วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 07:29  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 34 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2009, 22:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


อิอิ cool หลังจาก เห็นว่าทุกท่านหายไปหมด

tongue จึงอยากอัดฉีดกระทู้เข้ากระบบซักหน่อยงับ

จะได้มีสภาพคล่องในการสนทนากันงับ Onion_L

55+


smiley จึงขอให้ทุกท่านร่วม พูดคุยกันในเรื่องภาวนานะงับ

กำลังรออยู่นะงับ

ทุกๆๆท่าน

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2009, 23:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มาประเดิมกระทู้นะครับ :b12:

ภาวนามีอยู่ 2 อย่าง คือ สมถะ กับ วิปัสสนา
สมถะ ทำให้เกิดความสงบ เกิดสมาธิ
วิปัสสนา ทำให้เกิดปัญญา


ความเห็นของผม ควรจะทำสมถะควบคู่ไปกับวิปัสสนา
สมถะอาจต้องหาที่ที่สงบหน่อยและทำด้วยใจที่สงบหน่อยจะเป็นผลดีครับ
ส่วนวิปัสสนาทำได้ตลอดเวลาทุกสถานการณ์ครับ
หมั่นฝึกฝนทั้งสองอย่างนี้อยู่เสมอ จะเกิดเป็นปัญญาที่เฉียบคมนะครับ :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2009, 10:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ม.ค. 2009, 20:45
โพสต์: 1094

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ยุบหนอ - พองหนอ
:b6:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2009, 11:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 09:31
โพสต์: 639

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ควรเริ่มจากสมถะก่อนค่ะ อย่าเพิ่งวิปัสสนา

วิปัสสมาสมาธิ ต้องสำหรับคนที่ได้ อัปปนาสมาธิแล้ว คือ พวกที่ได้เป็นโสดาบันแล้วน่ะค่ะ เพราะการสิปัสสนาจะได้อิงกับธรรมหรือความจริงที่ถูกต้องเป็นสัจธรรมน่ะค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2009, 14:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2006, 20:52
โพสต์: 1210

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b6: :b6: :b6:

.....................................................
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ ธรรมา อนัตตา...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2009, 15:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.พ. 2009, 01:02
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว




4element.jpg
4element.jpg [ 13.93 KiB | เปิดดู 6181 ครั้ง ]
:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

ขอเข้ามาร่วมด้วยครับ :b8: :b16: :b16:

จากพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลศัพท์ อธิบายคำภาวนาว่า

ภาวนา การทำให้มีขึ้นเป็นขึ้น, การทำให้เกิดขึ้น, การเจริญ, การบำเพ็ญ
1. การฝึกอบรม ตามหลักพระพุทธศาสนา มี ๒ อย่าง คือ
๑. สมถภาวนา ฝึกอบรมจิตให้เกิดความสงบ
๒. วิปัสสนาภาวนา ฝึกอบรมปัญญาให้เกิดความรู้เข้าใจตามเป็นจริง,
อีกนัยหนึ่ง จัดเป็น ๒ เหมือนกันคือ
๑. จิตตภาวนา การฝึกอบรมจิตใจให้เจริญงอกงามด้วยคุณธรรม มีความเข้มแข็งมั่นคง เบิกบาน สงบสุขผ่องใส พร้อมด้วยความเพียร สติ และสมาธิ
๒. ปัญญาภาวนา การฝึกอบรมเจริญปัญญา ให้รู้เท่าทันเข้าใจสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง จนมีจิตใจเป็นอิสระ ไม่ถูกครอบงำด้วยกิเลสและความทุกข์
2. การเจริญสมถกรรมฐานเพื่อให้เกิดสมาธิ มี ๓ ขั้น คือ
๑. บริกรรมภาวนา ภาวนาขั้นตระเตรียม คือกำหนดอารมณ์กรรมฐาน
๒. อุปจารภาวนา ภาวนาขั้นจวนเจียน คือเกิดอุปจารสมาธิ
๓. อัปปนาภาวนา ภาวนาขั้นแน่วแน่ คือเกิดอัปปนาสมาธิเข้าถึงฌาน
3. ในภาษาไทย ความหมายเลือนมาเป็น การท่องบ่นหรือว่าซ้ำๆ ให้ขลัง ก็มี


smiley :b12: :b12: :b12:

ขอยก "ภาวนาสูตร" จากพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕
อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต มาวางครับ

ภาวนาสูตร
[๖๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุไม่หมั่นเจริญภาวนา แม้จะพึงเกิด
ความปรารถนาขึ้นอย่างนี้ว่า โอหนอ ขอจิตของเราพึงหลุดพ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น ก็จริง แต่จิตของภิกษุนั้นย่อมไม่หลุดพ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น ข้อนั้นเพราะเหตุไร จะพึงกล่าวได้ว่า เพราะไม่ได้เจริญ เพราะไม่ได้เจริญอะไร เพราะไม่ได้เจริญสติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ เปรียบเหมือนแม่ไก่มีไข่อยู่ ๘ ฟอง ๑๐ ฟอง หรือ ๑๒ ฟอง ไข่เหล่านั้น แม่ไก่กกไม่ดี ให้ความอบอุ่นไม่พอ ฟักไม่ดี แม่ไก่นั้น แม้จะพึงเกิดความปรารถนาขึ้นอย่างนี้ว่า โอหนอ ขอให้ลูกของเราพึงใช้ปลายเล็บเท้าหรือจะงอยปากเจาะกระเปาะไข่ ฟักตัวออกมาโดยสวัสดี ก็จริง แต่ลูกไก่เหล่านั้นไม่สามารถที่จะใช้ปลายเล็บเท้า หรือจะงอยปากเจาะกระเปาะไข่ ฟักตัวออกมาโดยสวัสดีได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะแม่ไก่กกไม่ดี ให้ความอบอุ่นไม่พอ ฟักไม่ดี ฉะนั้น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุหมั่นเจริญภาวนา แม้จะไม่พึงเกิดความปรารถนาอย่างนี้ว่า โอหนอ ขอจิตของเราพึงหลุดพ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น ก็จริง แต่จิตของภิกษุนั้นย่อมหลุดพ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น ข้อนั้นเพราะเหตุไร พึงกล่าวได้ว่า เพราะเจริญ เพราะเจริญอะไร เพราะเจริญสติปัฏฐาน ๔ ฯลฯ อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ เปรียบเหมือนแม่ไก่มีไข่อยู่ ๘ ฟอง ๑๐ ฟอง หรือ ๑๒ ฟอง ไข่เหล่านั้นแม่ไก่กกดี ให้ความอบอุ่นเพียงพอ ฟักดี แม้แม่ไก่นั้นจะไม่พึงปรารถนาอย่างนี้ว่า โอหนอ ขอให้ลูกของเราพึงใช้ปลายเล็บเท้าหรือจะงอยปากเจาะกระเปาะไข่ ฟักตัวออกมาโดยสวัสดี ก็จริง แต่ลูกไก่เหล่านั้นก็สามารถใช้เท้าหรือจะงอยปากเจาะกระเปาะไข่ ฟักตัวออกมาโดยสวัสดีได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะไข่เหล่านั้นแม่ไก่กกดี ให้ความอบอุ่นเพียงพอ ฟักดี ฉะนั้น ฯ

เปรียบเหมือนรอยนิ้วมือ รอยนิ้วหัวแม่มือที่ด้ามมีด ย่อมปรากฏแก่นายช่างไม้หรือลูกมือนายช่างไม้ แต่เขาไม่รู้อย่างนี้ว่า วันนี้ด้ามมีดของเราสึกไปเท่านี้ เมื่อวานสึกไปเท่านี้ หรือเมื่อวานซืนสึกไปเท่านี้ ที่จริง เมื่อด้ามมีดสึกไป เขาก็รู้ว่าสึกไปนั่นเทียว ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุหมั่นเจริญภาวนาอยู่ก็ฉันนั้นเหมือนกัน แม้จะไม่รู้อย่างนี้ว่า วันนี้ อาสวะของเราสิ้นไปเท่านี้ เมื่อวานสิ้นไปเท่านี้ หรือเมื่อวานซืนสิ้นไปเท่านี้ แต่ที่จริง เมื่ออาสวะสิ้นไป ภิกษุนั้นก็รู้ว่าสิ้นไปนั่นเทียว ฯ

เปรียบเหมือนเรือเดินสมุทรที่เขาผูกหวาย ขันชะเนาะแล้วแล่นไปในน้ำตลอด ๖ เดือน ถึงฤดูหนาว เข็นขึ้นบก เครื่องผูกประจำเรือตากลมและแดดไว้ เครื่องผูกเหล่านั้นถูกฝนชะ ย่อมชำรุดเสียหาย เป็นของเปื่อยไปโดยไม่ยาก ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุหมั่นเจริญภาวนาอยู่ สังโยชน์
ย่อมสงบระงับไปโดยไม่ยาก ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล ฯ

จบสูตรที่ ๗


ขอให้กัลยาณมิตรธรรมทุกท่านมีความสุขกับการแสดงความรู้ความเห็น :b4: :b4:

เจริญในธรรมครับ :b8: :b8: :b8:


:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

.....................................................
ราตรีของผู้ตื่นอยู่นาน...โยชน์ของผู้ล้าแล้วไกล
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2009, 16:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ขออนุโมทนาค่ะ
มารอชม บัณฑิตสนทนาธรรมกันค่ะ
ไม่ค่อยเห็นสมาชิกเดิมๆ สนทนาธรรมกันเลยในระยะหลัง

รอมานานมากๆๆๆๆ .......... :b51: :b53:

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2009, 17:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


chulapinan เขียน:
ควรเริ่มจากสมถะก่อนค่ะ อย่าเพิ่งวิปัสสนา

วิปัสสมาสมาธิ ต้องสำหรับคนที่ได้ อัปปนาสมาธิแล้ว คือ พวกที่ได้เป็นโสดาบันแล้วน่ะค่ะ เพราะการสิปัสสนาจะได้อิงกับธรรมหรือความจริงที่ถูกต้องเป็นสัจธรรมน่ะค่ะ



เศร้าเลย วิปัสสนาเพี้ยนแล้ว

55+

วิปัสสนาได้สำหรับทุกๆคนงับ

เพราะเอา รูปนาม กายใจ เป็นอารมณ์งับ

คนที่ได้อัปนาสมาธิไม่ใช่โสดานะงับ

โสดามีเฉพาะผู้เจริญวิปัสสนางับ

ที่เหลือให้ท่านกรัชกายอธิบายนะงับบบบบ

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2009, 17:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านทั้งหลาย หากใครศึกษาดีๆชัดในกาลก่อน องค์พุทธะท่านกล่าวธรรมแสดงธรรมโดยมีอนาวรญาณ คือสามารถรู้ถึงความเป็นไปของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ท่านตรัสวลีธรรมสั้น ตามจริต วาระ ของสรรพสัตว์ ก็มีที่บรรลุฉลับตรงนั้น และที่ยังก็นำวลีสั้นๆนั้นมาทบทวนก็ดับตาม บรรลุตามก็มี หากว่าไปแล้วตอนนั้นพระองค์ท่านไม่ชี้ใด้ให้ต้องเจริญในสิ่งที่เราสืบๆกันมาหลายยุค หลายสมัยที่ตอนนี้มันแยกออกเป็น สมถะและวิปัสสนาอย่างทุกวันนี้หรอ แต่ด้วยยุคสมัยมันผ่านมาแล้วหลายสมัย คำสอนก็มีการจัดเป็นหมวดหมู่ และการสื่อการสอนก็จัดเป็นกระบวนขั้นตอนโดยชัดเจน จนเป็นเงื่อนไข และกฏเกณฑ์มากมาย จนมีการสมมุติตามมาทีหลังว่าปฏิบัติธรรม และการปฏิบัติธรรมก็แบ่งออกเป็น 2อย่างคือสมถะ วิปัสสนา ว่าไปแล้วกระบวนการขั้นตอนต่างๆนี้มีในยุคหลังๆนี้เอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2009, 18:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขงเบ้งเทพแห่งกลยุทธ์ เขียน:

เศร้าเลย วิปัสสนาเพี้ยนแล้ว

55+

วิปัสสนาได้สำหรับทุกๆคนงับ

เพราะเอา รูปนาม กายใจ เป็นอารมณ์งับ

คนที่ได้อัปนาสมาธิไม่ใช่โสดานะงับ

โสดามีเฉพาะผู้เจริญวิปัสสนางับ

ที่เหลือให้ท่านกรัชกายอธิบายนะงับบบบบ


ท่านขงเบ้ง ฯ อย่าโยนกรัชกายสิงับ :b1:

งานนี้ขอตัว เริ่มเซ็งๆกับสมถะวิปัสสนาสมาธิ เป็นต้น อีกแล้ว ขอเป็นกองเชียร์แล้วกันนะงับ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2009, 18:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




DSC_0421.jpg
DSC_0421.jpg [ 5.26 KiB | เปิดดู 6121 ครั้ง ]
เราไปขุดพระธาตุกันดีกว่า เห็นท่าจะง่ายกว่า เรื่องสมถะ สมาธิ วิปัสสนา สติ สัมปชัญญะ หลายขุม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2009, 18:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เราไปขุดพระธาตุกันดีกว่า เห็นท่าจะง่ายกว่า เรื่องสมถะ สมาธิ วิปัสสนา สติ สัมปชัญญะ หลายขุม


ขุดพระธาตุยากมากนะงับ

55+

อิอิ

เพราะพระธาตุทำการนิธานไว้

อิอิ

แล้วอยู่ในบึงพญานาคด้วยนะงับ

ต้องทะเลาะกับพญานาคก่อนนะงับ

ถึงจะได้มา

ถ้าท่านกรัชกายจะขุด ผมแนะนำให้ท่าน ทะเลาะกับพญานาคก่อนนะงับ

55+

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2009, 18:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขงเบ้งเทพแห่งกลยุทธ์ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เราไปขุดพระธาตุกันดีกว่า เห็นท่าจะง่ายกว่า เรื่องสมถะ สมาธิ วิปัสสนา สติ สัมปชัญญะ หลายขุม


ขุดพระธาตุยากมากนะงับ

55+

อิอิ

เพราะพระธาตุทำการนิธานไว้

อิอิ

แล้วอยู่ในบึงพญานาคด้วยนะงับ

ต้องทะเลาะกับพญานาคก่อนนะงับ

ถึงจะได้มา

ถ้าท่านกรัชกายจะขุด ผมแนะนำให้ท่าน ทะเลาะกับพญานาคก่อนนะงับ


พระเจ้า ทะเลาะกับคนยังไม่จบ จะให้ไปทะเลาะพญานาคอีกแล้ว :b25:

แล้วไอ่บึงพญานาคนี่อยู่แถวไหนล่ะ ไม่ไปด้วยกันหรองับๆ

แล้วนิธานนี่คืออะไรหรองับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2009, 18:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


chulapinan เขียน:
วิปัสสมาสมาธิ ต้องสำหรับคนที่ได้ อัปปนาสมาธิแล้ว


ไม่จำเป็นหรอกนะครับ ขนาดหลวงปู่ดุลย์ยังบอกกับพวกไม่มีสมาธิเลยว่า
"ถึงจิตจะไม่สงบก็ไม่ควรให้มันออกไปไกล ใช้สติระลึกไปแต่ในกายนี้ ดูให้เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อสุภสัญญา หาสาระแก่นสารไม่ได้ เมื่อจิตมองเห็นชัดแล้ว จิตก็จะเกิดความสลดสังเวช เกิดนิพพิทา ความหน่าย คลายกำหนัด ย่อมตัดอุปาทานขันธ์ได้เช่นเดียวกัน"
แล้วที่หลวงปู่บอกมาข้างต้นนี้ ไม่ใช่การวิปัสสนาหรอกหรือครับ ไม่เห็นจะต้องได้อัปปนาสมาธิเลย


chulapinan เขียน:
คนที่ได้ อัปปนาสมาธิแล้ว คือ พวกที่ได้เป็นโสดาบันแล้วน่ะค่ะ


ถ้าไม่เคยวิปัสสนาจะเป็นพระโสดาบันได้อย่างไรล่ะครับ
ในเมื่อพระโสดาบันต้องละความยึดมั่นถือมั่นในรูปกายได้
ซึ่งต้องอาศัยวิปัสสนาในการพิจารณาถอดถอนความยึดมั่นถือมั่น
ไม่จำเป็นหรอกว่าจะต้องมีอัปปนาสมาธิน่ะครับ :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2009, 18:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 พ.ย. 2007, 18:04
โพสต์: 10

ที่อยู่: Ayutthaya

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดี ถ้ามีวาสนาคงได้สนทนาธรรมกัน :b27:

.....................................................
สิ่งที่คุณหา มันก็อยู่ที่คุณนั่นแหล่ะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 34 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 182 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร