ลานธรรมจักร
http://dhammajak.net/forums/

ลำดับการเกิด
http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=24653
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  รสมน [ 04 ส.ค. 2009, 17:44 ]
หัวข้อกระทู้:  ลำดับการเกิด

ลำดับการเกิด ของวิถีจิตทางปัญจทวาร

มี ๗ วิถี ดังนี้.



.



๑. อตีตภวังค์ ๑ ขณะ.

ไม่ใช่วิถีจิต.



๒. ภวังคจลนะ ๑ ขณะ

ไม่ใช่วิถีจิต.



๓. ภวังคุปัจเฉทะ ๑ ขณะ

ไม่ใช่วิถีจิต.



๔. ปัญจทวาราวัชชนจิต ๑ ขณะ

เป็นวิถีจิต.



๕. ทวิปัญจวิญญาณ ๑ ขณะ

เป็นวิถีจิต.



๖. สัมปฏิจฉันนจิต ๑ ขณะ

เป็นวิถีจิต.



๗. สันตีรณจิต ๑ ขณะ

เป็นวิถีจิต.



๘. โวฏฐัพพนจิต ๑ ขณะ

เป็นวิถีจิต.



๙-๑๕. ชวนจิต ๗ ขณะ

เป็น ชวนวิถีจิต.


"ชวนจิต"

ซึ่งเกิด-ดับสืบต่อ ซ้ำ ๆ กัน ๗ ขณะ ดังนี้



๙. กุศลจิต หรือ อกุศลจิต หรือ กิริยาจิตของพระอรหันต์

๑ ขณะ.



๑๐. กุศลจิต หรือ อกุศลจิต หรือ กิริยาจิตของพระอรหันต์

๑ ขณะ.



๑๑. กุศลจิต หรือ อกุศลจิต หรือ กิริยาจิตของพระอรหันต์

๑ ขณะ.



๑๒. กุศลจิต หรือ อกุศลจิต หรือ กิริยาจิตของพระอรหันต์

๑ ขณะ.



๑๓. กุศลจิต หรือ อกุศลจิต หรือ กิริยาจิตของพระอรหันต์

๑ ขณะ.



๑๔. กุศลจิต หรือ อกุศลจิต หรือ กิริยาจิตของพระอรหันต์

๑ ขณะ.



๑๕. กุศลจิต หรือ อกุศลจิต หรือ กิริยาจิตของพระอรหันต์

๑ ขณะ.



๑๖. ตทาลัมพนจิต ๑ ขณะ

เป็น ตทาลัมพนวิถีจิต.



๑๗. ตทาลัมพนจิต ๑ ขณะ

เป็น ตทาลัมพนวิถีจิต.



.



เพราะฉะนั้น


อายุของ "สภาวรูป" ๑ รูป

เท่ากับ

การเกิด-ดับ ของจิต ๑๗ ขณะ

ดังกล่าว.
เมื่อ วิถีจิต เกิดขึ้น รู้อารมณ์ ทางปัญจทวาร (ซึ่ง เป็น ปสาทรูป)

คือ รู้อารมณ์ ทางทวารใดทวารหนึ่ง


ได้แก่


ทางจักขุทวาร

(จักขุปสาทรูป)


หรือ

ทางโสตทวาร

(โสตปสาทรูป)


หรือ

ทางฆานทวาร

(ฆานปสาทรูป)


หรือ

ทางชิวหาทวาร

(ชิวหาปสาทรูป)


หรือ

ทางกายทวาร

(กายปสาทรูป)



.


เมื่อ "การรู้อารมณ์ทางปัญจทวาร" ดับไปแล้ว

"ภวังคจิต" ก็เกิด-ดับ-สืบต่อ...คั่น.


ต่อจากนั้น........


"มโนทวารวิถีจิต"

ซึ่งเป็น "จิต" ที่อาศัย "ใจ" (ภวังคุปัจเฉทจิต)

เป็นทวาร ในการรู้อารมณ์ ก็เกิดขึ้น.................

โดย รู้อารมณ์เดียวกับ วิถีจิตทางปัญจทวาร ที่เพิ่งดับไป.



.



ในวาระหนึ่ง ๆ

"วิถีจิต" ที่เกิดขึ้น "รู้อารมณ์ทางมโนทวาร" นั้น

ไม่มากเท่ากับ "วิถีจิต" ที่เกิดขึ้น "รู้อารมณ์ทางปัญจทวาร"


และ การรู้อารมณ์ทางมโนทวาร นั้น

อารมณ์ ไม่ได้กระทบกับ ปสาทรูป เช่น "จักขุปสาทรูป" เป็นต้น

จึงไม่มี "อตีตภวังค์"



.



แต่....ก่อนที่ "มโนทวาราวัชชนจิต"

จะกระทำกิจ รำพึงถึงอารมณ์

ซึ่ง เป็นอารมณ์เดียวกับ อารมณ์ที่วิถีจิตทางปัญจทวารรู้

แล้วเพิ่งดับไป นั้น

"ภวังคจลนะ"

จะต้องเกิดขึ้น กระทำกิจ ไหวตามอารมณ์นั้น แล้วก็ดับไป....

ต่อจากนั้น...........

"ภวังคุปัจเฉทะ" จึงเกิดต่อ แล้วก็ดับไป....

ต่อจากนั้น...........

"มโนทวาราวัชชนจิต" จึงเกิดขึ้น

กระทำกิจ รำพึงถึงอารมณ์นั้น ๆ



.



"มโนทวาราวัชชนจิต"

เป็น "มโนทวารวิถีจิต" ขณะที่ ๑



.



"จิต" ที่กระทำ "อาวัชชนกิจ" ทางมโนทวาร นั้น

ไม่ใช่ "ปัญจทวาราวัชชนจิต"

เพราะว่า

"ปัญจทวาราวัชชนจิต"

กระทำ "อาวัชชนกิจ" ได้ เฉพาะทางปัญจทวาร เท่านั้น

กระทำ "อาวัชชนกิจ" ทางมโนทวาร ไม่ได้.!



.



"จิต" ที่กระทำ "อาวัชชนกิจ" ทางมโนทวาร

คือ

"มโนทวาราวัชชนจิต"

ซึ่ง กระทำกิจ รำพึงถึงอารมณ์ ทางมโนทวาร

หมายความว่า

นึกถึงอารมณ์ทางมโนทวาร.!



.



ในชีวิตประจำวันนั้น

ขณะที่กำลังคิดนึก ถึงเรื่องราวต่าง ๆ


ขณะนั้น................

"จิต" ไม่รู้อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง

ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น และ ทางกาย.


และ เมื่อ "ภวังคจลนะ" เกิดขึ้น แล้วดับไป

"ภวังคุปเฉทะ" ก็เกิดต่อ แล้วก็ดับไป........



ต่อจากนั้น................


"มโนทวาราวัชชนจิต"

ซึ่ง เป็น "มโนทวารวิถีจิต" ขณะที่ ๑

ก็เกิดขึ้น.


และ เมื่อ "มโนทวาราวัชชนจิต" ดับไปแล้ว......


สำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์.!


"กุศลจิต" หรือ "อกุศลจิต"

ซึ่งเป็น "ชวนวิถีจิต"

ก็เกิดขึ้น กระทำ "ชวนกิจ"

คือ เกิด-ดับ-สืบต่อ (สั่งสมสันดาน) ซ้ำกัน ๗ ขณะ

โดยเป็นจิตประเภทเดียวกันทั้ง ๗ ขณะ.

คือ

เป็น "กุศลชวนวิถีจิต" หรือ "อกุศลชวนวิถีจิต"

อย่างใดอย่างหนึ่ง.



.



เมื่อ "กุศลชวนวิถีจิต" หรือ "อกุศลชวนวิถีจิต"

อย่างใดอย่างหนึ่ง

ดับไปแล้ว............


ถ้าเป็น "อารมณ์ทางใจ" ที่ปรากฏชัดเจน.!

"ตทาลัมพนวิถีจิต" ก็ต้องเกิดต่ออีก ๒ ขณะ



.



ฉะนั้น


"วิถีจิต" ที่เกิดขึ้น รู้อารมณ์ทางมโนทวาร

จึงมีเพียง ๓ วิถี เท่านั้น

คือ


จิต วิถีที่ ๑

เป็น "อาวัชชนวิถีจิต" ๑ ขณะ



จิต วิถีที่ ๒

เป็น "ชวนวิถีจิต" ๗ ขณะ



จิต วิถีที่ ๓

เป็น "ตทาลัมพนวิถีจิต" ๒ ขณะ



.



ฉะนั้น


ลำดับ การเกิดขึ้น ของ "วิถีจิตทางมโนทวาร"

(เป็นวิถีจิต ๓ วิถี)

ดังนี้


ขณะจิตที่ ๑

คือ "ภวังคจลนะ" เกิดขึ้น ๑ ขณะ

ไม่ใช่วิถีจิต.



ขณะจิตที่ ๒

คือ "ภวังคุปัจเฉทะ" เกิดขึ้น ๑ ขณะ

ไม่ใช่วิถีจิต.



ขณะจิต ๓.

คือ "มโนทวาราวัชชนจิต" ๑ ขณะ

เป็นวิถีจิต.



ขณะจิตที่ ๔-๑๐.

คือ "ชวนวิถีจิต" ๗ ขณะ

(กุศลจิต หรือ อกุศลจิต หรือ กิริยาจิตของพระอรหันต์)

เป็นวิถีจิต.



ขณะที่ ๑๑-๑๒

คือ "ตทาลัมพนจิต" ๒ ขณะ

เป็น ตทาลัมพนวิถีจิต.



ขณะที่กำลัง "เห็น" สิ่งที่กำลังปรากฏ ทางตา.!



"วิถีจิต" ที่เกิดขึ้น (ในวาระนั้น)

รู้ "อารมณ์" คือ สิ่งที่ปรากฏทางตาที่ยังไม่ดับ ทางจักขุทวาร.



(วาระนั้น)

เป็น "จักขุทวารวิถีจิต" ทั้ง ๗ วิถี.



เพราะ ต้องอาศัย "จักขุทวาร" (จักขุปสาทรูป) ที่เกิดขึ้นนั่นเอง

จึงสามารถที่จะ "รู้" อารมณ์ ที่กำลังปรากฏทางตา ที่ยังไม่ดับ.!



.



ขณะที่กำลัง "ได้ยิน" เสียง.!


"วิถีจิต"ที่เกิดขึ้น (ในวาระนั้น)

รู้ "อารมณ์" คือ เสียงที่ยังไม่ดับ ทางโสตทวาร.


(วาระนั้น)

เป็น "โสตทวารวิถีจิต" ทั้ง ๗ วิถี.



.



ทางจมูก ทางลิ้น และ ทางกาย

ก็โดยนัยเดียวกัน.





.



"วาระ"

คือ

"วิถีจิต" ซึ่งเกิด-ดับ-สืบต่อกัน

โดย รู้อารมณ์เดียวกัน

ทางทวารเดียวกัน.
การรู้อารมณ์ ทางปัญจทวาร แต่ละทวาร และ แต่ละ "วาระ" นั้น

มี "วิถีจิต" เกิดขึ้น มาก-น้อย ต่างกัน เป็น ๔ วาระ.


คือ

โมฆวาระ โวฏฐัพพนวาระ ชวนวาระ ตทาลัมพนวาระ.



.



"วาระ"

คือ "วิถีจิต" ซึ่งเกิด-ดับ-สืบต่อกัน

โดยรู้อารมณ์เดียวกัน และ ทางทวารเดียวกัน.


ซึ่ง

บาง "วาระ"

"วิถีจิต"...เกิดขึ้นครบทั้ง ๗ วิถี.



บาง "วาระ"

"วิถีจิต".......เกิดขึ้นเพียง ๖ วิถี.



บาง "วาระ"

"วิถีจิต"........เกิดขึ้นเพียง ๕ วิถี.



บาง "วาระ"

"วิถีจิต" ไม่เกิดเลย.....

มีแต่ "อตีตภวังค์" และ "ภวังคจลนะ" เท่านั้น.!


ซึ่ง หมายความว่า

เมื่อ "รูป" รูปใดรูปหนึ่ง กระทบปสาทรูป ทางทวารใดทวารหนึ่ง

และ กระทบ อตีตภวังค์ ๑ ขณะ...แล้วดับไป


แต่...."ภวังคจลนะ" ก็ยังไม่เกิด.!


จึงเป็น "อตีตภวังค์" ที่เกิด-ดับ ๆ อีกหลายขณะ..........


แล้ว "ภวังคจลนะ" ก็เกิดขึ้นและดับไป....อีกหลายขณะ


และ เมื่อ "อารมณ์" คือ "รูป" (รูปใด รูปหนึ่ง)

ที่ กระทบปสาท (ทางทวารใด ทวารหนึ่ง) นั้น ใกล้จะดับ.!

จึงไม่เป็น"ปัจจัย"ให้ "วิถีจิต"เกิดขึ้น

รู้ อารมณ์ ที่กระทบปสาท นั้น.


เพราะฉะนั้น

เมื่อ "วิถีจิต" ไม่เกิดขึ้น รู้ อารมณ์ ที่กระทบปสาท

(วาระนั้น ๆ)

จึงเป็น "โมฆวาระ"



เช่น

ขณะที่กำลังนอนหลับสนิท

เมื่อถูกปลุกให้ตื่น โดยการเขย่าร่างกาย....แล้วยังไม่ตื่น

แม้เขย่าแรงขึ้นอีก...ก็ยังไม่ตื่นอีก.


ขณะนั้น เป็น "โมฆวาระ"


เพราะ "เหตุ" คือ

"อวัชชนจิต" ไม่เกิดขึ้น รู้อารมณ์ที่กระทบ (กายปสาท)

และมีแต่ "อตีตภวังค์" และ "ภวังคจลนะ" ที่เกิด-ดับ ๆ


ดังนั้น


เมื่อ "วิถีจิต" ไม่เกิดขึ้น รู้อารมณ์ที่กระทบปสาทนั้น ๆ

จึงบัญญัติเรียก "ขณะ" (วาระจิต) นั้น ว่า "โมฆวาระ"


และ บัญญัติเรียก "อารมณ์" ในขณะที่เป็น "โมฆวาระ"

ว่า "อติปริตตารมณ์"

ซึ่งหมายความว่า เป็น "อารมณ์ที่เล็กน้อยที่สุด"



.


..เพราะฉะนั้น

ขณะที่เป็น "โมฆวาระ"

"อตีตภวังค์" และ "ภวังคจลนะ"

มีอารมณ์ คือ "อติปริตตารมณ์"


ซึ่ง

เป็นอารมณ์ ที่เล็กนอยที่สุด


เพราะว่า เพียงกระทบ "ปสาทรูป" และ "ภวังคจิต"

แต่ ไม่เป็น "ปัจจัย" ให้ "วิถีจิต" เกิดขึ้น.!

สำหรับบาง "วาระ" นั้น.


.


เมื่อ "อตีตภวังค์"

เกิดขึ้น และ ดับไปแล้ว หลายขณะ.

(ไม่ใช่วิถีจิต)


.


จากนั้น

"ภวังคจลนะ"

ก็เกิดขึ้น และดับไป หลายขณะ.

(ไม่ใช่วิถีจิต)


.


จากนั้น

"ภวังคุปัจเฉทะ"

ก็เกิดขึ้น และ ดับไป ๑ ขณะ.

(ไม่ใช่วิถีจิต)


.


จากนั้น

"ปัญจทวาราวัชชนจิต"

ได้แก่ "อาวัชชนจิต" ประเภทหนึ่งประเภทใดใน ๕ ทวาร

ก็เกิดขึ้น และ ดับไป ๑ ขณะ

(เป็นวิถีจิต ขณะที่ ๑)


.


ต่อจากนั้น

"ทวิปัญจวิญญาณ" ประเภทใดประเภทหนึ่ง

ก็เกิดขึ้น และ ดับไป.

(เป็นวิถีจิต ขณะที่ ๒)


.


จากนั้น

"สัมปฏิจฉันนจิต"

ก็เกิดขึ้น และ ดับไป ๑ ขณะ.

(เป็นวิถีจิต ขณะที่ ๓)


.


จากนั้น

"สันตีรณจิต"

ก็เกิดขึ้น และ ดับไป ๑ ขณะ.

(เป็นวิถีจิต ขณะที่ ๔)


.


เมื่อ

"โวฏฐัพพนจิต"

เกิดขึ้น และ ดับไป ๒-๓ ขณะ

(เป็นวิถีจิต ขณะที่ ๕)


.


และหากมี "ปัจจัย" ให้ "รูป" ที่เป็นอารมณ์ ดับไปก่อน

ก็เป็น "เหตุ" ที่ทำให้ "ชวนจิต" เกิดต่อจากนั้น ไม่ได้.!


.


"วาระ" นั้น

จึงเป็น "โวฏฐัพพนวาระ"

เพราะว่า

"วิถีจิต" สิ้นสุดลง ขณะที่เป็น "โวฏฐัพพนจิต"


.


สภาพธรรมทั้งปวง ตามความเป็นจริง

ต้องเป็นไป อย่างนี้.!


ฉะนั้น

เมื่อ "อารมณ์" กระทบ "ปสาท"....ในแต่ละ"วาระ"

ไม่ได้หมายความว่า

"วิถีจิต"

จะต้องเกิด-ดับ-สืบต่อกันไปตลอด

จนครบทั้ง ๗ วิถี เสมอไป.!


.


เพราะฉะนั้น

"วาระ" ที่ "วิถีจิต" ไม่เกิดเลย

คือ

"โมฆวาระ"


.



"วาระ" ที่ "วิถีจิต" สิ้นสุดลง

ขณะที่เป็น "โวฏฐัพพนจิต"

คือ

"โวฏฐัพพนวาระ"


.


และ

"อารมณ์" ของ "โวฏฐัพพนวาระ"

คือ

"ปริตตารมณ์"


.


"ปริตตารมณ์"

คือ

"อารมณ์เพียงเล็กน้อย"


.


เพราะ "เหตุ"

คือ

"ปริตตารมณ์"

เป็น "อารมณ์ของวิถีจิต" ที่มีเพียง ๕ วิถีจิต เท่านั้น.

สำหรับ "วาระ" ที่ "โวฏฐัพพนจิต" ดับไปแล้ว

และ "ชวนจิต" เกิด-ดับ-สืบต่อกัน ๗ ขณะ

แล้ว "อารมณ์" ก็ดับ.!


.


เมื่อ "อารมณ์" ดับไป ในขณะที่เป็น "ชวนจิต"

เป็น "ปัจจัย" ที่ทำให้ "ตทาลัมพพนจิต" เกิดต่อไม่ได้.!


.


ฉะนั้น

การรู้อารมณ์ ของ วิถีจิต ใน "วาระ" นั้น

จึงเป็น "ชวนวาระ"

เพราะว่า มีวิถีจิต เพียง ๖ วิถี.


.


(.......ลำดับการเกิดของจิต

ในการรู้อารมณ์ที่กระทบปสาท ที่เป็น "ชวนวาระ"


หมายความว่า


ขณะที่ "รูป" กระทบปสาท...............


อตีตภวังค์ ๑ ขณะ --ภวังคจละ ๑ ขณะ --ภวังคุปัจเฉทะ ๑ ขณะ

"ภวังคจิต" แต่ละประเภท (ทั้ง ๓ ขณะ) ดังกล่าว

ไม่ใช่วิถีจิต.



ส่วน "วิถีจิต" ๖ วิถี ที่เกิดสืบต่อ


คือ

--ปัญจทวาราวัชชนจิต ๑ ขณะ --ทวิปัญจวิญญาณ ๑ ขณะ--

--สัมปฏิจฉันนจิต ๑ ขณะ --สันตีรณจิต ๑ ขณะ --โวฏฐัพพนจิต ๑ ขณะ

และ ชวนจิต ๗ ขณะ....)


.


เพราะฉะนั้น

เมื่อ "จิต" เกิด-ดับ-สืบต่อ

จนถึงขณะที่เป็น "ชวนวิถี" (คือ ชวนจิต ๗ ขณะ)

แล้วมี "ปัจจัย" ที่ทำให้.................

"อารมณ์" ซึ่งเป็น "รูป" ดับไปก่อน.


ก็หมายความว่า

"วิถีจิต" สิ้นสุดลง ขณะที่เป็น "ชวนวิถี"


ดังนั้น

การรู้อารมณ์ใน "วาระ" นั้น

จึงเป็น "ชวนวาระ"


.


"อารมณ์ของชวนวาระ"

เป็น

"มหันตารมณ์"

ซึ่ง หมายความว่า

เป็น "อารมณ์ที่ชัดเจน"


ซึ่ง

"อารมณ์ที่ชัดเจน" นี้เอง

เป็น "ปัจจัย" ที่ทำให้.......

"กุศลจิต" หรือ "อกุศลจิต" (ของผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์)

และ "กิริยาจิตของพระอรหันต์"

เกิดขึ้นได้.

สำหรับ "วาระ" ใด

ที่ "ชวนจิต" เกิด-ดับ-สืบต่อกัน ๗ ครั้ง

แล้ว "อารมณ์" คือ "รูป" ยังไม่ดับ.!

ดังนั้น

จึงเป็น "ปัจจัย" ให้ "ตทาลัมพนวิถีจิต" เกิดขึ้น

รู้ "อารมณ์ที่ยังไม่ดับ" นั้น อีก ๒ ขณะ.



.



เพราะฉะนั้น

การรู้อารมณ์ ของ "วิถีจิตวาระนั้น"

จึงเป็น "ตทารัมมณวาระ"

หรือ "ตทาลัมพนวาระ"

เพราะว่า

"วิถีจิต" สิ้นสุดลง ขณะที่เป็น "ตทาลัมพนจิต"



.



"อารมณ์ของตทาลัมพนจิต"

เป็น

"อติมหันตารมณ์"

คือ

"อารมณ์ที่ชัดเจนมาก"

เพราะว่า

แม้ "ชวนจิต" ที่เกิด-ดับ-สืบต่อกันถึง ๗ ขณะ ดับไปแล้ว

แต่ "อารมณ์" คือ "รูป" ก็ยังไม่ดับ.!

ดังนั้น

"อารมณ์" คือ "รูป" ที่ยังไม่ดับ นั้นเอง

เป็น "ปัจจัย" ให้ "ตทาลัมพนวิถีจิต" เกิดขึ้นได้.



.



การรู้อารมณ์ ทาง "มโนทวารวิถี"

มี เพียง ๒ "วาระ" เท่านั้น.!

คือ

"ชวนวาระ"

และ

"ตทาลัมพนวาระ"



.



"อารมณ์" ของ "ชวนวาระทางมโนทวาร"

เป็น

"อวิภูตารมณ์"



.


"อารมณ์" ของ "ตทาลัมพนวาระทางมโนทวาร"

เป็น

"วิภูตารมณ์"



.



ซึ่ง

"อวิภูตารมณ์"

(อารมณ์ของชวนวาระทางมโนทวาร)

เป็น "อารมณ์" ที่ ชัดเจนน้อยกว่า

"วิภูตารมณ์"

(อารมณ์ของตทาลัมพนวาระทางมโนทวาร)

ในชีวิตประจำวันนั้น

ขณะที่กำลังคิดนึก ถึงเรื่องราวต่าง ๆ


ขณะนั้น................

"จิต" ไม่รู้อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง

ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น และ ทางกาย.


และ เมื่อ "ภวังคจลนะ" เกิดขึ้น แล้วดับไป

"ภวังคุปเฉทะ" ก็เกิดต่อ แล้วก็ดับไป........



ต่อจากนั้น................


"มโนทวาราวัชชนจิต"

ซึ่ง เป็น "มโนทวารวิถีจิต" ขณะที่ ๑

ก็เกิดขึ้น.


และ เมื่อ "มโนทวาราวัชชนจิต" ดับไปแล้ว......


สำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์.!


"กุศลจิต" หรือ "อกุศลจิต"

ซึ่งเป็น "ชวนวิถีจิต"

ก็เกิดขึ้น กระทำ "ชวนกิจ"

คือ เกิด-ดับ-สืบต่อ (สั่งสมสันดาน) ซ้ำกัน ๗ ขณะ

โดยเป็นจิตประเภทเดียวกันทั้ง ๗ ขณะ.

คือ

เป็น "กุศลชวนวิถีจิต" หรือ "อกุศลชวนวิถีจิต"

อย่างใดอย่างหนึ่ง.



.



เมื่อ "กุศลชวนวิถีจิต" หรือ "อกุศลชวนวิถีจิต"

อย่างใดอย่างหนึ่ง

ดับไปแล้ว............


ถ้าเป็น "อารมณ์ทางใจ" ที่ปรากฏชัดเจน.!

"ตทาลัมพนวิถีจิต" ก็ต้องเกิดต่ออีก ๒ ขณะ



.



ฉะนั้น


"วิถีจิต" ที่เกิดขึ้น รู้อารมณ์ทางมโนทวาร

จึงมีเพียง ๓ วิถี เท่านั้น

คือ


จิต วิถีที่ ๑

เป็น "อาวัชชนวิถีจิต" ๑ ขณะ



จิต วิถีที่ ๒

เป็น "ชวนวิถีจิต" ๗ ขณะ



จิต วิถีที่ ๓

เป็น "ตทาลัมพนวิถีจิต" ๒ ขณะ



.



ฉะนั้น


ลำดับ การเกิดขึ้น ของ "วิถีจิตทางมโนทวาร"

(เป็นวิถีจิต ๓ วิถี)

ดังนี้


ขณะจิตที่ ๑

คือ "ภวังคจลนะ" เกิดขึ้น ๑ ขณะ

ไม่ใช่วิถีจิต.



ขณะจิตที่ ๒

คือ "ภวังคุปัจเฉทะ" เกิดขึ้น ๑ ขณะ

ไม่ใช่วิถีจิต.



ขณะจิต ๓.

คือ "มโนทวาราวัชชนจิต" ๑ ขณะ

เป็นวิถีจิต.



ขณะจิตที่ ๔-๑๐.

คือ "ชวนวิถีจิต" ๗ ขณะ

(กุศลจิต หรือ อกุศลจิต หรือ กิริยาจิตของพระอรหันต์)

เป็นวิถีจิต.



ขณะที่ ๑๑-๑๒

คือ "ตทาลัมพนจิต" ๒ ขณะ

เป็น ตทาลัมพนวิถีจิต.


.......................................



เข้าใจว่า

ข้อความนี้ ควรจะถูกต้อง...คือ



"วิถีจิต" ที่เกิดขึ้น รู้อารมณ์ทางมโนทวาร

จึงมีเพียง ๓ วิถี เท่านั้น

คือ


จิต วิถีที่ ๑

เป็น "อาวัชชนวิถีจิต" ๑ ขณะ



จิต วิถีที่ ๒

เป็น "ชวนวิถีจิต" ๗ ขณะ



จิต วิถีที่ ๓

เป็น "ตทาลัมพนวิถีจิต" ๒ ขณะ



.
.
.


เพราะข้อความที่อธิบาย คำว่า "วาระ" ว่า


"วาระ" คือ "วิถีจิต"

ซึ่งเกิด-ดับ-สืบต่อ โดยรู้อารมณ์เดียวกัน และ ทางทวารเดียวกัน.

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/