ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
ผัสสเจตสิก http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=25568 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | รสมน [ 12 ก.ย. 2009, 10:03 ] |
หัวข้อกระทู้: | ผัสสเจตสิก |
ผัสสเจตสิก เป็น นเหตุ (ไม่ใช่เหตุ) แต่ ผัสสเจตสิก เกิดกับจิตทุกขณะ. ถ้า จิตขณะใด เกิดร่วมกับ เจตสิกที่เป็นเหตุหนึ่งเหตุใด ในเหตุ ๖ ผัสสเจตสิก ที่เกิดร่วมกับจิตที่มีเหตุเกิดร่วมด้วยขณะนั้น ก็เป็น สเหตุกะ(เจตสิก) ถ้าจิตขณะใด เป็น อเหตุกะ(จิต) คือ ไม่มีเหตุใดเหตุหนึ่งในเหตุ ๖ เกิดร่วมด้วย ผัสสเจตสิก ที่เกิดร่วมกับ อเหตุกจิต นั้น ก็เป็น อเหตุกะ(เจตสิก) ด้วย. ฉะนั้น ผัสสเจตสิก จึงเป็น นเหตุ. และ บางขณะ ผัสสเจตสิก ก็เป็น สเหตุกะ หรือ อเหตุกะ ก็ได้ โดยนัยดังกล่าว ข้างต้น. . ชีวิตของทุกท่าน ในวันหนึ่ง ๆ นั้น มีทั้ง สเหตุกจิต และ อเหตุกจิต.! แต่ เมื่อไม่ได้ฟังพระธรรม ก็ย่อมไม่ทราบว่า ขณะไหน เป็น สเหตุกจิต และ ขณะไหน เป็น อเหตุกจิต. . พระผู้มีพระภาคฯ ทรงแสดง สภาพของจิตแต่ละขณะไว้ โดยละเอียด ว่า จิตขณะใด เป็น อเหตุกจิต จิตขณะใด เป็น สเหตุกจิต และ จิต ที่เป็นสเหตุกะ นั้น เกิดร่วมกับเหตุ กี่เหตุ และ มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย กี่ประเภท.! . โมหมูลจิต มี โมหเหตุ เกิดร่วมด้วยเพียงเหตุเดียว โมหมูลจิต จึงเป็น "เอกเหตุกะ" โลภมูลจิต มี เหตุเกิดร่วมด้วย ๒ เหตุ คือ โมหเหตุ และ โลภเหตุ จึงเป็น "ทวิเหตุกะ" โทสมูลจิต มีเหตุเกิดร่วมด้วย ๒ เหตุ คือ โมหเหตุ และ โทสเหตุ จึงเป็น "ทวิเหตุกะ" . สำหรับ กุศลจิต นั้น ก็ต้องมี "โสภณเหตุ" เกิดร่วมด้วย. มิฉะนั้น ก็เป็น กุศลจิต ไม่ได้.! กุศลจิต มี ๒ ประเภท คือ ๑. กุศลจิต ที่ไม่เกิดร่วมกับ ปัญญาเจตสิก. ๒. กุศลจิต ที่เกิดร่วมกับ ปัญญาเจตสิก. ฉะนั้น กุศลจิต ที่ไม่เกิดร่วมกับ ปัญญาเจตสิก มีเจตสิกที่เป็นเหตุ เกิดร่วมด้วย ๒ เหตุ คือ อโลภเหตุ และ อโทสเหตุ. กุศลจิต ที่ไม่เกิดร่วมกับปัญญาเจตสิก จึงเป็น "ทวิเหตุกะ" และ กุศลจิต ที่เกิดร่วมกับ ปัญญเจตสิก มีเจตสิกที่เป็นเหตุ เกิดร่วมด้วย ๓ เหตุ คือ อโลภเหตุ อโมหเหตุ อโทสเหตุ กุศลจิต ที่เกิดร่วมกับ ปัญญาเจตสิก จึงเป็น "ติเหตุกะ" . กุศลจิต ที่เป็น "เอกเหตุกะ" ไม่มี.! เพราะว่า กุศลจิต ต้องมี อโลภเจตสิก และ อโทสเจตสิก เกิดร่วมด้วย ทุกครั้ง จึงจะเป็น กุศลจิต ได้. (บางครั้ง ก็เป็นกุศลจิตที่มี ทั้ง ๓ เหตุ เกิดร่วมด้วยเป็น ติเหตุกะ) คำว่า "เหตุ" กับ คำว่า "ปัจจัย" ต่างกันอย่างไร.? . "ปัจจัย" เป็นสภาพธรรมที่อุปการะ เกื้อกูลให้สภาพธรรมอื่น เกิดขึ้น หรือ ดำรงอยู่ตามควร แก่ประเภทของปัจจัย นั้น ๆ (ตัวอย่าง เช่น) ผัสสเจตสิก ไม่ใช่ โลภเจตสิก.! แต่ ทั้ง ผัสสเจตสิก และ โลภเจตสิก ต่างก็เป็นปัจจัย เกื้อกูลให้สภาพธรรมอื่น ๆ คือ จิต เจตสิกอื่น ๆ และ รูป สามารถเกิดขึ้นได้.! แต่ เมื่อ สภาพลักษณะ และ กิจ ของ ผัสสเจตสิก และ ของ โลภเจตสิก นั้น ต่างกัน.! ผัสสเจตสิก จึงเป็น "ปัจจัย" ที่ต่างกับ โลภเจตสิก. (เป็นต้น) . "ผัสสเจตสิก" เป็น ปัจจัย โดยเป็น "อาหารปัจจัย" . คำว่า "อาหาร" หมายถึง สภาพธรรมที่นำมาซึ่ง "ผล" แต่ (โดยอุปมา) ผัสสเจตสิก ซึ่งเป็น อาหารปัจจัย ไม่มั่นคง ถึงกับทำให้ "ผล" ที่เกิดขึ้น งอกงาม ไพบูลย์ได้ เหมือนรากแก้วของต้นไม้. ส่วน สภาพธรรม ที่เป็น เหตุ. (เช่น โลภเจตสิก) เป็นปัจจัย โดยความเป็น "เหตุ" ซึ่ง อุปมาเหมือนกับรากแก้วของต้นไม้. . แต่ ต้นไม้ จะเจริญเติบโต โดยมีแต่รากแก้วอย่างเดียว ไม่ได้.! ต้องมีดิน มีน้ำ เป็น "อาหาร" แต่ ถ้าขาด รากแก้ว.! แม้จะมีดิน มีน้ำ เป็นต้น ต้นไม้นั้น ก็ไม่สามารถที่จะมั่นคง งอกงาม ไพบูลย์ได้. ต้นไม้ที่มีรากแก้ว กับต้นไม้ที่ไม่มีรากแก้ว นั้น ย่อมมีความเจริญงอกงาม ไพบูลย์ ต่างกัน ฉันใด.! เจตสิกอื่น ๆ และ สภาพธรรมอื่น ๆ นอกจาก "เจตสิกที่เป็นเหตุ ๖ ประเภท" ก็เป็นปัจจัย โดยเป็น ปัจจัยอื่น ๆ ซึ่ง ไม่ได้เป็นปัจจัย โดยเป็น "เหตุปัจจัย" . ในคัมภีร์ "ปัฏฐาน" ซึ่งเป็น คัมภีร์ที่ ๗ และเป็น คัมภีร์สุดท้าย ของพระอภิธรรมปิฎก นั้น. แสดง สภาพธรรมทั้งหลาย โดยความเป็นปัจจัยแก่กันและกัน โดยประเภทของปัจจัยต่าง ๆ ปัจจัยแรก คือ "เหตุปัจจัย" ซึ่ง แสดงให้เห็นความสำคัญ ของสภาพธรรม ซึ่งเป็น "เหตุ" . ในงานศพ เมื่อพระภิกษุท่านสวดพระอภิธรรม จะเริ่มต้นด้วย "เหตุปจฺจโย" หมายถึง โลภเหตุ โทสเหตุ โมหเหตุ อโลภเหตุ อโทสเหตุ อโมหเหตุ (ปัญญาเจตสิก) เพื่อ "เตือน" ให้รู้ว่า สภาพธรรม ซึ่งเป็น "ตัวเหตุ" ที่จะทำให้เกิด "ผล" คือ เกิดภพเกิดชาติ นั้น ได้แก่ "เจตสิก ๖ ประเภท" คือ โลภเจตสิก โทสเจตสิก โมหเจตสิก อโลภเจตสิก อโทสเจตสิก ปัญญาเจตสิก (อโมหเจตสิก) ชาวพุทธส่วนมากไม่สนใจศึกษาพระธรรมขั้นละเอียด เพราะเห็นว่า เป็นเรื่องที่ยากเกินจะเข้าใจได้ ในขณะที่ชาวพุทธบางกลุ่มโดยเฉพาะผู้ที่มี การศึกษาสูงๆ เข้าใจผิดคิดว่าพระธรรมง่าย สามารถจะคาดคะเนหรือคิดเอา เองได้ตามความคิดนึกของแต่ละคน ไม่จำเป็นต้องศึกษาอย่างละเอียดรอบ- คอบก็สามารถจะเข้าใจได้ โดยคิดว่าเป็นหลักคำสอนที่สอนให้ทำความดี ละความชั่วเหมือนกับหลักคำสอนของศาสนาอื่นๆ ทั่วไป จึงไม่สนใจศึกษา พระธรรมเพราะคิดว่าตนเองดีแล้ว พอใจกับสภาพที่เป็นอยู่แล้ว ไม่คิดร้าย กับใคร ไม่อิจฉาริษยาใคร ไม่มีทุกข์ เป็นคนดีของสังคมแล้ว จะต้องศึกษา พระธรรมไปทำไม เมื่อไม่สนใจศึกษาพระธรรม ซึ่งก็คือความจริงของชีวิตที่พระสัมมา สัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงพระธรรมเพื่ออนุเคราะห์สัตว์โลกผู้มืด บอดทั้งหลายให้รู้ตาม ผู้นั้นก็ไม่สามารถจะเข้าใจความเป็นจริงที่มีอยู่ ไม่สา- มารถหาคำตอบให้กับชีวิตของตนเอง ในทางตรงกันข้าม เมื่อผู้ใดมีโอกาส ได้ศึกษาพระพุทธศาสนาโดยละเอียดแล้ว ผู้นั้นจะรู้ได้ด้วยตนเองทันทีว่า นี่คือของจริง และนี่คือ คำตอบของชีวิต กรรม คืออะไร? กรรม คือการกระทำ ได้แก่ เจตนา (ความจงใจ ความตั้งใจ) ที่เป็นกุศล (บุญ) หรือ อกุศล (กิเลส) เป็นเหตุให้กระทำกุศล- กรรมหรืออกุศลกรรมทางกาย ทางวาจา และทางใจ เมื่อได้กระทำกุศล- กรรมหรืออกุศลกรรมสำเร็จไปแล้ว กุศล หรือ อกุศลกรรมนั้นจะเป็นปัจจัยให้ เกิดผลตามสมควรแก่กรรมนั้นๆ การให้ผลของกรรมนั้น จะให้ผลได้ในชาติ ที่กระทำก็ได้ หรือจะให้ผลในชาติหน้าหรือชาติต่อๆ ไปก็ได้ ไม่ใช่กรรมทุก กรรมจะให้ผลได้ทั้งหมดในชาติที่กระทำกรรม เพราะกรรมสามารถติดตาม ไปให้ผลได้ ตราบใดที่ยังไม่ได้ให้ผลหรือยังให้ผลไม่หมด เนื่องจากกรรมจะ สะสมสืบต่ออยู่ในจิตทุกๆ ขณะที่จิตเกิดดับสืบต่อกันไป พุทธศาสนาเป็นเรื่องของเหตุและผล ทุกสิ่งไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ หรือเป็นเรื่องบังเอิญ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนมีเหตุที่ทำให้เกิดขึ้นทั้งสิ้น ดังที่ท่านพระอัสสชิแสดงธรรมแก่ท่านพระสารีบุตรว่า “ธรรมะทั้งหลายย่อม เกิดจากเหตุ” นั่นก็คือ การที่ทุกคนเกิดมาแตกต่างกัน เป็นเพราะได้กระทำ เหตุ คือทำ กรรม มาต่างกัน กรรมที่ได้กระทำไว้แล้วนั่นเอง เป็นเหตุให้มีรูป- ร่าง หน้าตา ผิวพรรณ ต่างกัน มีอุปนิสัยดีเลวต่างกัน กรรมที่กระทำไว้แล้ว นั่นเองเป็นเหตุให้ได้ลาภ เสื่อมลาภ ได้ยศ เสื่อมยศ ได้รับความสุข ทุกข์ สรรเสริญ นินทา ท่านจะเข้าใจสิ่งที่กล่าวมาแล้วนี้ ก็ต่อเมื่อได้ศึกษาพระ- อภิธรรมโดยละเอียด พระอภิธรมเป็นคำสอนเกี่ยวกับสภาวธรรมที่มีอยู่จริง หรืออีกนัยหนึ่งคือสัจจธรรมนั่นเอง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงบำเพ็ญ ความเพียรอบรมพระบารมีถึง ๔ อสงไขยแสนกัป เพื่อตรัสรู้ สัจจธรรม หรือ ความจริงของสิ่งทั้งปวง นี้ ฉะนั้น ความจริงที่ทรงตรัสรู้นั้นไม่ง่าย ผู้ใดที่คิดว่าพระธรรมเป็น ของง่ายไม่จำเป็นต้องศึกษาก็สามารถเข้าใจได้ ผู้นั้นกำลังเข้าใจผิดและ กำลังประมาทพระปัญญาคุณของพระพุทธเจ้า แม้พระพุทธองค์เองเมื่อทรง ตรัสรู้ใหม่ๆ ก็ไม่ทรงน้อมพระทัยที่จะแสดงพระธรรมแก่สัตว์โลก ด้วยทรง เห็นว่าพระธรรมที่ทรงตรัสรู้นั้นละเอียด ลึกซึ้ง และรู้ตาม เห็นตามได้ยาก แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เคยสะสมปัญญามาก็จะสามารถพิจารณาหรือ พิสูจน์ธรรมะที่ทรงแสดงได้ตามกำลังของปัญญาของตน ดังข้อความ ปรากฏในคำนำของหนังสือพระไตรปิฎกฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัยว่า พระ- ธรรมที่ทรงตรัสรู้นั้น เป็นธรรมที่ลึกซึ้งรู้ตามเห็นตามได้ยาก สงบ ประณีต ไม่อาจรู้ได้ด้วยการตรึกละเอียด เป็นธรรมอันบัณฑิตจะรู้ได้ |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |