วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 20:56  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 78 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 เม.ย. 2010, 14:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขงเบ้งเทพแห่งกลยุทธ์ เขียน:
yodchaw เขียน:
ขอถามหน่อยขอรับ ท่านเช่นนั้น คุณเป็นพระหรืออุบาสก ถ้าคุณเป็นพระ ถามต่อไปว่า พระที่ศึกษาอยู่กับคุณมีกี่องค์ พื้นที่วัดของคุณมีกี่ไร่ แม่ชี ที่ศึกษากับคุณมีกี่คน ?

ปัจจุบันนี้วัดร่มโพธิธรรม โดยมีหลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต เป็นประธานสงฆ์ มีพระเณรศึกษาธรรม ในพรรษาที่แล้ว 138 รูป แม่ชี และอุบาสกอุบาสิกา 100 คน มีขนาดพื้นที่วัด 1,000 ไร่ ถามว่าทำไมเหตุใดผู้คน พระสงฆ์ มหาชน ทำไมท่านเหล่านั้นมารวมมาศึกษาสิ่งที่ตรัส กล่าวแสดง ที่มีทุกสาขาอาชีพ
หากธรรมคำสอนเป็นอย่างที่ท่านว่ามาผู้คนเหล่านั้นย่อม ไม่มา ศึกษา ตามท่านหรอ
การคอยอยู่กับกะลาครอบตัวเอง แบกความรู้ทิฐิ เที่ยว ติ ตำหนิ นั้นนี้ แค่ ติ ตำหนิ ติเตียน ล้วนมันเป็นของโลก คำว่าโลก คือปุถุชน ชอบติเตียน หากในอริยะแล้ว ท่านจะมีแค่ทักท้วงเท่านั้น
มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีคนขัดแย้ง ไม่เข้าใจในสิ่งที่ท่านกล่าว แต่หากเข้าฟังศึกษาธรรมท่านดีๆแล้ว ก็จะมีแต่ก้มกราบ ก้มกราบอีก มันอัศจรรย์อย่างนี้หนอ มันเป็นเข่นนั้นจริงๆหนอ แต่นี้มันเป็นเช่นคุณคิดเองแล้วหนอ เป็นเช่นคุณคิดเอาแล้วหนอ มันไม่ใช่เช่นนั้นเองแล้วหนอ ที่มัน จบเอง วางเอง ว่างเอง ไม่อะไรกับอะไรอยู่เอง เป็นเช่นนั้นเอง อยู่เองแล้ว



โอ้อวดดีจัง

อวดดีมี 2 ประเด่นที่จะพูดถึงในเรื่องแบบนี้ ถ้าท่านถือว่าเป็นการโอ้อวดคือ
1.ไม่มีดี มีแต่พองลม โอ้อวดไปต่างๆนาๆ เพื่ออยากดัง
2.มีดี มีเนื้อหาสาระดี จึงบอกกล่าว อวดสายตาชาวโลก ผู้คนให้ได้รับรู้
แต่ทั้งสองนี้ท่านว่าต้องพิสูจน์ก่อนนะว่าเป็นอย่างไร แล้วค่อยกล่าวก็ไม่สาย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2010, 10:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่ต้อง ไม่ตั้งคือรหัสนัยแห่งการตัดเจตนากรรม

ไม่ต้อง ไม่ตั้งเป็นคำที่ได้ยินบ่อยๆในการบรรยายธรรมทุกครั้งจากหลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ

หลายๆคนนึกเอาว่าเป็นการปฏิเสธทุกสิ่งทุกอย่าง
หลายๆคนตีความเข้าข้างตัวเองเพื่อที่จะได้ไม่ต้องทำอะไรเลย
หลายๆคนตีความไปว่าวัดนี้สอนให้คนขี้เกียจ
หลายๆคนคิดเอาว่าก่อนที่จะไม่ต้องไม่ตั้งต้องมีเจตนาที่จะไม่ต้องไม่ตั้งขึ้นมาก่อนถึงจะทำได้
หลายๆคนตีความว่าคือพวกที่ไปเจริญสติแล้วกำหนด เพ่ง เกร็ง บังคับ คือไปรู้แบบไม่เป็นธรรมชาติ

เลิกเดาได้แล้วครับ เพราะจากนี้ไปผมจะขยายความคำว่าไม่ต้อง ไม่ตั้ง โดยเนื้อหาที่ตรงสัจธรรมจริงๆให้เข้าใจกัน จะได้เลิกมั่วซะที

คำว่าไม่ต้องไม่ตั้งนั้นไม่ใช่การปฏิเสธทุกสิ่งทุกอย่าง แบบที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ ซึ่งมันเป็นทิฏฐิของปุถุชนที่ยังให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบ คือไม่อะไรก็อะไรล่ะขอให้ได้เข้าไปทำไว้ก่อน(ไม่งั้นนอนไม่หลับ)
คำว่าไม่ต้องไม่ตั้งนั้นไม่ใช่การไม่ทำอะไรเลย ถ้าไม่ทำอะไรเลย หลวงพ่อบอกว่าก็ไม่ต้องกินสิ(วะ)
คำว่าไม่ต้องไม่ตั้งนั้นไม่ได้สอนให้คนขี้เกียจ แต่สอนให้ทำอย่างพอดี ทำเพื่ออนุเคราะห์ตนเองและผู้อื่น ไม่ทำเผื่อกิเลส เผื่อตัณหาของตัวเอง และไม่ต้องมีเจตนามุ่งเอาแบบโลกๆ
คำว่าไม่ต้องไม่ตั้งนั้น ไม่ต้องมีเจตนาก่อนที่จะไม่ต้องไม่ตั้งครับ แต่เดี๋ยวจะบอกว่าทำไมถึงละเจตนาตรงนี้ได้
คำว่าไม่ต้องไม่ตั้งนั้น ไม่ใช่แค่การเข้าไปกำหนด เพ่ง เกร็ง บังคับเท่านั้น แค่มีเจตนาจะเข้าไปปฏิบัติก็ผิดธรรมแล้ว แค่มีเจตนาแม้เพียงนิดเดียวในการเข้าไปดู เข้าไปรู้ หรือกระทั่งมีเจตนาเข้าไปทำความรู้สึกตัวขึ้นมา ทำความรู้สึกตัวทั่วพร้อมก็เป็นเจตนากรรมแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่ได้กำหนดจดจ้องหรือเข้าไปรู้อย่างเป็นกลางก็ตาม (ตามปกติมีใครบ้างที่เข้าไปตามดูตามรู้กายใจตนเอง ไม่มีครับ ประหลาด!! ดังนั้นการเข้าไปทำ ไปเจริญสตินั่นแหละมีเจตนาเข้าไปรู้แน่นอน ดูจิตแบบไม่ตั้งใจน่ะไม่มี)

คำว่าไม่ต้อง ไม่ตั้งโดยเนื้อหาเต็มๆแล้วก็คือ การไม่ต้อง ไม่ตั้ง ไม่ไปจงใจใส่เจตนากรรมเข้าไปในธาตุหนึ่งขันธ์ใด เป็นการละเจตนากรรมที่จะต่อภพต่อชาติเพราะธรรมชาติของขันธ์ต่างๆมันทำงานของมันเองโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว นั่นแหละที่เรียกว่าธรรมโดยธรรมเองอยู่แล้ว มันไม่เป็นกรรม อย่างการหายใจน่ะไม่เป็นกรรม แต่พอเอาจิตไปเกาะกับลมหายใจนั่นน่ะเป็นกรรมทันที

ปัญหาคือที่ผ่านมาคือ เราไม่รู้ความแตกต่างระหว่างกรรมและธรรม มันปะปนกันจนมั่วซั่วไปหมด คนสอนก็ไม่รู้ และเราก็คิดว่าทุกการกระทำเป็นกรรมอยู่แล้ว ดังนั้นสรรพสัตว์ไม่ว่าชั้นภูมิไหนก็ไม่มีใครรู้ว่าการตรงต่อนิพพานเป็นยังไง ก็เลยมั่วเข้าไปปฏิบัติ เป็นการใส่เจตนากรรมเข้าไปในการตามรู้ ตามดู ความเปลี่ยนแปลงของกายธาตุ วิญญาณขันธ์ พอใส่เจตนาเข้าไปก็เป็นกรรมซ้อนลงไปในธรรม แล้วนึกไปว่าการเสี้ยมธาตุแบบนั้นจะทำให้นิพพาน หารู้ไม่ว่ามันเป็นแค่ตบะ ฌาน ญาณ เท่านั้น คือยังหลงอยู่ด้วยโมหะนั่นแหละ ไม่นิพพานหรอก

ผมพูดถึงการต้องตั้งทางธรรมมาเยอะแล้ว ขอยกตัวอย่างของการต้องตั้งทางโลกบ้าง การต้องตั้งทางโลกนั้นก็เช่น การมุ่งเอา การพุ่งเอา พยายามบังคับ ฝืนสภาวะต่างๆ การทะยานอยาก การขับดันของตัณหาทั้งหลายที่จะเอา ที่จะตักตวงส่วนที่เกินความจำเป็นต่อชีวิต เพื่อมาบำรุงบำเรอกิเลสของตนเอง อย่างนี้เรียกว่าการต้องตั้งทางโลก ยิ่งต้องตั้งมากตัวกูก็ยิ่งมากขึ้น ยิ่งตัวกูมากขึ้นก็ยิ่งทุกข์มากขึ้น หรืออย่างที่พ่อแม่ผู้ปกครองมักจะชอบส่งลูกไปเรียนพิเศษ มุ่งที่จะให้มีความเป็นเลิศทางวิชาการ เพื่อที่จะสร้างฐานะทั้งทางการเงินและสังคมให้มั่งคั่งร่ำรวยมากยิ่งขึ้น ก็เป็นตัวอย่างของการต้องตั้งทางโลกแบบหนึ่ง พ่อแม่เหล่านี้ส่งลูกลงนรกด้วยตัวเองทั้งนั้น คนเหล่านี้เรียกว่าพวกหลงโลก คือหารู้ไม่ว่าทุกอย่างเป็นมายากรรม ที่เราใช้ชีวิตอยู่ทุกวันนี้ก็ของเก่าทั้งนั้น พอต้องตั้งกับชีวิตก็ไปต่อกรรมใหม่เข้า จองชาติหน้าและชาติต่อๆไปไว้เรียบร้อย เพราะกลัวว่าพอไม่ต้อง ไม่ตั้งแล้วจะไม่มีกิน หรืออาจจะเข้าใจว่าความพอดีนั่นแหละคือความไม่มีกิน

การใช้ชีวิตแบบต้องตั้งนั้นก็คือการใช้ชีวิตแบบสูญเปล่า ตายเปล่าเน่าฟรี เพราะมันก็เคี่ยวเข็ญกันแบบนี้มาไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ มันก็เอาจริงเอาจังกับชีวิตทุกชาตินั่นแหละ แบบนี้เรียกว่าตายเปล่า ไม่มีคุณกับสังสารวัฏแต่อย่างใด เพราะยังหลงบ้าไปกับโลกสมมติอยู่นั่นเอง

หลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะท่านบอกไว้เสมอครับว่า เมื่อใดก็ตามที่เราไม่ต้องไม่ตั้ง กงกรรมกงเกวียนของเราก็จะหยุดทันที สายโซ่กรรมขาดทันที เมื่อนั้นบุญบารมีเก่าๆไม่ว่ากี่ภพกี่ชาติจะมาหนุนให้เราจบภพจบชาติได้เองโดยอัตโนมัติ การไม่ต้องไม่ตั้งจะเป็นผลให้ตรงต่อนิโรธทันที และความสว่างจากนิโรธนั้นก็ทำให้บุคคลนั้นเป็นเนื้อนาบุญของโลก ความสว่างนั้นแหละจะเลี้ยงดูบุคคลนั้นเอง คิดดูว่าบุญบารมีจากทุกภพทุกชาติทั้งหมดมาเกื้อหนุนเราเป็นชาติสุดท้ายน่ะ คุณคิดว่ามันไม่พอเหรอ? มีบารมีมาเจอหลวงพ่อแล้ว แค่นี้จิ๊บๆ

แต่ปัญหาก็คือคนส่วนใหญ่ ไม่กล้าทิ้ง(เจตนา) เพราะกลัวจะไม่มีอะไรกิน กลัวชีวิตตกระกำลำบาก(หรือกลัวลำบากกว่าที่เป็นอยู่) จึงไม่กล้าเดินตามหลวงพ่อ เรียกว่าเข้าไปยึดติดกับของเก่า นั่นยิ่งทำให้ชีวิตทุลักทุเลมากขึ้นไปอีกเพราะมันไม่พ้นอนิจจัง ไปยึดอนิจจัง ชีวิตมันจึงต้องขึ้นๆลงๆ กระเพื่อมไปตามวิบากกรรม ทั้งกรรมเก่า กรรมใหม่ ต้องคอยอยู่ คอยเป็น คอยกิน เป็นสัตว์ไม่จบสิ้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้วแค่ไม่ต้องไม่ตั้งนั้นแหละ เดี๋ยวชีวิตจะราบรื่น ราบเรียบไปเอง อุปสรรคจะหมดไปเอง ไม่ต้องคอยห่วงหาอาลัยอาวรณ์อะไรอีก ทุกข์ก็จะหมดไปทันที เพราะการพ้นจากอนิจจังที่มันกระเพื่อมเปลี่ยนแปลงเอาแน่ไม่ได้นั่นแหละ

ก็เพราะความห่วงหาอาลัยอาวรณ์นี้เองที่ทำให้เราติดอยู่ในสังสารวัฏไม่ใช่หรือ? แล้วเราห่วงหาอาลัยแบบนี้มากี่ภพกี่ชาติแล้ว เราห่วงการคอยอยู่ คอยกิน คอยเป็นจนเป็นอนุสัย ว่าง่ายๆคือถูกมันหลอกให้ติดนั่นแหละ

เมื่อไม่ต้องไม่ตั้งแล้ว ทุกอย่างก็จะดำเนินไปโดยธรรมเอง เวลาทำงานก็ทำแบบไม่ต้องไม่ตั้ง ทำโดยไม่มีตัวกูเข้าไปเกี่ยว แต่ไม่ใช่ทำงานส่งเดช มันจะกลายเป็นการทำงานเพื่ออนุเคราะห์ทั้งตนเองและผู้อื่น ก็มีสมาธิ มีสติในการทำงานได้ตามปกติ แต่ไม่แช่อยู่ในอารมณ์จริงจัง และไม่ตั้งธงเพื่อที่จะเอาลูกเดียว ประเภทกูต้องรวย โครงการนี้ต้องได้สัก 100 ล้าน รวยซะให้เข็ด ไม่ใช่การทำงานเพื่อเป็นไปด้วยตัณหา หรือเพื่อตัวกู และการทำงานกับคนหมู่มากก็ย่อมจะเกิดกรรมมาก ยิ่งระบบทุนนิยมแล้วการเบียดเบียนชีวิตอื่นย่อมมีสูงมากเป็นเงาตามตัว โดยเฉพาะผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหลาย

การใช้ชีวิตแบบไม่ต้องไม่ตั้งจะส่งผลให้กรรมและวิบากกรรมเบาบางลงไปเอง กรรมจะไม่เป็นโซ่กรรมอีกต่อไป แต่มันจะขาดกลายเป็นเศษกรรมทันที เรียกว่าหลุดพ้นจากพันธนาการ ตัดภพตัดชาติเสียสิ้นโดยตัวมันเอง ไม่ต้องไปดิ้นหนี ดิ้นหลุดเสียค่าโง่ให้โมหะอุปาทานอีก และผลจากการไม่ต้องไม่ตั้งนั้นก็คือ มันจะโปร่งโล่งเบาทันที เรียกว่าปลดเปลื้องภาระกรรมทั้งหลายลงจนหมด ไม่มีอะไรเป็นภาระอีกต่อไปแม้กระทั่งธาตุขันธ์เองก็ตาม

และสุดท้าย การไม่ต้องไม่ตั้งนั้นทำเอาไม่ได้ครับ ถ้าทำเอามันจะมีเจตนาเข้าไปซ้อนอีก ดังนั้นสิ่งที่ควรทำคือฟังธรรมบรรยายของหลวงพ่อฯ หยาดน้ำบ่อยๆซึ่งจะช่วยคลายอุปาทานในขันธ์ 5 และขอขมากรรมต่อองค์คุณพุทธะอรหันต์ มหาโพธิสัตว์เพื่อที่จะคลายกรรมซึ่งบังสัจธรรมอยู่ให้เปิดออก หรือถ้าจะให้เร็วก็ควรจะไปฟังธรรมเฉพาะหน้าจากหลวงพ่อฯ ซึ่งท่านจะให้รหัสนัยเฉพาะตัวในการคลายอุปาทานขันธ์ตรงๆครับ และเมื่อคลายแล้ว การไม่ต้องไม่ตั้งนั้นจะเป็นไปเองอย่างอัตโนมัติโดยไม่ต้องมีเจตนาเข้าไปกำหนดหรือทำเอาครับ

เพราะนิพพานนั้นทำเอาไม่ได้นะจ๊ะ

ที่มาhttp://onk8.net/blogs/admin/2010/04/%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B9%84%E0%B8%A1
บทความธรรมะจากลูกศิษย์ หลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ ท่านหนึ่งที่เป็นadmin เว็บนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2010, 17:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอเชิญทุกท่าน ได้ชมกิจกรรมของวัดร่มโพธิธรรม ตอนไปประเทศอีนเดีย ดูแล้วสบายตา สบายใจ ครับ

http://www.rombodhidharma.com/Pg-03-Act ... A2553.html


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 78 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 46 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร