วันเวลาปัจจุบัน 24 เม.ย. 2024, 15:20  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2009, 21:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 มี.ค. 2009, 15:11
โพสต์: 240

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สืบเนื่องจากกระทู้ "บันทึกจิตก่อนตาย 4 วัน ฯ"
พระอ.ปราโมทย์เทศน์ในงานศพหมวย

ขออนุโมทนากับคุณหนึ่ง ประเสริฐ ก. ชมรมพัฒนาจิตฯ SCG น.พัฒนาองค์กร SCG
และคุณหลี (ดวงใจ) คุณป้อม ที่ส่งมาให้
และผู้ที่ทำหน้าที่บันทึกเทป และถอดเทป และผู้เกี่ยวข้องทุกๆท่านครับ


kaveebsc



หลวงพ่อปราโมทย์
เทศน์งานฌาปณกิจศพคุณหมวย 11 กันยายน 52
ประมาณบ่ายสองโมง

นาทีที่ 22...

ขอกราบท่านอาจารย์...เพื่อนสหธรรมิก ขออนุญาต แสดงธรรมครับผม

แล้วโยมจำนวนมากไม่ทราบจะฟังอะไร เมื่อเช้าก็ฟังไปทีนึงแล้ว (โยมหัวเราะ)
ตอนบ่ายตามมานี่อีก

เรียนมามากแล้วนะ ถึงเวลาที่ต้องลงมือปฏิบัติแล้วเวลามีไม่มากหรอก ดูหมวยสิ
ตายอายุยังไม่มากเท่าไหร่เลย ในชีวิตนะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนเราประมาท
ไมได้หรอก ไม่ใช่ว่าแก่ก่อนถึงจะตาย เด็กก็ตายได้นะ คนตายเต็มบ้านเต็มเมือง
เนี่ยะถ้าเราประมาทอยู่เราคิดว่าเรายังไม่ตายนะ เราปล่อยชีวิตไปวันหนึ่งวันหนึ่ง
ไม่นานก็หมด

พวกเราชาวพุทธ เป็นบุญเป็นวาสนาแล้ว ที่ได้เจอธรรมะของพระพุทธเจ้า เพราะ
ฉะนั้นอย่าละเลยนะ ทิ้งวันล่วงไป ล่วงไปเรื่อยๆ เสียเวลา เอาอะไรมาแลกก็ไม่ได้
เวลาซื้อไม่ได้จริงหรอก

พวกเราต้องดำรงค์ชีวิตด้วยความไม่ประมาท คำว่า "ไม่ประมาท" ก็คือ ต้องมี
สติเรื่อยๆ สติหน่ะจำเป็นในทุกที่ทุกสถานการณ์ ทุกเมื่อ ถ้าขาดสติก็เหมือนว่า
ตายแล้ว ถ้ามีสติอยู่ ก็เรียกว่า ยังมีชีวิตอยู่ เพราะฉะนั้นคนในโลกเนี่ยะตายตั้งแต่
ยังไม่ทันจะตาย เพราะฉะนั้นพวกเราอย่าทำตัวให้เหลวไหลไปอย่างนั้นนะ
พยายามพัฒนาจิตใจของตนเองให้มันมีสติขึ้นมา เบื้องต้นเราพัฒนาให้มันมีสติ
ต่อไปก็พัฒนาให้มันเกิดปัญญา การจะพัฒนาให้มันมีสติมาเนี่ยะก็ต้องหัดรู้สภาวะ
ไปเรื่อยๆ อย่าไปคิดว่าการปฏิบัติธรรมนั่นยากเหลือเกิน หลวงพ่อไม่เห็นว่ามันจะ
ยากตรงไหนเลย เรียนกับครูบาอาจารย์มา ครูบาอาจารย์สอนง่ายๆ หลวงปู่ดูลย์
ท่านสอนให้หลวงพ่อดูจิตตัวเอง

เมื่ออาทิตย์สองอาทิตย์นี้ก็ไปกราบอาจารย์อนันต์ที่"วัดมาบจันทร์"นะ สาย
หลวงพ่อชา อาจารย์อนันต์ท่านยังเล่าให้ฟังเลยว่า หลวงพ่อชาเคยสั่งนะ
เคยบอกท่านไว้ว่า ต่อไปสอนกรรมฐานให้คนในเมือง สอนดูจิตนะ สอนให้ดูจิตไป
หัดดูจิตด้วยความเป็นกลาง ไม่ยินดีไม่ยินร้าย เนี่ยะหลักปฏิบัติที่เหมาะสำหรับคน
ในเมือง

คนในเมืองเนี่ยะคิดทั้งวัน เอาอย่างพระไม่ได้หรอก พระมีเวลาเยอะ หมดเวลา
บิณฑบาต นะมาทำสมาธิ มาเดินจงกรม ปฏิบัติได้ทั้งวัน แต่โยมไม่มีเวลาขนาด
นั้นหรอก จะลางานมาปฏิบัติมันก็ได้ปีหนึ่งไม่เท่าไหร่หรอก เพราะฉะนั้นเราจะมา
รอว่าเมื่อไหร่ว่างแล้วจะมาปฏิบัติเนี่ยะ มันไม่ทันกินหรอก

กรรมฐานที่พวกเราจะฝึกให้ได้ง่ายเลยนะ คือ การเจริญสติ ในชีวิตประจำวันไว้นี่แหล่ะ
แล้วก็คอยรู้ไป ว่าสภาวะธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นมาล้วนแต่ดับทั้งสิ้น
เมื่อกี้ใครฟังพระท่านสวด ออกบ้าง ไม่ออกเลย (หัวเราะ) ...เวรกรรม

ธรรมะท่านออกดีนะ ท่านแจกแจงสภวาะธรรมให้ดู แจกแจงธรรมะนะ
ธรรมที่เป็นกุศล ธรรมที่เป็นอกุศล ธรรมที่เป็นกลางๆ ธรรมทั้งหลายเหล่านี้เกิดแล้วก็ดับ
ธรรมที่หยาบ ธรรมที่ปานกลาง ธรรมที่ปราณีต ธรรมทั้งหลายเหล่านี้เกิดแล้วก็ดับ
ธรรมที่เป็นอดีต ธรรมที่เป็นปัจจุบัน ธรรมที่เป็นอนาคต ธรรมทั้งหลายเหล่านี้ เกิดแล้วก็ดับ
ธรรมทั้งหลายที่เป็นสุข เป็นทุกข์ เป็นกลางๆ ไม่สุขไม่ทุกข์ เกิดแล้วก็ดับ

ท่านแจกแจงธรรมะให้รู้ตั้งเยอะนะ แต่เราไม่รู้จักฟัง ส่วนท่านท่องชื่อของธรรมะให้ฟังนะ
แต่ถ้าเราเห็นธรรมะที่เกิดขึ้นแต่ละตัว แต่ละตัวนะ เช่น จิตที่ประกอบด้วยปิติ เกิดแล้วก็ดับ
จิตที่ประกอบด้วยความสุข จิตประกอบด้วยความทุกข์ จิตทุกชนิดหน่ะเกิดแล้วดับ
ธรรมะทั้งหลายเกิดแล้วดับ ธรรมะในที่ใกล้ ในที่ไกล ธรรมะในที่หยาบ ที่ละเอียด เกิดแล้วก็ดับ
หน้าที่ของพวกเรานะ หัดเจริญสติ แล้วก็คอยดูสภาวะธรรมทั้งหลายที่เค้าปรากฏอยู่

มีสติรู้สภาวะธรรมด้วยความเป็นกลางนะ อย่าลืมคำว่า ความเป็นกลาง

ถ้าเห็นสภาวะธรรมเกิดขึ้นแล้วไม่เป็นกลางก็ใช้ไมได้นะ ไม่ใช่นักปฏิบัติที่ดีหรอก เช่น
เห็นกิเลสเกิดขึ้นแล้วไปเกลียดมันนะ ก็ไม่ถูกต้อง กิเลสเกิดขึ้น หน้าที่ของเราคือ รู้ว่า
มีกิเลสเกิดขึ้น กุศลเกิดขึ้น รู้ว่ามีกุศลเกิดขึ้น รู้เฉยๆ นะ แล้วมันจะแสดงไตรลักษณ์ให้ดู
ธรรมทั้งหลายล้วนแต่แสดงไตรลักษณ์ทั้งสิ้นไม่ว่าธรรมที่หยาบ ที่ละเอียด ที่ใกล้ ที่ไกล
ที่สุข ที่ทุกข์ ที่ดี ที่ชั่ว ธรรมทั้งหลายเนี่ยะเสมอกันด้วยความเป็นไตรลักษณ์ให้เฝ้ารู้ลงไป
ทุกสิ่งเกิดขึ้นมาแล้วดับไป ดับไป ให้เฝ้ารู้อยู่อย่างนี้นะ เรียกว่า
เรามีชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท ถ้าเราไม่ตามรู้ ตามดู เราก็หลง
เราคิดว่าตัวเรามีอยู่จริงๆ แต่จริงๆ แล้วไม่มีหรอก มีแต่รูปธรรมนามธรรม
มีแต่ธรรมะจำนวนมากที่มันมารวมตัวกันอยู่ ชั่วคราวแล้วมันก็แตกสลายออกไป

เนี่ยะคนทั้งหลายเนี่ยะคิดว่ามันมีตัวเราอยู่จริงๆ มีญาติเรามีพี่น้องเรา มีพ่อแม่
มีโน่นมีนี่นะ พอเค้าตายไปเราก็เศร้าโศรก ชาวพุทธหน่ะไม่เศร้าโศกหรอก
เราก็เห็นนะว่ารูปธรรมนามธรรม มาแล้วมันก็ดับไป ถ้าเห็นอย่างนี้นะ ใจก็
ไม่มีความเศร้าโศก ไม่มีความลังเลสงสัยในธรรมะ เห็นว่าทุกอย่างเกิดแล้วก็ดับทั้งสิ้น
ไม่ยากอะไรเลย ฝึกไป มันยากตรงที่เราไม่ยอมปฏิบัติหน่ะ เราชอบคิดเอาเอง
ต้องหัดดูสภาวะให้ได้นะ ให้เห็นตัวสภาวะแท้ๆ เลย สภาวะนั่นแหล่ะจะสอนธรรมะเรา
ไม่มีใครสอนธรรมะเราได้หรอก


วันนี้เอาแค่นี้นะ เทศน์อะไรหนักหนา เสียเวลาฟัง เอาเวลาไปภาวนา หลวงพ่ออยู่
กับครูบาอาจารย์นะ เดินทางไปหาครูบาอาจาราย์ ท่านอยู่อีสานนะ เราเดินทางทั้ง
วันทั้งคืน บางทีตลอดคืนนะยังไม่ถึง ยังไม่ถึงวัด

เป็นอย่างไง จิตหนีไปหมดเลย .... เห็นมั๊ยขาดสติ เห็นมั๊ย ใจฟุ้งซ่านเห็นมั๊ย เห็นมั๊ยว่า
จิตขาดสติ ให้จิตมันมีสติสั่งไม่ได้ เห็นมั๊ยตอนนี้สงบกว่าเมื่อกี้ ดูออกไหม เมื่อกี้ฟุ้งซ่าน
ตอนนี้เริ่มสงบลงมา เห็นมั๊ยจิตจะฟุ้งซ่านจิตจะสงบ สั่งไม่ได้ ล้วนแต่ไม่เที่ยงนะ
ให้หัดดูสภาวะไป

เมื่อก่อนก่อนจะเจอครูบาอาจารย์นะไปไกลมาก เดินทางตั้งนาน ไปถึงท่านไปฟังธรรมะ
ไปส่งการบ้านท่านไปรายงานการปฏิบัติ สิบนาที สิบห้านาที จบแล้วนะ หลวงพ่อก็กลับแล้ว
ไม่เอานะ ไม่เสียเวลาอยู่กับท่านนะ เสียเวลาตั้งเยอะ เราใช้เวลาส่วนมากอยู่กับการปฏิบัติ
หลวงพ่อภาวนาตั้งแต่เป็นโยมนะ ไม่ได้เคยคิดว่าเป็นโยมจะภาวนาไม่ได้ เรามีหน้าที่รู้

สภาวะไป ฉะนั้นเราเฝ้ารู้ เฝ้ารู้ เฝ้ารู้ไป ยิ่งเราขยันรู้เท่าไหร่นะ เท่ากับเราทำการบ้านทั้งวันนะ
สักวันเราก็เก่งไปเอง ถ้านานๆ รู้ทีนึงรู้ไม่เก่งหรอก หรือไม่ยอมรู้เลยหลงไปลูกเดียวใช้ไม่ได้
อย่าใจลอย พยายามรู้สึกตัวอย่าใจลอย ขณะเดียวกันอย่าเพ่งจิตให้นิ่ง อย่าบังคับกายให้นิ่ง
อย่าบังคับใจให้นิ่ง ให้กายมันเคลื่อนไหว ให้จิตมันเคลื่อนไหว แล้วมีสติรู้กายรู้ใจไปเรื่อยๆ เรา

ภาวนาเพื่อให้เห็นสภาวะทั้งหลายแสดงไตรลักษณ์ ไม่ใช่ภาวนาให้ทุกอย่างนิ่ง เราไม่ได้ภาวนา
เอาความดี ความถูก ความสงบนะ แต่เราภาวนาเพื่อให้เกิดปัญญาเห็นว่า

ดีก็ชั่วคราว
ชั่วก็ชั่วคราว
ความสุขก็ชั่วคราว
ทุกข์ก็ชั่วคราว
ความสงบก็ชั่วคราว
ฟุ้งซ่านก็ชั่วคราว

เนี่ยะภาวนาให้เห็นว่า ทุกอย่างมันเกิดแล้วดับไปหมดเลย แต่จะถามว่าเราจะทำชั่วได้ไหม
ทำชั่วไม่ได้เด็ดขาด เพราะอะไร เพราะเรามีสติ คนที่ทำชั่วได้ ทำผิดศีลผิดธรรมได้
เพราะมันขาดสติ เพราะฉะนั้นพวกเราคอยรู้สึกตัวนะ กิเลสอะไรผ่านเข้ามาคอยรู้ รู้ให้ทัน
กิเลสครอบงำจิตไม่ได้รับรองไม่ผิดศีลหรอก คนทำผิดศีลได้เพราะว่ากิเลสมันครอบงำจิตใจ
กิเลสมันไม่เข้ามาครอบงำจิตนะ จิตไม่ฟุ้งซ่านหรอก สมาธิเกิดขึ้นเอง ถ้ากิเลส

มันแทรกเข้ามานะ นิวรณ์แทรกเข้ามา จิตก็ไม่สงบจิตก็ฟุ้งซ่าน ไม่มีสมาธิ ปัญญานะ
ถ้ามีสติถึงจะมีปัญญา ถ้าไม่มีสติไม่มี ปัญญาหรอก มีสติเห็นคอยรู้กายรู้ใจ เห็นกายเห็นใจ
มันทำงานไปเรื่อย เห็นไตรลักษณ์ของกายของใจเท่าไหร่เรียกว่า ปัญญา

เนี่ยะศีล สมาธิ ปัญญา เราต้องอบรมไปเรื่อย ด้วยการมีสติบ่อยๆ นะ ถึงจุดหนึ่งวิมุติจะเกิดขึ้น
ตอนที่อริยมรรคจะเกิดนะ ไม่ใช่สั่งให้เกิดได้ ถ้ามันเพียงพอแล้วมันจะเกิดของมันเอง
จิตมันจะเข้าอัปนาสมาธินะ เกิดของมันเอง ถึงเราไม่เคยเข้าฌานนะ ถึงวันนั้นมันจะเข้าฌาน
จิตเกิดในฌาน ไม่เกิดข้างนอกอย่างนี้นะ เกิดขึ้นอยู่แว้บเดียวนะ แล้วก็ดับไปพร้อมกับกิเลส
เราค่อยฝึกเอานะ

อย่างหมวยเนี่ยะ ตั้งอกตั้งใจภาวนามากเลย พลาดนิดเดียว ไปหาหลวงพ่อไปลาตายนะ
สุดท้ายเวลาตาย ไปเจอใช่มั้ย... พวกเราไปเจอเยอะเลยนะ ไปลา ทำบุญนะแล้วก็อธิฐานขอให้
ไปเกิดเป็นคน จะได้มาปฏิบัติ ....ผิดตรงไหนรู้มั๊ย .....ห่วงอนาคต ทิ้งปัจจุบัน

เพราะฉะนั้นเราอยู่กับปัจจุบันไว้เนืองๆ นะ อย่างเราตั้งใจทำความดี ทำบุญทำทานกับครูบาอาจารย์
สร้างความปรารถนาเป็นมนุษย์เราก็เป็นได้นะ เป็นขึ้นมาแล้ว แต่ว่าก็ต้องไปปฏิบัติอีกไปเรียนอีก
เพราะฉะนั้นเราพยายามมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน
วันนั้นบอก..เอ๊ย...อย่าคิดอย่างนั้นสิ ตั้งใจขอมรรคผลสิ
ไม่เอากลัว กลัวว่าเดี๋ยวไปเป็นเทวดาแล้วนานกลัวอย่างนี้ได้นะ พอแล้ว

เทศน์อะไรนักหนา เสียเวลา ไปๆ เผาๆ นิมนต์ท่านอาจารย์เลยครับ


แก้ไขล่าสุดโดย kaveebsc เมื่อ 17 ก.ย. 2009, 16:38, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 58 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร