ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
ยาดีคือพระธรรม http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=26119 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | รสมน [ 08 ต.ค. 2009, 07:21 ] |
หัวข้อกระทู้: | ยาดีคือพระธรรม |
ไม่มียาดีที่ไหนที่จะรักษาความเน่าเหม็นของอกุศลได้ นอกจากพระธรรม ปัญญา ทางพุทธศาสนาเท่านั้น ที่จะรักษาความเน่าเหม็นของอกุศล ที่เกิดขึ้นสะสมในแต่ละ วันซึ่งจะทำให้เน่าเหม็นยิ่งขึ้น เพราะในชีวิตแต่ละวันจะเห็นว่า ขณะที่ไม่เป็นไปกับ การให้ทาน การวิรัติงดเว้นจากการกระทำบาป และการภาวนาแล้ว นอกนั้นเป็นไป กับความเน่าเหม็น หมักหมนเพิ่มขึ้นของอกุศลสุดที่จะรักษาได้....... ยาที่ดีที่สุด คือ พระธรรม หากไม่มีศรัทธาที่จะฟังพระธรรม รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ ก็จะไม่สามารถรักษาความเน่าเหม็นของอกุศลได้ ไม่สามารถจะออกจากวัฏฏะสงสาร ไปได้ การรู้ความจริงของสิ่งที่กำลัง ปรากฏขณะนี้ ฟังดูไม่ยาก... แต่เข้าใจจริงๆบ้างหรือยังว่าทุกๆขณะที่กำลังปรากฏไม่ ว่าทางตา ทางหู..อะไรเป็นธรรมะ อะไรเป็นความจริงที่มีอยู่จริงๆที่กำลังปรากฏ ค่อยๆ ฟัง ค่อยเข้าใจ.. .ขณะที่เห็นแล้วรู้สิ่งที่ปรากฏเป็นสติสัมปชัญญะ เพราะกำลังเริ่มรู้สิ่ง ที่ปรากฏ ปัญญาเริ่มเข้าใจสิ่งที่ปรากฏ ธรรมะเป็นสิ่งที่ละเอียด ลึกซึ้ง อย่าเผินอย่า หันหลังให้กับสิ่งที่กำลังปรากฏตรงหน้าขณะนี้ ไปหาสิ่งอื่น เพราะความไม่รู้ และความ ต้องการจึงหันไปหาสิ่งอื่น ทำให้ไม่สามารถรู้ความจริงที่กำลังปรากฏอยู่ตรงหน้านี้ได้ ความจริงที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ ทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีจริง ที่กำลัง ปรากฏ เป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง ซึ่งกำลังปรากฏอยู่ตรงหน้าตลอดเวลา ไม่ต้องไปรู้ แจ้งอริยสัจจธรรมที่อื่น ขณะนี้มีธรรมที่กำลังปรากฏให้เข้าใจ ให้ศึกษา ให้รู้ แจ้งอริยสัจจธรรมได้ ใน มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ สีหนาทวรรค วนปัตถสูตร ข้อ ๒๓๔-๒๔๒ พระผู้มีพระภาคฯ ทรงแสดงธรรมแก่พระภิกษุทั้งหลาย ว่า ภิกษุ เข้าไปอาศัยบุคคลใด บุคคลหนึ่ง แล้วกุศลธรรมไม่เจริญ ก็ไม่ควรพัวพันกับบุคคลนั้นเลย ควรจะหลีกไปจากผู้นั้น โดยไม่ต้องบอก ไม่ว่าจะเป็นในเวลากลางวัน หรือในกลางคืน ก็ตาม. แต่บุคคลใด ที่ภิกษุเข้าไปอาศัย แล้วกุศลธรรมเจริญ ก็ควรจะพัวพัน คือ คบหาสมาคมกับบุคคลนั้น จนตลอดชีวิต ไม่ควรจะหลีกไป ถึงแม้ถูกขับไล่ก็ตาม. ฯลฯ ในอังคุตตรนิกาย นวกนิบาต สัมโพธวรรคที่ ๑ เสวนาสูตร ข้อ ๒๑๐ ท่านพระสารีบุตร ได้แสดงธรรมที่พระผู้มีพระภาคฯ ทรงแสดงนี้ แก่ภิกษุทั้งหลาย เพื่อให้เห็น ลักษณะของบุคคลที่ควรเสพ และ ไม่ควรเสพ ว่า เมื่อคบหาบุคคลใด แล้ว อกุศลธรรมเจริญ กุศลธรรมเสื่อม ไม่ถึงความบริบูรณ์ด้วยภาวนา ถ้ารู้อย่างนั้น ในเวลากลางคืน ก็ให้หลีกไปเสีย ในเวลากลางคืน โดยไม่ต้องบอกลา. ถ้ารู้อย่างนั้น ในเวลากลางวัน ก็ให้หลีกไปเสีย ในเวลากลางวัน โดยไม่ต้องบอกลา. พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ - หน้าที่ 551 เมตตาสูตร ว่าด้วยอานิสงส์ของเมตตา ๑๑ ประการ [๒๒๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อเมตตาเจโตวิมุตติ อันบุคคล เสพแล้ว ทำให้มากแล้ว ทำให้เป็นดุจยาน ทำให้เป็นที่ตั้ง ให้ตั้งมั่น โดยลำดับ สั่งสมดีแล้ว ปรารภด้วยดีแล้ว พึงหวังอานิสงส์ ๑๑ ประการ ๑๑ ประการเป็นไฉน คือ ย่อมหลับเป็นสุข ๑ ย่อมตื่นเป็นสุข ๑ ย่อม ไม่ฝันลามก ๑ ย่อมเป็นที่รักแห่งมนุษย์ทั้งหลาย ๑ ย่อมเป็นที่รักแห่ง อมนุษย์ทั้งหลาย ๑ เทวดาทั้งหลายย่อมรักษา ๑ ไฟ ยาพิษหรือศัสตราย่อม ไม่กล้ำกรายได้ ๑ จิตย่อมตั้งมั่นโดยรวดเร็ว ๑ สีหน้าย่อมผ่องใส ๑ เป็นผู้ ไม่หลงใหลทำกาละ ๑ เมื่อไม่แทงตลอดคุณอันยิ่ง ย่อมเป็นผู้เข้าถึงพรหม- โลก ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อเมตตาเจโตวิมุตติ อันบุคคลเสพแล้ว เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ทำให้เป็นดุจยาน ทำให้เป็นที่ตั้ง ให้ตั้งมั่นโดย ลำดับ สั่งสมดีแล้ว ปรารภด้วยดีแล้ว พึงหวังอานิสงส์ ๑๑ ประการนี้แล. จบเมตตาสูตรที่ ๕ |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |