วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 03:17  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 78 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ย. 2009, 13:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมบรรยาย ตระหนักถึงการไม่ผูกมัดกันอยู่เสมอๆ โดยหลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต
ณ วัดร่มโพธิธรรม
....................................................................................................................................................
คัดจากหนังสือ สัจจะธรรม
พิมพ์ครั้งแรก กุมภาพันธ์ 2544
จำนวนพิมพ์ 3,000 เล่ม
ผู้เรียบเรียง นพ. ดิลก พูนสวัสดิ์

ตระหนักถึงการไม่ผูกมัดกันอยู่เสมอ ๆ

ฉะนั้นมันจะฉับพลันได้ก็เพราะอย่างนี้ ภาวะไหนก็ภาวะนั้นเลย อาการไหนก็อาการนั้นเลย ตระหนักถึงอาการของมันเองนั้นเลย ถึงการไม่ผูกมัดกันในอาการของมันเองนั้นแหละ มันก็ฉับพลัน ๆ ๆ ไม่เกี่ยวกับท่าทางไม่เกี่ยวกับการตั้งท่า เดี๋ยวนั้นเลย จะเอาอะไรไปตั้งท่าเอาเราไปค่อยตั้งท่าก็เราเข้าใจเสียเลยมันก็หมดท่าเสียเลย ก็อาการเรานั่นแหละเข้าใจอาการที่มันมีอยู่ตรง ๆ เลย ตรงแก่นแท้ของสัจจะธรรม เราเข้าใจถึงการไม่ผูกมัดกันในเราเอง มันก็ไร้เราเลย หมดเราเลย นั่นแหละคือการวางเรา
ฉะนั้นขาดไม่ได้ความเข้าใจที่ว่าให้สอดคล้องกับอิสรภาพในทุกธรรมชาติ ทุกอย่างมันก็ไม่ติดกันอยู่แล้ว มันไม่ยึดกันอยู่แล้ว เป็นเพียงแค่ปรากฏการณ์ที่มันเป็นไปตามธรรมชาติมันเท่านั้น มันเกิด มันมี มันเป็น ไปตามธรรมชาติของอาการนั้น ๆ แต่ไม่มีอาการไหนผูกมัดอาการไหนได้หรอก ความหลงก็หลงไม่ได้จริง หลงผูกมัดก็ไม่ได้จริง ไม่เชื่อก็ลองดู มันจะผูกอะไรได้บ้างไม่มีหรอก มันแค่ความหลงเข้าใจผิดไปเฉย ๆ จิตดวงนี้ไม่ใช่มันจะผูกอะไรเอาไว้ได้มัน ผูกไม่ได้จริงหรอก ก็แค่หลงไปเท่านั้น มันไม่มีสิ่งไหนผูกมัดสิ่งไหนจริง มันไม่มี จึงเรียกว่าอิสระกันอยู่แล้วในตัวของมันเอง หรือเรียกว่ามันไม่ยึดกันอยู่แล้วในตัวของมันเอง วางกันอยู่แล้ว หลุดพ้นกันอยู่แล้วในตัวของมันเอง

มีหัวข้ออื่นในวันต่อไป ขออนุโมทนา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2009, 08:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมบรรยาย สอดคล้องกับอิสรภาพในทุกธรรมชาติ โดยหลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต
ณ วัดร่มโพธิธรรม
....................................................................................................................................................
คัดจากหนังสือ สัจจะธรรม
พิมพ์ครั้งแรก กุมภาพันธ์ 2544
จำนวนพิมพ์ 3,000 เล่ม
ผู้เรียบเรียง นพ. ดิลก พูนสวัสดิ์

สอดคล้องกับอิสรภาพในทุกธรรมชาติ

ดังนั้นความเข้าใจตรงนี้มันต้องมีอยู่เรื่อย ๆ ท่ามกลางสถานะการณ์แห่งความรู้สึกสัมผัสทั้งหมดทั้งสิ้นในขบวนการอายตนะนี้ ความเข้าใจในทำนองนี้มันต้องมีอยู่เสมอเพื่อกันโมหะ กันความหลง กันความโง่ มันจะได้ไม่วกกลับมาโง่อีก มันถึงจะไม่เป็นตัวเป็นตนขึ้นมาได้เลย มันจะหมดตัวหมดตน คราวนี้ก็เลยมี่ต้องมัวไปหาอะไรให้ยุ่งยาก จะต้องทำใจแบบไหน จะต้องเพ่งหา จะต้องมองหาอะไร
ตรงไหน.....ไม่มีแล้ว จะเอาภาวะหลุดพ้นตรงไหน... ไม่มี ในตัวมันเองนั้นเลย ถ้ามันรู้สึกว่าตัวเองขึ้นมาก็ให้เข้าใจถึงการไม่ผูกมัดกันในความรู้สึกนั้น มันก็จะวางตัววางตนเสียในขณะนั้น ไม่ต้องไปคิดว่ามันจะหมดไปหรือมันจะมีอยู่ ไม่ต้องไปวิตกถึงจุดนั้น อันนี้จะมี อันนั้นจะเป็น อันนั้นจะเกิด อันนั้นจะไม่เกิดไม่ดับไม่ต้องไปวิตกมัน สภาพไหนก็สภาพนั้น อาการไหนก็อาการนั้นแหละ หมายถึงการไม่ผูกมัดกันในตัวของมันเอง ทุกอาการไปเลยอย่างนี้ล่ะ มันจะได้เป็นความสม่ำเสมอของจิตอย่างฉับพลัน
มันจะโปร่ง มันจะเบา ผ่อนคลายก็เพราะอย่างนี้จะถูกจะผิดก็ไม่ว่า แต่อย่าขาดความเข้าใจเด็ดขาด ถ้าขาดความเข้าใจมันจะถูกจริง ผิดจริง ถูกด้วยความหลง ผิดด้วยความหลง แต่ถ้าไม่ขาดความเข้าใจแล้วไร้การผูกมัดในถูในผิดเอง มันก็ไม่ถูกไม่ผิดแล้ว ไม่ดีไม่ชั่วในตัวมันเองไม่มีภาวะหลงผูกมัด ปรักปรำกับสภาพหนึ่งธรรมชาติใด แต่ถ้ามันขาดความเข้าใจเมื่อไรมันก็เรียบร้อยขณะนั้นล่ะ โง่เดี๋ยวนั้นเลย ถ้ามันเข้าใจอยู่ก็ไม่โง่ จะรู้สึกอะไรก็รู้สึกไป อาการไหนก็มีไป อารมณ์ไหน สภาพไหนก็มีไป ก็แค่เข้าใจถึงการไม่ผูกมัดกันในสภาพของมันเองอยู่เรื่อยๆ เข้า ก็หมดโง่ หมดหลงบอกแล้วมันมีล้านครั้งก็เข้าใจล้านครั้ง เข้าใจเรื่อย ๆ จนกระทั่งต่อเนื่องกันเป็นนิสัย สติปัญญาต่อเนื่องกันเป็นสมุทเฉทเด็ดขาด

มีหัวข้ออื่นในวันต่อไป ขออนุโมทนา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2009, 10:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


อนุโมทนาค่ะ :b8:

:b41: :b42: :b41: :b42: :b41:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2009, 07:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมบรรยาย ความเข้าใจที่ไม่ผูกมัดในความเข้าใจ โดยหลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต
ณ วัดร่มโพธิธรรม
....................................................................................................................................................
คัดจากหนังสือ สัจจะธรรม
พิมพ์ครั้งแรก กุมภาพันธ์ 2544
จำนวนพิมพ์ 3,000 เล่ม
ผู้เรียบเรียง นพ. ดิลก พูนสวัสดิ์

ความเข้าใจที่ไม่ผูกมัดในความเข้าใจ


ความเข้าใจในตัวมันเอง มันจะเผาตัวมันเอง ไม่ว่ากิเลสหรือธรรมะ ชนิดที่เป็นตัวเป็นตน เป็นนั่นเป็นนี่ทั้งนั้น มันจะถูกเผาหมด ปัจจัยของการเกิดก็คือโมหะจะเผาโมหะต้องหมายถึงความเข้าใจในตัวมันเอง ภาวะไหนก็จะเผาโมหะในภาวะนั้นเองให้มันชัด โมหะกับสภาพไหนก็เข้าใจตามที่สภาพนั้นมีเป็น เรียกว่า ความเข้าใจในตัวมันเองเผาโมหะในตัวมันเอง ถ้าเผาด้วยความเข้าใจมันจึงสิ้นเชื้อจริง แต่ต้องไม่ลืมเทคนิคที่ว่าการไม่ผูกมัดในสภาวะที่เข้าใจนั้น เข้าใจอย่างไรก็ไม่ผูกมัดท่ามกลางความเข้าใจอย่างนั้น อันนี้เป็นเทคนิคตามธรรมชาติ ก็จะหมดเชื้อเผาโมหะจนเกลี้ยง ให้เผาอย่างนี้อยู่เสมอ เผาแล้วดับ ดับแล้วก็เผาใหม่เผาไปเรื่อย ๆ ต่อให้มันหนาขนาดไหนก็จะหมดไม่เหลือ ความเข้าใจในตัวมันเองถ้าขาดเทคนิคของการไม่ผูกมัดกัน มันจะเป็นความเข้าใจที่ทนยาก เข้าใจแล้วยังอยู่ยาก เพราะมันขาดเทคนิค ความเข้าใจต้องประกอบด้วยความไม่ผูกมัดในความเข้าใจด้วยมันจึงจะทนง่ายขึ้น
จะแผ่วเบาขนาดไหนก็ต้องไม่ผูกมัดในสภาพที่แผ่วเบานั้นเลย มันจะได้ไม่ลิงโลด จะได้ไม่ตื่นตูม ดีใจ วันนี้จิตละเอียดมากจิตสบายจัง จริง ๆ แล้วมันก็แค่นั้นเองถ้ามันเบามันสบายก็ต้องตระหนักถึงความไม่ผูกมัดในความเบาความสบายนั้น มันจึงจะหมดเชื้อโมหะที่ครอบงำธรรมชาติเขา ธรรมชาติที่ไม่ติดใครไม่ยึดใครธรรมชาติที่ไม่ผูกมัดในธรรมชาติเอง แต่โมหะไม่เข้าใจ โมหะปิดบังไว้ต่างหาก
หนักก็หมายถึงไม่ผูกมัดกันในความหนักเองเบาก็หมายถึงไม่ผูกมัดกันในความเบาเอง วุ่นวายก็ไม่ผูกมัดในความวุ่นวายเอง ไม่ต้องไปหนีไปรู้ให้มันสิ้นเปลืองกำลัง ภาวะไหนก็หมายถึงความไม่ผูกมัดกันในภาวะนั้นเองมันจึงไร้มลทิน วิโมกธรรม ธรรมชาติจิตเกลี้ยง วุ่นวายก็เข้าใจกันแบบวุ่นวาย มันเป็นอะไรก็เข้าใจกันแบบนั้น อย่างนี้จึงจะไม่ทุกข์กับทุกข์ ไม่วุ่นวายกับความวุ่นวาย ไม่มีเหลือจะขนมามากมายขนาดไหนก็ตาม โทสะ โมหะ ราคะ ตัณหา อุปทาน ฟุ้งซ่าน หงุดหงิด รำคาญ ทิฐิมานะ สังขตะธรรมทั้งหลายทั้งปวงไม่มีเหลือ


อย่างนี้จึงจะอิสระท่ามกลางทุกธรรมชาติ อิสระในการไปการมา อิสระกับการอยู่ แม้บางครั้งการอยู่มันจะตึงไปบ้าง แต่ก็ยังอิสระ เพราะมันไม่ขาดเทคนิค เทคนิคแห่งจิตวิญญาณ ความแหลมคมในตัวมันเองจะก่อให้เกิดความลึกซึ้งในการเป็นการอยู่ ไม่มีสภาพไหนผูกมัดในสภาพไหน ไม่มีเลย ธาตุสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ
จิตธาตุ รูปธาตุ นามธาตุ มันก็สักแต่ว่าธาตุตามธรรมชาติแม้กระทั่งนามธาตุ ทุกอย่างอิสระอยู่แล้วในตัวของมันเองต้องนึกถึงตรงนี้ นึกถึงการไม่ผูกมัดกันในสภาพนี้แหละแม้แต่การนึกเองจะนึกก็นึกถึงการไม่ผูกมัดกันในการนึกเอง จะคิดก็ให้คิดถึงการไม่ผูกมัดกันในความคิดเองหมดไม่มีเหลือ จะสะสมมากี่ชาติมันจะเผาหมด เป็นอะไรเข้าใจตามที่เป็น มันจะไปได้สวยตามวิถีอริยมรรคาอันประเสริฐ เป็นทางสายกลางตามธรรมชาติอยู่แล้วในตัวของมันเอง ถ้าความเข้าใจถึงก็ถึงเลย ถึงซึ่งอริยมรรคเลย
จะเอาไฟเผาก็ยังไม่สิ้น แดดเผาทุกวัน ๆ ก็ยังไม่สิ้น ไหนเลยจะสู้ความเข้าใจในตัวมันเองได้ ความร้อนแห่งสติ สมาธิ ปัญญา พระกรรมฐาน นี้สามารถเผาผลาญโมหะ อวิชชา ตัณหา ให้มลายสิ้นไปได้อย่างฉับพลันๆ



มีหัวข้ออื่นในวันต่อไป ขออนุโมทนา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2009, 08:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมบรรยาย ไม่มีสภาวะไหนผูกมัดสภาวะไหนจริง โดยหลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต
ณ วัดร่มโพธิธรรม
....................................................................................................................................................
คัดจากหนังสือ สัจจะธรรม
พิมพ์ครั้งแรก กุมภาพันธ์ 2544
จำนวนพิมพ์ 3,000 เล่ม
ผู้เรียบเรียง นพ. ดิลก พูนสวัสดิ์

ไม่มีสภาวะไหนผูกมัดสภาวะไหนจริง

ร้อนไม่ผูกมัดในความร้อนเอง เย็นไม่ผูกมัดในความเย็นเอง หนาวไม่ผูกมัดในความหนาวเอง ตระหนักอย่างนี้ไปอยู่เสมอ ๆ จะอยู่สภาพไหนก็ตามที ที่ทนไม่ได้ก็จะเริ่มทนได้เอง ที่ทนยากจะเริ่มทนง่ายขึ้น จะได้แกร่งกับทุกสภาวะ ทุกสภาวการณ์ จิตแกร่งไม่หวั่นไหวเป็นตบะธรรม คือไม่มีความลังเลในตัวมันเอง ถ้าตระหนักถึงความไม่ผูกมัดกันในตัวมันเองแล้วมันจะไม่มีความลังเลในตัวมันเอง ไม่ว่าจะด้วยอย่างไรทั้งนั้น จะหมดความลังเลในตัวมันเอง
มันจะวุ่นวายขนาดไหนก็ไม่ต้องไปทำอะไรกับมันหรอก แค่ตระหนักถึงการไม่ผูกมัดกันในความวุ่นวายนั้นมันก็จะเกิดดับไปตามธรรมชาติมัน มันจะมีอาการนั้นอาการนี้ไปบ้าง มันจะเผลอไม่เผลอ ก็ไม่ต้องไปทำอะไรมัน ก็ตระหนักถึงการไม่ผูกมัดกันในสภาพของมัน จะเผลอไม่เผลอก็จบเดี๋ยวนั้นเลย ถ้าเผลอไปแล้วจะมาวิตกกังวลว่าเผลอไปแล้ว ไม่ต่อเนื่อง ก็ยิ่งเผลอหนักเลย เผลอสำคัญว่าตัวเองเผลอ จังหวะสอง จังหวะสามไปเรื่อยถึงไม่เผลออยู่ รู้อยู่ เข้าใจอยู่ แต่ไม่ตระหนักถึงความไม่ผูกมัดกันในสภาพมันเอง มันก็ยึดอยู่ ยึดตัวไม่เผลอ แต่ก็เผลอ เผลอยึด จะเผลอหรือไม่เผลอก็ตามที ก็ต้อง หมายถึง การไม่ผูกมัดกันในสภาพนั้นเอง จบเดี๋ยวนั้นเลย พ้นจากการเป็นทาสตัณหา อุปทาน เสียเดี๋ยวนั้นเลย
จิตมันจะไปไกลใหญ่โต คิดไปมากเรื่องมากราวหลายอย่าง คิดตั้งท่าจะดึงมันกลับมา ของไม่มีตัวตนจิตมันจะไปไกลหรือใกล้ก็ให้เข้าใจถึงการไม่ผูกมัดกันในสภาพที่ไปนั้นที่มีอยู่นั้น เท่านั้นล่ะจบ จบแบบดุษฎี ไม่ใช่แบบมีเราจบ แบบนั้นมันไม่จบนะ อ้าว! ดึงจิตมันกลับมาแล้ว อยู่แล้ว เปล่ายังไม่อยู่ ยังดิ้นอยู่ มันยังมีตัวตนดิ้นอยู่
ธรรมะสัจจะอันนี้มันไม่มีอะไรขวางได้นะไม่มีโมหะ ตระกูลไหน ประเภทไหน ต่อให้หนาขนาดไหนมันไม่สามารถจะขวางธรรมะสัจจะประเภทนี้ได้ โมหะก็ หมายถึงการไม่ผูกมัดกันในโมหะเอง สภาพนั้นเองก็หมายถึงการไม่ผูกมัดกันในสภาพนั้นเอง ไม่มีอะไรขวางได้สำหรับผู้มุ่งพระนิพพาน ความที่ไม่มีทุกข์กับทุกข์แทนที่จะเดือดร้อน วันนี้ความโกรธเกิดมาก วันนี้อยากมากไปหมด วันนี้ราคะมาก แทนที่จะไปวิตกกังวล ไม่ต้องเลย ไอ้ที่มาก ๆ นะให้นึกถึงการไม่ผูกมัดกันในตัวมากมันเองเดี๋ยวมันก็หมดมากเอง


มีหัวข้ออื่นในวันต่อไป ขออนุโมทนา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ย. 2009, 07:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมบรรยาย เข้าสู่เอกภาพแห่งจิตญาณ โดยหลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต
ณ วัดร่มโพธิธรรม
....................................................................................................................................................
คัดจากหนังสือ สัจจะธรรม
พิมพ์ครั้งแรก กุมภาพันธ์ 2544
จำนวนพิมพ์ 3,000 เล่ม
ผู้เรียบเรียง นพ. ดิลก พูนสวัสดิ์

เข้าสู่เอกภาพแห่งจิตญาณ


โอ๊ยวันนี้ฟุ้งซ่านทั้งวันเลย โอ๊ยวันนี้ยังไม่ได้ปฏิบัติเลย ไม่ต้องไปวิตกให้มันยุ่งยาก ไม่ต้องคอยตั้งท่าตั้งทาง ฉับพลันเดี๋ยวนั้นเลย ให้ระลึกถึงการไม่ผูกมัดกันในตัวมันเอง เดี๋ยวนั้นล่ะพ้นเดี๋ยวนั้น หลุดเดี๋ยวนั้น ตทังควิมุตไปเรื่อย ๆ
จนกระทั่งสมุทเฉทวิมุติ มันจะค่อยผันไปเรื่อย ๆ ตามลำดับแห่งความเข้าใจที่ตระหนักถึงแก่นสาระแห่งธรรมนั้น จนกระทั่งสม่ำเสมอๆๆ สมุทเฉทเลยสิ้นเชิง
มันไม่พอให้โง่หรอก มันไม่พอให้หลงหรอก ขอให้นึกถึงอิสรภาพตามธรรมชาติเขา สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ที่มันไม่ผูกมัดกันอยู่แล้วในธรรมชาติของมันเอง ขอให้นึกถึงอยู่เสมอ มันจะไม่เขลาเบาปัญญา มันไม่อดหรอกปัญญา ไม่ต้องกลัวจะไม่ได้หรอกปัญญา ถ้าได้จะเอาไปไหนจะแบกไว้เหรอ อะไรๆ ก็ต้องวางตามธรรมชาติมันหมด ต้องเข้าใจถึงการวางตามธรรมชาติมันหมด อะไรๆ ก็ต้องเข้าใจถึงการไม่ผูกมัดกันตามธรรมชาติหมด ถึงจะมีอะไรหรือไม่มีอะไรก็ต้องเข้าใจถึงการไม่ผูกมัดกันตามธรรมชาติหมด อะไรๆ ก็ปัญญาในตัวมันเองหมด ไม่ว่าจะเป็น ก้อนหิน ก้อนกรวด ก้อนทราย ต้นไม้ ใบหญ้า ทุกอณูโลกธาตุ โลกธรรมปัญญาในตัวมันเองหมด สติ สมาธิ ก็ในตัวมันเองหมด เข้าใจถึงการไม่ผูกมัดในตัวมันเองนั้น

มีหัวอื่นในวันต่อไป ขออนุโมทนา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ย. 2009, 08:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมบรรยาย ความหลุดพ้นตามธรรมชาติ โดยหลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต
ณ วัดร่มโพธิธรรม
....................................................................................................................................................
คัดจากหนังสือ สัจจะธรรม
พิมพ์ครั้งแรก กุมภาพันธ์ 2544
จำนวนพิมพ์ 3,000 เล่ม
ผู้เรียบเรียง นพ. ดิลก พูนสวัสดิ์

ความหลุดพ้นตามธรรมชาติ

วันนี้ไปทำงาน ทำงานทุกวันๆ ก็สติในการทำงานนั้นล่ะ สติในตัวมันเอง หลุดพ้นในการทำงานนั้นล่ะ ไม่ต้องมัวนึกถึงห้องกรรมฐานที่ไหนให้ยุ่งยากเลย หลุดพ้นในงานนั้นเลย นึกถึงการไม่ผูกมัดในสภาพของมันเองนั้น โอ๊ย! วันนี้ทำงานเหนื่อยนั่งพักเอาแรงสักหน่อยบำเพ็ญกรรมฐานดี ๆ สักหน่อย อย่างนี้เรียกว่าเป็นคนเสียโอกาส ก็เลยต้องหาโอกาส ในตัวมันเองนั้นเลย ในขณะนั้นเลย จึงจะไม่เป็นผู้ที่ด้อยโอกาสไม่เสียโอกาสจะตีตะปู เลื่อยไม้ ฟันไม้ ก็ในตัวมันเองเลย สติสมาธิปัญญาในการตีตะปูนั้นเลย ถูกมือบ้างถูกตะปูบ้างก็ไม่เป็นไร เพราะมันไม่ผูกมัด ความเข้าใจมันหล่อหลอมจิตธาตุไม่อาจแตกสลายได้ ความเข้าใจถึงการไม่ผูกมัดกันในตัวของมันเองทำให้เกิดการหล่อหลอมสู่ความเป็นเอกภาพแห่งจิตธาตุดวงนี้ มันจะแตกสลายด้วยสิ่งใดเล่ามันไม่มีเหตุปัจจัย เพราะว่าสร้างเหตุปัจจัยที่ดีงามเอาไว้ถูก สร้างเหตุปัจจัยของความเป็นเอกภาพแห่งจิตญาณเอาไว้ ก็เลยไม่มีสิ่งใดที่จะไปทำให้จิตญาณนี้มันแตกสลายขอให้เสมอ ๆ ทีอย่างอื่นยังเสมอ ๆ ได้ ความเข้าใจกันในสภาพตัวมันเองก็ต้องเสมอๆ เช่นเดียวกัน ปัญญาก็ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นล่ะคือปัญญา อะไร ๆ ก็ปัญญา ในตัวมันเองหมด อย่าไปค้นหาปัญญาเดี๋ยวมันจะเลยปัญญา
หลุดพ้นก็ในตัวมันเองหมดอย่าไปค้นหาความหลุดพ้น เดี๋ยวมันจะเลยความหลุดพ้น นี่ล่ะความหลุดพ้นตามธรรมชาติที่ประกอบไปด้วยปัญญา ไม่ต้องไปเที่ยวค้นหา มันหลุดพ้นกันอยู่แล้วในตัวมันเอง มันพ้นอยู่แล้วในตัวมันเองนั้น ขอให้เข้าใจถึงการไม่ผูกมัดกันอยู่แล้วในตัวมันเองนั้น ไม่งั้นเดี๋ยวมันจะด้อยโอกาสถ้ารู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็คือ อยู่ในตัวมันเองอยู่แล้ว อย่างนี้นะมันก็คือทุกโอกาสเลย คือมีโอกาสอยู่ทุกขณะ ทุกขณะคือโอกาสหมด มีโอกาสอยู่แล้ว รู้เข้าใจไปตามนั้นสภาพนั้น แล้วรับรองได้เลยว่าจะไม่เป็นบุคคลที่รู้สึกว่าตัวเองด้อยโอกาสในการปฏิบัติ บำเพ็ญเพียรสภาวะไหนก็สภาวะนั้นเลย เข้าใจกันในสภาพที่มีอยู่นั้นเลย สภาวะไหนก็สภาวะนั้น นึกถึงการไม่ผูกมัดกันในสภาวะที่เป็นอยู่นั้นเลย ไม่ต้องไปมุ่งหาที่ไหนแล้ว ในสภาพที่กำลังมีอยู่เป็นอยู่นั้น แต่ละขณะของความรู้สึกทั้งหลายนั้นเลย สภาพจิตสภาพใจที่มีอยู่นั้นเลย สภาพอายตนะ ผัสสะ ที่มันมีอยู่นั้นเลย ไม่ต้องไปหาที่ไหนแล้ว ตามสภาพที่มันเกิด มีอยู่เป็นอยู่นั้นแหละ มันอยู่กับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรานั้นแหละ ไม่ต้องไปค้นหา เข้าใจที่ใดได้ก็เข้าใจที่นั้นไม่ต้องไปตั้งท่าให้ยุ่งยาก เข้าใจกันได้อย่างไรก็เข้าใจอย่างนั้นเลยเข้าใจตามอาการที่มีอยู่นั้นแหละ เมื่อตระหนักถึงความไม่ผูกมัดกันอย่างลึกซึ้ง ก็จะซึ้งในความโปร่ง ความเบาตามธรรมชาติ ความพ้นตามธรรมชาติเอง

จบบริบูรณ์

ขอให้เพื่อนๆสมาชิกและบุคคลทั้งหลายนี้มีส่วนในความ ไม่ติด ไม่ขัด ไม่ข้อง ไม่คา แจ่มแจ้งในสัจธรรม ลุล่วงพ้นทุกข์ ตามองค์พุทธะ พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ หลวงพ่อโพธิศรีสุริยะ เขมรโต นั่นเทอญ
ขออนุโมทนา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2009, 12:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอเชิญฟังสนทนาธรรมออนไลน์ ผ่าโลก ผ่าธรรม จบโลกจบธรรม จบกรรม จบการปฏิบัติ
โดยหลวงพ่อโพธิศรีสุริยะ เขมรโต วัดร่มโพธิธรรม ที่ท่านได้เฉลย ไขข้อข้องใจ ให้แก่เหล่าบรรดาลูกศิษย์ภายในวัด พระสงฆ์จากวัดสวนโมกข์ และบุคคลอื่นฯที่เข้าไปเรียนถามธรรมะ

http://audio.palungjit.com/f29/สัจธรรม-ธรรมะบรรลุฉับพลัน-3964.html#post14499

ขอให้ทุกท่านมีส่วนในความ ไม่ติด ไม่ขัด ไม่ข้อง ไม่คา แจ่มแจ้งในสัจธรรม ลุล่วงพ้นทุกข์ ตามองค์พุทธะ พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ หลวงพ่อโพธิศรีสุริยะ เขมรโต นั่นเทอญ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ย. 2009, 12:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอเชิญฟังสนทนาธรรมออนไลน์ ผ่าโลก ผ่าธรรม จบโลกจบธรรม จบกรรม จบการปฏิบัติ
โดยหลวงพ่อโพธิศรีสุริยะ เขมรโต วัดร่มโพธิธรรม ที่ท่านได้เฉลย ไขข้อข้องใจ ให้แก่เหล่าบรรดาลูกศิษย์ภายใน และบุคคลอื่นฯที่เข้าไปเรียนถามธรรมะ บาป-บุญ ตายแล้วไปไหน ฯ ที่เป็นข้อสงสัยของหลายท่าน
http://audio.palungjit.com/f68/ธรรมเพื่อความหลุดพ้น-บรรลุฉับพลันครับ-3956.html

ขอให้ทุกๆท่านมีส่วนในความ ไม่ติด ไม่ขัด ไม่ข้อง ไม่คา แจ่มแจ้งในสัจธรรม ลุล่วงพ้นทุกข์ ตามองค์พุทธะ พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ หลวงพ่อโพธิศรีสุริยะ เขมรโต นั่นเทอญ

ขออนุโมทนา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ย. 2009, 15:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คำขอขมาอโหสิกรรม
(การขอขมาอโหสิกรรมเป็นประเพณีของพระอริยะ ในการเปิดบารมี ไม่ให้ปิดกั้นในการบรรลุธรรม)

ตั้งนะโม ๓ จบ

"ด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่ข้าพเจ้าได้ประมาทพลาดพลั้งละเมิดล่วงเกิน

ปฏิฆะปรามาส ลบหลู่ ดูหมิ่น ต่อองค์คุณเบื้องสูง คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์คุณบิดามารดา คุณครูบาอาจารย์ ทุกภพทุกชาติ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ทุกพุทธันดรพระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันตเจ้า พระมหาโพธิสัตว์เจ้า พระโพธิสัตว์เจ้าพระเดชพระคุณหลวงพ่อโพธิศรีสุริยะ เขมรโต องค์ในกายทิพย์ พรหมเทพทุกองค์ เทพไท้ เทวาเบื้องบนถึงที่สุด ท่ามกลางถึงที่สุด เบื้องล่างถึงที่สุด ผู้ประพฤติปฏิบัติธรรม ทุกรูป ทุกนามทุกดวงจิตดวงวิญญาณ มนุษย์ อมนุษย์ ทั้งหลาย ไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ ซึ่งข้าพเจ้าได้เคยล่วงเกินไว้ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ในทุกภพ ทุกชาติ ทุกกัลป์ ทุกกัป ทุกพุทธันดรกราบขอขมาลาโทษ ขอขมากรรม โดยมีพระเดชพระคุณหลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต ทรงเป็นประธานโปรดเมตตา อโหสิกรรม ให้กรรมทั้งหลายเป็นโมฆะกรรม เพื่อความไม่ติดขัดในดวงใจ ลุล่วงพ้นทุกข์ตามพุทธประสงค์ ตรงต่อพระนิพพาน ในชาติปัจจุบันกาลนี้ด้วยเถิด สาธุ


แก้ไขล่าสุดโดย yodchaw เมื่อ 27 ธ.ค. 2009, 16:40, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ย. 2009, 22:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอเชิญชมภาพ หลงพ่อโพธิศรีสุริยะ เขมรโต วัดร่มโพธิธรรม ณ ไปที่ประเทศอินเดีย ภาพดี วิวสวยๆ เพลงไพเราะ ที่หาดูหาชมได้ยาก
http://www.rombodhidharma.com/Pg-03-Act ... A2552.html


ขออนุโมทนา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2009, 09:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คำกรวดน้ำ อุทิศบารมี
ด้วยเมตตาจิตที่ดี ๆ
ยกน้ำขึ้น แล้วอธิษฐานจิต โดยขอน้อมในคุณองค์พุทธะ พระอรหันต์ พ่อแม่ ครูอาจารย์
เทน้ำลงบนพื้นดินหรือปูน (ไม่จำเป็นต้องมีต้นไม้)

"ด้วยเดชแห่งบุญบารมี ที่ข้าพเจ้าได้สั่งสมมา ทุกภพทุกชาติ ขออุทิศบุญบารมีนี้ ให้ทุกดวงจิต ดวงวิญญาณ มนุษย์ อมนุษย์ ทั้งหลาย ไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ
เจ้ากรรม นายเวร ทุกภพทุกชาติ จงมีส่วนร่วมในบุญบารมีนี้
ไม่ติด ไม่ขัด ไม่ข้อง ไม่คา ลุล่วงพ้นทุกข์ ตามองค์พุทธะ พระอรหันต์
และขอ-อโหสิกรรม-ซึ่งกันและกันด้วยเทอญ"

*** หมายเหตุ: การอุทิศบารมีทำได้ ทุกวัน ทุกเวลา โดยไม่ต้องทำบุญก่อนก็ได้
สามารถน้อมบุญดี กรรมดี ที่สั่งสมมาทุกภพทุกชาติ อุทิศได้เลย ถ้ามีการทำบุญก่อนก็ยิ่งเป็นการดี ***
ขออนุโมทนา วัดร่มโพธิธรรม บ้านหลัก 160 กิ่งอำเภอหนองหิน จังหวัดเลย 42190


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2009, 16:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอเชิญดาวโหลด ฟังธรรม หลวงพ่อโพธิศรีสุริยะ เขมรโต แบบ Update รายเดือน ได้ที่นี่
http://audio.palungjit.com/f2/%E0%B8%9E ... -3967.html
ขออนุโมทนา


แก้ไขล่าสุดโดย yodchaw เมื่อ 07 ธ.ค. 2009, 16:53, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ธ.ค. 2009, 15:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คำชี้แจงก่อนศึกษาธรรมเทศนาของหลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต

เกี่ยวกับการศึกษาพระธรรมเทศนาของหลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโตนั้นมีเรื่องที่จะต้องทราบกันเสียก่อนในเบื้องต้นอยู่ 2 ข้อ

ข้อแรก ธรรมเทศนานี้จะไม่เป็นที่เข้าใจได้สำหรับผู้ฟังที่ยังไม่เคยศึกษาทางพุทธศาสนามาก่อนเลย, ธรรมเทศนานี้ต้องไม่เป็นครั้งแรกในการรับฟังเทศน์ธรรมะสำหรับผู้ริเริ่มการศึกษาพุทธศาสนา. อย่างน้อยที่สุดผู้ที่จะฟังธรรมะนี้ แม้จะไม่เคยฟังหรืออ่านหนังสือของทางฝ่ายมหายานมาบ้าง ก็ควรจะได้เคยศึกษาศึกษาหลักแห่งพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทมาบ้างพอสมควรแล้ว จนถึงกับ จับใจความได้อย่างใดอย่างหนึ่งว่า พุทธศาสนาที่ตนศึกษาแล้วนั้นมีหลักอย่างไร หรือวิธีปฏิบัติอย่างไรจึงจะพ้นทุกข์ได้ โดยเฉพาะ. และอีกทางหนึ่งสำหรับ.ผู้ที่เคยศึกษาแต่ฝ่ายเถรวาทมาอย่างเคร่งครัด และยังแถมยึดถือทิฏฐิอย่างใดอย่างหนึ่งไว้อย่างเหนียวแน่นนั้น อาจจะมองไปเห็นว่าธรรมเทศนานี้เป็นธรรมะที่ผิดหลักพระพุทธศาสนาเป็นมิจฉาทิฏฐิ หรือเป็นสิ่งที่น่าอันตรายไปอย่างยิ่ง ไปก็ได้. ทั้งนี้ เพราะเหตุที่ หลักคิด และ แนวปฏิบัติ เดินกันคนละแนว เหมือนการเดินของคนที่เดินตามทางใหญ่ที่อ้อมค้อม กับคนที่เดินทางลัด หรือถึงกับดำดินไปผุดขึ้นในที่ที่ตนต้องการจะให้ไปถึงเสียเลย ฉันใดฉันนั้น.

ข้อที่สอง ผู้ที่ฟังธรรมเทศนานี้ด้วยความสนใจ ควรทราบไว้เสียก่อนว่า หลักธรรมตามแนวหลวงพ่อโพธิ์สุริยะ เขมรโตนี้ นอกจากจะเป็นวิธีการที่ลัดสั้นแล้ว ยังเป็นวิธีปฏิบัติที่อิงหลักธรรมชาติทางจิตใจของคนทั่วไป แม้ที่ไม่รู้หนังสือ หรือไม่เข้าใจพิธีรีตองต่างๆ จึงเป็นเหตุให้แนวการสอนแบบนี้ถูกขนานนามว่า ธรรมบรรลุฉับพลัน หรืออะไรอื่นทำนองนี้อีกมากมาย. ที่จริง ผู้ที่ฟังธรรมะนี้ ควรจะได้รับการชักชวนให้ลืมอะไรต่างๆที่เคยยึดถือไว้แต่ก่อนให้หมดสิ้นเสียก่อน จึงจะเป็นการง่ายในการฟังและเข้าใจ; โดยเฉพาะก็คือ ให้ลืมพระไตรปิฎก ลืมระเบียบพิธีต่างๆทางพุทธศาสนา ลืมความคิดดิ่งๆด้านเดียว ที่ตนเคยยึดถือ กระทั่งลืมความเป็นพุทธบริษัทของตนเสีย คงเอาไว้แต่ใจล้วนๆของมนุษย์ ซึ่งไม่จำกัดว่าชาติใดภาษาใด หรือถือศาสนาไหน เป็นใจซึ่งกำลังทำการคิดเพื่อแก้ปัญหาที่ว่า "ทำอย่างไร จิตของมนุษย์ทุกคนในลักษณะที่เป็นสากลนี้ จักหลุดพ้นจากความบีบคั้นหุ้มห่อพัวพันได้โดยสิ้นเชิง?" เท่านั้น.

การทำเช่นนี้จักเป็นประโยชน์อย่างสูงแก่ผู้ฟัง ในการที่จะได้ทราบอย่างชัดแจ้งถึง ความแตกต่างระหว่างพุทธศาสนาในขอบเขตของคัมภีร์ กับพุทธศาสนาซึ่งอยู่เหนือคัมภีร์; พุทธศาสนาที่อิงอยู่กับพิธีรีตองต่าง ๆ กับพุทธศาสนาที่เป็นอิสระตามธรรมชาติ และเดินตามหลักธรรมชาติ; พุทธศาสนาที่ให้เชื่อก่อนทำ กับพุทธศาสนาที่ให้ลองทำก่อนเชื่อ; พุทธศาสนาในฐานะที่เป็นวรรณคดี กับพุทธศาสนาประยุกต์; และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระหว่างพุทธศาสนาที่ใช้ได้แต่กับคนบางคน กับพุทธศาสนาที่อาจใช้ให้สำเร็จประโยชน์ได้แก่บุคคลทุกคนแม้ที่ไม่รู้หนังสือ ขอเพียงแต่ให้มีสติปัญญาตามปรกติสามัญมนุษย์เท่านั้น ผู้ที่ได้ทราบเช่นนี้แล้วจะได้รับพุทธศาสนาชนิดที่ปฏิบัติได้จริง ตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติมาปฏิบัติอย่างเหลือเฟือ และลัดดิ่งไปสู่สิ่งที่จะให้เกิดความอิ่ม ความพอ ได้โดยเร็ว ถ้ามิฉะนั้นแล้ว เขาก็จะเป็นตัวหนอนที่มัวแต่กัดแทะหนังสือ หรือเป็นนักก่อการทะเลาะวิวาทตามทางปรัชญา ไปตามเดิมแต่อย่างเดียว.

ผู้ฟังจะสังเกตเห็นได้เองเมื่อฟังในตอนแรก ๆ ว่า ธรรมเทศนานี้ เป็นธรรมะที่บรรจุไว้ด้วยประโยคที่ง่าย ๆ แต่ไม่สามารถฟังให้เข้าใจได้ง่าย ๆ ภายในการฟังครั้งเดียวหรือสองสามครั้ง เพราะเหตุว่าเรื่องการทำใจให้หลุดพ้นซากทุกข์จริง ๆ นั้น ไม่ใช่ของง่ายเลย. แต่เป็นสิ่งที่น่าแปลกประหลาดอย่างยิ่งว่า ถ้าฟังไปจนเข้าใจแล้ว จะพบว่าทั้งที่มันเข้าใจยากมาก ก็ยังอาจเป็นที่เข้าใจได้ แม้แต่ผู้ที่ไม่รู้หนังสือ หรือไม่เคยศึกษาพระไตรปิฎกมาก่อนอยู่นั่นเอง และทั้งไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากสิ่งที่มนุษย์ควรรู้และอาจรู้ได้โดยไม่เหลือวิสัย ธรรมะทุกประโยคชี้บทเรียนไปที่ตัวชีวิตนั่นเอง และได้ถือเอาความพลิกแพลงแห่งกลไกในตัวชีวิต โดยเฉพาะคือจิต ซึ่งเป็นโจทย์เลขหรือปัญหาที่ต้องตีให้แตกกระจายไป และจบสิ้นกันเพียงเท่านั้น คือเท่าที่จำเป็นจริง ๆ ไม่มีปัญญาเหลือเฟือชนิดที่ตีปัญหาโลกแตก ที่ชอบถกเถียงกันในหมู่บุคคล ที่อ้างตัวว่าเป็นพุทธบริษัทอันเคร่งครัดเท่านั้นเลย.

อย่างไรก็ตาม ธรรมเทศนาของหลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะนี้เนื่องจากเป็นการเทศน์ในหลาย ๆ วาระ อาจจะไม่ตรงกับปัญหา สภาวะธรรมหรือการติด-ขัด-ข้อง-คาในการปฎิบัติของผู้ฟังที่ประสบอยู่ในขณะนี้ ดังนั้นผู้ฟังจะต้องเลือกเก็บใจความที่เป็นหลักธรรมต่าง ๆ เอาจากธรรมเทศนาเหล่านั้นที่กระผมแนะนำไป,คือ ผู้ฟังจะต้องทำการขุดเพชรในหินด้วยตนเอง


--------------------------------------------------------------------------------

ธรรมะเทศนาของหลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะนี้ แม้ดูจะคล้ายไปทางฝ่ายมหายานก็จริง แต่หาใช่มหายานชนิดที่ชาวไทยเราได้เคยได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง หรือเข้าใจกันอยู่โดยมากไม่; มหายานที่เราเคยได้เห็นได้ยินได้ฟังกันอยู่เป็นปรกตินั้น ก็เป็นชนิดที่เกี่ยวเนื่องติดแน่นกันอยู่กับพระไตรปิฎกและพิธีรีตองต่าง ๆ และไหลเลื่อนไปในทางเป็นของขลังและของศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน.

ส่วนใจความของธรรมเทศนาของหลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโตนี้ไม่เกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้น คงเป็นไปแต่ในทางปฏิบัติธรรมทางใจโดยอาศัยปัญญาเป็นใหญ่หรือที่เราเรียกกันว่า วิปัสสนาธุระล้วน ๆ และทั้งเป็นแบบหนึ่งของตนเองซึ่งไม่ซ้ำใคร เพราะมุ่งหมายจะให้เป็นวิธีลัดสั้นที่สุด ดังกล่าวแล้ว.

เพราะฉะนั้นผู้ที่เคยตั้งข้อรังเกียจต่อวิธีการสอนแบบทางฝ่ายมหายาน และมีความยึดมั่นมาก จนถึงกับพอเอ่ยชื่อว่า มหายานแล้ว ก็ส่ายหน้าดูถูกเหยียดหยาม ไม่อยากฟังเอาเสียทีเดียวนั้น ควรทำใจเสียใหม่ในการที่จะฟังธรรมเทศนานี้ ซึ่งจะทำให้ท่านเกิดความรู้สึกอันตรงกันข้ามจากที่แล้ว ๆ มา และเกิดความคิดใหม่ขึ้นมาแทนว่า การตั้งข้อรังเกียจเดิม ๆ ของตนนั้นมันมากและโง่เกินไป.

เมื่อกล่าวโดยหลักกว้างๆ แล้ว แนวการสอนของหลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโตนี้เป็นวิธีลัดที่พุ่งแรงวิธีหนึ่ง อย่างน่าพิศวง ถ้าจะชี้ให้เห็นกันง่ายๆ ว่า แนวการสอนนี้มีหลักหรือวิธีการอย่างใดแล้ว ก็ต้องชี้ไปในทางที่จะวางหลักสั้นๆ ว่า "เข้าใจให้ตรงกับเนื้อหาพระพุทธะอรหันต์ก็จะเลิกหลงไปเอง" ซึ่งจะเป็นการเข้าถึงความคิดของพระอริยะเจ้าขึ้นมาเอง. ฉะนั้นแนวการสอนนี้จึงเรียกถูกเรียกว่า "ธรรมบรรลุฉับพลัน" ซึ่งหมายความว่า จะทำให้ผู้ปฏิบัติตามวิธีลัดนี้ให้บรรลุธรรมได้อย่างฉับพลันโดยไม่มีพิธีรีตอง.

การจะฟังธรรมให้ได้ผลในวิธีฉับพลันนั้น ท่านควรไปรับฟังธรรมต่อหน้าหลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะนั้น ก็เพราะจะทำให้ผู้ฟังได้เข้าใจในวิธีการปฏิบัติของหลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะได้เป็นอย่างดี. จากข้อความทั้งหมดนั้น ผู้ฟังจะได้ความรู้ที่แน่นอนข้อหนึ่งว่า วิธีการที่ "ฉับพลัน" นั้น ย่อมขึ้นอยู่แก่ความช่วยเหลือของอาจารย์ หรือผู้ควบคุมที่สามารถจริงๆเป็นส่วนใหญ่. เพราะตามธรรมดาแล้ว "การเขี่ยให้ถูกจุด" นั่นแหละ เป็นความสำเร็จที่ฉับพลันเหนือความสำเร็จทั้งปวง. ถ้ามีความจำเป็นถึงขนาดที่จะต้องให้ตัวเองเป็นอาจารย์ตัวเองแล้ว ขอจงได้พยายามศึกษาและจับใจความสำคัญแห่งข้อความนั้นๆ ให้ได้ของจริงๆ จงทุกๆคนเถิด.

ธรรมะนั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่าเรื่องของคนเราๆ ทุกๆ คน. เพราะมัวไปยกขึ้นให้สูง เป็นเรื่องคัมภีร์หรือของศักดิ์สิทธิ์ไปเสียท่าเดียว ก็เลยกลายเป็นเรื่องพ้นวิสัยของคนไป หลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ ท่านมีความมุ่งหมายให้ธรรมะนั้นกลับมาเป็นเรื่องของคนธรรมดาสามัญแม้ที่ไม่รู้หนังสือ. เพื่อประโยชน์แก่คนตามความหมายของคำว่า "มหายาน" หวังว่าผู้ที่คิดกรุ่นอยู่ในใจเสมอว่า ตนเป็นคนฉลาดเพราะรู้หนังสือดีนั้น จักได้ทำตนให้เป็นบุคคลที่ไม่เสียเปรียบผู้ที่ไม่รู้หนังสือได้คนหนึ่งเป็นแน่ สรุปก็คือ อย่าทำตัวให้เป็นชาล้นถ้วยนั้นเอง

นายสรกฤช กมลชัย
10 เมษายน 2551


ขออนุโมทนา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2009, 12:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นิพพานอยู่แล้ว

โดย... หลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต วัดร่มโพธิธรรม จังหวัดเลย

ไม่ใช่การคอยติด การคอยหลุดอยู่แล้ว นั่นแหละ “ไม่อยู่แล้ว” มันก็ไม่ของมันเอง ไม่วุ่นวายไปเอง ไม่ยุ่งของมันไปเอง ไม่หลงจริง ไม่หลงเท็จไปเสียเอง ก็คือไม่อยู่แล้ว จะใช่ ไม่ใช่ ตัดทิ้งไปเลย ไม่ต้องไปค้นหา อะไร เป็นอะไร ก็ตัดทิ้งไปเลย ไม่ต้องไปถามหา มันก็ไม่เป็นเหตุ เป็นผลของมันอีก จบเลย ไม่ใช่เป็นการคอยติด คอยหลุดอะไร ไม่ใช่ จบเลย ไม่ต้องไปคอยปรับปรุง คอยเปลี่ยนแปลง ไปแก้ไขแบบไหน อย่างไร ไม่ต้อง เพราะฉะนั้นที่มีกายธาตุ จิตธาตุ มีแบบไม่ยึดติดอยู่แล้ว ไม่ใช่สิ่งยึดติดอยู่แล้ว มันไม่ยึด มันไม่ติด อยู่แล้ว



ธรรมชาติที่มันไม่ยึดอยู่แล้ว ก็สมดุลโดยธรรมชาติของมัน ไม่ไปมัวคอยหลง คอยต่อ คอยเสริม ไปเพิ่มอะไรให้มันยุ่งไปเสียเอง มันก็ไม่อยู่แล้วทั้งหมด มันไม่ใช่การยึดติดอยู่แล้ว ถึงจะมี ถึงจะเป็น มันก็เป็นแบบไม่ยึด ไม่ติดอยู่แล้ว อนิจจังอยู่แล้ว ไม่ใช่การยึดติดอยู่แล้ว มันไม่ใช่ที่ความสาละวนเข้าไปคอยเพิ่ม หรือไปคอยลด-คอยเพิ่ม มันเป็นความหลงสาละวน หรือว่าหลง หลงสาละวนไปเอง



ไม่รู้ว่าตรงต่อไม่ตลอด ตรงต่อความเป็นจริงว่า “ไม่อยู่แล้ว” จริงๆ ไม่ต้องไปคอยติด ไม่ต้องไปคอยหลุด ซ้อนลงไปอีก ไม่ต้อง ไม่ต้องมัวไปผูก ไปแก้ ซ้อนลงไปอีก เข้าไปคอยผูก คอยแก้ ยิ่งเป็นเงื่อน เป็นปม เป็นแง่ เป็นมุม เป็นเหตุ เป็นผล ไปหน้าเรื่อยบานปลาย ไปหน้าเรื่อย เหมือนว่าไปคอยเริ่ม สร้างเหตุเป็นเสียเอง จริงๆ ไม่ๆ อยู่แล้ว ว่าง อยู่แล้ว “ไม่” อยู่แล้ว ไม่ใช่ตรงที่อะไรอยู่แล้ว ไม่อยู่แล้ว ว่างอยู่แล้ว ก็ปล่อยเลย ตัดทิ้งไปเลย ไม่ต้องไปคอยห่วง คอยติด คอยหลุดอะไร คอยติด คอยหลุดอย่างไร ไม่ต้องไปคอยห่วง ตัดทิ้งไปเลย ไม่ต้องห่วง มันก็ตรงต่อที่มันไม่ของมันอยู่แล้วจริงๆ



“ไม่อยู่แล้ว” นิพพานอยู่แล้ว ไม่ยึดอยู่แล้ว ไม่ใช่การยึดติดอยู่แล้ว “ไม่อยู่แล้ว” นิพพานอยู่แล้ว ไม่ใช่อะไรอยู่แล้วไง นิพพานไม่ใช่อะไร ก็ไม่ใช่อะไรอยู่แล้ว ไม่ห่วง แม้กระทั่งปัญญา ไม่ห่วง แม้กระทั่งความเข้าใจ ไม่ห่วง แม้กระทั่งการรู้ ไม่ไปคอยผูก ไม่ไปคอยแก้ ไม่ไปคอยเพิ่ม ไม่ไปคอยลด ให้มันยุ่งไปเสียเอง นี้ไม่ห่วง ไม่เกี่ยวเข้าใจ ไม่เข้าใจ ตัดไปเลย คือไม่อยู่แล้วจริงๆ ว่างอยู่แล้วเอง ไม่ไปคอยเพิ่ม ไม่ไปคอยลดอะไร ไม่พยายามหลุดจากอะไร อะไรหลุดจากอะไร ทุกอย่างคือการไม่ยึดติดอยู่แล้ว จะเอาอะไรไปหลุดจากอะไร ยิ่งไปคอยยึดติด ยิ่งไม่ใช่ใหญ่ ติดก็ไม่ต้องติด หลุดก็ไม่ต้องหลุด ตรงที่สุด ตรงต่อความไม่ยึดติดที่สุด ตรงต่ออนิจจังอยู่แล้วที่สุด ตรงต่อไม่อยู่แล้ว ตรงต่อนิพพานอยู่แล้วที่สุด



ทุกอย่างไม่ต้องไปคอยหลุดอีก “มันไม่ยึดอยู่แล้ว” มันไม่ต้องไปคอยหลุดอีกทุกอย่าง จะตรงต่อนิพพานอยู่แล้วที่สุด เราคอยไปหลุด ก็หลงขึ้นมาอีก หลงไปคอย หลงเป็นตัณหา หลงๆๆ หลงดิ้นรนไปเสียเอง เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดเลยว่าไปทำอะไรมัน ไปทำจิตแบบไหนนี้ไม่เกี่ยวเลย เข้าไปทำมัน เหมือนกับเด็กเล่นอยู่นั้นแหละ เล่นจิต เล่นวิญญาณ เล่นความรู้สึกนึกคิด เล่นอารมณ์ เล่นพฤติกรรมอยู่ มันก็เล่น เป็นของเล่น มันไม่เป็นการยึดติดอยู่แล้ว แล้วจะไปทำอะไร เหตุไปทำมันแบบไหน ทำเพื่ออะไร ทำตัวทำใจแบบไหน ทำเพื่ออะไร ทำเพื่อเป็นกรรมขึ้นมาอย่างนั้นหรือ



ไอทำไปก็เป็นกรรมไป สร้างกรรมๆๆๆ ไอนี้ตัวใจไม่ต้องไปทำมันอีกแล้ว ใจตรงต่อความเป็นจริงเท่านั้น ไม่ใช่การยึดติดอยู่แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ยึดติดอยู่แล้ว โดยสภาพมันเองทั้งหมด ห่วง ก็ไม่ห่วงเลยในการที่ไปทำมันแบบไหน ทั้งตัว และใจ ก็ไม่ต้องไปห่วงเลยไปทำมันอย่างไร คือไม่ ก็ไม่อยู่แล้ว คือไม่ต้อง ไม่ต้องไป ไม่ มันไม่อยู่แล้ว โดยความเป็นจริง มัน “ไม่อยู่แล้ว” ไม่ต้องไปคอยไม่ คือ ไม่อยู่แล้วนั่นเอง หรือว่า ว่างอยู่แล้ว นี่ๆ มัวไปคอยทำแบบนั้น แบบนี้อยู่ก็เป็นวิบากอย่างหนึ่ง การตรงต่อความเป็นจริงแล้ว ก็ยังหลงเข้าไปกระทำมันแบบนั้น แบบนี้อยู่ มันก็วิบากนั่นแหละ เป็นความลำบาก เป็นวิบาก โดยสั่งสมการตอกย้ำมา คอยจะ คอยจ้องคอยตั้ง คอยอย่างนั้น อย่างนี้มาเรื่อยๆ กลายเป็นผลวิบากกรรมมา



หลอน คอยจะอยู่เรื่อย คอยต้องอยู่เรื่อย มันหลอน วิบากหลอน ตีกลับ ไปคอยจะ ไปคอยต้องกับมันมากๆ มันก็เลยตีกลับ เลยกลายมาเป็น วิบากหลอน คอยจะอย่างนั้นอยู่เรื่อย คอยต้องอย่างนั้น คอยตั้งอย่างนั้นอยู่เรื่อย ทั้งๆ ที่ตรง การตรงต่อความเป็นจริงแล้ว ยังหลงจะ หลงต้องอยู่ ไอ “ไม่อยู่แล้วจริงๆ” ก็ไม่จริงๆ ไม่อยู่แล้ว ไม่ใช่การคอยติด ไม่ใช่การคอนหลุดอยู่แล้ว มันไม่อยู่แล้ว ไม่ใช่อะไรอยู่แล้ว ไม่เป็นทั้งกิเลส ไม่เป็นทั้งธรรมะ ไม่เป็นอะไรอยู่แล้ว ไม่อยู่แล้ว นิพพานอยู่แล้ว ไม่มามัวมาเห็นมันๆ ไม่มามัวห่วงดูมัน เห็นมันอยู่ ไม่ห่วง



“ไม่อยู่แล้วๆ” มันตัดหมด โมหะในการเห็น โมหะในการรู้ โมหะในการเข้าใจ อะไร มันตัดหมด ก็มันไม่อยู่แล้ว มันไม่คอยอะไรเข้าใจอะไรอีกแล้ว ไม่ต้องเอาอะไรมาคอย ใช่ ไม่ใช่ อะไรกับอะไรอยู่แล้ว ไม่ ไม่มีมาค้นหาความเป็นจริงที่ไหนอีกต่อไปแล้ว ก็ไม่อยู่แล้วไง “ไม่อยู่แล้ว” ว่างอยู่แล้ว มันไม่มาคอยค้นหาความเป็นจริง อะไรจริง อะไรไม่จริง ไม่ต้องมาคอยเอ๊ะ คอยอ๊ะ คอยสงสัย คอยลังเลกับอะไร ก็ไม่อยู่แล้วไง มันไม่ใช่ต้องแบบไหนอยู่แล้ว มันไม่ต้องอยู่แล้ว มันก็ไม่มีอะไรมาคอยทำความเข้าใจ อะไรจะมาคอยรู้ เข้าใจอะไรอยู่ ไม่ ตัดหมด “อวิชชา” “วิชชา” ตัดหมดทั้ง อวิชชา วิชชา



ไม่มีวิชชา อวิชชา, มีวิชชา อวิชชา มันตัดหมด ไม่อะไรอยู่แล้ว ไม่ใช่อะไรอยู่แล้ว อะไรแจ้งอะไรๆ อะไรเข้าใจในอะไร ไม่อยู่แล้วไม่มามัวคาวิชชาอยู่ ไม่มามัวคาความเข้าใจอยู่ นั่นแหละ ว่างอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องดำเนินตัวไหนอีก ไม่ต้องคอยทำจิตอย่างไรอีก ไม่ต้อง ไปทำรู้ ทำเห็น ทำเข้าใจมัน ไม่ต้อง ไม่อยู่แล้วไง



จริงๆ ก็ไม่อยู่แล้ว ไม่มีอะไรอยู่แล้ว มันก็จบ ไม่มามัวห่วง อะไรเข้าใจอะไร ไม่อย่างนั้นไปติดปัญญา ติดวิชชา-ติดปัญญา นั่นแหละไม่เป็นการคอยหลีก คอยหลบอยู่แล้ว อะไรต้องคอยติดอะไร อะไรต้องคอยหลุดอะไร ไม่ ไม่อยู่แล้ว................สาธุ.......................



ขอขอบคุณ คุณ badboy ผู้เรียบเรียง

ลองเข้าไปโหลดธรรมะมาฟ้งกันนะครบ
แล้วท่านจะได้สำผัสกับเนื้อแท้ของพุทธ
สัจธรรมที่นอกเหนือทุกสรรพสิ่ง
การลดมานะ ละความถือตัว เป็นประตูแห่งพระอริยะเจ้า


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 78 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 100 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร