหลักฐานอยู่..

แต่ที่กล่าวช่วงต้น ๆ น่าฟังครับ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2009, 18:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


kokorado เขียน:
เพราะเพศ ฆราวาส ไม่สามารถรองรับ คุณ ระดับสูง ของอรหันต์ได้

อืมม... อ่านดูไม่ค่อยสมเหตุสมผล ทำไมจึงรองรับไม่ได้ ในเมื่อความเป็นอรหันต์นั้น อยู่ที่จิต ไม่ใช่วัตถุหรือร่างกาย
ยกเว้นแต่ว่า คำว่าเพศฆราวาสที่พูดถึงนั้น คือการมีเมียมีลูก (นัยยะคือ มีเพศสัมพันธ์) ซึ่งถ้าหมายความว่าอย่างนั้น ก็โอเค แต่ถ้าหมายถึง คนที่ไม่ได้บวช อันนี้ไม่โอเค...

ทายว่า ไม่น่าจะเป็นคำกล่าวจากต้นตำรับนะ หมายถึง พระไตรปิฎก...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ส.ค. 2009, 18:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


้เห็นด้วยกับการแสดงคห.ของผู้รู้จากเว็ปพลังจิต :b40:

.....................................................
"มีสติเป็นเรือนจิต ใช้ชีวิตเป็นเรือนใจ ใช้ปัญญาเป็นแสงสว่างส่องทางเดินไปเถิด จะได้ล้ำเลิศในชีวิตของท่าน มีความหมายอย่างแท้จริง"
ในการปฏิบัติธรรม หลวงพ่อท่านบอกว่า ให้ตัดปลิโพธกังวลใจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ลูก สามี ภรรยา ความวุ่นวายทั้งหลายทั้งปวง อย่าเอามาเป็นอารมณ์ จากหนังสือ: เจริญกรรมฐาน7วันได้ผลแน่นอน หัวข้อ12: ระงับเวรด้วยการแผ่เมตตา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ส.ค. 2009, 00:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมว่า..มาวิเคราะห์ดูว่า.. สนามไฟฟ้า หรือ..อะไรก็แล้วแต่..ที่ทำให้เกิดทุกข์ได้..อย่างไร..น่าจะดีกว่า..เกิดทิพย์จักษุได้อย่างไร..นะ

ว่ามัย.. :b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ส.ค. 2009, 14:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


ธาตุดิน กับ ธาตุน้ำ อาศัยกันและกัน :b13:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ส.ค. 2009, 14:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


kokorado เขียน:
ที่ว่าอรหันต์ต้องตายใน 7 วัน นั้นท่านกล่าวถึง ฆราวาส ที่บรรลุ อรหัตผล เพราะเพศ ฆราวาส ไม่สามารถรองรับ คุณ ระดับสูง ของอรหันต์ได้ ถ้าไม่ได้บวช ก็ต้องนิพพาน อันนี้เคยอ่านเจอครับ ส่วน การละกุศลในตอนอรหันต์นั้นโดยส่วนตัวนะครับ มองว่า ไม่ว่าพระอรหันต์จะเจริญฌาน อันเป็น อเนญชาภิสังขาร(อันนี้ไม่แน่ใจว่าใช้ศัพท์ถูกหรือไม่) ก็ไม่ไปบังเกิดในพรหมโลก เพราะว่า ตัณหา อันเป็นตัวนำไปเกิดได้ดับลงแล้ว

พระอรหันต์นั้น ไม่ตายแล้ว จะเป็นฆารวาส หรือ บรรพชิต ก็แล้วแต่

แท้จริงแล้วแค่ผ่านปุถุชนได้ก็ไม่ตายแล้วครับ :b32: :b32:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ส.ค. 2009, 14:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 เม.ย. 2009, 19:55
โพสต์: 548

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


natdanai เขียน:
ธาตุดิน กับ ธาตุน้ำ อาศัยกันและกัน :b13:

:b20: :b20: :b20: :b20:

:b2: :b2: :b2: :b2: :b2:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2009, 09:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ค. 2009, 20:54
โพสต์: 282


 ข้อมูลส่วนตัว


tongue สวัสดีครับ ขอกลับไปที่ต้นกระทู้ เรื่อง จิต กับ สมอง ครับ

จิต เหมือนกับ ซีพียู
สมอง เหมือนกับ ฮาร์ดดิสก์
จิต เป็นนามธรรม เป็นพลังงาน ทำหน้าที่ รับรู้ และปรุงแต่งข้อมูล อาศัยหทัยวัตถุ(หัวใจ)เป็นที่เกิด

สมอง เป็นสสาร เป็นสภาวรูป มีหน้าที่เก็บข้อมูลที่จิตสร้างขึ้น เรียกว่า "สัญญา" โดยเก็บไว้ใน
เซลสมอง ซึ่งมีลักษณะเป็นเส้นๆ หยักๆ งอไปมาตามขนาดความถี่ของข้อมูล

ปัจจัย คือสิ่งทั้งหลายที่มากระทบกายและจิต เกิดผัสสะขึ้นมาที่ทวารทั้ง 6

แล้วจะมาสนทนาต่อครับ smiley

.....................................................
เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2009, 22:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


เอาของเดิมมาแปะ พร้อมกับแก้ไขอีกหน่อย... เรื่องเสียงความคิด

ปกติคนเราจะคิดโดยใช้ภาษาของตน คนไทยก็คิดเป็นภาษาไทย จีนก็คิดเป็นภาษาจีน เยอรมันก็คิดเป็นเยอรมัน แล้วเราจะสามารถสื่อสารกับผีไซบีเรีย ผีดาวนาแม็ก ได้หรือไม่...

เราคิดว่า ในโลกแห่งวัฏสังสารนี้ มันมีภาษากลางอยู่ ภาษาที่สามารถสื่อสารกันได้ในทุกภพภูมิ (เรียกว่าภาษาจิตก็แล้วกัน) แต่คนเรานั้น มีสมองที่พัฒนาการมาก สมองจึงเข้ามาทำหน้าที่ในการกำหนดภาษาแทน
เวลาเราคิดนั้น เราคิดด้วยจิต ผ่านเจตสิก และผ่านรูปปรมัตถ์ที่เชื่อมกับสมอง การคิดของเราจึงถูกแปลออกมาด้วยภาษาที่เราคุ้นเคย (อย่าลืมว่า เพราะเราอยู่ในโลกวัตถุ สมองจึงต้องทำงานอยู่เบื้องหน้า)
พวกโอปปาติกะอื่นจึงสามารถเข้าใจเราได้ แต่ที่เข้าใจ ไม่ใ่ช่ว่าจิตโอปปาติกะนั้น รู้ภาษาไทย แต่รู้ภาษาจิตที่เกิดขึ้นก่อน ก่อนที่เสียงความคิดจะตามมา (คือเข้าใจในภาษาจิต แต่ไม่เข้าใจในเสียงความคิดที่ตามมา)
เราจึงสามารถสื่อสารได้กับผีทั่วโลก รวมถึงเทพพรหมต่างๆ

แต่สิ่งที่ยังบอกไม่ได้คือ เสียงความคิด คืออะไร

ผีนั้นไม่สามารถได้ยินเสียงมนุษย์และสัตว์ รวมถึงเสียงอื่นๆ เช่น เสียงลม เสียงระเบิด เพราะเสียงเหล่านี้ เกิดจากการสั่นสะเทือนของวัตถุ แต่มันก็ขึ้นอยู่กับว่า แรงสั่นสะเทือนเหล่านี้ มันมีผลต่อสนามหรือไม่ ถ้ามี ผีก็ รับรู้ ได้เหมือนกัน
เมื่อผีนั้นไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของวัตถุ ดังนั้น วัตถุต่างๆ จึงไม่เป็นอุปสรรคของผี เช่น กำแพง ประตู และผีจึงไปสิงอยู่ตามต้นไม้ต่างๆ ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2009, 22:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนนี้กำลังสนใจว่า ปฏิสนธิจิต เข้ามาในร่างกายมนุษย์ตั้งแต่เมื่อไร... เท่าที่ลองค้นๆ ดู ก็พอจะได้คิดว่า

มันเป็นการยาก ที่จะบอกว่า จิตเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร แต่สิ่งที่พอจะเป็นสัญญาณได้ก็คือ เมื่อตัวอ่อนในครรภ์มีคลื่นสมองเมื่อไร นั่นหมายถึง มีรูปปรมัตถ์แล้ว ซึ่งเป็นไปได้ว่า ชีวิตเริ่มต้นที่อายุเดือนครึ่ง... แต่ก็อาจเป็นไปได้ที่ ชีวิตจะเริ่มขึ้นหลังจากนั้น คือจนกว่าสมองส่วนหน้าจะทำงานได้... แต่ไม่ต่ำกว่าเดือนครึ่งเป็นแน่
คำว่าชีวิตในที่นี้ เราถือเอาการที่เจตสิกมีการเชื่อมโยงกับปรมัตถ์ และในทางกลับกัน ความตายคือการเชื่อมโยงนี้ หลุดออก

ขอเสนอนิทานเรื่องหนึ่งให้อ่านเล่น... อาจเป็นไปได้ ที่การฟอร์มรูปร่างมนุษย์นั้น จำเป็นต้องมีพลังจากจิตเป็นตัวช่วย นั่นคือ หากตัวอ่อนไม่มีจิตใดมาปฏิสนธิ หรือจิตที่มานั้น มีพลังที่ต่ำเกินกว่าภูมิมนุษย์ การฟอร์มรูปร่างจะไม่สามารถพัฒนาต่อ และแท้งไป
และเช่นกัน การฟอร์มรูปร่างในสัตว์ชนิดอื่น ก็จำเป็นต้องได้รับการขับเคลื่อนจากจิตที่มาปฏิสนธิ ที่มีกำลังเป็นขั้นต่ำในภูมินั้นๆ

ถ้านิทานเรื่องนี้เป็นจริง ก็แสดงว่า ภูมิต่างๆ ทั้ง 31 ภูมินั้น แยกกันโดยกำลังจิต (แน่นอน ย่อมหมายความไปถึง ความสงบด้วย) และสิ่งที่พอจะสนับสนุนนิทานเรื่องนี้คือ หากช่วงเวลาเดือนครึ่งนั้น มีสนามไฟฟ้าที่แรงขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ...
และหากนิทานเรื่องนี้เป็นจริง ก็ไม่น่าสงสัยที่ทางพุทธเขาว่า ความพิการแต่กำเนิดนั้นเป็นกรรม... หากจิตที่เข้ามาปฏิสนธินั้น มีความด้อยในบางสิ่ง (คือมีวิบาก) การฟอร์มรูปร่างก็อาจไม่สมบูรณ์ สิ่งที่น่าคิดคือ ความด้อยในกำลังของจิตนั้น ส่งผลไปถึงระดับ dna หรือไม่ ?


ส่วนเรื่องคลื่นสมองก็น่าสนใจ...
คลื่นสมองที่ต่ำสุดคือ คลื่นเดลต้า อาจเป็นคลื่นที่พบในขณะที่จิตอยู่ในสภาวะ นิโรธ คือจิตหยุดการทำงานโดยสิ้นเชิง เมื่อจิตหยุดทำงาน เจตสิกก็หยุดตาม ดังนั้น คลื่นที่พบในช่วงนี้ อาจเป็นการทำงานของรูปปรมัตถ์ในส่วนระบบประสาทอัตโนมัติเท่านั้น ตรงนี้เราก็เลยคิดต่อไปว่า หากในคนทุกคนมีค่าเฉลี่ยของคลื่นเดลต้านี้ เท่ากัน เราก็พอจะบอกได้ว่า...

ในคนที่เป็นเจ้าชายนิทรา หากพบแต่คลื่นสมองช่วงนี้ ย่อมแสดงว่า มีแต่ระบบประสาทอัตโนมัติเท่านั้นที่ทำงานอยู่ จิตนั้นไม่มีแล้ว เจตสิกขาดการเชื่อมโยงไปแล้ว (ในทางพุทธคือ ตายแล้ว จุติจิตเกิดแล้ว) แต่ด้วยเทคโนโลยี ทำให้สามารถกอบกู้การทำงานอัตโนมัตินี้ขึ้นมาได้
เป็นไปได้ไหมว่า จิตตกภวังค์อยู่ ตอบเองว่าไม่น่าเป็นไปได้ เพราะอาการเหล่านี้ เกิดจากสมองถูกทำลาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ย. 2009, 20:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


พอดีมีแวบความคิดขึ้นมา เลยจะขอเสนอประเด็นของ สมอง อีกครั้ง

สมองอาจไม่ได้เป็นหน่วยประมวลผลแบบที่คิด มันอาจมีหน้าที่ส่วนหนึ่ง คล้ายกับ Harddisk คือเก็บความทรงจำต่างๆ เท่านั้น จะยกเว้นก็สมองส่วนท้าย ที่ทำงานอัตโนมัติ แต่จะว่าไปสมองส่วนนี้ ก็ไม่น่าเรียกว่าเป็นการประมวลผล มันอาจเพียงทำงานพื้นฐานเพื่อให้ร่างกายคงอยู่เท่านั้น (เหมือนกับ รอบเดินเบาของเครื่องยนต์)

การประมวลผลข้อมูลต่างๆ นั้น เราคิดว่าทำโดยรูปปรมัตถ์ ซึ่งตอนนี้เราเข้าใจว่า รูปปรมัตถ์นั้น ไม่ได้มีขอบเขตที่สมองเท่านั้น เช่นในการมองเห็น การมองเห็นต่างๆ โดยดวงตานั้น ทำโดยรูปปรมัตถ์อันหนึ่ง (จักขุวิญญาณ) จักขุวิญญาณนี้ น่าจะสร้างขึ้นโดยเซลล์ต่างๆ ในดวงตา เมื่อมองเห็นแสงแล้ว เจตสิกที่เชื่อมกับปรมัตถ์อันนี้ ก็จะ เห็น แล้วสมองทำหน้าที่อะไร...

ในย่อหน้าแรก เราพิมพ์ว่า สมองอาจมีหน้าที่ ส่วนหนึ่ง คล้ายกับ Harddisk เพราะอีกส่วนหนึ่ง สมองอาจทำหน้าที่เป็น แหล่งพลังงาน ให้กับรูปปรมัตถ์ต่างๆ โดยผ่านทางเซลล์ประสาท
เช่นกรณีดวงตานั้น สมองที่นักวิทย์บอกว่า เป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับการมองเห็นนั้น จริงๆ น่าจะส่วนที่ให้พลังงานผ่านเซลล์ประสาทไปยังดวงตา และเซลล์ต่างๆ ในดวงตาก็จะเอาพลังงานไฟฟ้านั้นมาหล่อเลี้ยง จักขุวิญญาณต่อไป

ว่าง่ายๆ คือ การมองเห็นนั้น เกิดขึ้นที่ดวงตา

ที่เกิดความคิดแบบนี้ เพราะเรารู้สึกว่า ในสมาธิ เราสามารถเคลื่อนการรับรู้ของการมองเห็น ไปในตำแหน่งต่างๆ ในหัวได้ เช่น เคลื่อนไปในระดับหลังหู มันอาจจะเป็นอุปทานก็ได้ แต่เราก็ขอต๊ะไว้ก่อนว่า นี่อาจเป็นหนึ่งวิธีในการฝึก ทิพยจักขุญาณ
ประกอบกับ เรามาคิดว่า ปกติการเห็นของเรานั้น อยู่ในระดับดวงตาแบบแท้ๆ ถ้าเราเอานิ้วจิ้มไปที่ขมับ เราก็รู้เลยว่า มันเป็นด้านข้างของการมองเห็น ก็เลยเกิดความคิดนี้ขึ้นมา...

เพิ่มเติมหนา...

ในเรื่องระบบประสาทสัมผัสก็น่าจะเป็นรูปแบบเดียวกัน คือ เรา (เจตสิก) รับสัมผัสต่างๆ ผ่านปรมัตถ์ (กายวิญญาณ) ซึ่งคงอยู่ได้โดยพลังงานจากเซลประสาท เรารู้สัมผัสต่างๆ ในจุดนั้นๆ โดยไม่เกี่ยวกับสมองแต่อย่างใด

ถึงตรงนี้ เราเริ่มสงสัยว่า จริงๆการควบคุมการเคลื่อนไหวต่างๆ เกิดขึ้นจากรูปปรมัตถ์หรือเปล่า (เข้าใจว่า คือกายวิญญาณ) เส้นประสาทต่างๆ เป็นเพียงสายไฟฟ้าเพื่อส่งพลังงาน เช่น ถ้าเรายกมือขึ้น จิตสั่งไปที่เจตสิก เจตสิกไปที่ปรมัตถ์ (กายวิญญาณ) ซึ่งน่าจะมี 2 ส่วน ส่วนหนึ่งยกกายวิญญาณส่วนมือขึ้น อีกส่วนส่งไปที่สมอง (เข้าใจว่าเป็นสมองส่วนซีรีเบลลัม) เพื่อสั่งการตามสคริปต์ว่า จะส่งพลังงานไปที่กล้ามเนื้อส่วนใด... ตรงนี้หมายความว่า สมองไม่ได้ออกคำสั่งไปที่กล้ามเนื้อ ปรมัตถ์ต่างหากที่ควบคุมกล้ามเนื้อ

ในกรณีเด็กๆ สมองนั้นไม่มีสคริปต์ใดๆ เลย จึงต้องใช้เวลาที่สมองกับปรมัตถ์จะต้องทำความคุ้นเคยกับตำแหน่งต่างๆ ของร่างกาย และเก็บสคริปต์ในการเคลื่อนไหวต่างๆ เช่น หากจิตต้องการเดิน จะต้องส่งพลังงานไปให้กล้ามเนื้อมัดใดบ้าง ตรงนี้น่าจะอธิบายที่มาของ ทักษะ ได้ คือต้องมีการลองผิดลองถูก จนกว่าจะเคลื่อนไหวได้จริง เมื่อสมองได้บันทึกสคริปต์แล้ว ก็จะไม่ลืมอีก และการ ฝึกฝน ก็คือการปรับแก้สคริปต์ที่มีอยู่ เพื่อให้สมบูรณ์ขึ้นเรื่อยๆ
ในกรณีของคนที่สมองเสียหายก็คือ ตำแหน่งที่เก็บสคริปต์นั้น เสียหายไป ทำให้ต้องทำกายภาพบำบัด หัดเดินใหม่ ซึ่งจะยากกว่าเด็กมาก เพราะเด็กนั้นเส้นประสาทยังสร้างใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง
เราเดาเอาว่า คนที่เดินไม่ได้นั้น เขาจะรู้สึกว่า ขาไม่ก้าวตามที่สั่ง คนที่เป็นอัมพฤกษ์จะรู้สึกว่า ร่างกายไม่ทำงานตามที่เขาคิด เช่น ยกมือไปหยิบแก้ว มือกลับไปที่อื่น... อันนี้เดานะ


แต่สมองจะมีการทำงานตลอดเวลา เพราะนอกจากจะเป็นแหล่งพลังงานแล้ว สมองยังเป็นแหล่งเก็บข้อมูลต่างๆ (ยังไม่แน่ใจว่า ปรมัตถ์ส่วนใดควบคุมจุดนี้) เช่นเมื่อเราเห็นคนๆ หนึ่ง เจตสิกเห็นแล้ว ก็จะต้องไปค้นข้อมูลจากสมองว่า คนๆ นั้นเป็นใคร เป็นแฟน เป็นเพื่อน สวยหรือโทรม ฯลฯ อย่าลืมว่า ความทรงจำในโลกวัตถุทุกอย่าง อยู่ที่สมอง
ตรงนี้น่าจะตรงกับที่พระอภิธรรมบอกว่า รูปปรมัตถ์นั้น ไม่เกิดขึ้นเดี่ยวๆ


ปล. เรื่องกายวิญญาณเป็นตัวควบคุม น่าจะอธิบายความเข้าใจผิดเรื่อง การถอดจิต ได้ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้น (หากไม่ใช่อุปทาน) ก็คือการเคลื่อนย้ายรูปปรมัตถ์ไปยังที่ต่างๆ หรือที่เรียกว่า ส่งจิต ที่บอกว่าจะมีเส้นใยเชื่อมกับร่างกายนั้น แท้จริงอาจเป็น การส่งพลังงานไปเพื่อหล่อเลี้ยงรูปปรมัตถ์นั้น ซึ่งหากเกิดมีการขาดหายไปด้วยเหตุใดก็ตามแต่ รูปปรมัตถ์ที่ส่งออกไปนั้นก็จะหายไป แล้วจึงเกิดใหม่อีกครั้งที่ตัวเราเหมือนเดิม เราจะรู้สึกแค่ว่า เอ๊ะ ไหงมาอยู่ที่เดิม
ความเชื่อที่ว่า เมื่อสายใยถูกตัดขาด จิตจะเร่ร่อน มีแต่กายไม่มีจิต จึงไม่จริง และจากที่เขียนมานี้ ย่อมหมายความได้ว่า คำว่าวิญญาณนั้น คือรูปปรมัตถ์ (สนามไฟฟ้า) อันหนึ่ง เมื่อเราตายมันก็หายไป วิญญาณไม่ใช่จิต


แก้ไขล่าสุดโดย murano เมื่อ 01 ก.ย. 2009, 22:08, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ย. 2009, 01:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ส.ค. 2009, 02:56
โพสต์: 290

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: เข้ามาแอบดู :b1: :b1: :b1: ความรู้ทั้งนั้น เก็บเกี่ยวๆๆๆๆๆ ปัญญาจะได้เกิด สาธุ๊ สาธุ๊...

:b6: :b6: นู๋เอเองจ้า...

.....................................................
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในพระพุทธเจ้า
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในพระธรรม
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในพระสงฆ์
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในพระมารดาพระบิดา
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในครูอุปัชฌาย์อาจารย์
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง...สาธุ สาธุ สาธุ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2009, 19:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


...


แก้ไขล่าสุดโดย murano เมื่อ 07 ก.ย. 2010, 23:21, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2009, 19:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


แล้วก็เพิ่มเติมว่า... ตอนนี้เราเชื่อว่า รูปฌาณ 4 นั้น ก็คืออรูปฌาณ 1

อภิญญาในแบบอิทธิฤทธินั้น เป็นผลการจากกำหนดนิมิตในรูปฌาณ 4 เป็นอภิญญาที่ส่งจิตออกไปข้างนอก ส่วนอภิญญาในลำดับถัดไป เช่น หูทิพย์ ตาทิพย์ เป็นอภิญญา กึ่ง ภายนอก คือเป็นการควบคุมรูปปรมัตถ์ (วิญญาณ) ซึ่งเทียบเคียงแล้ว น่าจะอยู่ในระดับ อรูปฌาณ 2

อภิญญาในอันดับที่สูงขึ้น เช่น เจโต หรือการระลึกชาติ เป็นอภิญญาภายใน น่าจะอยู่ในอรูปฌาณชั้นต่อๆ ไป...
ถ้าสิ่งที่คิดเป็นจริง ย่อมแสดงว่า อภิญญานั้น เรียงลำดับ จากภายนอกสู่ภายใน (เช่นเดียวกับสมาธิ ที่ก็เริ่มสงบจากภายนอกสู่ภายใน ตามระดับรูปฌาณ 1-4)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 206 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 ... 14  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 103 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร