วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 20:16  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 23 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ต.ค. 2009, 12:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


มันมีหลักคิดง่ายๆ นะ อะไรที่ผิดศีลนั้น เราจะรู้ได้ทันทีว่า ผิด โดยไม่ต้องตีความใดๆ ถ้าต้องมีการตีความแล้ว โดยมากจะเป็นสีเทา คือเป็นเรื่อง จริยธรรม ไม่ใช่ศีล

เรื่องซอฟแวร์และภาพยนตร์นั้น มันเป็นเรื่องเป็นราว เพราะมูลค่ามันมหาศาล ลองคิดเทียบเคียงนะ... ถ้าคุณซื้อนวนิยายมาเรื่องหนึ่ง แล้วเพื่อนคุณเอาไปซีร๊อกซ์เก็บไว้ เพื่อนคุณจะถือว่า ละเมิดลิขสิทธิ์ผู้เขียน หรือลักทรัพย์ของคุณหรือเปล่า...
ในห้องสมุด ก็มักมีบริการถ่ายเอกสาร แต่มันไม่เป็นเรื่องเป็นราว เพราะมูลค่ามันต่ำ แต่ถ้าร้านวิดีโอมีบริการสำเนาคลิปหนัง ก็เป็นเรื่องแน่ๆ

เรื่องการละเมิดนี้ แม้แต่ในทางโลก เขาก็เถียงกันอยู่เรื่อยๆ เช่น เวลาเราซื้อหนังมา มักมีการห้ามทำซ้ำอะไรต่างๆ นานา แต่ในเมื่อเราซื้อมาแล้ว มันก็คือกรรมสิทธิ์ของเรา ทำไมถึงยังตามมาห้ามกันได้ ก็มันเป็นของๆ เราแล้ว

เราถึงบอกว่า เรื่องลิขสิทธิ์นี้ เนื้อแท้แล้วมันเป็นเรื่องทางธุรกิจ ถ้าเราเป็นตัวการในการทำซ้ำ ก็เข้าข่ายผิดศีลแน่ๆ แต่มือรองๆ ลงไปนั้น เป็นเรื่องทางจริยธรรมมากกว่า...

เรื่องสีเทาๆ แบบนี้ มีมากมาย และที่เมืองไทยเราจัดการอะไรไม่ได้ เพราะมัวแต่ไปตีความว่าเป็นศีล ในขณะที่คนทั่วๆ ไปนั้น เขาไม่ได้รู้สึกว่าผิดศีล...

เพิ่มเติมนะ... เพื่อให้ครอบคลุม ลองคิดดูว่า คำว่าละเมิดลิขสิทธิน่ะ สิทธิที่ว่า คือสิทธิอะไร...
ถ้าเป็นเพลง สิทธิที่ว่า คือสิทธิในการฟังหรือเปล่า ถ้าเป็นสิทธิในการฟัง คนเดินห้างก็ละเมิดลิขสิทธิทุกคน
ถ้าเป็นหนัง สิทธิที่ว่า คือสิทธิในการดูหรือเปล่า ถ้างั้นตามห้างที่ขายทีวี ใครเข้าไปดู ก็ละเมิดทุกคน
ถ้าเป็นหนังสือ สิทธิที่ว่า คือสิทธิในการอ่านใช่ไหม ถ้าไปเปิดอ่านตามร้านหนังสือ ก็ละเมิดนะซิ

สิทธิที่ว่านั้น จริงๆ คือ สิทธิในการหาผลประโยชน์ (ในทางใดทางหนึ่ง เช่น เงินทอง เครดิตชื่อเสียง ฯลฯ) และสิทธิที่ว่านี้ ไม่ได้เกี่ยวกับว่า ใครเป็นเจ้าของแต่อย่างใด ถ้าเราเขียนหนังสือ แล้วขายขาดให้สำนักพิมพ์ สิทธิที่ว่านี้ ก็เป็นของสำนักพิมพ์

การละเมิดลิขสิทธิ์ จึงมีสาระถึง การหาผลประโยชน์จากสิ่งที่ผู้อื่นครอบครองอยู่ ถ้าเราไปซีร๊อกส์หนังสือเก็บไว้ นั่นไม่ผิดแน่นอน แต่ถ้าเอาไปขาย นั่นผิดแน่ๆ และเป็นศีลด้วย เพราะเบียดบังทรัพย์ที่ผู้ครอบครองสิทธิ์ควรจะได้ แต่การซีร๊อกส์เก็บไว้ มันน่าอาย คนเขาอุตสาห์เขียนขึ้นมา ก็สนับสนุนเขาหน่อย... เป็น จริยธรรม

แต่ในยุคคอมพิวเตอร์นั้น การแจกจ่ายโดยสิเน่หานั้น ทำได้อย่างกว้างขวางและรวดเร็ว เขาจึงจำเป็นต้องออกกฎหมายเฉพาะ ในเรื่องการทำซ้ำ เพื่อปกป้องไม่ให้อุตสากรรมบันเทิงล่มสลาย... เป็นเรื่องทางโลกแบบแท้ๆ

เพิ่มเติมอีก... รู้สึกว่า ปัจจุบันนี้ เขามีการขยายขอบเขตความหมายของ สิทธิ์ ให้กว้างขึ้น จากสิทธิในการหาผลประโยชน์ ก็ขยายเป็นสิทธิ์ในการใช้ เช่นถ้าใครจดสิทธิบัตรสมุนไพรชนิดใดไว้ ก็ห้ามมีผู้ใดเอาสมุนไพรนั้นมาใช้อีก และที่แย่กว่านั้น ก็กำลังมีความพยายามขยายขอบเขตให้กลายเป็น สิทธิในการควบคุมผู้อื่น เช่น ใครซื้อของก๊อปก็มีความผิด เป็นต้น

เอาล่ะ พอแระ


แก้ไขล่าสุดโดย murano เมื่อ 27 ต.ค. 2009, 21:19, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ต.ค. 2009, 09:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ต.ค. 2009, 07:23
โพสต์: 17

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณผู้รู้อีกครั้งครับ ที่กรุณาช่วยเข้ามาตอบให้ :b8:

ถึงคุณชาติสยามครับ ผมได้อ่านแล้วทำให้หนาวเลย ไม่เคยทราบมาก่อนเลยครับว่าแค่อยากก็ผิดศีลแล้ว แต่ยังไม่ค่อยกระจ่างเท่าไรว่าผิดศีลข้อไหนน่ะครับ และที่บอกว่าความโลภครอบงำก็ผิดศีลแล้ว อย่างนี้ผมคงไม่มีวันทำศีลให้สมบูรณ์ได้ในชาตินี้แน่ๆ เลย :b2: ถ้าอย่างนั้นก็หมายถึงว่ามีแต่คนที่เป็นหมดความอยาก หรือหมดความโลภเท่านั้นหรือเปล่าครับศีลถึงจะสมบูรณ์ได้ใช่หรือเปล่าครับ รบกวนคุณชาติสยามอธิบายเพิ่มเติมด้วยครับ

ขอบคุณล่วงหน้าครับ


ถึงคุณ murano ผมได้อ่านคำตอบของคุณแล้วทำให้เข้าใจอะไรกระจ่างมากขึ้นเยอะเลยครับ แต่ก็ไม่รู้ว่าจริงๆ เพราะดูเหมือนจะเป็นจริงอย่างที่คุณบอกเลย แต่จริงๆ จะเป็นเช่นนั้นหรือเปล่าผมไม่รู้ได้น่ะครับ ทำให้ผมได้ข้อคิดหลายอย่างเลย คือ เมื่อวานหลังจากที่ได้อ่านคำตอบของคุณไปผมก็ปรึกษากับเพื่อน คุยแลกเปลี่ยนกัน ก็เห็นว่าจริงๆ แล้วมันฟันธงยากว่าผิดศีล แต่จะผิดก็ผิดจริยธรรม ไม่รู้ผมเข้าใจถูกหรือเปล่า หากจะเปรียบเทียบก็เหมือนกับที่คุณได้บอกเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่าเหมือนกับเรื่อง "กินเนื้อสัตว์ผิดศีลหรือเปล่า" ผมขอเปรียบเทียบตามความเข้าใจของผมที่สรุปได้ดังนี้ครับ


[กินเนื้อสัตว์ผิดศีลหรือไม่] เทียบกับ [ดูหนังฟังเพลงใช้โปรแกรมละเมิดลิขสิทธิ์ในคอมพิวเตอร์]

คนที่ 1 เกษตรกร : เลี้ยงปลาเอาไว้ขาย
คนที่ 2 คนขายเนื้อสัตว์ : ซื้อปลาจากเกษตรกรแล้วชำแหละนำออกขาย
คนที่ 3 แม่บ้าน : ซื้อเนื้อปลาจากคนขายเนื้อสัตว์เพื่อนำมาปรุงอาหารทาน
คนที่ 4 คนในครอบครัว : กินข้าวกับกับข้าวจากแม่บ้าน


ตามความเข้าใจของผม กระบวนการของทั้ง 4 คนนี้ไม่มีใครผิดข้อลักขโมยเลยครับ ไม่รู้เข้าใจถูกหรือเปล่า? หากจะผิดคือคนที่ 2 คือ คนขายเนื้อสัตว์ ที่ไปฆ่าปลา

ต่อไปผมจะยกตัวอย่างอีกเรื่องหนึ่ง เทียบกับ [ดูหนังฟังเพลงใช้โปรแกรมละเมิดลิขสิทธิ์ในคอมพิวเตอร์]
รบกวนอ่านด้วยนะครับ คือ ย้อนกลับไปสมัยก่อนมากๆ ที่ยังไม่มีกฏหมายลิขสิทธิ์ใดๆ

คนที่ 1 ช่างปั้นชาวอิตาลี : คิดรูปปั้นกามเทพน้อยยิงธนูประดับสระน้ำขึ้นมาได้
คนที่ 2 นักท่องเที่ยวคนไทย : ไปเที่ยวอิตาลีก็เห็นรูปปั้นกามเทพน้อยยิงธนูสวยก็เลยซื้อกลับมาประเทศไทยแล้วนำมาประดับสระน้ำในบ้าน แล้วก็เลยจับลูบคลำวัดขนาดต่างๆ แล้วทำออกขายเองบ้างลดการนำเข้าจากต่างประเทศเพราะเราก็ทำเองได้
คนที่ 3 ลูกค้าคนไทย : เห็นว่ามีรูปปั้นกามเทพราคาถูกก็เลยไปซื้อมา เพราะว่าไปดูของชาวอิตาลีแล้วแพงมากๆ ไม่มีปัญญาซื้อ สนับสนุนคนไทยด้วยกันดีกว่า


จากตัวอย่างที่ผมให้ไป ผมเห็นว่าไม่มีใครผิดศีลข้อลักขโมยเลยครับ แต่ทีนี้ต่อมาช่างปั้นชาวอิตาลีรู้ข่าวเข้า ก็โกรธ โมโห เห็นว่าตัวเองเริ่มขายไม่ได้ อย่างนี้เราแย่แน่เจ้งแน่ ก็เลยคิดว่าเราจะต้องผู้ขาด ซื้อของเราได้อย่างเดียว ห้ามทำเลียนแบบออกขาย จึงไปคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าคนนี้ลักขโมย

ตำรวจก็บอกว่าขโมยได้อย่างไร ก็ของๆ คุณยังไม่ได้หายไปไหน นักท่องเที่ยวชาวไทยก็แย้งว่าผมซื้อจากคุณมาแล้ว ก็เป็นสิทธิ์ขาดของผมที่จะทำอะไรก็ได้จะแจกก็ยังได้ คุยกันไปกันมาก็เลยมีการตั้งกฏหมายลิขสิทธิ์ขึ้นมาว่าห้ามขาย ลูกค้าซื้อได้อย่างเดียว ห้ามทำตามแล้วเอาออกขายอย่างเด็ดขาด ต่อมาคนไทยก็เลยต้องหยุดทำ เพราะทำแล้วผิดกฏหมาย ต้องนำเข้าจากอิตาลีอย่างเดียว

ผมเห็นว่าส่วนต่อมาที่ตั้งกฏหมายลิขสิทธ์ นักท่องเที่ยวชาวไทย (ที่เป็นพ่อค้าชาวไทย) จะผิดกฏหมายลิขสิทธิ์ครับ แต่ยังคงไม่ผิดศีลเหมือนเดิม เพราะหากว่าผิดศีลแล้วจะต้องผิดศีลตั้งแต่แรกก่อนที่จะมีกฏหมายเสียอีก เพราะตามความเข้าใจของผมศีลจะไม่จำกัดการ จะต้องผิดตั้งแต่แรกจะมีกฏหมายแล้วค่อยผิดศีลมันไม่น่าจะใช่น่ะครับ

สรุปว่า เรื่องนี้ผมก็เข้าใจอย่างที่บอกไปนั่นแหละครับ ก็ไม่รู้ว่าจะถูกหรือผิดจริงๆ อย่างไร เรื่องนี้มันละเอียดอ่อนจริงๆ ทุกๆ ท่านทำให้ผมได้ความรู้และความคิดหลากหลายเลยครับงานนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ต.ค. 2009, 11:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องทรัพย์สินทางปัญญา มันมาในระบบทุนนิยม ซึ่งถ้าว่าในทางระบบ มันก็ดีนะ แต่ไม่น่าจะเอามายึดโยงกับทางธรรม... เพราะโดยธรรมชาติแล้ว ปัญญาไม่ใช่ทรัพย์สิน ปัญญาเป็นคุณสมบัติ

ถ้ายกเรื่องปั้นหุ่น ก็อยู่ที่ว่า ช่างปั้นเขาตั้งใจปั้นเพื่อขายหรือเปล่า หากเขาปั้นเพื่อขาย ใช้ปัญญาในการคิดรูปแบบออกมา เขาก็ย่อมหวงแหนในสิ่งที่เขาคิด และหวังจะขายได้มากๆ หากเราไปเลียนแบบเพื่อขาย ก็เท่ากับไปเบียดเบียนทรัพย์ที่เขาควรจะได้ มันก็มีนัยยะแห่งการผิดศีลอยู่...

แต่ถ้าวันหนึ่ง เราไปบ้านเพื่อน เห็นหุ่นสวยดี ก็จำๆ ไว้ กลับมาก็ปั้นเองไว้ในบ้าน มันก็ไม่ผิดหรอก แต่เจ้าของสิทธิ์อาจจะคิดว่า ถ้าเราไม่ปั้นเอง เขาก็ อาจจะ ขายได้อีก 1 อัน
ลองคิดดีๆ ว่า มันเป็นเรื่องศีล หรือเรื่องเงิน...


ระบบทรพย์สินทางปัญญา (สิทธิบัตร และลิขสิทธิ์) เป็นระบบที่ดีนะ แต่ไม่ควรจะเอามาโยงกับศีลธรรม เรื่องในทางธุรกิจนั้น โดยมากจะเป็นเรื่องจริยธรรม ไม่ใช่ศีลธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ต.ค. 2009, 12:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ส.ค. 2009, 02:56
โพสต์: 290

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b16: :b16: :b16: วันนี้มะมีความคิดเห็นอ่ะคะ สมองตื้อ ๆ ยังงัยมะรู้ เลยเข้ามาทักทายเฉย ๆ ค่ะ...

:b4: :b4: :b4: นู๋เอ

.....................................................
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในพระพุทธเจ้า
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในพระธรรม
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในพระสงฆ์
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในพระมารดาพระบิดา
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในครูอุปัชฌาย์อาจารย์
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง...สาธุ สาธุ สาธุ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ต.ค. 2009, 17:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


sbth เขียน:
ถึงคุณชาติสยามครับ ผมได้อ่านแล้วทำให้หนาวเลย ไม่เคยทราบมาก่อนเลยครับว่าแค่อยากก็ผิดศีลแล้ว แต่ยังไม่ค่อยกระจ่างเท่าไรว่าผิดศีลข้อไหนน่ะครับ


มีพระรูปหนึ่งทูลพระพุทธเจ้าว่า ถือศีลไม่ไหว ศีลเยอะ ท้อ
จะสึกแล้ว

เลยทรงตรัสบอกไปว่า ถ้ารักษาศีลมันยาก งั้นรักษาจิต ก็พอแล้ว
เท่านี้ก็เท่ากับรักษาศีลทั้งหมด

คิดดูสิว่า พระพุทธเจ้าบอกเขาไม่ให้รักษาศีล
แต่ให้รักษาจิตอย่างเดียวก็เท่ากับรักษาศีล

"รักษา" ตัวนี้ไม่ได้แปลว่า รักษาพยาบาลนะ
แต่หมายถึง รักษาแบบอารักขา ระแวดระวัง

เอาอะไรรักษาจิต?
- เอาสติรักษาจิต

ปกติของจิตนั้น อกุศลจะไม่เกิดพร้อมกับกุศล ดีกับเลวไม่เกิดพร้อมกัน
เพราะฉะนั้นขณะใดที่จิตเป้นกุศล เมื่อนั้นไม่มีอกุศล
พูดง่ายๆว่า ทั้งวันทั้งคืนเรามีจิตอยู่ 2 ประเภท (ความจริงมี 3 นะ แต่พูดเท่านี้พอเดี๋ยวงง)
คือเดี๋ยวกุศล เดี๋ยวอกุศล

สติเป็นกุศล
เมื่อใดมีสติ เมื่อนั้นไม่มีอกุศล
เมื่อจิตไม่เป็นอกุศล ย่อมไ่ม่สามารถที่จะเกิดการคิดพูดทำในความเลวได้เลย
เป็นไปไม่ได้ที่จะผิดศีลเลย ก้ในเมื่อใจต้นกำเนิดนี่ มันเป้นคนดีซะแล้ว


แต่เมื่อใดจิตเป้นกุศล เมื่อนั้นแหละ ถึงจะแตกออกไปเป้นการกระทำคำพูดที่ผิดศีล
จิตอกุศลนั่นแหละที่เป้นรากเหง้าของการกระทำและคำพูดทั้งปวง

ทีนี้ ตรงนี้มันก้ตอบคำถามที่สองของคุณนะ


sbth เขียน:
และที่บอกว่าความโลภครอบงำก็ผิดศีลแล้ว อย่างนี้ผมคงไม่มีวันทำศีลให้สมบูรณ์ได้ในชาตินี้แน่ๆ เลย :b2:


- คุณรู้ไหมว่า คนที่มีศีลสมบูรณ์จริงๆในโลกนี้นะ "นับนิ้วแล้ว นิ้วยังเหลือ"
พูดง่ายคือคนที่มีสติสืบเนื่องตลอดเวลาจนไม่มีอกุศลจิตเลยนั้น คือสมรรถนะของพระอรหันต์
แม้แต่พระอนาคามียังมีอกุศลหลงเหลืออยู่

เราๆท่านๆนี้น่ะ เป้นไปไม่ได้ที่จะมีศีลสมบูรณ์
แค่ 1 นาทีแล้วมีจิตเป้นกุศลล้วนๆ โดยอัตโนมัตินี่นะ .... ก็หาแทบไม่ได้แล้ว

แค่สงสัยก็เป้นบาปแล้ว กล่าวคืิอเป็นจิตฝ่ายอกุศลเรียกว่า วิจิกิจฉา

เกิดคำถามล่ะสิว่า อะไรกัน สงสัยอยากรู้ ก็เป้นบาปแล้ว ศานาพุทธนี่ยังไงกัน
ที่เข้าใจอย่างนั้น เพราะมองว่า "บาปต้องแก้" "หน้าที่ชาวพุทธคือต้องแก้" "ต้องห้ามบาป"
ซึ่งเป้นคำกล่าวโดยอนุโลมเท่านั้น

เพราะถ้าจะพูดกันจริงแล้ว กุศล หรืออกุศล เป้น"จิตผล" "เป้นวิบาก"
หมายความว่ามันเป้นผลผลิต มันเกิดขึ้นแล้ว ไม่มีทางแก้ไข
ถ้าจะแก้ ต้องไปแก้ที่ต้นเหตุ


ไม่แก้แล้วให้ทำอะไร?
ตอบว่า ให้รู้เฉยๆ หน้าที่ต่อทุกข์คือรู้
สิง่ที่ต้องละคือนู่น "สมุทัย"

อะไรล่ะคือสมุทัย --
ก้คิดจิตที่ขาดสตินั่นเอง

หลวงปู่ดุลย์พูดว่า จิตส่งออกนอกเป้นสมุทัย ... มีผลเป็นทุกข์

จิตที่มีสตินั่นแหละ ศีลบริบูรณ์
ไม่ต้องกังวลว่าจะมีกี่ข้อ และไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันคือข้อไหน

ศีลมาจากไหน ก้มาจากจิตที่ขาดสติ
เมื่อขาดสติแล้ว อกุศลเข้าครอบงำ แล้วก็พัฒนากลายเป้นความคิด คำพูด หรือการกระทำต่างๆ
สิ่งเหล่านี้ก็หลายมาเป้นห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามลักทรัพย์ อะไรไป

ที่พระพุทธเจ้าต้องอธิบายแตกออกละเอียดเป้นเรื่องๆ
เพราะมนุษย์นั้นยังไม่มีปัญญามากพอ ต้องช่วยคิดนิดนึง

เหมือนในหลวงเราเอาเรื่องพอเพียงมาพูดนี่แหละ ท่านช่วยอธิบายของยากให้ง่าย
ท่านกำลังอธิบายมัชฌิมาปฏิปทาแต่ในบริบทของเศรษฐกิจ ทั้งแบบจุลภาค และมหภาค
เพราะคนคนส่วนมากไม่เคยรู้จักสติ ไม่รู้จักศีล คิดอ่านไปตามกระแสความโลภ ความหลง

หลักพอเพียงนี่นะ เมื่อทำความเข้าใจดีๆ จะพบว่ามันก้คือการมีสติรักษาจิตนี่แหละ
มีสติรักษาจิตแล้วมันก็ไม่

แต่กระนั้นก็ยังมีนะ คนเรียนสุงๆ อธิบายเศรษฐกิจพอเพียงไม่รู้เรื่องเลย
บางพวกรวยอยู่แล้ว สบายดีอยู่แล้ว ก้ต้องอัปเปหิตัวเองไปทำตัวให้มันจนๆ
ผักหญ้าต้องปลูกกินเอง ไม่พึ่งอะไร อะไรไปอย่างนั้นอีก ตลกจะตายนะ
เนียะ มีปัญญาแต่ไม่มีสติ ไม่รู้ว่าความอยากมันจูงจมูกอยู่

ถ้าคนรู้จักความพอเพียงจริง อยู่สถานะไหนก้จะพอเพียงได้เอง
จะเป้นเจ้าฟ้าหรือยาจก ก้จะสามารถดำรงอัตภาพได้

ไม่ใช่เคยไถนาด้วยเครื่องดีอยู่แล้ว
อุตริอยากดีขึ้นมา เอาควายมาไถนา แล้วไถสามเดือนก็ไม่เสร้จ
นี่เรียกว่านอกจากจะขาดสติแล้วยังขาดปัญญา ไม่รู้จักความพอดี พอเพียง
ไม่เบียดเบียนตนเองมากเกินไป


sbth เขียน:
ถ้าอย่างนั้นก็หมายถึงว่ามีแต่คนที่เป็นหมดความอยาก หรือหมดความโลภเท่านั้นหรือเปล่าครับศีลถึงจะสมบูรณ์ได้ใช่หรือเปล่าครับ รบกวนคุณชาติสยามอธิบายเพิ่มเติมด้วยครับ
[/color]


ใช่ อย่างที่อธิบายไปแล้ว

แต่ยังไม่ถูกนะ


ไม่ใช่เฉพาะการหมดความโลภนะ ยังมีความโกรธ ความหลง
รวมทั้งหมดเรียกว่าตันหา
การที่ไม่รู้เท่าทันตันหาเรียกว่าอวิชชา คือความไม่รู้ ไม่รู้อริยสัจ

การ"หมดตันหา" แบบที่เราๆเข้าใจกันมาตลอด ไม่ใช่การดับตับหานะ

เปรียบเทียบว่า
เหมือนมีคนมาด่าเรา เราโกรธเป็นฝืนเป้นไฟ
แต่มาทราบความจริง รู้ความจริงว่า คนที่ด่าเรามันบ้า มันด่ากระทั่งเสาไฟ ด่าลม ด่าฟ้า
ความโกรธก็หายไปเลย
ตรงนี้ล่ะ ถามว่า"เราดับโกรธ" หรือ"โกรธมันดับ"

พิจารณาให้ดีจะพบว่า เราน่ะ เข้าใจว่า
หน้าที่คนดี ต่อความเลวนี่ เราต้อง สะกด-ระงับ-กำกับ-ดับลงไป-ให้ราบคาบ
ซึ่งไม่ใช่

เมื่อเราได้ฝึกฝนสติมากๆเข้า จึงเกิดเครื่องมือที่เรียกว่า "ภาวนามัยปัญญา"
คือรู้แจ้งหมดสิ้นในความจริงว่ามันไม่มีอะไร ผ่านมาผ่านไป
ดีชั่วก็ไม่เที่ยง ผ่านมาผ่านไป
ดีผ่านมา อุตส่าห์คว้าไว้ เหนื่อยแทบตาย สุดท้ายหายไปต่อหน้าต่อตา
ชั่วผ่านมา เกลียดแสนเกลียด ผลักยังไงก็ไม่ยอมไป พอผลักไม่ไหว เลยปล่อยมัน ก็ปรากฏว่าเลวก็ไม่เที่ยง
ผ่านไปเหมือนกัน

ดังที่พระอานนทืท่านว่า "สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น สิ่งนั้นย่อมดับลงไปเป็นธรรมดา"
นี่คือดีชั่วเสมอกันหมด เป็นปรากฏการณ์ของจิตเท่านั้นเอง

ปล. พยามจะให้ง่ายแล้วนะ ได้เท่าเนียะแหละ
ค่อยเก้บสะสมไป เดี๋ยวเข้าใจเอง อย่าใจร้อนฟันธงรีบยึดมั่นถือมั่นอะไรนะ


แก้ไขล่าสุดโดย ชาติสยาม เมื่อ 28 ต.ค. 2009, 17:14, แก้ไขแล้ว 4 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ต.ค. 2009, 18:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

ชาติสยาม เขียน:
เมื่อจิตไม่เป็นอกุศล ย่อมไ่ม่สามารถที่จะเกิดการคิดพูดทำในความเลวได้เลย
เป็นไปไม่ได้ที่จะผิดศีลเลย ก้ในเมื่อใจต้นกำเนิดนี่ มันเป้นคนดีซะแล้ว


สาธุครับ

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 09:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ต.ค. 2009, 07:23
โพสต์: 17

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณคุณชาติสยามมากๆ เลยครับ

อธิบายละเอียดมาก ผมเข้าใจแล้วครับ รักษาศีลที่ใจนี่เอง ผมจะพยายามทำให้ได้ครับ แต่ขอเอาไปใช้กับศีล 5 ก่อนแล้วกัน อย่างอื่นคงจะเกินกำลังของผม ยอมรับว่าทำไม่ด้แน่ครับ ศีล 5 คงจะพอได้นะ

ขอบคุณทุกๆ ท่านมากครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 10:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ม.ค. 2009, 20:45
โพสต์: 1094

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาสำหรับทุกท่านครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 23 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 127 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร