ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
ผลของกรรมที่ต่างกัน http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=25625 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | รสมน [ 15 ก.ย. 2009, 09:20 ] |
หัวข้อกระทู้: | ผลของกรรมที่ต่างกัน |
ปฏิสนธิจิตในภูมิมนุษย์ กับ ปฏิสนธิจิตในอบายภูมิ เป็น ผลของกรรม ที่ต่างกัน. . ผู้ที่ปฏิสนธิในอบายภูมิ นั้น ปฏิสนธิจิตของบุคคลนั้น เป็น อกุศลวิบากจิต ซึ่ง เป็นผลของอกุศลกรรม ที่ได้กระทำแล้ว จึงเกิดใน อบายภูมิ ๔ คือ นรกภูมิ ๑. ปิตติวิสัยภูมิ (เปรต) ๑. อสุรกายภูมิ ๑. ดิรัจฉานภูมิ ๑. . ปฏิสนธิจิต ของผู้ที่เกิดเป็นมนุษย์ หรือ เทวดาชั้นต่าง ๆ เป็น กุศลวิบากจิต ซึ่งเป็น ผลของกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้ว จึงทำให้เกิดใน สุคติภูมิ. . แม้ว่า การเกิดในมนุสภูมิ เป็นกุศลวิบาก ก็จริง แต่บางบุคคล ก็พิการตั้งแต่กำเนิด. เพราะกุศลวิบากจิต ที่ทำกิจปฏิสนธินั้น เป็น ผลของกุศลกรรม ที่ไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วย และ เป็นผลของกุศลกรรมอย่างอ่อนมาก. กุศลวิบากจิตที่ทำปฏิสนธิกิจ ของบุคคลผู้พิการตั้งแต่กำเนิด นั้น จึงไม่ประกอบด้วย โสภณเจตสิก คือ อโลภเจตสิก อโทสเจตสิก ปัญญาเจตสิก เมื่อเป็นผลของกรรมอย่างอ่อนมาก อกุศลกรรม ซึ่งได้เคยกระทำไว้ จึงเบียดเบียน ให้เป็นผู้พิการตั้งแต่กำเนิด. . ผู้ที่เกิดเป็นมนุษย์ ซึ่งไม่พิการตั้งแต่กำเนิด ล้วนเกิดมาแตกต่างกัน โดย สกุล ยศศักดิ์ บริวาร ฯลฯ เพราะ กุศลวิบากที่ทำกิจปฏิสนธินั้น ต่างกัน ตามกำลังของกุศลกรรมที่เป็น "เหตุ" ถ้าปฏิสนธิจิต ของบุคคลนั้น เป็นผลของกุศลกรรม ที่ประกอบด้วยปัญญาเจตสิก อย่างอ่อน และ ไม่มีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วย. ก็หมายความว่า ปฏิสนธิจิต ที่เป็นกุศลวิบาก นั้น เกิดร่วมกับ โสภณเจตสิก และ เหตุ ๒ คือ อโลภเจตสิก และ อโทสเจตสิก เกิดเป็น "ทวิเหตุกบุคคล" หมายความว่า ปฏิสนธิจิตของบุคคลนั้น ไม่มีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วย บุคคลนั้น จึงไม่สามารถบรรลุฌาน หรือ โลกุตตรธรรม ได้ ในชาตินั้น. . ผู้ที่ปฏิสนธิจิต เป็นผลของกรรม ที่ประกอบด้วยปัญญา และ ปฏิสนธิจิต มีปัญญาเกิดร่วมด้วย เป็น "ติเหตุกบุคคล" เพราะมีเหตุ เกิดร่วมด้วย ๓ เ หตุ คือ อโลภเจตสิก อโทสเจตสิก ปัญญาเจตสิก (อโมหเหตุ) เมื่อบุคคลนั้น ได้ฟังพระธรรม ก็สามารถพิจารณาและเข้าใจพระธรรม สามารถอบรมเจริญปัญญา จนบรรลุฌาน หรือ รู้แจ้งอริยสัจธรรม ๔ บรรลุมัคค์ ผล นิพพาน เป็น พระอริยบุคคล ในชาติที่เกิดนั้นได้ ตามควรแก่การสะสม ของเหตุปัจจัย. แต่ก็ไม่ควรประมาท.! เพราะว่า บางท่าน เป็นผู้ที่มีสติปัญญา และ ปฏิสนธิจิตเป็นติเหตุกะ ก็จริง แต่ถ้าประมาทในการเจริญกุศล และ ประมาทในการฟังธรรม ก็จะเป็นผู้ที่ฉลาดแต่ในทางโลก ในวิชาการต่าง ๆ แต่ เมื่อไม่มีการอบรมเจริญปัญญา....ในทางธรรม จึงไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง. สำหรับคำพยากรณ์ที่ว่า พุทธศาสนาจะมีอายุ ๕,๐๐๐ ปีนั้น มี กล่าวไว้ใน ทุติยสมันตปาสาทิกา อรรถกถาพระวินัยปิฎก แต่ถ้าพิจารณา ถึงเหตุการณ์ของโลกจะเห็นได้ว่า ยุคนี้ยังไม่ถึง ๕,๐๐๐ ปี เพียง ๒,๕๐๐ กว่าปี มีผู้ศึกษาพุทธศาสนามาก หรือน้อย ซึ่งเราก็พอจะพิจารณาได้ว่า พระพุทธศาสนาจะคงอยู่ถึง ๕,๐๐๐ ปีหรือไม่ พระพุทธศาสนาจะค่อย ๆ อันตรธาน ไปตามลำดับของพระไตรปิฎก คือ พระอภิธรรมปิฎกคัมภีร์สุดท้าย คือ "คัมภีร์ปัฏฐาน" ซึ่งแสดงปัจจัย ของสภาพธรรมทั้งหลายอย่างละเอียด ลึกซึ้งมาก จะอันตรธานก่อน และ ถอยไปเรื่อย ๆ จนถึงพระสุตตันตปิฎก จนถึงพระวินัยปิฎก พระพุทธศาสนาจะดำรงอยู่ได้ต่อเมื่อมีผู้ศึกษา และเข้าใจพระธรรม คำสอนอย่างถูกต้อง ถ้ามีพระไตรปิฎก และอรรถกถา แต่ไม่มีใครศึกษา ไม่มีใครเข้าใจพระธรรมวินัยที่พระผู้มีพระภาค ฯ ทรงพระมหากรุณาแสดงไว้ เลย ก็ไม่ชื่อว่าพระพุทธศาสนายังดำรงอยู่ ดังนั้น พระพุทธศาสนาจะเสื่อมจากพระธรรมก่อน แล้วพระวินัยจึง เสื่อม จนถึงกาลสมัยที่ภิกษุจะมีแต่เพียงผ้ากาสายะพันคอ หรือ ห้อยหูเป็น เครื่องหมายแสดงว่าเป็นบรรพชิตเท่านั้นเอง แต่ความเป็นบรรพชิตที่แท้จริง นั้น มิได้อยู่ที่ผ้ากาสายะ แต่อยู่ที่การประพฤติปฏิบัติตามพระวินัยบัญญัติ พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้าที่ 446 ๑. กิมพิลสูตร ว่าด้วยเหตุปัจจัยทำให้ศาสนาเสื่อม [๒๐๑] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุ- วันใกล้เมืองกิมิลา ครั้งนั้น ท่านพระกิมพิละได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถึงที่ประทับถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถาม ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอแลเป็นเหตุ เป็นปัจจัยเครื่องให้พระ สัทธรรมไม่ดำรงอยู่นาน ในเมื่อพระตถาคตปรินิพพานแล้ว พระผู้มีพระภาค- เจ้าตรัสว่า ดูก่อนกิมพิละ เมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว พวกภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ในธรรมวินัยนี้เป็นผู้ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยำเกรงใน ศาสดา เป็นผู้ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยำเกรงในธรรม เป็นผู้ไม่มีความ เคารพไม่มีความยำเกรงในสงฆ์ เป็นผู้ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยำเกรง ในสิกขา เป็นผู้ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยำเกรงกันและกัน ดูก่อน กิมพิละนี้ แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้พระสัทธรรมไม่ดำรงอยู่นาน ในเมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว. |
เจ้าของ: | ณ มรณา [ 15 ก.ย. 2009, 09:26 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ผลของกรรมที่ต่างกัน |
![]() อ่านแล้วชื่นใจที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์นี้ยากจริงหนอ... ละอายต่อบาป...เร่งสร้างกรรมดี |
เจ้าของ: | เจ้านาง [ 15 ก.ย. 2009, 09:42 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ผลของกรรมที่ต่างกัน |
:b44: อนุโมทนา..สาธุค่ะ
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | มหาราชันย์ [ 15 ก.ย. 2009, 23:37 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: ผลของกรรมที่ต่างกัน | ||
ธมฺมปีติ สุขํ เสติ วิปฺปสนฺเนน เจตสา อริยปฺปเวทิเต ธมฺเม สทา รมติ ปณฺฑิโต ผู้มีปีติในธรรมมีใจผ่องใสแล้วย่อมอยู่เป็นสุข บัณฑิตย่อมยินดีในธรรมที่พระอริยะเจ้าประกาศแล้วในกาลทุกเมื่อ มารดาก็ทำให้ ไม่ได้ บิดาก็ทำให้ ไม่ได้ ญาติพี่น้องก็ทำให้ ไม่ได้ แต่จิตที่ฝึกฝนไว้ชอบ ย่อมทำสิ่งนั้นให้ได้ และทำให้ได้ อย่างประเสริฐด้วย .. เจริญในธรรมครับ
|
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |