ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
ช่วยเฉลยหน่อย http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=25846 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | saengthong [ 26 ก.ย. 2009, 20:46 ] |
หัวข้อกระทู้: | ช่วยเฉลยหน่อย |
เคยได้ยินคำกล่าวว่า "กราบไว้พระพุทธ อย่าสะดุดที่พระทองคำ กราบไหว้พระธรรม อย่าสะดุดเอาคัมภีร์ใบลาน กราบไหว้พระสงฆ์ อย่าสะดุดเอาลูกชาวบ้าน" (อาจจะไม่ตรงตามต้นฉบับ แต่ก็ประมาณนี้) ความหมายคืออะไรครับ ? สงสัยมานานแล้ว รบกวนมิตรธรรมทุกท่านช่วยเฉลยหน่อย ขอบคุณครับ |
เจ้าของ: | moddam [ 26 ก.ย. 2009, 23:18 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ช่วยเฉลยหน่อย |
กราบพระพุทธ ระวังสะดุดทองคำ... กราบพระพุทธระวังจะสะดุดทองคำ หมายความว่า ระวังจะหลงติดอยู่แค่ทองเหลือง ทองคำ ที่ห่อหุ้มองค์พระอยู่นั้นแทน.. กราบที่เห็นองค์พระสวยงาม กราบเพราะยึดถือในความศักดิ์สิทธ์ หาได้เข้าไปถึงเนื้อในของพระไม่..เนื้อในของพระก็คือ...ความสะอาด อันได้แก่ ศีล ความสงบ อันได้แก่ สมาธิ ความสว่างได้แก่ ปัญญา.. เวลากราบพระ ให้น้อมเอาพระคุณทั้งสามของพระพุทธองค์มาใส่เอาไว้ในใจ นั่นก็คือ.. พระปัญญาคุณ เราจะต้องอยู่ด้วยสติปัญญา เรียนรู้ เข้าใจ สิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริงของมัน ไม่ไปลุ่มหลงติดอยู่ในความสมมติของมัน.. พระวิสุทธิคุณ เราจะต้องทำใจของเราให้ผ่องใส ไม่ขุ่นมัวด้วยความรู้สึกฝ่ายต่ำ พระมหากรุณาคุณ จะต้องประกอบเมตตาธรรมเอาไว้ในใจของเราเสมอ สงสารเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก ในฐานะเป็นเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันกับเรา จะไม่ไปเบียดเบียนเอารัดเอาเปรียบ เข่นฆ่ารังแกเขา.. อย่างนี้จึงจะชื่อว่า กราบพระได้ถูกพระ.. คน ที่ไปกราบพระเพื่ออ้อนวอนขอให้พระช่วยเหลือนั้น เป็นการกราบที่ผิดหลัก พระท่านช่วยเหลืออะไรเราไม่ได้หรอก แต่เราต้องทำเอง ที่พระจะช่วยเราได้ก็แค่เตือนสติให้แก่เราเท่านั้น ส่วนจะสำเร็จหรือไม่มันขึ้นอยู่กับตัวเราที่จะต้องทำเอาเอง นี่ ถ้าหลวงพ่อในโบสถ์พูดได้ ป่านนี้ท่านคงพูดไปนานแล้วว่า ลูกเอ๊ย หัดช่วยตัวเองบ้างเถอะนะ หลวงพ่อเหนื่อยแล้ว เพราะคนนั้นก็มาขอให้หลวงพ่อช่วย คนนี้ก็มาขอให้หลวงพ่อช่วย จนหลวงพ่อไม่มีเวลาได้พักผ่อน พวกเจ้าหัดช่วยตัวเองเสียบ้าง.. ท่าน หลวงพ่อเคยเล่าว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านเดินทางไปเทศน์ที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดภาคกลาง ก่อนถึงเวลาเทศน์ท่านจึงได้ไปกราบพระในอุโบสถ เสร็จแล้วก็ถือโอกาสนั่งพักผ่อน สงบจิตอยู่ในโบสถ์นั้น ครู่หนึ่งมีสองสามีภรรยาคู่หนึ่ง อายุน่าจะเกินสี่สิบแล้วทั้งคู่ เข้ามากราบพระแล้วอ้อนวอนของลูกจากพระ.. "ถ้าได้ลูกชาย จะให้เขาบวชถวายแก้บนหลวงพ่อ ถ้าได้ลูกสาวจะให้พ่อเขามาบวชแก้บนแทน" ผู้เป็นภรรยาเริ่มบนบาน "หื้อ! มัน ไม่ถูกนะเธอ ถ้าจะให้ลูกบวชแก้บนหลวงพ่อ มันก็ต้องให้เขาบวชทั้งลูกสาวลูกชายซี เป็นผู้หญิงก็บวชชีได้นี่นา คุณจะให้ผมบวชแทนลูกได้ไงกันเล่า" ผู้เป็นสามีเริ่มทักท้วง "เอ๊ะ คุณนี่ เสียสละแค่นี้เพื่อลูกไม่ได้ บวชชีมันได้บุญมากเหมือนบวชพระที่ไหนกันเล่า เรื่องมากจัง" ผู้เป็นภรรยาตะคอกใส่ ต่อจากนั้นก็เป็นบทถกเถียงกันต่ออย่างไม่มีทีท่าว่าจะจบ.. จน ภรรยาบอกว่าอย่าไปเซ้าซี้ท่านมากเดี๋ยวท่านรำคาญ ไม่ประทานลูกให้พอดีกัน โดนภรรยาขู่เข้าเช่นนี้ ฝ่ายสามีก็เลยหงอ เป็นการยอมรับคำติดสินบนพระโดยดุษณี ว่าถ้าได้ลูกสาวแล้วพ่อจะบวชแก้บนแทน.. ท่านหลวงพ่อได้ยินแล้วก็ขำอยู่ในใจ ก็คงเพราะมัวแต่เสียเวลาทะเลาะกันอยู่อย่างนี้หรือเปล่า ถึงยังไม่มีลูกกับเขาสักที.. ในคัมภีร์พระพุทธศาสนากล่าวไว้ว่า คนที่แต่งงานแล้วจะมีบุตรได้นั้นขึ้นอยู่กับสามองค์ประกอบดังนี้คือ.. ๑. มารดา บิดา ร่วมหลับนอนกัน (มาตาปิตโร จ สนฺนิปติตาโหนฺติ) ๒. มารดามีประจำเดือน (มาตา จ อุตุนี โหติ) ๓. มีวิญญาณมาปฎิสนธิ (คนฺธพฺโพ จ อุปฎฐิโต โหติ) คำแปลนี้ผู้เขียนตีความเอง ของเดิมท่านแปลไว้ว่ามีสัตว์ในครรภ์มาเกิด) ถ้า ขาดข้อใดข้อหนึ่งไป คู่สามีภรรยานั้นก็ไม่สามารถจะมีบุตรได้ แล้วคนที่ไปอ้อนวอนขอลูกจากพระนั้น ยังไม่รู้ว่าจะให้พระท่านช่วยโดยวิธีไหน ยังสงสัย? ย่อความจากหนังสือ ธรรมะอ่านสบาย หลากหลายแง่คิดจากหลวงพ่อปัญญา ขออนุญาตเผยแพร่เป็นธรรมทาน.. |
เจ้าของ: | moddam [ 26 ก.ย. 2009, 23:26 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ช่วยเฉลยหน่อย |
กราบไหว้พระธรรม อย่าสะดุดเอาคัมภีร์ใบลาน ความคิดเห็นของผมเองนะครับ คือ อย่าเป็นเหมือน ท่าน โปฐิละ หรือท่านใบลานเปล่า ที่หลงแบก คัมภีร์เสียตั้งนาน แต่ไม่ได้ ลงมือปฏิบัติเอง จึงยังจิตไม่เห็นธรรมแท้ ๆ แต่ต่อมาท่านยอมวาง คัมภีร์ มาลดทิฏฐิมานะของตัวเอง โดยให้ สามเณร สอน จึงได้บรรลุพระอรหัต กราบไหว้พระสงฆ์ อย่าสะดุดเอาลูกชาวบ้าน อย่่าดูว่าพระสงฆ์ นั้นคือใคร แต่ดูที่ ปฏิปทา การประพฤติปฏิบัติของท่านดีกว่า และเอาท่านเป็นแบบอย่างแล้วเราก็เดินตามท่าน เหมือนอย่างที่ท่านเดินตาม รอย พระศาสดา ใครมีความคิดเห็นดีๆ ก็ มาเล่าให้ฟังบ้างครับ ขออนุโมทนากับเจ้าของกระทู้ด้วยครับ ![]() |
เจ้าของ: | ningnong [ 28 ก.ย. 2009, 23:28 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ช่วยเฉลยหน่อย |
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() สวัสดีครับ ขอเข้ามาร่วมตอบกระทู้ด้วย ![]() ในความคิดของผม คำพูดที่ยกมานั้น ก็เพื่อเตือนสติให้รู้จักแสวงหาความหมายที่แท้จริงของพระรัตนตรัย ไม่ใช่ติดอยู่ตรงที่เปลือกกระพี้ ไม่เข้าไปสู่แก่นแท้ของธรรมอันเป็นสรณะที่พึ่งอันสูงสุด กราบพระพุทธ ต้องน้อมจิตน้อมใจให้เห็นถึงพระพุทธคุณ ว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้ไกลจากกิเลส เป็นผู้ตรัสรู้ชอบโดยพระองค์เอง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่ฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า เป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม เป็นผู้มีความจำเริญ จำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์ดังนี้... ไม่ใช่กราบพระพุทธ แต่ไปสะดุด อยู่กับสมมติ ว่าองค์พระมีมูลค่าอย่างนั้น อย่างนี้ เป็นการบูชาที่ติดเพียงกรอบ หรือเปลือกนอก ไม่เห็นพุทธะที่แท้...(อันที่จริงก็คือ ดิน ทราย ปูน ก้อนโลหะ ทั้งนั้น) กราบพระธรรม ต้องน้อมจิตให้เห็นถึงพระธรรมคำสอนที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติ พึงเห็นได้ด้วยตนเอง เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกับผู้อื่นว่าท่านจงมาดูเถิด เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาสู่ตัว และผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตนดังนี้... ไม่ใช่กราบพระธรรมแต่ไม่ได้น้อมนำเอาพระธรรมนำไปปฏิบัติ พระธรรมก็เป็นเพียงคัมภีร์ใบลาน หรือเป็นพระไตรปิฏกสมมติ เป็นเพียงวัตถุ ซึ่งไม่มีสาระอะไร ก็เป็นเพียงเปลือกกระพี้นั่นเอง... กราบพระสงฆ์ ต้องน้อมจิตให้เห็นถึงพระสังฆคุณ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมอันเป็นเครื่องออกจากทุกข์ ปฏิบัติสมควร โดยเฉพาะพระอริยสงฆ์ อันได้แก่คู่แห่งบุรุษ ๔ คู่ หรือบุรุษ ๘ บุรุษ ซึ่งควรแก่การสักการะบูชา เป็นเนื้อนาบุญของโลก... ไม่ใช่กราบสมมติสงฆ์ ที่แค่โกนหัว นุ่งห่มผ้าเหลือง ซึ่งก็เป็นเพียงบุคคลธรรมดา ลูกชาวบ้านดีดีนี่เอง ท่านพุทธทาสท่านหมายถึง สงฆ์เทียมที่อาศัยผ้าเหลือง มาแอบแฝง เป็นมารศาสนา ซึ่งในสังคมพุทธขณะนี้มีมากขึ้นทุกที ท้ายนี้ขอยกบทธรรมของท่านพ่อลี ธัมมธโร เพื่อประกอบการพิจารณาครับ ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() อธิบายพระไตรสรณคมณ์ พระรัตนตรัยนี้เป็นที่พึ่งอันศักดิ์สิทธิ์แก่ผู้ถือมั่นเชื่อมั่น และกระทำให้เกิดขึ้นพร้อมทั้งกาย วาจา จิต คือให้เห็นคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในจิตจริง ๆ เดี๋ยวนี้คนเราโดยส่วนมาก ถึงพระพุทธแต่เงา คือไหว้กันแต่รูปที่เปรียบ ถึงพระธรรมก็แต่นึกเห็นแต่ขั้นปริยัติ ไม่ค่อยปฏิบัติให้ถึงปฏิเวธ ถึงพระสงฆ์ก็เสมอเห็นโกนผม ห่มผ้าเหลืองเท่านั้น ถ้าถึงกันเสมอเท่านี้ ก็ไม่อาจจะปิดอบายได้ ฉะนั้นผู้นับถือจริง ๆ แล้วจงให้เข้าถึงจิตใจ จึงจะเป็นผู้เชื่อมั่นไม่งมงาย อีกนัยหนึ่ง แก้ว ๓ ประการนี้ ถ้าใครเชื่อมั่นด้วยดีแล้ว จักกันภัยที่ตนหวาดเสียวได้จริง ๆ ในปัจจุบันนี้คนเราโดยมาก ความรู้ ความเห็น เลยของดีไปเสีย เพราะยังตื่นข่าวกันไปต่าง ๆ ถ้าเอะอะลืมพระรัตนตรัยแล้ว ขนลุก ตาใส ใบหูชัน หวั่นไหวไปเหมือนกระต่ายตื่นตูม วิ่งไปกระโดดไปฉะนั้น พูดถึงข้างหน้า ถ้าใคร ๆ มีความเชื่อมั่นแล้วในจิตใจ บุคคลผู้นั้นเชื่อว่าได้ที่พึ่งอันประเสริฐ จักไม่ไปเกิดในอบายภูมิสี่เป็นเด็ดขาด สมกับบาทพระคาถา ที่มาในมาหาสมยสูตรว่า “เยเกจิ พุทธัง สรณัง คตา เส น เต คมิสฺสนฺติ อปายภูมิ ปกาย มานุสัง เทหัง เทวกายัง ปริปูเรสฺสนฺตีติ” แปลความว่า นรชนทั้งหลายเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ถึงพระพุทธเจ้าว่าเป็นสรณะที่พึ่ง(ภายในใจ) ชนทั้งหลายเหล่านั้นจักไม่ไปเกิดในอบายสี่ คือ นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์ดิรัจฉานเมื่อละกายของมนุษย์แล้ว จักได้ยังกายทิพย์ให้บริบูรณ์ดังนี้ ถ้าเราเชื่อมั่นแล้ว ไม่ควรไปเชื่อถือของศักดิ์สิทธิ์ที่สมมติกันขึ้นภายนอกโดยหาเหตุผลมิได้ เห็นคนอื่นเขาพาทำ ก็หลับตาทำไปโดยอาการต่าง ๆ แล้วอาจทำให้พระไตรสรณคมน์เสื่อมและเศร้าหมองไป ใจเราก็หมดหลักฐานที่พึ่งอาศัย แล้วก็จักเกิดความสงสัยฟุ้งซ่านไป นับถือนอกรีตนอกรอย พลอยลุ่มหลงไปต่าง ๆ ลักษณะของผู้มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะที่พึ่งแล้ว ย่อมมีกายอ่อนน้อม มีวาจาอ่อนโยน และย่อมปรารภถึงเสมอพร้อมทั้งน้ำใจ ประกอบด้วยปัญญา พิจารณารู้เห็นความจริงของตนว่า เราเกิดมานี้เพราะกรรม เราเป็นอยู่นี้เพราะกรรม เราตายไปนี้เพราะกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ดังนี้ใคร ๆ จะมาช่วยความเป็นความตายให้เราไม่ได้ เมื่อมีความเชื่อมั่น หมั่นระลึกศึกษา ภาวนาอยู่เป็นนิตย์แล้ว เท่ากับสาธยายมนต์ทิพย์อันประเสริฐ นับเป็นหลักทางใจในทางพุทธศาสนาส่วนหนึ่ง.... ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() เจริญในธรรมครับ ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | อินทรีย์5 [ 29 ก.ย. 2009, 13:45 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ช่วยเฉลยหน่อย |
[quote]ในความคิดของผม คำพูดที่ยกมานั้น ก็เพื่อเตือนสติให้รู้จักแสวงหาความหมายที่แท้จริงของพระรัตนตรัย ไม่ใช่ติดอยู่ตรงที่เปลือกกระพี้ ไม่เข้าไปสู่แก่นแท้ของธรรมอันเป็นสรณะที่พึ่งอันสูงสุด [/quote] ===>เตือนสติ เพื่อให้เกิดสติ เมื่อมีสติอยู่กับตัว การเข้าถึงไตรรัตนะ ก็ง่ายขึ้น ไม่ใช่กราบไหว้ในสิ่งที่วัตถุหรือตัวตนบุคคล แต่กราบไหว้เพราะเป็นคุณธรรม เป็นตัวแทนแห่งคุณงามความดี และวิหารธรรม อะไรประมาณนี้ใช่หรือป่าวครับ ........"นะอยู่หัว สามตัวอย่าละ." |
เจ้าของ: | วรานนท์ [ 29 ก.ย. 2009, 17:39 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ช่วยเฉลยหน่อย |
![]() ![]() ![]() อนุโมทนาสาธุครับ ดีทุกคำตอบ ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | มหาราชันย์ [ 30 ก.ย. 2009, 02:11 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ช่วยเฉลยหน่อย |
ปัญญาเพียงดังแผ่นดินย่อมเกิด เพราะความประกอบโดยแท้ ความสิ้นไปแห่งปัญญาเพียงดังแผ่นดิน เพราะความไม่ประกอบ บัณฑิตรู้ทางสองแพร่งแห่งความเจริญและความเสื่อมนี้แล้ว พึงตั้งตนไว้โดยอาการที่ปัญญาเพียงดังแผ่นดิน จะเจริญขึ้นได้ แม้ถ้าบุคคลประดับแล้ว พึงประพฤติสม่ำเสมอ เป็นผู้สงบ ฝึกแล้ว เที่ยงธรรม มีปกติประพฤติประเสริฐ วางเสียซึ่งอาชญาในสัตว์ทุกจำพวก, บุคคลนั้น เป็นพราหมณ์ เป็นสมณะ เป็นภิกษุ เจริญในธรรมครับ. |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |